คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : จักรวรรดิ
บทที่ 3 จักรวรรดิ
โลกใบนี้ถูกแบ่งแยกออกเป็นสี่ทวีป ประกอบด้วย ทวีปตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันออกเฉียงใต้ และในแต่ละทวีปก็จะมีประเทศอีกมากมาย
ตัวฉันเกิดและอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรที่ชื่อว่า 【ยุสเทร่า】เป็นเพียงประเทศเล็กๆ ในทวีปตะวันตกเฉียงเหนือ
และเนื่องจากอยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากเกินไปหน่อย จึงมีอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี... ยังไม่รวมเรื่องที่ว่าอาณาเขตของบารอนอาฟอร์ดอยู่ขอบประเทศอีก
มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเพาะปลูก ทั้งยังมีเส้นทางคมนาคมที่เลวร้าย ในระดับที่หากไม่ได้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ในการหลงทางก็ไม่มีวันมาถึงที่นี่ได้
อย่างไรก็ตาม... จักรวรรดิถือเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับยุสเทร่าอย่างสิ้นเชิง ด้วยอาณาเขตที่กินไปกว่าครึ่งของทวีป อีกทั้งยังอำนาจในด้านต่างๆ ที่จะครอบครองทั้งทวีปเมื่อใดก็ได้
หากไม่ได้มีทวีปทั้งสี่คอยถ่วงดุลอำนาจ ประเทศเล็กๆ ในทวีปนี้ก็คงไม่วายกลายเป็นซากปรักหักพัง ด้วยฝีมือของจักรวรรดิ 【อิกดราเซีย】
“นะ-แน่ใจเหรอ...วิล?”
“ระ-เรากลับตอนนี้ยังทันนะวิล!”
เสียงของพ่อและแม่ฟังดูลนลาน ขณะที่ลากกระเป๋าเดินทางด้วยมือที่สั่นเทา
ปัจจุบัน... พวกเราอยู่ที่จักรวรรดิในฐานะผู้ขอยื่นสิทธิ์เข้าสมัครเป็นนักศึกษาเวทมนตร์
การทำเรื่องเพื่อขอเข้ามาในจักรวรรดินั้นยุ่งยากเกินบรรยาย มันกินเวลาไปหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ และในท้ายที่สุดพวกเราก็มาถึงจนได้...
"จักรวรรดิอิกดราเซีย"
[ตึก ตัก!]
เสียงหัวใจของฉันดังจนน่ากลัว เฉกเช่นคนบ้านนอกที่พึ่งเคยเข้ากรุง ทั้งฉันและครอบครัว(ยกเว้นน้องชาย)ต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นกันทั้งสิ้น
“ตะ-ตึก...ตึกเต็มไปหมดเลยล่ะคุณคะ!”
แม่ของฉันจ้องมองไปรอบๆ พลันกล่าวออกมา...
“อะ-อ่า...แม้แต่ร้านอาหารยังหรูหราเสียยิ่งกว่าบ้านของเราเสียอีก!”
ถัดมาเป็นคราวพ่อที่กล่าว...
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่อดไม่ได้ที่จะชื่นชมจริงๆ ด้วยความเจริญที่ต่างกันเช่นนี้... หากเปรียบจักรวรรดิเป็นเพชรเม็ดโต ถิ่นเกิดของฉันก็เป็นได้เพียงเม็ดฝุ่น
แต่ธุระของพวกเราไม่ใช่การชื่นชมจักรวรรดิ... แต่เป็นวิทยาลัยเวทมนตร์ลำดับหนึ่งของทวีป 【อาร์ชฟิลด์】ต่างหาก
อย่างไรก็ตาม... ด้วยเกณฑ์การคัดเลือกผู้สมัครที่โหดร้ายทารุณ ไม่มีทางที่ฉันซึ่งมีพลังเวทย์สีเขียวจะสามารถผ่านการสอบได้
ทั้งนี้น่าจะโดนปัดตกไปตั้งแต่ขอรับสิทธิ์เข้าสมัครแล้วด้วยซ้ำ
แต่ในโชคร้ายก็ยังพอมีโชคดีอยู่บ้าง... เพราะจำนวน 【พรสวรรค์】ของฉันคือสอง
พรสวรรค์มันเป็นสิ่งที่ฉันได้รับตั้งแต่ที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ฉันเชื่อมาเสมอว่ามันคือของขวัญที่พระเจ้ามอบมาให้
ทว่า... มันกลับเป็นเพียงขยะที่ไร้ค่าและนำไปใช้จริงไม่ได้...
