ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    นักเวทย์ไร้ค่าท้าชะตาวิทยาลัยเวทมนตร์

    ลำดับตอนที่ #7 : จุดเริ่มต้น

    • อัปเดตล่าสุด 3 เม.ย. 67


    บทที่ 7 จุดเริ่มต้น



    สนามพิเศษวิทยาลัยเวทมนตร์ 『อาร์ชฟิลด์』


    “ยืนยันบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบเสร็จสิ้น เชิญเข้าไปภายในอาคารได้เลยครับ!”


    พนักงานของวิทยาลัยยังคงทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็งกับผู้สอบผ่านทั้ง 300 คน รวมถึงฉันด้วย 


    ปัจจุบันฉันจำเป็นจะต้องวัดร่างกายสำหรับชุดสูทของสถาบัน อีกทั้งยังต้องมีการตรวจสอบสุขภาพนู่น นี่ นั่นซึ่งฟังดูน่ารำคาญเล็กน้อย 


    ฉันค่อนข้างรีบ เนื่องจากมันเป็นเวลานานกว่า 6 ชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่เริ่มการสอบ และพ่อแม่ของฉันยังคงรออยู่ที่สนามกลางของวิทยาลัย 


    ‘การปล่อยให้บิดามารดาต้องรอนานอาจทำให้ฉันกลายเป็นลูกอกตัญญูก็ได้ใครจะรู้?’


    แน่นอนว่าในความเป็นจริงนั้นกลับกันเลย... ฉันเชื่อว่าพวกเขาจะรีบสวมกอดฉันโดยไม่อายสายตาคน เมื่อพบว่าฉันสอบผ่านได้สำเร็จ และที่เขตอาร์ฟอร์ดจะต้องจัดงานเลี้ยงกันครั้งใหญ่ 


    แม้ว่าเขตของฉันจะเล็กและเข้าถึงได้ยาก แต่เพราะเหตุนั้นเองชาวเมืองจึงรู้หน้าค่าตากันดี อีกทั้งพ่อของฉันยังเป็นที่รักของชาวเมือง 


    นี่จึงเป็นเหตุผลที่ครอบครัวฉันกล้าทิ้งเขตการปกครองของตนเองมา แถมยังปล่อยน้องชายเอาไว้เฝ้าบ้านคนเดียวได้ 


    และถึงแม้ก่อนหน้านี้ฉันมักจะนินทาว่าร้ายพ่อของฉันและเขตอาร์ฟอร์ด แต่โดยรวมแล้วมันถือว่าเป็นบ้านที่ยอดเยี่ยมกว่าสถานที่ไหนๆ สำหรับฉัน...


    ‘เพราะแบบนั้น... ฉันควรจะกลับไปฉลองเร็วๆ’


    นอกจากนี้เพราะชาวเมืองเป็นคนเลี้ยง ฉันจึงจะได้กินอาหารอร่อยๆ ฟรี...



    ***



    “นี่คือชุดสูทของวิทยาลัยครับ!... มันทำมาจากใยเวทย์คุณภาพสูงจึงไม่จำเป็นต้องทำความสะอาด อีกทั้งยังป้องกันรอยขีดข่วน เพราะแบบนั้นเองจึงไม่ต้องกลัวว่ามันจะขาดหรือเหม็นเลยแม้แต่น้อยครับ!”


    “ส่วนนี่คือบัตรประจำตัวนักศึกษาครับ! มันถูกปรับแต่งด้วยเวทมนตร์ทำให้สามารถรับข่าวสารของวิทยาลัยได้! อีกทั้งยังใช้ระบุตัวตนอีกด้วยขอให้รักษามันยิ่งชีพเลยนะครับ!”


    “สำหรับวันเปิดภาคเรียนจะแจ้งผ่านบัตรประจำตัวนักศึกษานะครับ!”


