ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : กลับบ้าน
7 Oct 2005
Dear diary,
รัตติกาลผันผ่านคืบคลานเคลื่อน        ไร้แสงเดือนสิ้นแสงดาวพรมพราวพร่าง
เหลือเพียงเหงาเศร้าสะท้อนอยู่มิจาง        อุษาสางเพียงรอขอเธอคืน
การรอยคอย คือเรื่องหนึ่งที่ทรมานที่สุด ความทรมานที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่แทบกระอักตายเพราะความกรวะนกระวาย ใครคิดว่าไม่จริงล่ะก็ ขอให้ลองคิดถึงใครสักคนนานๆเข้าสักอาทิตย์โดยที่ไม่สามารถติดต่อไปได้สิ อ้อ แต่ความจริงแล้ว ถ้าหากเป็นธุระด่วน หรือสำคัญมากๆ แค่เพียงรอโทรศัพท์ให้โทรกลับ แล้วโทรมาช้าสักนาที 2 นาทีสิ แค่นี้ก็แทบจะคลั่งแล้ว และแน่นอนฉันก็คือคนหนึ่งในค่ำคืนที่สายฝนโปรยลงมาซึ่งกำลังจะบ้าตาย!!
เที่ยงคืนผ่านไปแล้ว โดยไร้การติดต่อ การนอนหลับคงเป็นวิธีพักผ่อนที่ดีที่สุด และนี่เองที่สอนให้ฉันได้รู้ว่าการนอนหลับคือเหตุผลของการทรมานตัวเองอย่างหนึ่งของคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับ อาการสะดุ้งตื่นเป็นครั้งแรกเมื่อนาฬิกาเดินถึงตี 1 และแน่นอนเมื่อตื่นขึ้น สิ่งแรกที่หยิบขึ้นมาคือโทรศัพท์มือถือ ไม่รู้หรอกนะว่ามันเป็นกรรมเวรหรืออะไรที่ทำให้นาฬิกาบนผนังห้องมันมาถ่านหมดเอาซะตอนนี้ ฉันจึงจำเป็นต้องดูเวลาผ่านหน้าจอไอ้เครื่องที่แทบจะนอนกอดมันมาตลอดอาทิตย์ และเมื่อหน้าจอสว่างวาบขึ้นให้เห็นตัวเลข มันก็ปรากฏจอสะอาดตาว่างเปล่าปราศจากข้อมูลที่บ่งบอกถึงการโทรเข้า เห็นแล้วก็เอามันซุกไว้ลึกๆใต้หมอนเพราะไม่อยากเจอก่อนที่จะหลับตาลงนอนอีกครั้ง
อาการสะดุ้งเกิดขึ้นอีกครั้งตอนตี 2 ฉันลืมตาตื่นขึ้นก่อนที่จะพยายามค้นหามือถือตัวดี ที่ตัวเองแอบเอามันซุกไว้ที่ไหนซักที่บนเตียง และในที่สุดเมื่อหมดความพยายาม ฉันจึงต้องคว้าโทรศัพท์หัวเตียงขึ้นโทรเข้าเพื่อที่จะหามัน แล้วนี่ทำไมฉันถึงได้เพี้ยนกับเพ้อได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้
นาฬิกาบนโทรศัพท์บอกเวลาตี 2 อาการนอนไม่หลับออกฤทธิ์อีกครั้งพร้อมๆกับอาการประสาท
\'หรือว่าจะลืม!\'
ฉันลองโทรเข้าเครื่องด้วยความหวังลมๆแล้งๆอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ แต่เท่าที่รู้ก็คือโทรไปแล้วเจอบริการรับฝากข้อความ ฉันถอนหายใจก่อนที่จะหลับตาลงนอน
ตี3 ฉันลืมตาตื่นอีกครั้ง พร้อมกับอาการถอนหายใจ... แล้วจะให้ฉันทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อเวลาที่มาถึงก็ไม่บอก ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย ราวกับว่าหายตัวไปเฉยๆ ใช่เขาหายไปทั้งวันโดยไม่ยอมติดต่อ ซึ่งปกติแค่เพียงย้ายที่ก็จะโทรมาบอกแล้ว มันยิ่งทำให้ฉันใจไม่ดีฉันนอนกระสับกระส่ายอีกครั้ง จนหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้แต่มารู้ตัวอีกที่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนหน้าเสียงปลุกจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