พรสวรรค์แรกคือทักษะของพวกชอบโกหกชาวบ้าน ในขณะที่พรสวรรค์ที่สองไม่มีแม้แต่วิธีใช้งานมัน
ตลอดหลายปีที่เกิดมาฉันตั้งความหวังกับพรสวรรค์ที่สองเอาไว้มาก แต่จนป่านนี้เมื่อยังไม่เห็นวี่แววฉันก็เลิกคิดที่จะฝันลมๆ แล้งๆ แล้ว
ท้ายที่สุดฉันจึงใช้จำนวนพรสวรรค์หาใช่ความสามารถของพรสวรรค์ในการยื่นขอรับสิทธิ์สมัครเรียนและก็ผ่านมาได้...
‘แต่หลังจากนี้... คงต้องพึ่งแกแล้ว...’
『MOMUZ OF PRETENDING』
ตามชื่อของมัน... ฉันสามารถใช้สิ่งที่เรียกว่าการเสแสร้งได้ และนี่แหละจะเป็นกุญแจในการสอบผ่านของฉัน...
***
สนามสอบ A วิทยาลัยเวทมนตร์ อาร์ชฟิลด์
ลำดับแรกคือการกรอกข้อมูลลงในใบสมัคร และหลังจากนี้ไปครอบครัวของฉันทำได้เพียงรออยู่ที่สนามกลางของวิทยาลัย โดยที่สนามดังกล่าวจะมีการถ่ายทอดสดภาพการสอบ ผ่านเวทมนตร์เรือนกระจกที่ฉันใช้ไม่เป็น...
ตอนนี้ฉันมีทางเลือกแค่ต้องเต็มที่กับทุกสิ่งที่จะเผชิญในอนาคต เพราะฉันก้าวมาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับแล้ว
“พะ-พรสวรรค์คู่แต่กำเนิด!?”
พนักงานที่รับใบข้อมูลของฉันตาค้างไปพักหนึ่ง ก่อนที่ไม่นานนักเขาจะได้สติกลับคืนมาพร้อมกล่าวขอโทษ
“ขะ-ขอประทานโทษครับ!...นะ-นี่คือกำไลเวทมนตร์สำหรับผู้สมัคร มันสามารถช่วยให้ผู้สมัครรอดชีวิตในยามคับขันได้ เพราะแบบนั้นโปรดสวมใส่เอาไว้ตลอดเวลาด้วยนะครับ”
เขายื่นกำไลสีเขียวมรกตมาให้ฉัน ก่อนจะกล่าวต่อ
“และนี่คือบัตรผู้เข้าสมัครครับ! ขอให้รักษามันเยี่ยงชีพ เพราะหากทำหายท่านจะหมดสิทธิ์ในฐานะผู้เข้าสมัครทันทีครับ!”
ถัดมาเป็นบัตรสีขาวที่มีข้อมูลส่วนตัวของฉันอยู่เต็มเปี่ยม ฉันรีบรับมันก่อนจะเดินไปยังสนามสอบถัดไป...
สนามสอบ B วิทยาลัยฯ อาร์ชฟิลด์
ฉันเดินเข้ามาภายในห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยผู้สมัครเฉกเช่นเดียวกับฉัน สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนจุดเตรียมความพร้อมของผู้สมัคร
เนื่องจากการสอบจะเริ่มพร้อมกันในอีกสามสิบนาทีถัดจากนี้ ฉันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรอ
อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปเพียงสิบนาที...
“นะ-นี่นาย... มีพลังเวทย์สีเขียวไม่ใช่เหรอไง?”
ชายผมสีส้มกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูไม่เชื่อใจในตนเอง ขณะที่ดวงตาสีม่วงราวกับอเมทิสต์จ้องเขม็งมาที่ใบหน้าของฉัน...