    ด้วยสีหน้ากระตือรือร้น พนักงานส่งมอบทุกอย่างให้กับฉันด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่จะปล่อยฉันให้ออกจากอาคาร 


    สิ่งที่ฉันได้รับมามีสองอย่าง... ชุดของวิทยาลัยซึ่งคงได้ฟังสรรพคุณของมันไปแล้ว ต้องขอบคุณโลกเวทมนตร์ที่รังสรรค์สิ่งมหัศจรรย์แบบนี้ออกมาได้จริงๆ 


    ถัดมาคือบัตรประจำตัวที่จะเรียกว่าเป็น สมาร์ทโฟนก็มิปาน... มันคือเครื่องรับส่งข้อมูลทางไกลชนิดหนึ่ง แม้ไม่รู้ว่ามันจะใช้งานยังไงได้บ้างแต่ก็เป็นสิ่งที่น่าคาดหวัง


    แต่ที่สุดยอดกว่าการได้รับของฟรีทั้งสอง คือการที่วิทยาลัยระดับนี้ให้นักศึกษาเรียนฟรีตลอด 6 ปีการศึกษา อีกทั้งยังมีห้องพักและสวัสดิการที่ยอดเยี่ยมฟรีอีกต่างหาก 


    แน่นอนว่าที่ทำแบบนี้ได้เพราะมีผู้สนับสนุนรายใหญ่เป็นจักรวรรดิ แถมนักศึกษายังต้องเข้าทำงานภายในจักรวรรดิเท่านั้น โดยปราศจากข้อโต้แย้งใดๆ เมื่อเรียนจบ 


    มันอาจจะฟังดูบังคับขู่เข็น แต่นักศึกษาทั่วทวีปต่างก็ตั้งเป้าจะทำงานในจักรวรรดิกันทั้งนั้น


    เพราะทั้งความเจริญก็ดี หรือแม้แต่อัตราเงินเดือนที่พุ่งสูงขึ้นทุกปี และมีกระทั้งบำเหน็จบำนาญสำหรับตอนเกษียณอายุ มันถือเป็นสวรรค์ของนักเวทย์โดยแท้จริง 


    ทั้งนี้เป้าหมายที่ฉันมาสมัครในวิทยาลัยแห่งนี้ ก็เพราะอัตราการจ้างงานที่สูงถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์จากจักรวรรดิเนี้ยแหละ 


    ....


    ‘อา... คนเยอะจังเลย...’


    ฉันพลันคิดขึ้นมา หลังพบผู้คนที่กำลังเพ่นผ่านอยู่ทั่วสนามกลาง... โดยที่คนส่วนใหญ่เป็นนักศึกษารุ่นพี่ในวิทยาลัย รองลงมาเป็นผู้เข้าสมัครที่สอบไม่ผ่าน และสุดท้ายคือครอบครัวของผู้เข้าสมัคร 


    เป็นสิ่งที่เข้าใจได้... เพราะโลกนี้ไม่ได้มีครอบครัวที่กระตื้อรื้อรนผิดมนุษย์มนาแบบเดียวกันกับฉันมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัวหรือตระกูลใหญ่ที่มองลูกเป็นแค่เครื่องมือ หากไม่มีพรสวรรค์ก็จะเขี่ยทิ้ง


    และในขณะเดียวกันพวกคนเหล่านั่นไม่มานั่งเล่นบทพ่อแม่ลูกให้เสียเวลาชีวิต การมาทำอะไรอย่างคอยเชียร์ลูกจนถึงหยดสุดท้ายจึงเป็นสิ่งที่หาได้ยาก 


    มีจุดประสงค์เพียงไม่กี่อย่างหรอกที่คนประเภทนี้มารอในสนามกลาง...


    ‘แต่ช่างเถอะ... มันไม่ได้เกี่ยวกับเราสักนิด’


    ฉันปล่อยวางจิตใจ ก่อนจะกวาดสายตามองหาพ่อแม่ของฉัน... ด้วยคนที่พลุพล่านมันใช้เวลาสักพักหนึ่งก่อนจะพบพ่อและแม่ 


    พวกเขาอยู่ห่างจากฉันค่อนข้างไกล เมื่อมองไปที่ทั้งคู่จากระยะนี้ฉันก็พบว่าพวกเขากำลัง...


    ‘ร้องไห้?...’