การที่ฉันรอให้เสียงมันดังแค่นี้ก็ทำให้ผวาเอื้อมมือไปกดดูอย่างตกใจ แต่ที่ไหนได้มันกลายเป็นการปลุกที่ฉันตั้งเอาไว้เองเสียนี่... นี่ล่ะมั๊ง ที่เขาเรียกว่าอาการประสาท เฮ้อ คิดแล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อ แต่ว่านอนเท่าไหร่ก็ไม่หลับ พอกำลังจะเคลิ้มๆหลับก็ดันต้องสะดุ้งตื่นจนกระทั่ง ตี 4 ฉันจึงคิดว่าคงไม่ต้องนอนมันแล้วล่ะ ลุกขึ้นมาอาบน้ำแปรงฟันเลยดีกว่า ดังนั้นเข้านี้ฉันเลยมีลักษณะของคนไม่ได้นอนกับอาการเบลอ ความจริงมันก็ไม่คล้ายนักหรอก แต่มันคือคนที่ไม่ได้นอนเลยต่างหาก เพราะอาการหลับแล้วสะดุ้งตื่นทุกๆชั่วโมงนั้น หากไม่ใช่คนที่กังวลถึงเรื่องอะไรหรือรออะไรบางอย่างอยู่ ก็คงจะไม่เป็นแบบนี้แน่ๆ
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ฉันคว้ากระเป๋ามาถือไว้ในมือก่อนที่จะโยนเครื่องเล่น Mp3 กระเป๋าสตางค์ หนังสือและกุญแจบ้านลงไป แล้วก็คว้ามือถือยัดลงกระเป๋ากางเกง ควาญหาหมวกใบเดิมมาสวมแล้วก็ก้าวออกจากบ้านโดยไม่มีใครรู้ ซึ่งความจริงพฤติกรรมที่หายหัวออกจากบ้านแบบนี้ มันแทบจะเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
ตี 4 ครึ่ง ฝนหยุดตกแล้วแต่อากาศเย็นจนหมอกลง รอบๆตัวยังคงเต็มไปด้วยความมืดสภาพแบบนี้ยิ่งชวนให้จิตประหวั่นไปต่างๆนาๆ ความเงียบเหงาของเวลาก่อนสว่างยิ่งทำให้หนาวจับขั้วหัวใจ ฉันเดินออกจากซอยบ้านเงียบๆ บ้านบางบ้านตื่นกันแล้วในขณะที่บางบ้านก็กำลังนอนหลับกับอย่างเป็นสุข แล้วเขาคนนั้นของฉันล่ะ ป่านนี้คงหลับสบายอยู่บนรถทัวร์อยู่สินะ
ฉันเมียงมองซ้ายขวาหารถเมล์ซักคัน แต่ว่าเช้าๆแบบนี้ยังคงเงียบเหงาอยู่ดี สายตาเหลือบไปเห็นแท็กซี่จอดหน้าซอยชั่งใจอยู่สักพักกว่าจะตัดสินใจได้ว่า
\'เอาวะ ไปก็ไป\'
ท้องถนนในยามเช้าแบบนี้มันแปลกตากว่าที่คิด ถ้ากรุงเทพฯเป็นแบบนี้ทุกๆวันก็คงจะดี ทำไมน่ะหรอ ก็เพราะว่ารถไม่ติดเลยน่ะสิ รู้สึกสบายใจขึ้นมาสักพัก ก็ต้องกลับมาเจอรถติดที่หน้าขนส่งอีกแล้ว เฮ้อ ปัญหาหนักของคนเมือง
คิดไปคิดมาแล้วอยากจะไปต่างจังหวัดอย่างเขาบ้างจัง คงจะรู้สึกดีมากๆเลยล่ะ ความจริงเขาก็ชวนฉันอยู่ยิกๆ แถมจะเอาฉันไปด้วยเสียอีก แต่ทำไงได้ล่ะ ไอ้จะไปด้วยมันก็กะไรอยู่ ผู้หญิงไปกับผู้ชาย 2 คนจะบ้ารึไงแล้วไหนจะเรียนอีก เฮ้อ มันเลยเหลือแต่ต้องมานั่งเฝ้าเพ้อเฝ้าคิดถึงอยู่แบบนี้ เอาล่ะลงมันหน้าขนส่งก็ได้ ว่าแล้วก็จ่ายเงินแล้วก็เปิดประตูลงเดินมันง่ายๆ
เช้าๆแบบนี้สถานีขนส่งก็มีคนเยอะเหมือนกันนี่นา แล้วจะหากันเจอมั๊ยก็ยังคิดๆอยู่ ฉันเดินตามทางไปเรื่อยๆ จนไปถึงที่ๆจอดรถทัวร์
ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างเดินไปมากันสับสน บางคนนั่งบางคนยืน บางคนเดินไปรับพวกพ้อง เสียงแท็กซี่เรียกผู้โดยสารดังออกมาไม่ขาดระยะ ส่วนฉันสายตาก็กำลังจับจ้องอยู่กับขบวนรถบริษัทที่เขาจะขึ้นกลับมา
ขบวนรถทัวร์วิ่งเข้ามาจอดที่ชานชาลาเป็นระยะๆ ผู้คนทยอยกันเดินลงมาไม่ขาดสาย แต่มองแล้วยังไม่เจอคนที่รอ
รถทัวร์เข้ามาคันแล้วคันเล่า แต่ก็ยังไม่เจอเขาไม่ว่าจะมองหายังไงเขาก็ยังไม่มา ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก ทั้งๆที่รู้ดีว่าติดต่อไม่ได้...
