ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    นักเวทย์ไร้ค่าท้าชะตาวิทยาลัยเวทมนตร์

    ลำดับตอนที่ #1 : จุดจบ

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ค. 67


    บทที่ 1 จุดจบ


    ณ สนามหญ้าของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง


    “ไว้เจอกันพรุ่งนี้ล่ะ—!” 

    คำที่เพื่อนสนิทมักจะพูดกับฉันหลังจากที่พวกเราเตะบอลหลังเลิกเรียนเสร็จ นี่คงจะเป็นคำที่ไม่ว่าใครก็คงจะเคยได้ยินสักครั้งหนึ่งในชีวิต มันเป็นคำที่ผู้พูดกล่าวออกมาโดยมีความหวังว่าจะได้พบกับผู้ฟังอีกในวันถัดไป


    “อ่า ถึงบ้านแล้วส่งงานคณิตฯ ให้ลอกด้วยล่ะ”


    และนั่นเป็นที่คำพูดที่ตัวฉันได้ตอบกลับเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวตั้งแต่สมัย ม.ต้น แต่ใครจะไปคิดว่านี่จะเป็นวันสุดท้ายที่ตัวฉันจะได้ตอบกลับไปแบบนี้กันล่ะ…


    [ตึก ตึก ตึก]


    บนฟุตบาทริมถนนใต้ทางรถไฟฟ้าช่วง 5 โมงเย็น เด็กหนุ่มสูงราว 170 ซม. ในชุดพละของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งกำลังเดินกลับบ้านตามปกติ เหมือนกับที่ทำเป็นประจำในทุกๆวัน


    [ปี๊บๆ ปี๊บๆ]


    เสียงแตรรถที่ดังมาจากทั่วสารทิศ อันเป็นปกติของถนนในเมืองหลวง ไหนจะเสียงเร่งเครื่องของรถแต่งท่อที่กำลังรอไฟเขียว หรือจะเป็นผู้คนที่เดินเพ่นพ่านสวนกันบนทางเท้า ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องธรรมดาที่เจอได้ทุกวัน วันนี้ก็เป็นเพียงวันธรรมดาอีกวันนึงเท่านั้น


    ‘กลับบ้านไปจะมีอะไรกินไหมนะ?’


    ตัวฉันพลางคิดขึ้นมาในใจระหว่างเดินกลับบ้านเพราะโดยปกติแม่ของฉันมักจะไม่ค่อยทำอาหาร ด้วยเหตุนี้เองฉันเลยต้องซื้อกับข้าวเข้าไปที่บ้านบ่อยๆ


    ‘โทรไปถามแม่ดีกว่าแฮะ’


    ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือสภาพใกล้ขิตขึ้นมาแล้วกดโทรออก


    [ตื้ดด—~ ตื้ดด—~]


    ระหว่างที่เสียงรอสายกำลังดังอยู่นั้นเองวัตถุขนาดใหญ่พร้อมกับไฟส่องจ้าพุ่งเข้ามาที่ตัวอย่างฉับพลันพร้อมกับเสียงแตรที่ถูกบีบมาแต่ไกล


    [ปี๊บบบบบบๆๆๆ]


    มันก็คือ "รถบรรทุก" เจ้าเก่าเจ้าเดิมที่มักจะพบได้บ่อยในนวนิยายต่างโลก เป็นสาเหตุการตายสุดเบสิคเพราะด้วยขนาดและความเร็วที่พุ่งเข้ามา มันสามารถรับประกันความตายของฉันได้


    [เอี๊ยดดดด—!]


    ตัวฉันที่ไม่ทันได้ตั้งตัวรู้ตัวอีกทีก็ขาตายขยับไปไหนไม่ทันแล้ว ถึงแม้รถนั่นจะพยายามเบรกสุดแรงแค่ไหน แต่ด้วยระยะห่างที่แคบขนาดนี้ยังไงฉันก็ไม่มีหวังแล้ว


    ‘นี่มันจะเป็นวาระสุดท้ายในชีวิตของฉันจริงๆ เหรอวะ?’


    ‘ชีวิตนี้ยังไม่ทันจะหาแฟนได้เหมือนกับชาวบ้านเขาเลยนะ!’


    ‘แล้วนอกจากนี้แม่ของฉันล่ะ? แล้วไอ้พวกเพื่อนเวรนั่น! ไหนจะชีวิตในอนาคตของฉันอีก?....’


    มาคิดเอาตอนนี้ฉันก็รู้สึกเสียดายที่ตนเองยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ และยังมีเรื่องมากมายค้างคา แน่นอนว่าแม้จะคิดไปมากมายเท่าไหร่มันก็ไม่มีค่าอีกแล้ว...