    ภาพของคู่สามีภรรยาซึ่งกำลังปาดน้ำตาที่ไหลราวกับสายน้ำตก ใช่แล้ว... หยดน้ำที่ไหลออกมาจากขอบตาของทั้งสองแรงประดุจสายน้ำตกของจริงเลย โดยไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็ดูจะเป็นสิ่งที่เกินจริงไปมากโข


    อีกทั้งเมื่อลองคิดสภาพว่าทั้งคู่ร้องไห้มานานแค่ไหน ฉันก็รู้สึกได้ทันที... ว่ามันโคตรจะปัญญาอ่อนเลย


    ชีวิตจริงต้องใช้น้ำกี่ลิตรถึงจะผลิตสายน้ำตาขนาดนั้นได้... ถ้าให้ฉันเดานั่นคงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า เวทมนตร์ อย่างแน่นอน 


    ยิ่งรวมเรื่องที่แม่ของฉันถนัดเวทมนตร์ธาตุน้ำเข้าไปด้วย ยิ่งสนับสนุนความเชื่อของฉันเข้าไปใหญ่ 


    สรุปแล้ว... ทั้งคู่ก็แค่สามีภรรยาสติไม่ดีที่ซึ้งกับผลการสอบผ่านของลูก แต่เพราะร้องไห้จนน้ำตาไหลออกหมดตัวไปแล้วลูกก็ยังไม่ออกมา จึงตัดสินใจใช้เวทมนตร์เข้าช่วยมันเสียเลย


    ‘น่าเหลือเชื่อที่คนแบบนี้ได้เป็นขุนนาง...’


    แต่ถึงจะบ่นไปมากแค่ไหน ฉันก็จำต้องก้าวไปหาพวกเขาอยู่ดี ก่อนอื่นเลย... ฉันควรจะไปหยุดพวกเขาที่ใช้พลังเวทย์ทำเรื่องไร้สาระเสียก่อน


    แต่หลังจากเดินเข้าใกล้ได้ไม่มากนัก...


    “วะ-วิล!!?”


    แม่ก็พลันสังเกตการมีอยู่ของฉันได้ก่อน ส่วนทางด้านพ่อ... คงเป็นเพราะน้ำที่แม่ใช้เวทย์รังสรรค์ขึ้นมามันเยอะไปเสียหน่อย จนบดบังวิสัยทัศน์ของเขา 


    “สะ-สอบผ่านจริงๆ เหรอเนี้ย!? นี่ลูกทำได้ยังไงล่ะเนี้ย!?”


    เธอตรงดิ่งเข้ามาอ้าแขนราวกับจะโผกอดฉัน พร้อมกับเวทย์มนต์น้ำตาปลอมซึ่งเธอยังคงไม่ลดละความพยายาม อย่างไรก็ตาม...


    “มันเปียกชุดผมนะ...”


    จำนวนน้ำ... มันเยอะเกินไป 


    “ถ้ายังไม่หยุดเวทมนตร์นั่น ผมจะไม่ยอมกอดด้วยเด็ดขาดเลย”


    ฉันกล่าวพร้อมกับถอยหลังหนีเธอ


    “อะ-เอ๊ะ! โหดร้าย!!”


    แม่ของฉันพลันอุทานออกมา ก่อนที่จะหยุดน้ำตาปลอมๆ เหล่านั้น และในวินาทีเดียวกันพ่อก็ดูเหมือนจะได้รับดวงตากลับคืนมา


    “ทะ-ทีนี้ก็กอดได้แล้วใช่ใหมล่ะ!”


    [พลุ่บ—!]


    เธอกล่าวต่อก่อนจะพุ่งตัวเข้ากอดฉันโดยไม่รีรอให้ตอบกลับแม้เพียงวินาทีเดียว 


    “อะ-อ่าว!! วิล! มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่?!”


    และพ่อที่ดวงตาพึ่งจะมองเห็นได้อีกครั้งก็พลันสังเกตเห็นฉันทั้งๆ ที่นอกจากดวงตาเขาก็ยังคงมีสิ่งที่เรียกว่าหูอยู่ ซึ่งควรจะรับรู้ได้ตั้งแต่บทสนทนาก่อนหน้านี้แล้ว


    “ยะ-ยินดีด้วยนะ! กะ-เก่งมากเลยล่ะ!”


    แม่ของฉันกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย ถ้าเธอยังเหลือน้ำตาอยู่มันก็คงจะไหลออกมาแล้ว... แต่ก็อย่างที่บอกไป...


    “อา...ขอบคุณที่มาเป็นกำลังใจให้ผมนะครับ!”