‘อ่า... แย่ละ’
ดูเหมือนว่าฉันจะถูกจับได้เรื่องพลังเวทย์อันแสนขยะเปียกแล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นฉันก็ยังคงหน้าหนาและตัดสินใจที่จะนิ่งเงียบ
“...ไม่สิ...ไม่มีทางที่อาร์สฟิลด์จะรับสมัครคนที่ระดับพลังเวทย์ต่ำกว่าสีฟ้านี่นา...นี่ฉันพลาดอะไรไปหรือเปล่า?”
เขาถามด้วยสีหน้าสับสน... มันทำเอาฉันมึนงงไปด้วย เมื่อจู่ๆ ก็มีคนแปลกๆ เข้ามาทัก แถมคนแปลกๆ ยังจับได้ว่าฉันอ่อนแอแต่ก็กลับไม่เชื่อใจในตนเอง อีกทั้งยังถามฉันกลับมาอีกว่ามันเกิดอะไรขึ้น...
‘เจ้านี่....แค่คนโง่ไม่ใช่หรือไง?’
หลังจากผ่านการตีความฉันจึงได้ข้อสรุปว่าชายคนนี้เป็นเพียง "คนโง่คนนึง" เท่านั้น
“คงจะเป็นความลับสินะ แต่ไม่เป็นไร... ฉันจะหาทางทำให้นายเปิดปากเอง ไว้เจอกันในสนามสอบล่ะ!”
และหลังจากที่คนโง่ที่ว่าคุยคนเดียวไปสักพัก ท้ายที่สุดเขาก็เดินจากไปเองโดยที่ฉันทำเพียงแค่ยืนเฉยๆ
‘รอดแล้วแฮะ?...’
แต่ราวกับยกภูเขาออกจากอก... ต้องขอบคุณที่ชายคนนั้นสมองน้อย ฉันจึงหลุดจากข้อสงสัยด้านพลังเวทย์มาได้อย่างฉิวเฉียด
อย่างไรก็ตาม... คนที่มองพลังเวทย์ของฉันออกในพริบตานั้นอันตรายเกินไป ฉันไม่รู้ว่าจะมีคนแบบหมอนั่นอีกมากแค่ไหนในการสอบ
‘เราควรหลีกเลี่ยงผู้สมัครคนอื่นให้ได้มากที่สุด... แต่ปัญหาคือเรายังไม่รู้ข้อมูลของสนามสอบถัดไปเลย’
หากเปิดออกมาเป็นการประลองหนึ่งต่อหนึ่ง สิ่งที่ฉันต้องการก็จะกลายเป็นหมันในทันที...
‘ถึงจุดนี้คงทำได้แค่ภาวนาแล้วล่ะ...”
สนามสอบ C วิทยาลัยฯ อาร์ชฟิลด์
ป่าล่ะ...
รู้สึกตัวอีกทีสภาพแวดล้อมตรงหน้าก็ถูกสับเปลี่ยนเป็นป่ารกทึบไปเสียแล้ว
『จุดมุ่งหมายในการสอบ เอาชีวิตรอด เวลาคงเหลือ 7 ชั่วโมง 59 นาที 56 วินาที』
ต้องขอบคุณหน้าต่างสถานะที่ช่วยอธิบายแนวทางในการผ่านการสอบมาให้ และสำหรับฉันแล้ว....
‘นี่มัน... โคตรจะเข้าทางเลยไม่ใช่หรือไง?’
หากเป็นการสอบเอาชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมแบบนี้ล่ะก็ ฉันมั่นใจในตัวเองแทบจะเต็มร้อยเลย
และในฐานะคนที่อาศัยอยู่ในเขตการปกครองที่เลวร้าย แถมยังดวงซวยมาตลอดชีวิต...
‘มาผ่านการสอบนี่กันเถอะ...’
ฉันคิดเช่นนั้นด้วยความมั่นใจอันเต็มเปี่ยม เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่โชคชะตาเข้าข้างฉัน...
***
บนโต๊ะกระจกทรงกลมที่เอกสารนับร้อยแผ่นถูกวางเรียงเป็นระเบียบ
โซฟาถูกวางประกบทางด้านขวาและซ้ายของโต๊ะ พร้อมกับชายหนุ่มและชายชราที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน
“พรสวรรค์คู่แต่กำเนิด ในขณะที่อัตราการเกิดของผู้มีพรสวรรค์มีเพียงหนึ่งในหมื่นเนี้ยนะ...”
