คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ขุนนางบ้านนอก
บทที่ 2 ขุนนางบ้านนอก
『ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ: วิลเลี่ยม อาร์ฟอร์ด
อายุ: 15 ปี
วันเกิด: 18 เดือน 4 | กรุ๊ปเลือด A
ความรู้สึกปัจจุบัน: ท้อแท้,สิ้นหวัง
『ความสามารถ
ระดับพลังเวทย์【สีเขียว】
มานา 403/403(+0) | ธาตุที่ถนัด: ไม่มี
พรสวรรค์
1)【Momuz of pretending】
2)【Ahriman】
‘นี่ไม่คิดจะเพิ่มขึ้นให้ฉันเลยจริงดิ? มันผ่านมาจะ 4 เดือนแล้วนะ...!’
เฮ้ออ—~...
เด็กหนุ่มผมสีดำกระเซอะกระเซิงพร้อมกับดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ทำได้เพียงถอนหายใจหลังได้เห็นว่าความพยายามตลอดสี่เดือนของตนเสียเปล่า
หากจะกล่าวถึงครั้งล่าสุดที่จำนวน 『มานาสูงสุด』 ของเขาได้เพิ่มขึ้นก็จำต้องย้อนไปเมื่อ 4 เดือนก่อนนู้นเลย
‘ฉันก็คอยฝึกฝนอยู่ตลอดแท้ๆ แต่ทำไมค่ามานามันไม่กระเตื้องเลยล่ะ?”
‘นอกจากนี้ยังนึกสภาพไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มี "มัน" ป่านนี้ฉันจะเป็นยังไง’
‘คงจะโดนพวกชาวบ้านชาวเมืองเอาไปพูดนินทาล้อเลียนกันสนุกปากแหงเลย’
อย่างที่เห็น.. ในปัจจุบันฉันได้มาเกิดใหม่และใช้ชีวิตบนโลกนี้มา 15 ปีบริบูรณ์ ซึ่งถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้วสำหรับที่แห่งนี้
ถึงจะน่าตกใจแต่ดูเหมือนพระเจ้าจะส่งตัวฉันมายัง 【โลกแห่งเวทมนตร์】จะกล่าวว่ามันเป็นต่างโลกที่พบได้ทั่วไปในนวนิยายญี่ปุ่นก็ได้
อย่างไรก็ตาม... มันก็ดูโหดร้ายเกินไปสำหรับคนแบบฉัน 『วิลเลียม อาร์ฟอร์ด』 ซึ่งเป็นเพียงบุตรชายคนโตของบารอนแถบชายแดน
ก่อนอื่นเลยแม้ว่าฉันจะได้เกิดมาเป็นลูกของขุนนาง แต่ก็เป็นตระกูลที่ค่อนข้างยาจก เขตการปกครองก็ไร้ซึ่งความเจริญถึงที่สุด ชาวบ้านบางคนยังรวยกว่าด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ผู้เป็นบิดาของฉันยังอุดมไปด้วยความเมตตาจนไม่กล้าสั่งประชากรของตนให้ไปพัฒนาเขต
ผลลัพธ์ก็คือความด้อยพัฒนาอย่างถึงที่สุด เป็นการบริหารระดับที่วัวยังเอือมระอา...
‘… น่าสมเพชเกินไปไหมเนี้ย!?’
ฉันสบถออกมาในใจ…
หลังจากที่ได้เกิดใหม่จากดวงที่ซวยถึงขั้นตายก่อนวัยอันควร ชีวิตที่สองก็ยังไม่วายกลายเป็นลูกขุนนางบ้านนอกอีก
แถมนอกจากนี้....
ฉันรีดพลังเวทย์ออกมาเล็กน้อยเพื่อสร้างเปลวเพลิงขนาดจิ๋วบนฝ่ามือ...
สีของพลังเวทย์ถือเป็นตัวกำหนดความสามารถและชีวิตของผู้คน สำหรับในต่างโลกแห่งนี้ที่『เผด็จการ』จนทุกอย่างต้องวัดกันที่พลังเวทย์ ฉันกลับเกิดมาพร้อมกับสัญลักษณ์ของ 『ผู้ไร้ค่า』
เปลวเพลิงขนาดจิ๋วที่ลุกโชนเหนืออุ้งมือของฉัน มันกำลังเปล่งประกายสีเขียวออกมาตลอดเวลา
【พลังเวทย์สีเขียว】
กล่าวได้ว่า.. ฉันเป็นพวกไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้แบบขีดสุด เป็นความอ่อนแอที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ในฐานะนักเวทย์...