    เธอเป็นแม่ที่อ่อนโยนจนเข้าขั้นบ้าเล็กน้อย แต่เธอก็ประหม่าและทำอะไรไม่ถูกเป็น กระนั้นเธอก็พยายามรีดเร้นแรงออกมาแสดงความยินดีให้กับฉัน 


    สิ่งที่ฉันควรทำคือตอบขอบคุณกลับไปด้วยรอยยิ้มในฐานะลูกที่ดีไม่ใช่หรือไง?


    “จะ-จริงด้วย! ถ้าเรากลับไปที่เขตอาร์ฟอร์ด! ต้องป่าวประกาศแล้วแหละเนอะ!”


    แม่ยังคงพูดต่อไปแม้เสียงจะสั่น


    “อืมๆ! วิลของเราคือสุดยอดนักเวทย์ที่สอบเข้าเรียนในวิทยาลัยอันดับ 1 ของทวีปได้นี่นะ!”


    ส่วนพ่อก็พูดพร้อมทำตัวตามปกติ... อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถปกปิดรอยแดงใต้ขอบตาทั้งสองข้างได้


    “คงจะ... มีงานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่แน่เลยเนอะ...!”


    เสียงของแม่ฟังดูนุ่มนวลยิ่งขึ้น เธอดูเหมือนจะพยายามควบคุมความตื่นเต้นปนตื้นตันใจของเธออยู่ 


    “นั่นสินะ... เพราะนี่มันเป็นข่าวใหญ่เลยล่ะ! จะต้องมีของขวัญมากมายให้วิล! นอกจากนี้คงจะเต็มไปด้วยอาหารอร่อยๆ มากมายเลยด้วย!”


    และสำหรับพ่อที่ปกติไม่ค่อยพูดค่อยจา วันนี้นับว่าเป็นอะไรที่ทำให้ฉันได้เปิดโลกอย่างแท้จริง...


    “ทั้งหมดเพื่อวิล....ลูกของเรา!”


    “ใช่แล้ว... ลูกของเรา...”


    เสียงของแม่เริ่มเบาลง... ขณะที่พ่อขยับเข้ามาอยู่ข้างๆ พลางใช้มือลูบหลังเธอเบาๆ 


    “ใช่แล้ว... นี่แหละลูกของเรา”


    [ติ๋ง—!...]


    หยดน้ำสีใสพลันกระทบเข้ากับแก้มของฉัน ตามด้วยเสียงสะอื้นของหญิงสาว...


    “นะ-นั่นสินะ... นี่คือวิล... ลูกของเรา... ลูกของเรามาโดยตลอด”


    เธอยังคงกล่าวต่อแม้น้ำตาจะเริ่มไหลรินทั่วโหนกแก้มทั้งสองก็ตาม


    เมลาเนีย อาร์ฟอร์ดหรืออีกชื่อคือ เมลาเนีย อาทีลีน แต่เดิมเป็นหญิงสาวที่มาจากตระกูลดยุก.... 


    ฉันที่ตระหนักดีถึงเหตุผลภายใต้หยดน้ำตาเหล่านั้นพลันซุกตัวลงในอ้อมกอดของเธอผู้ซึ่งเป็นมารดาคนที่สองของฉัน ในขณะที่เอ็ดวินสวมกอดเธออย่างอ่อนโยนเช่นเดียวกัน 


    หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องสอบเข้าในวิทยาลัยแห่งนี้ให้ได้... เธอคือเหตุผลนั้น 



    ***



    เมลาเนีย อาร์ฟอร์ด แต่เดิมเธอเคยเป็นบุตรีของ『ตระกูลดยุก "อาทีลีน"』 แห่งราชอาณาจักรยุสเทร่า อย่างไรก็ตามความต่ำตมของกฎแห่งโลกส่งผลได้ดียิ่งในแวดวงของขุนนางระดับสูง 


    “แกมันไร้ค่า!! ไสหัวออกไปให้พ้นจากหน้าฉันซะ!!”


    คำพูดที่พ่อแท้ๆ สามารถกล่าวกับเธอซึ่งเป็นลูกได้โดยไม่คิดมากอะไร กลับสร้างบาดแผลหนาลึกภายในจิตใจของเมลาเนียที่อายุเพียง 5 ขวบ...