    [ตู้มมมมม—!!]


    ร่างของฉันถูกน้ำหนักของรถบีบอัดอย่างรุนแรงจนแหลกละเอียด แต่โชคดีที่รถนั่นพุ่งมาด้วยความเร็วที่มากพอจะคร่าชีวิตได้ในพริบตา ฉันจึงแทบไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย....


    ***


    รู้ตัวอีกทีความรู้สึกตอนนี้ก็เหมือนลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ มองไปทางใดก็พบแต่เพียงความมืดมิดสุดลูกหูลูกตาเท่านั้น 


    ‘ที่นี่...ที่ไหน?...’


    ฉันที่ยังไม่ได้สตินักพลันคิดเช่นนั้นขึ้นมา ก่อนจะตระหนักได้ทีหลังว่าตัวฉันได้ตายลงไปแล้ว...


    ‘อ่า...นี่เราตายแล้วสินะ’


    น่าแปลกใจที่ฉันยังคงใจเย็นอยู่ได้ แม้ในสถานการณ์ปัจจุบัน... 


    ฉันพลางคิดถึงหน้าของแม่ที่รอฉันกลับบ้าน หรือจะเป็นเพื่อนสนิทที่จะไม่ได้เจอกันอีกในวันถัดไป ตลอดจนอะไรหลายๆ อย่าง...แม้มันจะดูน่าเศร้าแต่ฉันกลับไม่รู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาเลย


    หลังจากคิดได้ไม่นานนักฉันจึงรีบส่ายหัวสลัดความฟุ้งซ่านในจิตใจ ก่อนจะหันกลับมามองในปัจจุบัน ฉันไม่รู้ว่าควรให้คำนิยามกับสถานที่สีดำสนิทนี้ว่าอะไรดี


    ‘...จะเรียกว่านรกหรือสวรรค์ได้หรือเปล่านะ?’


    แต่เพราะตามความเชื่อของศาสนาที่ฉันนับถือแล้ว ไม่มีคำกล่าวใดที่สื่อถึงความมืดมิดอันไพศาลเช่นนี้ อย่างไรก็ตามใช่ว่าฉันจะอธิบายมันไม่ออก


    แม้จะเงียบเหงาแต่ก็เบาสบาย... จะบอกว่าเป็นนรกหรือสวรรค์ในขณะเดียวกันก็มิปาน นั่นคือถ้อยคำที่พอจะอุปลักษณ์ความรู้สึกของฉันที่ลอยเคว้งในพื้นที่แบบนี้ได้


    [ฟแว้ววว]


    ไม่ทันไรเสียงแปลกๆ ก็ดังขึ้นมาท่ามกลางความมืด มันเป็นเสียงดังสนั่นราวกับรถไฟที่แล่นด้วยความเร็วสูง กระทั้งผ่านไปสักพัก เสียงแหบซ่านที่ฟังดูไม่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมาในหัว...


    หลับตาเสียสิ.. 


    ใครกัน?


    “———!?”


    ในตอนที่ตระหนักได้เช่นนั้นเสียงของฉันกลับไม่เปล่งออกไป ดูเหมือนในพื้นที่เช่นนี้ฉันจะไม่สามารถพูดออกไปได้ และด้วยเหตุนั้นฉันในตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำตาม....


    ฉันหลับตาลงช้าๆ มันไม่ต่างจากภาพก่อนหน้าเลย ฉันสัมผัสได้แต่เพียงความมืดมิดเป็นความมืดที่แสนเงียบสงัด


    จนกระทั้งเสียงนั่นดังขึ้นอีกครั้ง


    ค่อยๆ ลืมตาล่ะ”


    ฉันเต็มไปด้วยความสงสัยในตัวตนของเสียงนั่น แต่ถึงแบบนั้นฉันก็ทำตามที่เขากล่าว ฉันเปิดเปลือกตาอย่างช้าๆ ก่อนจะกระพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับโฟกัสให้กับตัวเอง


    และภาพที่ฉันเห็น… คือท้องฟ้าสีคราม ผิดไปจากความมืดมิดก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง ที่หลังของฉันยังสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มซึ่งมีสัมผัสที่ดียิ่งกว่าเตียงนอนราคาถูกที่บ้านเสียอีก


    ยินดีต้อนรับ มนุษย์ผู้โชคร้ายเอ๋ย” 


    ก่อนที่เสียงนั่นจะดังขึ้นอีกครั้ง ฉันค่อยๆ ดันตัวเองขึ้นมา และพบว่าฉันยังคงสวมชุดพละอยู่ น่าแปลกที่มันไม่มีรอยฉีกขาด หรือว่าคราบเลือดจากการถูกรถบรรทุกชนเลยแม้แต่น้อย