การรอคอยทรมานเสมอ
ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินผ่านมาแล้วก็ผ่านไป บางคนคงเป็นเหมือนฉัน กำลังรอคอยคนที่คิดถึง แต่คนที่คิดถึงกลับไม่โทรมาบอกสักคำว่าจะมาเมื่อไหร่ ฉันเริ่มถอดใจและมองหาที่นั่งรอ
ครั้งแรกฉันเข้าไปรอในตัวชานชาลา ผู้คนมากมาย เดินสวนกันไปมา อากาศเริ่มร้อนขึ้นทุกที ฉันหยิบเครื่องเล่น Mp3 ออกมาเสียบหูกางหนังสือในมือออกอ่าน แต่จะว่าอ่านก็คงไม่ใช่ เพราะทุกครั้งที่มีเสียงรถแล่นเข้ามา สายตาก็จะละจากหนังสือมามองรถแทน แล้วคิดว่ารถมันเข้าทุกๆกี่นาทีกันล่ะ รถทัวร์เข้ามาแทบจะทุกๆ 3 นาที แล้วแบบนี้จะอ่านหนังสือได้หรือไง แล้วทุกครั้งที่รถทัวร์บริษัทที่เขานั่งมาเข้าชานชาลาจอด ฉันก็จะลุกขึ้นยืนแล้วมองดูว่าคนที่อยากเจอจะมากับรถทัวร์ด้วยรึเปล่า แต่คำตอบก็ยังคงเหมือนเดิมคือเปล่า
อาการผุดลุกผุดนั่งกระสับกระส่ายของฉันนั้น มันดำเนินอยู่แบบนี้ครึ่งชั่วโมง ก่อนที่ฉันจะทนความรำคาญกับตัวเองไม่ไหว จึงเดินไปที่บริษัทรถทัวร์ เผื่อว่าจะมีที่นั่งว่างๆกับแอร์ที่เย็นบ้างไม่เย็นบ้างนั่งรอ ก่อนที่ฉันจะบ้าตาย
โทรศัพท์มือถืองานนี้ถูกเรียกว่ามือถือจริงๆ เพราะฉันเอามันมาถือไว้แทบจะตลอด คล้ายๆกับกลัวว่าถ้าเขาโทรมาแล้วจะไม่ได้รับ อาการแบบนี้คนที่กำลังรอการติดต่ออยู่นั้นจะรู้ดีว่ามันแทบจะบ้าแค่ไหน
ฉันเริ่มมองหาที่นั่งในบริษัทรถ แล้วก็เริ่มกางหนังสืออ่านอีกรอบ ก่อนที่จะยัดเอาโทรศัพท์มือถือลงไปในกระเป๋ากางเกง ด้วยคิดว่า
\'เอาน่า เขามาถึงก็ต้องโทรหาแกเองล่ะ\' แล้วฉันก็เริ่มอ่านหนังสือต่อ
ผู้คนยังคงหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนลุกแล้วนั่ง นั่งแล้วลุกอยู่ที่ข้างๆฉัน โดยที่ตัวฉันเองนั้นกลับได้แต่นั่งอ่านหนังสือด้วยใจกระวนกระวาย รถจะวิ่งเข้าหรือจะวิ่งออกยังไง ฉันก็ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ พยายามสะกดใจไม่ให้คิดไปไกล ไม่ต้องกระสับกระส่าย
คนเราถ้ารออะไรสักอย่าง เชื่อเถอะว่ามันจะไม่มาถึงง่ายๆนักหรอก แต่ถ้าพยายามข่มใจไม่กระวนกระวาย เพียงไม่นานสิ่งที่รอก็จะมาถึงแต่ความจริงน่ะ ทั้ง 2 อย่างมันมาพร้อมกันนั่นแหละ แต่การที่เรารอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอไง เราเลยคิดว่ามันมาช้า เหมือนกันฉันที่คิดว่าอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ มันช่างช้าจนน่าเบื่อหน่าย
6 โมงครึ่งโทรศัพท์มือถือของฉันก็สั่นพร้อมกับเบอร์ไม่คุ้นตา
“เธอ ชั้นถึงขนส่งแล้วนะ” เสียงคุ้นหูที่รอราวกับว่าไม่ได้ยินมานานดังออกมาจากมือถือ แค่เพียงประโยคเดียวก็สามารถเรียกรอยยิ้มจางๆจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้
“อื้ม แล้วอยู่ตรงไหนล่ะ ชั้นรออยู่ที่บริษัททัวร์นะ เข้ามาสิ” การพยายามสะกดน้ำเสียงดีใจไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
“อื้ม” เขารับคำก่อนจะตัดสายไป ส่วนฉันน่ะหรอ จะให้นั่งอ่านหนังสือมันก็ไม่เหลือสมาธิแล้วล่ะ จะให้ทำยังไงได้ก็ใจมันเต้นจนจะทะลุออกมาอยู่แล้วนี่นา แต่ก็นะจะให้ทำไงได้ล่ะ สงบจิตสงบใจแล้วก็อ่านหนังสือต่อไป รู้เรื่องไม่รู้เรื่องช่างมันละ