    เมลาเนียนั้นไร้ซึ่งพรสวรรค์แต่กำเนิด จึงไร้ค่าโดยสิ้นเชิงแม้จะอยู่ในตระกูลดยุกก็ตาม 


    แต่แม้จะถูกพ่อแท้ๆ มองว่าไร้ค่าแต่กลับกันแม่แท้ๆ ของเธอซึ่งเป็นเพียงภรรยารอง คอยดูแลเธอที่บาดเจ็บจากคำพูดของบิดา 


    ด้วยการเลี้ยงดูที่ดีจากผู้เป็นแม่ เมลาเนียจึงพยายามแล้ว พยายามเล่า... เธอฝึกเวทมนตร์ทั้งเช้าและค่ำ ใช้เวลาส่วนมากภายในห้องสมุด แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังมิอาจแซงหน้าคนอื่นๆ ภายในตระกูลได้ 


    เธอเป็นได้แค่ผู้แพ้ที่ตามหลังพี่น้องของเธอในทุกๆ ด้านเท่านั้น...


    “อา... เก่งมากเลยล่ะ”


    ถึงกระนั้นก็ยังมีคนไม่ยอมแพ้ในตัวเธอ... ผู้เป็นแม่ยังคงตอบกลับด้วยคำชมแม้สิ่งที่เมลาเนียแสดงให้เธอดูจะเป็นเพียงพัฒนาการที่ช้าราวกับเต่าก็ตาม 


    วันหนึ่งเธอตัดสินใจแสดงเวทย์มนต์ที่เธอได้เรียนรู้มาใหม่ให้แม่ของเธอดู...


    “ว้าว~ เป็นน้ำพุที่สวยมากเลยล่ะ”


    และแม้ว่าเวทมนตร์ที่เธอแสดงให้ดูจะใช้งานจริงไม่ได้ก็ตาม แต่แม่ของเธอก็ยังแสดงออกด้วยความสนใจ นั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก...


    ถัดจากนั้นเธอจึงมักจะแสดงเวทมนตร์แปลกๆ ที่ได้เรียนด้วยตนเองให้แม่ของเธอได้เชยชมแทบจะทุกวัน


    “นี่คือน้ำตกงั้นเหรอ? ฮิๆ อยากไปเห็นของจริงสักครั้งจังเลยน้า~”


    และในแต่ละวันเธอก็จะได้รับปฏิกิริยาตอบกลับที่ต่างกันออกไป แต่โดยส่วนใหญ่แล้วแม่มักจะมองเธอด้วยสายตาอันแสนอบอุ่น เธอจึงรู้สึกอิ่มเอมใจ


    เพราะแม้จะเป็นเพียงเวทมนตร์ที่ไร้สาระ แต่มันทำให้แม่ของเธอยิ้มออกมาได้ ด้วยเหตุนั้นเธอจึงเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เธอเลือกไม่ได้ผิด... 


    และเวทมนตร์ที่เธอเรียนรู้ทั้งหมด มันก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์แม้จะแค่กับใครสักคนนึงก็ตาม 


    แต่น่าเสียดาย... ความสุขของเธอกลับอยู่ได้ไม่นานอย่างที่คิดเอาไว้...


    เพราะหลังจากที่อายุได้เพียง 11 ปี... แม่ของเธอก็ด่วนจากไปด้วยโรคร้ายที่รักษาไม่หายและนั่นเป็นวันที่ทำให้เธอได้รับรู้...


    เหตุผลที่ทุกครั้งเมื่อเธอไปพบ แม่ของเธอมักจะนอนอยู่บนเตียงของเธอเสมอ 


    เหตุผลที่ทุกครั้งเมื่อไปหา แม่ของเธอมักจะมีท่าทีอ่อนแรงราวกับคนป่วย


    และเหตุผลที่ทุกครั้งเมื่อเธอโอ้อวดเวทมนตร์ แม่ของเธอก็มักจะกล่าวถึงโลกภายนอกอย่างกระตือรือร้น


    นั่นเป็นเพราะเธอไม่สามารถออกไปไหนได้...


