ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : สี่วันที่ยังคงรออยู่
6 Oct 2005
Dear diary,
คืนค่ำร้างรัตติผลิพลิกผัน      อรุณอันส่องสว่างกระจ่ายสาย 
เฝ้าคิดถึงคะนึงหามิวางวาย         แทบเจียนตายด้วยรักมิวรรควัน
เคยรู้สึกบ้างไหมว่าความเหงานั้น นอกจากจะเป็นสาเหตุของความทรมานที่มาเยือนอย่างไมรู้จักเหน็ดจักเหนื่อยแล้ว ยังคงเป็นต้นตอของคำว่าคิดถึง ที่เป็นเพียงเส้นด้ายบางๆซึ่งคอยเชื่อมโยงคนสองคน ที่อยู่กับคนละฟาของประเทศได้ สำหรับคนอื่นนั้นฉันไม่รู้หรอกว่าเขากเข้าใจแบบไหน แต่สำหรับฉัน มันยังคงเป็นในร้อยแปดความทรมานที่คนๆหนึ่งยังคงพบพานได้เสมอ หากเพียงคนๆนั้นกำลังห่วงใยใครสักคน
แสงแดดยามเช้าที่ส่องผ่านผ้าม่านสีฟ้าแกมขาวทะลุเข้ามายังห้องนอนของฉันนั้น มันทำให้รู้ว่าขณะนี้ราตรีที่เฝ้ารอได้ผ่านไปอีกวัน
ภารกิจวันหนึ่งคงไม่ต่างจากกันมากนัก ยิ่งโดยเฉพาะฉัน ที่มหา’ลัยกับบ้านอยู่ห่างกันคนละซีกจังหวัดแบบนี้ การเข้าเรียนตอน 11 โมงครึ่งนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่ต้องออกจากบ้านประมาณ 9 โมงเช้า ส่วนเรื่องอาหารการกินคงไม่ต้องพูดถึงนักหรอก ถ้าหากวันไหนทำเวลาเนื่องจากนอนเพลิน ก็ใช้เซเว่นเป็นที่พักใจ คนเราจะให้เอามาม่าขึ้นไปเปิบบนรถเมล์ก็คงจะผิดวิสัยไปหน่อย แอบกระมิดกระเมี้ยนดูดนมซักกล่องก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่ถ้าวันไหนออกจากบ้านเช้า ก็ไปฝากท้องกับโรงอาหารที่มหา’ลัยเอาคงไม่แปลกนัก
ถ้าหากจะให้พูดถึงรถเมล์นั้น ก็คงจะหาอันใดเปรียบกับขสมก.มิได้อีกแล้ว แต่ถ้าจะมีก็คงต้องเป็นรถร่วมบริการที่สามารถช่วยทำให้ฉันไปมหา’ลัยได้อย่างทันเวลาพอดิบพอดี แถมยังเหลือให้เข้าไปเซ็ตผมใหม่อีกด้วย แน่นอนถ้าไม่เซ็ตล่ะก็ ฉันก็จะกลายเป็นป้าแว่นหอบหนังสือหัวฟู มองไกลๆนึกว่านักศึกษาปริญญาโทโดยไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆต่อท้าย เอาล่ะกลับมาว่าด้วยเรื่องรถเมล์ในกรุงเทพฯกันต่อดีกว่า สำหรับฉันแล้ว คันที่จะไปไม่ค่อยมา แต่คันที่ไม่ไปจะวิ่งกับให้ขวักไขว่ อันนี้ก็แล้วแต่ท่านผู้อ่านว่าคิดยังไง สำหรับฉันแล้วมันเป็นอย่างที่ว่าไว้จริงๆ
การจราจรในตอนเช้าของเมืองหลวงนั้น คงไม่แตกต่างจากวันอื่นเท่าใดนัก นอกจากติดเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ถ้าวันไหนมีฝนตกมาร่วมด้วยคงจะเรียกได้ว่าติดกันวินาศสันตโร ก็คงไม่ผิด นั่งรถเมล์แล้วสายตาก็มองข้างทาง ผู้คนเดินกันเป็นคู่ๆ นั่งจับมือกันบ้าง ในใจก็นึกอิจฉาพาลยิ่งทำให้คิดถึงคนที่อยู่ไกล แต่ว่าจะให้ทำยังไงล่ะ ในเมื่อคนที่อยู่ตรงนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะแม้แต่ฟังเสียงของคนที่คิดถึเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากส่งความคิดถึงผ่านสายลมไปได้ก็คงจะส่งไปแล้ว แต่ถ้าส่งได้จริงๆมันคงไปไม่ถึงอยู่ดี เพราะติดควันพิษอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้นี่แหละ ยิ่งคิดยิ่งถอนใจ