ชายสวมแว่นตาทรงสีเหลี่ยมกล่าวขึ้นพลางจับจ้องไปยังแผ่นกระดาษในมือ
ผมสีขาวนวลราวกับขนของห่านและดวงตาสีทองที่กำลังสั่นไหวด้วยความตกตะลึง
รองศาสตราจารย์ใหญ่แห่งวิทยาลัยลำดับหนึ่งของทวีป 『ลูเบีย อังโกรเน่』ไม่สามารถแม้แต่จะกระพริบตาของเขาได้...
“มันฟังเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อก็จริง แต่เจ้าเองก็รู้ดีว่ากระดาษเวทมนตร์แผ่นนี้ ไม่สามารถเขียนสิ่งที่ไม่เป็นความจริงลงไปได้...”
ชายชรากล่าวตอบรองศาสตราจารย์ฯ เพื่อตอกย้ำข้อเท็จจริง...
“ปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้นแล้ว... ที่วิทยาลัยของเรา...”
แม้แต่ศาสตราจารย์ใหญ่แห่งวิทยาลัยลำดับหนึ่งของทวีป 『แอทลาส ฮามิลตัน』ก็เรียกมันว่าเป็นปาฏิหาริย์
“ตะ-แต่นี่มันน่าเสียดายไม่ใช่เหรอครับ... ก็ระดับพลังเวทย์ของเขาเป็นเพียงระดับสีเขียวเท่านั้นเอง”
ลูเบียรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยหลังจากกล่าวเช่นนั้น แน่นอนว่าพรสวรรค์ของเด็กหนุ่มคือสิ่งที่ยอมรับได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร... ความแตกต่างของพลังเวทย์นั้นเป็นกฎเกณฑ์ของโลก ซึ่งแม้แต่ลูเบียก็ยังต้องเคารพมัน
ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มก็ยังไม่ใช่ปาฏิหาริย์ที่แท้จริง ไม่ว่าจะมีดีแค่ไหนโลกทั้งใบก็จะบดขยี้เขาด้วยจำนวนพลังเวทย์อยู่ดี
“ท้ายที่สุดเขาก็เป็นได้แค่ผ้าขี้ริ้วห่อทอง...เท่านั้นแหละครับ”
เมื่อสิ้นประโยคของลูเบีย... ศาสตราจารย์ฯ แอทลาสพลันเปิดปากกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจที่ข้าจะสื่อนะลูเบีย...”
“ปาฏิหาริย์น่ะคือสิ่งที่ท้าทายชะตาของโลก... สิ่งที่เป็นชะตาล้วนแล้วต้องสยบลงต่อหน้าปาฏิหาริย์”
“หากเจ้ากำลังคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นเพียงผ้าขี้ริ้วห่อทอง... ข้าก็คงจะต้องสอนเจ้าเรื่องการดูผู้คนใหม่ตั้งแต่ต้น”
ลูเบียพลันชะงักไปสักพักก่อนจะตอบกลับไป
“...ข้ายังมีวิสัยทัศน์ที่แคบนักขอประทานอภัยด้วยครับ!”
“เจ้ารู้จักชื่อของพรสวรรค์เหล่านี้หรือเปล่าล่ะ?”
แอทลาสไม่สนใจคำขอโทษของลูเบียเลยแม้แต่น้อย พลางมุ่งประเด็นไปยังรายชื่อพรสวรรค์ของเด็กหนุ่ม...
“มะ-ไม่เลยครับ...!”
“แล้วเจ้ารู้สึกยังไงกับชื่อเหล่านี้?”
“นั่นมัน...”
ลูเบียตระหนักคิดอยู่สักพัก ก่อนจะได้คำตอบออกมา
“ชื่อแรกให้ความรู้สึกที่พิศวง ในขณะที่ชื่อที่สอง....อัดแน่นไปด้วยพลังงานที่น่าขนลุก”
หลังได้ฟังคำตอบ แอทลาสทำเพียงแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย...
ความคิดเห็น