    กรงขังเดียวที่เหนี่ยวรังเธอเอาไว้คือโรคร้าย... โรคร้ายซึ่งบังเอิญเกิดขึ้นหลังจากที่คลอดเธอออกมา โดยหลังจากที่ยื้อมาตลอด 11 ปีเธอก็ตรอมใจตาย 


    และเหตุผลที่พ่อไม่ชอบเมลาเนีย มันก็มาจากการที่เขาเชื่อว่าเธอคือตัวกาลกิณีที่จะนำพาภัยร้ายมาให้ เขาไม่เคยมองเธอเป็นลูกเลย เขาพร้อมจะดีดเธอออกไปให้ห่างจากชีวิตเสมอ ในขณะที่ปลูกฝังมาตลอด ว่าเธอคือคนที่ฆ่าแม่ของตัวเอง 


    จวบจนเธออายุ 15 ปี ในวิทยาลัยเวทมนตร์... ตัวเธอที่ใช้ชีวิตไปวันๆ พร้อมกับความรู้สึกผิดที่สุมอยู่เต็มอก คิดมาเสมอว่าตนเองสมควรตาย 


    เธอยังคงยึดมั่นอย่างแรงกล้าว่าตัวการซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคร้ายคือเธอ และโรคร้ายที่ว่านั่นคร่าชีวิตคนที่รักเธอและคนที่เธอรักมากที่สุดไป 


    โดยเหตุผลที่เธอคิดเช่นนี้ก็มาจากการปั่นประสาทของพ่อเธอเอง กระนั้นเธอก็ไม่เคยคิดว่าที่เขาพูดมันผิดเลยสักครั้ง...


    และดุจดั่งดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา... เมลาเนียไร้ซึ่งจุดมุ่งหมายในชีวิต เพราะแม้จะเรียนจนจบก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวมาคอยต้อนรับเธอ และแม้จะพยายามแทบตายก็ไม่มีคนที่คอยชื่นชมเธออีกแล้ว 


    สิ่งที่ตอกย้ำความจริงข้อนี้คือจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งส่งมาให้เธอหลังเรียนจบปีสาม...


    "เมลาเนีย อาทีลีน ถูกตัดสิทธิ์ออกจากกองมรดกของตระกูลดยุก อาทีลีน โดยจะถูกริบชื่อตระกูลคืนอย่างถาวร และจะไม่มีส่วนข้องเกี่ยวกับตระกูลอาทีลีนอีก"


    นับจากวันนั้นแม้แต่บิดาผู้ให้กำเนิดก็ไม่คิดจะนับเธอเป็นญาติอีกแล้ว... สิ่งที่เหลือทิ้งเอาไว้มีเพียงชื่อ เมลาเนีย ซึ่งถูกตั้งให้โดยมารดาผู้ล่วงลับ


    นั่นเป็นวินาทีเดียวที่เมลาเนียตระหนักได้ว่าเธอต้องการอะไร...


    ความตาย...


    เธอต้องการมัน... เพื่อให้ได้ไปพบกับแม่ของเธออีกครั้ง เพื่อให้สามารถหลุดพ้นจากชีวิตที่ไร้จุดหมายนี้ได้ และเพื่อให้บทบาทของตนในฐานะตัวนำพาหายนะจบลงเสียที 


    วันนั้นเธอจึงมุ่งหน้าไปทางเหนือสุดของราชอาณาจักร... โดยเธอเพียงเดินไปข้างหน้าจนกว่าจะพบเข้ากับความตายที่เธอคะนึงหา


    ตลอดเส้นทาง... แม้จะถูกหิมะกัดเซาะ แม้จะถูกอสูรโจมตี เธอที่ร่างกายสะบัดสะบอมเดินต่อไปแม้จะรู้สึกหิวโหย ภายในห้วงความคิดเธอเพียงนึกถึงแต่ถ้อยคำที่แม่ของเธอเคยกล่าวเอาไว้เมื่อครั้งหนึ่ง...


    “ที่แดนเหนือดูเหมือนจะมีเมืองลับแลอยู่ด้วยล่ะ อยากไปสักครั้งจังเลยนะ”


    เธอแค่อยากจะทำตามความฝันที่แม่ของเธอทำไม่สำเร็จ เพิ่มแม้เพียงสักข้อก็ยังดี... เธอพร้อมน้อมรับความตายแม้จะไปถึงแล้วพบแต่เพียงความว่างเปล่า 


    จนกระทั้งสติของเธอเริ่มหลุดลอย...


    “—นี่——...—!”


    ท่ามกลางหิมะที่กองพะเนิน ร่างของมนุษย์ปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ อย่างไรก็ตาม... สติของเธอมันไม่เหลือพอจะฟังคำพูดของมนุษย์คนนั้นอีกแล้ว...