และแล้วเขา ก็เดินเข้ามาหยุดยืนข้างหน้าพร้อมกับพวงกุญแจของฝากที่วางไว้บนหนังสือ ฉันเงยหน้าขึ้นมองได้แต่ยิ้มอยู่ในหน้าปนๆกับความเขินที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ใจจริงอยากจะกระโดดกอดตอนนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ให้ทำยังไงได้ล่ะ นี่ไม่ใช่มิวสิกนะ ที่ฉันกับเขาจะกอดกันโดยไม่มีใครสนใจน่ะ ทำได้ดีที่สุดคงมีแต่รอยยิ้มจางๆที่ฉันมอบให้เขาและที่เขายิ้มตอบกลับมา
“กลับมาแล้วนะ” เสียงนุ่มๆที่ได้ฟังจริงๆไม่ได้ผ่านคลื่นหรือเครื่องมือใดๆ ยิ่งทำให้ฉันใจสั่น
“อื้ม” ฉันทำได้แค่ตอบรับในลำคอ ไม่ใช่เพราะไม่รู้สึก แต่พูดไม่ออกต่างหาก อาการเขินกับความร้อนผ่าวของใบหน้าในตอนนี้มันก็ทำให้ฉันทำอะไรไม่ถูกซะแล้ว
“มารอตั้งแต่กี่โมงหรอ” เขาถามก่อนที่จะนั่งลงข้างๆฉัน
“6 โมง” ฉันตอบแก้เกี้ยว จะให้รู้รึไงว่ามารอตั้งแต่ตี 5 แล้วน่ะ แค่นี้ก็เขินจะแย่แล้ว
“กลับกันเถอะนะ”เขาลุกขึ้นแล้วยื่นมือออกมาให้จับ ฉันจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหน้าผู้ชายที่ไม่ค่อยโรแมนติกต่อหน้าชาวบ้านแบบกวนๆตามนิสัย แต่สิ่งที่ฉันเจอนั่นมันไม่ใช่ สายตาของฉันกลับเห็นสายตาหวานเยิ้มของเขาเข้า ปฏิกิริยาตอบสนองของฉันก็คือสะดุ้งแล้วเบือนหน้าหนี นี่ฉันไม่ใช่นางเอกในนิยายหรอกนะที่จะมาทำเป็นเขิน แต่ว่าอาการทำอะไรไม่ถูกพูดอะไรไม่ออกน่ะ มันคงจะแก้เกี้ยวด้วยวิธีนี้ดีที่สุด
ฉันส่งมือให้เขาจับโดยที่รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ห่างหายไปนานแสนนาน เขาบีบมือฉันเบาๆ ก่อนที่เราสองคนจะเดินออกจากบริษัทรถทัวร์
ท้องฟ้าด้านนอกสว่างแล้ว เหมือนกับความรู้สึกปลอดโปร่งของฉันที่มีเขายืนอยู่ข้างๆ สองมือที่จับกับไว้แน่น เราจะเดินไปด้วยกัน เราจะเดินไปพร้อมๆกัน
ถ้าเช้าวันนั้นคุณได้ไปที่สถานีขนส่ง แล้วมองเห็นผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตกางเกงขาสั้นสะพายเป้ กับเด็กผู้หญิงใส่สื้อยืดสวมทับด้วยเสื้อแขนยาวสวมหมวกใส่กางเกงยีน์สะพายกระเป๋า ยืนหยอกล้อกันที่ป้ายรถเมล์โดยที่มือข้างหนึ่งยังคงจับเอาไว้ด้วยกันล่ะก็ นั่นล่ะ เจ้าของเรื่องที่คุณเพิ่งอ่านจบล่ะ
วีเรศวร
Dear diary,
รัตติกาลผันผ่านคืบคลานเคลื่อน        ไร้แสงเดือนสิ้นแสงดาวพรมพราวพร่าง
เหลือเพียงเหงาเศร้าสะท้อนอยู่มิจาง        อุษาสางเพียงรอขอเธอคืน
การรอยคอย คือเรื่องหนึ่งที่ทรมานที่สุด ความทรมานที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่แทบกระอักตายเพราะความกรวะนกระวาย ใครคิดว่าไม่จริงล่ะก็ ขอให้ลองคิดถึงใครสักคนนานๆเข้าสักอาทิตย์โดยที่ไม่สามารถติดต่อไปได้สิ อ้อ แต่ความจริงแล้ว ถ้าหากเป็นธุระด่วน หรือสำคัญมากๆ แค่เพียงรอโทรศัพท์ให้โทรกลับ แล้วโทรมาช้าสักนาที 2 นาทีสิ แค่นี้ก็แทบจะคลั่งแล้ว และแน่นอนฉันก็คือคนหนึ่งในค่ำคืนที่สายฝนโปรยลงมาซึ่งกำลังจะบ้าตาย!!