    เมื่อมองไปตรงหน้าก็ปรากฏเป็นชายชราผมหงอก สวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์พร้อมกับหนวดเคราที่ยาวถึงบริเวณหน้าอก กำลังลอยอยู่เหนือจุดที่ฉันอยู่ 


    และพอกรอกตามองซ้ายขวา ก็ได้เห็นทะเลหมอกสีขาวที่ไกลสุดลูกหูลูกตา และที่มาของสัมผัสอันอ่อนนุ่มก่อนหน้า มันคือก้อนเมฆสีขาวราวกับปุยนุ่นซึ่งรองรับร่างของฉันเอาไว้


    จากสภาพแวดล้อมทั้งหมดมันพาลเอาฉันเริ่มคิดว่าสถานที่นี้คล้ายกับ...


    ...สวรรค์งั้นเหรอครับ?


    ฉันจึงหลุดปากถามไปด้วยความสุภาพ ทั้งยังกล่าวต่อไปอีก


    “แล้ว...คุณ...คือพระเจ้าใช่หรือเปล่าครับ?


    แม้จะฟังดูคิดไปเองอยู่ฝ่ายเดียวแต่ชายชราก็มิได้ตอบปฏิเสธกลับมาอย่างทันควัน เขาเพียงลูบเคราที่ยาวเฟื้อยอย่างนุ่มนวล


    ใช่แล้วล่ะ...ข้าคือพระเจ้า” 


    ชายชราตอบรับด้วยน้ำเสียงที่ลุ่มลึก ก่อนจะกล่าวต่อ...


    และที่นี่เป็นเพียงที่พำนักของข้า แต่ตามความเข้าใจของมนุษย์เช่นเจ้าจะเรียกว่าสวรรค์ก็คงไม่ผิดนักหรอก


    เขาขจัดความสงสัยในใจของฉันอย่างหมดจด... อย่างไรก็ตาม


    ‘อา...ทำไมเราถึ—’


    “กรณีของเจ้า....ถือว่าพิเศษนิดหน่อยล่ะนะ”


    ไม่ทันที่ฉันจะได้คิดชายชราหรือพระเจ้าก็ได้กล่าวออกมาเสียก่อน แน่นอนว่านั่นเป็นข้อสงสัยถัดมาของฉัน 


    เนื่องจากฉันไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นคนที่ดีเด่อะไร กลับได้ขึ้นมาบนสวรรค์และพบกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นๆ จะได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกับฉันหรือเปล่าจึงตัดสินใจจะถามออกไป ถึงกระนั้นพระเจ้าก็ได้ตอบกลับมาเสียก่อน 


    ‘คงจะอ่านใจเราได้สินะ...’


    ไม่แปลกใจหากสิ่งที่เรียกตนเองว่าพระเจ้าจะทำอะไรเช่นนี้ได้ แต่เรื่องเหนือสามัญสำนึกแบบนี้ก็ทำเอาฉันขนลุกอยู่เหมือนกัน...


    “กรณีที่ว่า...คือความไม่เสถียรของวิญญาณ”


    “ความไม่เสถียรของวิญญาณ เอาตามที่เจ้าจะเข้าใจได้โดยง่าย คือวิญญาณของเจ้าไม่เหมาะกับโลกใบนี้ทำให้เกิดอาเพศมากมายต่อตัวเจ้า ผลลัพธ์ที่ได้คือความโชคร้ายตลอดชีวิต”


    “ครั้งนี้หนักเป็นพิเศษเพราะมันทำให้กายหยาบของเจ้าสิ้นอายุไข”


    พระเจ้ากล่าวโดยไม่เปิดช่องว่างให้ฉันถาม แต่ขณะเดียวกันคำพูดของเขาทั้งหมดก็เป็นการตอบคำถามของฉันไปในตัว 


    “และข้าไม่มีทางเลือก... เนื่องจากแม้ว่าจะพาเจ้ากลับไปที่โลกได้ แต่อาเพศจะยังคงไม่ถูกลบล้าง”


    “เจ้าควรจะทำใจและตัดขาดจากโลกก่อนหน้าเสียเถอะ...”


    จนมาถึงตอนนี้... พระเจ้าเว้นช่วงให้ฉันได้กล่าวตอบโต้ ราวกับเขาอยากให้ฉันระบายความรู้สึกออกไป 


    ความรู้สึกที่จะไม่ได้พบหน้าคนที่รัก คนที่สนิท หรือคนที่เกลียด... แน่นอนว่ามันเป็นความรู้สึกที่อึดอัดในใจ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรเอาไปลงกับใคร 


    ท้ายที่สุดฉันจึงทำเพียงอยู่เงียบๆ และรอฟังคำถัดไปจากปากของเขา... 