[ก็อกๆ]
“ตื่นหรือยังคะ นายน้อย?”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากอีกฟาก พร้อมกับเสียงที่อ่อนหวานของสาวรับใช้ มันพลันปัดเป่าความฟุ้งซ่านใจจิตใจของฉัน
“พอดีคุณผู้หญิงท่านให้ดิฉันมาตามนายน้อยลงไปรับทานอาหารน่ะค่ะ”
“อ่า... จะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”
ฉันตอบสาวรับใช้กลับไป ก่อนจะลุกออกจากเตียงนอนเพื่อไปรับประทานอาหารเช้า
***
เมื่อฉันลงมาที่ชั้นล่างก็ได้เห็นสมาชิกในครอบครัวนั่งบนโต๊ะอาหารกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
“อรุณสวัสดิ์.. ลูกนี่มักจะตื่นหลังคนอื่นเป็นประจำเลยนะวิล”
ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เขาคือชายที่ถูกฉันนินทาไปก่อนหน้า พ่อของฉันในโลกนี้
『เอ็ดวิน อาร์ฟอร์ด』เขามีผมสีดำที่เริ่มมีผมหงอกแซมขึ้นมา และมีดวงตาสีแดงราวกับเลือดแต่กลับถูกแฝงไปด้วยความอ่อนโยน
“โถ่∼! เริ่มติดเป็นนิสัยแล้วนะวิล! การตื่นสายมันไม่ดีต่อสุขภาพนะรู้ไหม!”
ถัดมาเป็นเสียงของหญิงสาว เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเป็นห่วงเกินกว่าปกติ
『เมลาเนีย อาร์ฟอร์ด』 สตรีผู้เป็นภรรยาของพ่อของฉัน อีกนัยนึงเธอก็คือแม่ของฉันนั่นแหละ เธอมีผมสีเทาอ่อนๆ ที่ถูกรวบจนมีรูปทรงคล้ายซาลาเปา ดวงตาของเธอเป็นสีน้ำเงินราวกับคลื่นของทะเล
“ครับ... จะพยายามครับ”
ฉันตอบกลับไปพลางเกาหัวด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ถึงแม้จะรู้ตัวดีว่าแก้นิสัยในส่วนนี้ไม่ได้แน่นอนก็ตาม
“เมื่อวานพี่ก็พูดแบบนี้ไม่ใช่หรือไง?”
ทันใดนั้นเสียงของเด็กชายพลันดังขึ้นค้านคำพูดก่อนหน้าของฉัน
『มาร์ส อาร์ฟอร์ด』 เจ้านี่เป็นน้องชายของฉันเอง.. ด้วยคำพูดจิกกัดของเขาก่อนหน้า แม่ของฉันก็รีบกล่าวต่อ
“ใช่! นี่คิดว่าแม่จะลืมหรือไง? ลูกไม่ได้ตื่นสายแค่วันเดียวนี่ถูกไหม?”
‘อา.. ไอ้เด็กเวรนี่...’
ฉันได้แต่กัดฟันในขณะที่จ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของน้องชายตัวแสบ...
เพราะหากว่าแม่ได้เริ่มเปิดปากเทศนาล่ะก็ มีหวังฉันอาจจะได้กินข้าวเช้าราวๆ เที่ยงวันเลย
“เรื่องนั้นเก็บไว้ทีหลังก่อนเถอะ... วิลนั่งลงสิ หลังจากทานอาหารเสร็จพ่อมีเรื่องสำคัญจะพูดคุยด้วย”
พ่อของฉันกล่าวขัด ทำให้แม่ของฉันยอมสงบลง แต่ทว่าก็มีเรื่องน่าตะหงิดใจตามมา...
‘เรื่องสำคัญ..?’