เที่ยงคืนผ่านไปแล้ว โดยไร้การติดต่อ การนอนหลับคงเป็นวิธีพักผ่อนที่ดีที่สุด และนี่เองที่สอนให้ฉันได้รู้ว่าการนอนหลับคือเหตุผลของการทรมานตัวเองอย่างหนึ่งของคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับ อาการสะดุ้งตื่นเป็นครั้งแรกเมื่อนาฬิกาเดินถึงตี 1 และแน่นอนเมื่อตื่นขึ้น สิ่งแรกที่หยิบขึ้นมาคือโทรศัพท์มือถือ ไม่รู้หรอกนะว่ามันเป็นกรรมเวรหรืออะไรที่ทำให้นาฬิกาบนผนังห้องมันมาถ่านหมดเอาซะตอนนี้ ฉันจึงจำเป็นต้องดูเวลาผ่านหน้าจอไอ้เครื่องที่แทบจะนอนกอดมันมาตลอดอาทิตย์ และเมื่อหน้าจอสว่างวาบขึ้นให้เห็นตัวเลข มันก็ปรากฏจอสะอาดตาว่างเปล่าปราศจากข้อมูลที่บ่งบอกถึงการโทรเข้า เห็นแล้วก็เอามันซุกไว้ลึกๆใต้หมอนเพราะไม่อยากเจอก่อนที่จะหลับตาลงนอนอีกครั้ง
อาการสะดุ้งเกิดขึ้นอีกครั้งตอนตี 2 ฉันลืมตาตื่นขึ้นก่อนที่จะพยายามค้นหามือถือตัวดี ที่ตัวเองแอบเอามันซุกไว้ที่ไหนซักที่บนเตียง และในที่สุดเมื่อหมดความพยายาม ฉันจึงต้องคว้าโทรศัพท์หัวเตียงขึ้นโทรเข้าเพื่อที่จะหามัน แล้วนี่ทำไมฉันถึงได้เพี้ยนกับเพ้อได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้
นาฬิกาบนโทรศัพท์บอกเวลาตี 2 อาการนอนไม่หลับออกฤทธิ์อีกครั้งพร้อมๆกับอาการประสาท
\'หรือว่าจะลืม!\'
ฉันลองโทรเข้าเครื่องด้วยความหวังลมๆแล้งๆอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ แต่เท่าที่รู้ก็คือโทรไปแล้วเจอบริการรับฝากข้อความ ฉันถอนหายใจก่อนที่จะหลับตาลงนอน
ตี3 ฉันลืมตาตื่นอีกครั้ง พร้อมกับอาการถอนหายใจ... แล้วจะให้ฉันทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อเวลาที่มาถึงก็ไม่บอก ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย ราวกับว่าหายตัวไปเฉยๆ ใช่เขาหายไปทั้งวันโดยไม่ยอมติดต่อ ซึ่งปกติแค่เพียงย้ายที่ก็จะโทรมาบอกแล้ว มันยิ่งทำให้ฉันใจไม่ดีฉันนอนกระสับกระส่ายอีกครั้ง จนหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้แต่มารู้ตัวอีกที่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนหน้าเสียงปลุกจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
การที่ฉันรอให้เสียงมันดังแค่นี้ก็ทำให้ผวาเอื้อมมือไปกดดูอย่างตกใจ แต่ที่ไหนได้มันกลายเป็นการปลุกที่ฉันตั้งเอาไว้เองเสียนี่... นี่ล่ะมั๊ง ที่เขาเรียกว่าอาการประสาท เฮ้อ คิดแล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อ แต่ว่านอนเท่าไหร่ก็ไม่หลับ พอกำลังจะเคลิ้มๆหลับก็ดันต้องสะดุ้งตื่นจนกระทั่ง ตี 4 ฉันจึงคิดว่าคงไม่ต้องนอนมันแล้วล่ะ ลุกขึ้นมาอาบน้ำแปรงฟันเลยดีกว่า ดังนั้นเข้านี้ฉันเลยมีลักษณะของคนไม่ได้นอนกับอาการเบลอ ความจริงมันก็ไม่คล้ายนักหรอก แต่มันคือคนที่ไม่ได้นอนเลยต่างหาก เพราะอาการหลับแล้วสะดุ้งตื่นทุกๆชั่วโมงนั้น หากไม่ใช่คนที่กังวลถึงเรื่องอะไรหรือรออะไรบางอย่างอยู่ ก็คงจะไม่เป็นแบบนี้แน่ๆ