    “เจ้า...เป็นเด็กที่เสแสร้งเก่งกว่าที่ข้าคิด ตลอดชีวิตของเจ้าคงจะทำเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่มันไม่มีทางหลอกสายตาของข้าได้หรอก...”


    “เจ้ากำลังโกรธอยู่... ทั้งยังเสียใจอย่างสุดซึ้ง”


    พระเจ้ากล่าวอย่างมั่นใจขณะจ้องมองลงมาที่ฉัน สายตาของเขายังคงเรียบเฉย 


    “ไม่ต้องเป็นห่วงไป... แม่ของเจ้าจะดูแลตัวเองได้แม้เจ้าจะตายไปแล้วก็ตาม ส่วนเพื่อนของเจ้าก็มีชีวิตที่รุ่งโรจน์ในอนาคต ทั้งคนที่เจ้ารักก็มีความสุขดีเช่นกัน...”


    เป็นพระเจ้าที่รู้ได้ทุกเรื่องจริงๆ... ฉันไม่สามารถปิดบังอะไรต่อหน้าเขาได้เลย ชั่วพริบตาที่ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของฉัน ชายชราก็จะชิงตอบในทันที...


    แต่ถึงแม้พระเจ้าจะบอกว่าพวกเขาจะอยู่กันได้อย่างสุขสบาย ฉันก็ยังคงอาลัยอาวรณ์... อาลัยอาวรณ์กับโลกที่ฉันใช้ชีวิตมาสิบกว่าปี โลกที่ฉันยังคงอยู่ได้เพียงกรอบแคบๆ ที่ชื่อว่าสถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษา 


    ฉันยังไม่เคยมีความรัก... ไม่เคยได้เรียนรู้ถึงความรู้สึกของผู้ใหญ่ ไม่เคยได้ตอบแทนบุญคุณคนที่ห่วงใยฉันมากที่สุดในโลก... และยังมีอีกมาก


    และเพราะแบบนั้นเอง...


    ‘ถ้าอ่านใจกันได้...คุณก็คงจะรู้ว่าผมต้องการอะไรสินะ...’


    ฉันคิดขึ้นและในขณะเดียวกันนี่ก็ถือว่าเป็นการสื่อสารกับพระเจ้าในทางหนึ่ง ชายชราจ้องมองฉันชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้า


    “...เจ้าอยากใช้ชีวิตแบบนั้นเองรึ”


    เขากล่าวอย่างใจเย็น ราวกับสิ่งที่ฉันต้องการเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย


    “... ถ้านั่นเป็นความปรารถนาของเจ้า ข้าก็จะทำให้มันเป็นจริง...”


    เขาร่อนตัวลงมายังก้อนเมฆของฉัน ก่อนจะกางมือออกแล้วยื่นมาทางฉัน 


    “ขอให้โชคชะตาสถิตย์กับเจ้าในชาติหน้า...”


    ท่ามกลางวิมานแห่งเมฆหมอก แสงสีทองสว่างจ้าพุ่งแหวกขึ้นไปเหนือฟากฟ้า เสียงของพระเจ้ายังคงไม่ดับลง 


    “จากนี้ไปเจ้าจะอยู่ในการดูแลของเอกเทพี นี่เป็นของขวัญสุดท้ายที่ข้าจะมอบให้เจ้าได้...”


    『 ได้รับ "หน้าต่างสถานะ" 』


    สิ้นคำของพระเจ้าหน้าต่างสีฟ้าใสพลันปรากฏอยู่ตรงหน้าของฉัน พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นในหัว...


    ฉันจับจ้องไปยังรายละเอียดในนั้น แต่ก็ถูกรบกวนด้วยแสงที่สว่างจนเกินไปจากอุ้งมือของชายชรา ท้ายที่สุดฉันจึงมิอาจมองเห็นแม้เพียงตัวอักศรเดียวในหน้าต่าง 


    “สุดท้ายนี้... หากเจ้าได้พบกับหล่อน...”


    “อย่าได้เชื่อคำลวงของเธอเด็ดขาด”


    ก่อนที่สติของฉันจะเริ่มพร่ามัว... ความรู้สึกวิงเวียนศรีษะทำให้ฉันจับใจความคำพูดถัดไปจากปากของพระเจ้าไม่ได้อีก 


    ผลสุดท้ายสติของฉันก็ตกลงสู่ความมืดมิด....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×