นั่นเป็นคำพูดที่ทำให้ฉันเหงื่อตก เนื่องด้วยตลอด 15 ปีฉันเกิดมา พ่อของฉันไม่เคยกล่าวถึงเรื่องที่ดูมีใจความสำคัญเลยสักครั้ง แต่ดูเหมือนคราวนี้มันจะพิเศษจริงๆ ถึงได้กล้าบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญ...
‘รู้สึกกังวลหน่อยๆ เลยแฮะ..’
แม้ว่าจะเป็นเพียงพ่อที่ไร้สาระและบริหารอะไรไม่เป็น แต่หลังจากนี้จะถูกคุยเรื่องอะไรบ้างก็ไม่รู้ และบางทีเขาอาจจะเริ่มมีสมองขึ้นมาบ้างก็เป็นได้
‘มีแต่ต้องรอฟังดูล่ะนะ..’
ฉันจึงตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างก่อนจะเริ่มรับประทานอาหาร...
***
หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ ฉันก็รอฟังพ่อกล่าวเรื่องสำคัญที่ว่า พลางจิบน้ำชา
“เกี่ยวกับวิทยาลัยเวทมนตร์ ลูกอยากจะไปเรียนที่ไหนล่ะ?”
‘พลุ่ก!?’
ฉันเกือบจะสำลักออกมา...
‘เรื่องนี้เองงั้นหรอกเหรอ!?’
สำหรับเรื่องสำคัญที่ว่า ตัวฉันที่คาดหวังว่าจะได้อะไรดีๆ จากพ่อของตนพลันต้องสิ้นหวังอีกครั้ง
เพราะเรื่องที่ท่านพ่อของฉันต้องการจะคุยด้วย มันเป็นแค่เรื่องสถาบันสำหรับการศึกษา.. 【วิทยาลัยเวทมนตร์】 มันคือสถานที่ซึ่งคลับคล้ายคลับคลากับมหาวิทยาลัยในโลกก่อนของฉัน
และถึงจะบอกว่าคล้ายคลึงกันกับมหาวิทยาลัย แต่ก็แค่ในเรื่องของพื้นที่ของสถาบันที่กว้างขวาง ทว่าโครงสร้างภายใน รูปแบบการเรียนการสอนนั้นจะคล้ายคลึงกับโรงเรียนมัธยมเสียมากกว่า
เนื่องจากเป็นยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และการศึกษาไม่ก้าวหน้า เพราะการมีอยู่ของเวทมนตร์ที่คอยถ่วงดุล จนท้ายที่สุดมนุษย์ก็ถึงจุดที่ต้องเลือกระหว่างเวทมนตร์หรือวิทยาศาตร์ แล้วผลลัพธ์ก็อย่างที่เห็น...โลกนี้กลายเป็นดินแดนแห่งเวทมนตร์โดยสมบูรณ์
และตัวฉันที่อาศัยอยู่บนโลกนี้มานานถึง 15 ปีบริบูรณ์ อันเป็นวัยที่เรียกได้ว่าเหมาะสมแล้วสำหรับการเข้ารับการศึกษาศาสตร์เวทมนตร์ขั้นสูง ย่อมต้องเข้าเรียนในวิทยาลัยเวทมนตร์ที่ว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และเนื่องจากทั่วทั้งทวีปมีวิทยาลัยอยู่นับไม่ถ้วน ย่อมต้องมีวิทยาลัยสำหรับขุนนางบ้านนอกแบบฉันอยู่เกลื่อนกลาด อีกทั้งยังมีเกณฑ์ในการเข้าเรียนที่ไม่ยากเกินมือ
“สำหรับพ่อแล้ว.. พ่อคิดว่าลูกลองไปสมัครที่เมืองข้างๆ ดูสิ เดินทางได้สะดวกอีกทั้งยังตอบโจทย์สำหรับคนที่ “ไม่ถนัด” ในด้านเวทมนตร์แบบลูก”
และก็เป็นอย่างที่คิด.... พ่อของฉันเลือกที่จะแนะนำสถานที่สุดคลาสสิค ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ไร้พรสวรรค์แบบฉัน แน่นอนว่ามันเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องแล้ว
“แต่ดิฉันอยากให้ลูกของเราไปเรียนที่วิสตันไฮม์ มากกว่านะคะ!!”