    และนั่นคือวันแรก... ที่เธอได้พบกับชายที่ชื่อว่า เอ็ดวิน อาร์ฟอร์ด...


    และก็เป็นจุดเริ่มต้นของหญิงสาวที่ชื่อ เมลาเนีย อาร์ฟอร์ดเช่นกัน...



    ***

    『มุมมอง เมลาเนีย อาร์ฟอร์ด』



    “ยะ-ยินดีด้วยนะ!... กะ-เก่งมากเลยล่ะ!”


    ฉันไม่รู้ว่าคำพูดแบบนี้จะเพียงพอสำหรับความพยายามของวิลหรือเปล่า 


    ขณะนี้ฉันเต็มไปด้วยความรู้สึกประหม่าเมื่อพบว่าวิลที่พยายามอยู่ตลอดแต่ไร้พรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ สามารถเข้าเรียนในวิทยาลัยระดับทวีปได้จริงๆ 


    มันเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของฉันนอกเหนือจากการถูกท่านแม่ชมเลย...


    แน่นอนว่าตลอดการสอบ ฉันเต็มไปด้วยความกังวล... ฉันกลัวว่าวิลจะพลาดบาดเจ็บ หรือแม้กระทั้งกลัวว่าเขาจะเสียใจจนเกินไปหลังพบว่าตนสอบไม่ผ่าน 


    เมื่อวานฉันจึงคิดคำพูดมากมายเอาไว้สำหรับปลอบใจเขาโดยเฉพาะ แต่มันกลับไร้ค่าเมื่อพบว่าวิลดันสอบผ่านจริงๆ 


    ฉันอาจจะเป็นแม่ที่แย่ก็ได้ที่ดันคิดแต่คำปลอบใจลูก แทนที่จะคิดวิธีชมเขาให้มากกว่านี้


    สุดท้ายเพราะฉันไม่เก่งนักที่จะพูดด้วยความประหม่า ฉันจึงเผลอกล่าวชมแบบขอไปทีไปเสียได้ 


    ‘เขาจะรู้สึกแย่กับคำชมของแม่ที่ไม่ได้เรื่องแบบฉันหรือเปล่านะ?...’


    ภายในใจฉันรู้สึกกังวล


    อย่างไรก็ตาม...


    “อา...ขอบคุณที่มาเป็นกำลังใจให้ผมนะครับ~!”


    วิลตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม ราวกับรู้ดีว่าฉันกำลังวิตกกังวลอยู่ เขาพยายามยิ้มแบบเป็นกันเองเพื่อทำให้ฉันดึงสติกลับมาได้ 


    แต่มันก็ยากไปอยู่ดี...


    “จะ-จริงด้วย! ถ้าเรากลับไปที่เขตอาร์ฟอร์ด! ต้องป่าวประกาศแล้วแหละเนอะ!”


    ฉันจึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง เพื่อพยายามสงบอารมณ์ตัวเองให้ได้ แม้เสียงจะยังสั่นอยู่เล็กน้อยก็ตาม


    “อืมๆ! วิลของเราคือสุดยอดนักเวทย์ที่สอบเข้าเรียนในวิทยาลัยอันดับ 1 ของทวีปได้นี่นะ!”


    เอ็ดพลันกล่าวตอบรับฉัน... เขาคงทำเพราะเห็นฉันตัวสั่นอยู่แน่นอนเลย เขาช่างเป็นคนที่ใส่ใจฉันเสียจริงๆ...


    ทั้งวิลและเอ็ดต่างก็รักฉันมาก... นั่นเป็นสิ่งที่ฉันสัมผัสได้ 


    ในฐานะแม่และภรรยาที่ดี ฉันก็ควรจะกลับมาเป็นปกติสักที เพื่อตอบรับความใจดีที่พวกเขามีให้


    ฉันจึงเริ่มกล่าวได้แบบไม่ติดขัดอะไร...


    “คงจะ... มีงานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่แน่เลยเนอะ...!”


    “นั่นสินะ... เพราะนี่มันเป็นข่าวใหญ่เลยล่ะ! จะต้องมีของขวัญมากมายให้วิล! นอกจากนี้คงจะเต็มไปด้วยอาหารอร่อยๆ มากมายเลย!”