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ฉันคว้ากระเป๋ามาถือไว้ในมือก่อนที่จะโยนเครื่องเล่น Mp3 กระเป๋าสตางค์ หนังสือและกุญแจบ้านลงไป แล้วก็คว้ามือถือยัดลงกระเป๋ากางเกง ควาญหาหมวกใบเดิมมาสวมแล้วก็ก้าวออกจากบ้านโดยไม่มีใครรู้ ซึ่งความจริงพฤติกรรมที่หายหัวออกจากบ้านแบบนี้ มันแทบจะเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
ตี 4 ครึ่ง ฝนหยุดตกแล้วแต่อากาศเย็นจนหมอกลง รอบๆตัวยังคงเต็มไปด้วยความมืดสภาพแบบนี้ยิ่งชวนให้จิตประหวั่นไปต่างๆนาๆ ความเงียบเหงาของเวลาก่อนสว่างยิ่งทำให้หนาวจับขั้วหัวใจ ฉันเดินออกจากซอยบ้านเงียบๆ บ้านบางบ้านตื่นกันแล้วในขณะที่บางบ้านก็กำลังนอนหลับกับอย่างเป็นสุข แล้วเขาคนนั้นของฉันล่ะ ป่านนี้คงหลับสบายอยู่บนรถทัวร์อยู่สินะ
ฉันเมียงมองซ้ายขวาหารถเมล์ซักคัน แต่ว่าเช้าๆแบบนี้ยังคงเงียบเหงาอยู่ดี สายตาเหลือบไปเห็นแท็กซี่จอดหน้าซอยชั่งใจอยู่สักพักกว่าจะตัดสินใจได้ว่า
\'เอาวะ ไปก็ไป\'
ท้องถนนในยามเช้าแบบนี้มันแปลกตากว่าที่คิด ถ้ากรุงเทพฯเป็นแบบนี้ทุกๆวันก็คงจะดี ทำไมน่ะหรอ ก็เพราะว่ารถไม่ติดเลยน่ะสิ รู้สึกสบายใจขึ้นมาสักพัก ก็ต้องกลับมาเจอรถติดที่หน้าขนส่งอีกแล้ว เฮ้อ ปัญหาหนักของคนเมือง
คิดไปคิดมาแล้วอยากจะไปต่างจังหวัดอย่างเขาบ้างจัง คงจะรู้สึกดีมากๆเลยล่ะ ความจริงเขาก็ชวนฉันอยู่ยิกๆ แถมจะเอาฉันไปด้วยเสียอีก แต่ทำไงได้ล่ะ ไอ้จะไปด้วยมันก็กะไรอยู่ ผู้หญิงไปกับผู้ชาย 2 คนจะบ้ารึไงแล้วไหนจะเรียนอีก เฮ้อ มันเลยเหลือแต่ต้องมานั่งเฝ้าเพ้อเฝ้าคิดถึงอยู่แบบนี้ เอาล่ะลงมันหน้าขนส่งก็ได้ ว่าแล้วก็จ่ายเงินแล้วก็เปิดประตูลงเดินมันง่ายๆ
เช้าๆแบบนี้สถานีขนส่งก็มีคนเยอะเหมือนกันนี่นา แล้วจะหากันเจอมั๊ยก็ยังคิดๆอยู่ ฉันเดินตามทางไปเรื่อยๆ จนไปถึงที่ๆจอดรถทัวร์
ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างเดินไปมากันสับสน บางคนนั่งบางคนยืน บางคนเดินไปรับพวกพ้อง เสียงแท็กซี่เรียกผู้โดยสารดังออกมาไม่ขาดระยะ ส่วนฉันสายตาก็กำลังจับจ้องอยู่กับขบวนรถบริษัทที่เขาจะขึ้นกลับมา
ขบวนรถทัวร์วิ่งเข้ามาจอดที่ชานชาลาเป็นระยะๆ ผู้คนทยอยกันเดินลงมาไม่ขาดสาย แต่มองแล้วยังไม่เจอคนที่รอ
รถทัวร์เข้ามาคันแล้วคันเล่า แต่ก็ยังไม่เจอเขาไม่ว่าจะมองหายังไงเขาก็ยังไม่มา ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก ทั้งๆที่รู้ดีว่าติดต่อไม่ได้...