ทันใดนั้นเสียงของแม่ก็ดังขึ้นแทรกการสนทนาในทันที เธอยังกล่าวเสริมต่อ...
“ฉันมีคนรู้จักอยู่ที่นั่น! น่าจะฝากลูกเราให้เข้าเรียนได้เลย และไม่ต้องไปเสี่ยงดวงสอบเข้า!”
‘เดี๋ยวนะ...นั่นมันคือนิยามของคำว่า “เด็กเส้น” ไม่ใช่รึไง?’
“คุณไม่สงสารวิลบ้างเหรอคะ! เพราะเกิดมาด้อยพรสวรรค์ แต่เพราะรักในเวทมนตร์เลยเอาแต่ฝึกหนักทุกวัน! จะดับความฝันของเขาด้วยการส่งไปเรียนที่เมืองข้างๆ จริงๆ เหรอคะ?!”
แม่ของฉันปั้นหน้าเศร้าในขณะที่พยายามเกลี่ยกล่อมพ่อสุดชีวิต หากเป็นปกติพ่อของฉันคงยอมแพ้ต่อลูกอ้อนของแม่และยอมรับแต่โดยดี...
“ไม่ได้...! นั่นถือเป็นการทำลายความภาคภูมิใจของวิลไม่ใช่หรือไง!”
ครั้งแรกในรอบหลายปีที่พ่อของฉันตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เขาตอบด้วยสีหน้าที่มั่นใจในตนเองมาก จนทำให้ฉันแทบจะร้องไห้อย่างปลาบปลื้ม ทั้งยังคิดว่าตนเองควรจะชื่นชมเขาดีหรือเปล่า?
“ความภาคภูมิใจอะไรล่ะนั่น! ความรู้สำหรับนักเวทย์ต้องสำคัญมากกว่าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอไงคะ!!”
แต่แม่เองก็ไม่ยอมและสรรหาเหตุผลมารองรับจนได้...
“แต่นั่นก็ยังเป็นการดูถูกความพยายามของวิลอยู่ดี! ถ้าสงสารวิลก็ควรให้เขาได้ไปยังสถานที่ๆ เหมาะสมโดยกำลังของตนเองสิ!”
“แต่ถ้าวิลได้รับความรู้ผิดๆ มันจะส่งผลเสียต่อเขาในระยะยาวไม่ใช่หรือไงคะ! จะปล่อยลูกให้ทรมานในอนาคตเหรอคะ!”
‘อ่า...’
ฉันจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างว่างเปล่า
‘จะว่าไป....เมื่อกี้เราคุยเรื่องอะไรกันนะ?’
แต่แรกมันเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อจะคุยกับฉัน ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงการทะเลาะกันของผู้ใหญ่สองคนเสียแล้ว...
‘....แต่มันอาจจะดีแล้วก็ได้?’
ถึงแม้มันจะดูวุ่นวายไปบ้าง แต่ก็สื่อให้เห็นถึงความใส่ใจของพ่อและแม่ต่อตัวฉันในฐานะลูก แม้จะมีมุมมองที่ต่างกันแต่สุดท้ายก็ทำเพื่อฉันอยู่ดี
‘....เจ้าอยากใช้ชีวิตแบบนั้นสินะ?...’
ฉันหวนคิดถึงคำกล่าวของพระเจ้า...
ในตอนนั้นฉันกำลังนึกถึงอะไรอยู่? บางทีอาจจะเป็นภาพของครอบครัวที่อบอุ่นก็ได้...
เพราะพอเห็นภาพแบบนี้แล้ว มันก็ทำให้ฉันอยากตั้งใจทำอะไรสักอย่างขึ้นมา...
‘....ลองตั้งใจดูก็ไม่เสียหายล่ะนะ...’
ฉันตระหนักได้ดังนั้นจึงกล่าวแทรกระหว่างทั้งสองไปในทันที...
“ผมจะไปที่ 【อิกดราเซีย】...”
ทั้งสองคนพลันหันกลับมามองที่ใบหน้าของฉันอย่างไม่ละสายตา พร้อมทั้งกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน....
“ “ ห๊ะ?.. ” ”
ความคิดเห็น