    ในวันนี้เอ็ดพูดเยอะเป็นพิเศษ... ดูเหมือนเขาจะอยากทำให้ฉันผ่อนคลายขึ้นกว่าเดิม... 


    ขณะเดียวกันฉันพลันคิดถึงชาวเมืองอาร์ฟอร์ดภายในใจ... เมื่อกลับไปแน่นอนว่าจะต้องมีการฉลองครั้งใหญ่ที่ชาวเมืองจัดให้วิลอย่างแน่นอน 


    เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อวิล... วิลเลี่ยม อาร์ฟอร์ด ลูกของฉันและเอ็ด


    ใช่แล้ว...


    “ทั้งหมดเพื่อวิล....ลูกของเรา!”


    “ใช่แล้ว... ลูกของเรา...”


    ในตอนนั้น... ท่านแม่จะรู้สึกภูมิใจในตัวฉันแบบนี้หรือเปล่านะ? 


    คงจะไม่... เพราะทุกสิ่งที่ฉันทำลงไปมันก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้สลักสำคัญอะไร ถ้าเทียบกับที่วิลทำมันก็แค่ละครป่าหี่ 


    และถ้าฉันทำได้แบบวิล ท่านพ่อก็คงจะยอมรับฉันและไม่ทอดทิ้งฉันไปแต่แรก...


    ‘...อา... ไม่หรอก...’


    พ่อจะไม่มีวันยอมรับฉันแม้จะเกิดมาพร้อมพรสวรรค์แต่กำเนิดก็ตาม... นั่นเป็นความจริงที่ฉันเองก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ 


    และในขณะเดียวกัน... ท่านแม่ก็ภูมิใจในตัวฉันเฉกเช่นฉันที่ภูมิใจในตัววิล 


    “ใช่แล้ว... นี่แหละลูกของเรา”


    เสียงของเอ็ดพร้อมกับมือที่สัมผัสที่หลังของฉันตอกย้ำความจริงว่าปัจจุบันฉันอยู่ในสถานะใด...


    ตำแหน่งของฉันคือแม่ของวิล ต่างจากท่านแม่แค่ปัจจุบันฉันไม่ได้ล้มป่วย มุมมองและอะไรหลายๆ อย่างที่ท่านแม่เคยมองมาที่ฉัน ปัจจุบันมันถูกส่งต่อไปที่วิล 


    ฉันดูเหมือน... จะเข้าใจมากยิ่งขึ้นแล้วว่าท่านแม่รักฉันมากแค่ไหน....


    ไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์... หรืออะไรที่ดูเวิ่นเว้อ เพราะมันไม่มีเหตุผลที่มากเพียงพออยู่แล้วสำหรับการที่ครอบครัวจะไม่รักลูกของตน


    และสำหรับท่านพ่อ... มันเป็นเพราะค่านิยมของโลกมันบิดเบี้ยวไปเองก็เท่านั้น ปัจจุบันฉันพิสูจน์ได้แล้วว่าตนเองไม่ใช่ตัวกาลกิณีที่นำพาความหายนะมาสู่ครอบครัว 


    พวกเราได้อยู่กันอย่างมีความสุขแม้จะแค่ในเขตเล็กๆ ก็ตาม แถมตอนนี้วิลก็ได้เข้าเรียนในสถานที่แสนสุดยอดแบบนี้....


    [ติ๋ง—!...]


    ฉันคิดว่าตัวเองเผลอร้องไห้ออกไป...


    ‘ทะ-ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะคิดว่าน้ำตามันไหลออกไปจนไม่เหลือแล้วซะอีก...’


    สัมผัสของหยดน้ำที่อาบรินแก้มทั้งสองข้าง เหมือนกับก่อนหน้า... มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความโศกเศร้า หากแต่เป็นน้ำตาแห่งความสุข...


    “นะ-นั่นสินะ... นี่คือวิล... ลูกของเรา... ลูกของเรามาโดยตลอด”


    สุดท้ายฉันจึงกล่าวออกไปพร้อมกับกอดร่างของวิลเอาไว้... ขณะเดียวกันเอ็ดก็พลันโอบร่างของฉันอย่างนุ่มนวล


    ‘ขอบคุณนะคะ....ท่านแม่...’


    คำชมที่ท่านแม่เคยกล่าวกับฉัน ในตอนนี้มันสามารถส่งต่อไปให้ลูกของฉันได้แล้ว...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×