การรอคอยทรมานเสมอ
ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินผ่านมาแล้วก็ผ่านไป บางคนคงเป็นเหมือนฉัน กำลังรอคอยคนที่คิดถึง แต่คนที่คิดถึงกลับไม่โทรมาบอกสักคำว่าจะมาเมื่อไหร่ ฉันเริ่มถอดใจและมองหาที่นั่งรอ
ครั้งแรกฉันเข้าไปรอในตัวชานชาลา ผู้คนมากมาย เดินสวนกันไปมา อากาศเริ่มร้อนขึ้นทุกที ฉันหยิบเครื่องเล่น Mp3 ออกมาเสียบหูกางหนังสือในมือออกอ่าน แต่จะว่าอ่านก็คงไม่ใช่ เพราะทุกครั้งที่มีเสียงรถแล่นเข้ามา สายตาก็จะละจากหนังสือมามองรถแทน แล้วคิดว่ารถมันเข้าทุกๆกี่นาทีกันล่ะ รถทัวร์เข้ามาแทบจะทุกๆ 3 นาที แล้วแบบนี้จะอ่านหนังสือได้หรือไง แล้วทุกครั้งที่รถทัวร์บริษัทที่เขานั่งมาเข้าชานชาลาจอด ฉันก็จะลุกขึ้นยืนแล้วมองดูว่าคนที่อยากเจอจะมากับรถทัวร์ด้วยรึเปล่า แต่คำตอบก็ยังคงเหมือนเดิมคือเปล่า
อาการผุดลุกผุดนั่งกระสับกระส่ายของฉันนั้น มันดำเนินอยู่แบบนี้ครึ่งชั่วโมง ก่อนที่ฉันจะทนความรำคาญกับตัวเองไม่ไหว จึงเดินไปที่บริษัทรถทัวร์ เผื่อว่าจะมีที่นั่งว่างๆกับแอร์ที่เย็นบ้างไม่เย็นบ้างนั่งรอ ก่อนที่ฉันจะบ้าตาย
โทรศัพท์มือถืองานนี้ถูกเรียกว่ามือถือจริงๆ เพราะฉันเอามันมาถือไว้แทบจะตลอด คล้ายๆกับกลัวว่าถ้าเขาโทรมาแล้วจะไม่ได้รับ อาการแบบนี้คนที่กำลังรอการติดต่ออยู่นั้นจะรู้ดีว่ามันแทบจะบ้าแค่ไหน
ฉันเริ่มมองหาที่นั่งในบริษัทรถ แล้วก็เริ่มกางหนังสืออ่านอีกรอบ ก่อนที่จะยัดเอาโทรศัพท์มือถือลงไปในกระเป๋ากางเกง ด้วยคิดว่า
\'เอาน่า เขามาถึงก็ต้องโทรหาแกเองล่ะ\' แล้วฉันก็เริ่มอ่านหนังสือต่อ
ผู้คนยังคงหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนลุกแล้วนั่ง นั่งแล้วลุกอยู่ที่ข้างๆฉัน โดยที่ตัวฉันเองนั้นกลับได้แต่นั่งอ่านหนังสือด้วยใจกระวนกระวาย รถจะวิ่งเข้าหรือจะวิ่งออกยังไง ฉันก็ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ พยายามสะกดใจไม่ให้คิดไปไกล ไม่ต้องกระสับกระส่าย
คนเราถ้ารออะไรสักอย่าง เชื่อเถอะว่ามันจะไม่มาถึงง่ายๆนักหรอก แต่ถ้าพยายามข่มใจไม่กระวนกระวาย เพียงไม่นานสิ่งที่รอก็จะมาถึงแต่ความจริงน่ะ ทั้ง 2 อย่างมันมาพร้อมกันนั่นแหละ แต่การที่เรารอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอไง เราเลยคิดว่ามันมาช้า เหมือนกันฉันที่คิดว่าอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ มันช่างช้าจนน่าเบื่อหน่าย
6 โมงครึ่งโทรศัพท์มือถือของฉันก็สั่นพร้อมกับเบอร์ไม่คุ้นตา
“เธอ ชั้นถึงขนส่งแล้วนะ” เสียงคุ้นหูที่รอราวกับว่าไม่ได้ยินมานานดังออกมาจากมือถือ แค่เพียงประโยคเดียวก็สามารถเรียกรอยยิ้มจางๆจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้
“อื้ม แล้วอยู่ตรงไหนล่ะ ชั้นรออยู่ที่บริษัททัวร์นะ เข้ามาสิ” การพยายามสะกดน้ำเสียงดีใจไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
“อื้ม” เขารับคำก่อนจะตัดสายไป ส่วนฉันน่ะหรอ จะให้นั่งอ่านหนังสือมันก็ไม่เหลือสมาธิแล้วล่ะ จะให้ทำยังไงได้ก็ใจมันเต้นจนจะทะลุออกมาอยู่แล้วนี่นา แต่ก็นะจะให้ทำไงได้ล่ะ สงบจิตสงบใจแล้วก็อ่านหนังสือต่อไป รู้เรื่องไม่รู้เรื่องช่างมันละ
และแล้วเขา ก็เดินเข้ามาหยุดยืนข้างหน้าพร้อมกับพวงกุญแจของฝากที่วางไว้บนหนังสือ ฉันเงยหน้าขึ้นมองได้แต่ยิ้มอยู่ในหน้าปนๆกับความเขินที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ใจจริงอยากจะกระโดดกอดตอนนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ให้ทำยังไงได้ล่ะ นี่ไม่ใช่มิวสิกนะ ที่ฉันกับเขาจะกอดกันโดยไม่มีใครสนใจน่ะ ทำได้ดีที่สุดคงมีแต่รอยยิ้มจางๆที่ฉันมอบให้เขาและที่เขายิ้มตอบกลับมา
“กลับมาแล้วนะ” เสียงนุ่มๆที่ได้ฟังจริงๆไม่ได้ผ่านคลื่นหรือเครื่องมือใดๆ ยิ่งทำให้ฉันใจสั่น
“อื้ม” ฉันทำได้แค่ตอบรับในลำคอ ไม่ใช่เพราะไม่รู้สึก แต่พูดไม่ออกต่างหาก อาการเขินกับความร้อนผ่าวของใบหน้าในตอนนี้มันก็ทำให้ฉันทำอะไรไม่ถูกซะแล้ว
“มารอตั้งแต่กี่โมงหรอ” เขาถามก่อนที่จะนั่งลงข้างๆฉัน
“6 โมง” ฉันตอบแก้เกี้ยว จะให้รู้รึไงว่ามารอตั้งแต่ตี 5 แล้วน่ะ แค่นี้ก็เขินจะแย่แล้ว
“กลับกันเถอะนะ”เขาลุกขึ้นแล้วยื่นมือออกมาให้จับ ฉันจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหน้าผู้ชายที่ไม่ค่อยโรแมนติกต่อหน้าชาวบ้านแบบกวนๆตามนิสัย แต่สิ่งที่ฉันเจอนั่นมันไม่ใช่ สายตาของฉันกลับเห็นสายตาหวานเยิ้มของเขาเข้า ปฏิกิริยาตอบสนองของฉันก็คือสะดุ้งแล้วเบือนหน้าหนี นี่ฉันไม่ใช่นางเอกในนิยายหรอกนะที่จะมาทำเป็นเขิน แต่ว่าอาการทำอะไรไม่ถูกพูดอะไรไม่ออกน่ะ มันคงจะแก้เกี้ยวด้วยวิธีนี้ดีที่สุด
ฉันส่งมือให้เขาจับโดยที่รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ห่างหายไปนานแสนนาน เขาบีบมือฉันเบาๆ ก่อนที่เราสองคนจะเดินออกจากบริษัทรถทัวร์
ท้องฟ้าด้านนอกสว่างแล้ว เหมือนกับความรู้สึกปลอดโปร่งของฉันที่มีเขายืนอยู่ข้างๆ สองมือที่จับกับไว้แน่น เราจะเดินไปด้วยกัน เราจะเดินไปพร้อมๆกัน
ถ้าเช้าวันนั้นคุณได้ไปที่สถานีขนส่ง แล้วมองเห็นผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตกางเกงขาสั้นสะพายเป้ กับเด็กผู้หญิงใส่สื้อยืดสวมทับด้วยเสื้อแขนยาวสวมหมวกใส่กางเกงยีน์สะพายกระเป๋า ยืนหยอกล้อกันที่ป้ายรถเมล์โดยที่มือข้างหนึ่งยังคงจับเอาไว้ด้วยกันล่ะก็ นั่นล่ะ เจ้าของเรื่องที่คุณเพิ่งอ่านจบล่ะ
วีเรศวร
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น