เสียงกระเป๋ารถเมล์ตะโกนบอก เสาวรีย์เพ่เสาวรีย์ แล้วก็ทำให้ต้องลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะไม่ต้องลงรถเลยป้าย
พอลงรถเสร็จก็ต้องวิ่งไปต่อรถอีกคันตามวิสัยคนเมืองที่ดี เฮ้อ เสียเวลากับการเดินทางวันละ 4-8 ชั่วโมงแบบนี้เล่นเอาทำใจลำบาก
ถึงมหาลัยแล้ว สำหรับฉันวันนี้คงไม่ต่างอะไรกับวันน่าเบื่ออีกวัน ที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่ และที่สำคัญวันนี้ทั้งวันก็ไม่มีแม้แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังให้ตกใจเล่นๆอีกด้วย ในใจไม่ได้คิดห่วงอะไรมากมายเหมือนก่อน เพราะมั่นใจว่ายังไงเขาก็ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี เสียงเพื่อนฝูงยังแซวไม่ขาดปากว่าคงไปคว้าสาวเจ้าในท้องถิ่นกลับมาแหงๆ แต่สำหรับฉัน ฉันยังคงเชื่อใจเขาคนนั้นอยู่
ตกบ่ายสาวๆชวนไปเดินเล่นที่ห้าง ในใจเราก็เบื่อๆเซ็งๆแถมยังงอนๆคนบางคนด้วย ที่คิดถึงแถบตายแต่ติดต่อไปไม่ได้ เลยหนีไปเดินเตร็ดเตร่บ้างเป็นบางเวลา แต่แล้วในห้างนั่นล่ะตัวดีเลย คนอื่นเขาเดินกันเป็นคู่ๆส่วนไอ้เรารึอยู่ตัวคนเดียว เงียบเหงาอย่างบอกใคร แล้วจะให้ทำไงล่ะ ไม่ร้หรอกนะว่าเป็นความเคยชินรึเปล่าที่พอรู้สึกเหงาก็จะหยิบมันขึ้นมากดโทรออกเบอร์เดิมๆ ทั้งๆที่รู้ว่าโทรไปก็ไม่ติด แต่ก็อยากจะโทร ถ้าเรียกให้ถูกคงต้องเรียกว่าหวังลมๆแล้งๆว่าเขาคงจะเปิดมือถือพอดี แต่ความโชคดีแบบนี้มันก็ไม่ได้มีบ่อยนักหรือก็คือไม่มีเลย ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ตาม
อากาศอบอ้าวในตอนบ่ายแก่ๆแบบนี้ ยิ่งทำให้นึกถึงผู้ชายตัวโตๆร่างสูงๆที่ยืนบังแดดให้เพราะรู้วาสายตาสู้แสงไม่ไหว อากาศร้อนจนหัวแทบแตกอย่างงี้ยิ่งคิดถึงคนที่อยู่ไกลว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง หรือว่าเที่ยวเพลินจนลืมเด็กคนนี้ คนที่รออยู่ตรงนี้รึเปล่า รถเมล์วิ่งผ่านถนนสายแล้วสายเล่า มองออกไปมีแต่สถานที่ใจในก็ยิ่งประหวั่นถึงคนเดิมคนนั้น
รถเมล์ในเมืองกรุงมันจะเป็นอาการเดียวกันทั้งเมือง เพราะคันไหนที่ไปได้มักจะไม่วิ่ง แต่คันไหนที่ไปไม่ได้หรือไม่ไป มันจะวิ่งกันให้ขวักไขว่ คิดแล้วก็แค้นเพราะกว่ารถเมล์เจ้ากรรมจะโผล่มาก็รอให้เราโดนแดดเผาอยู่ตั้งครึ่งค่อนชั่วโมง ฉันนั่งรถกลับบ้านด้วยแอร์เย็นแต่แดดร้อน มองโน่นมองนี่ไปเรื่อยอยู่ๆก็พาลหยิบโทรศัพท์ออกมาดูทั้งๆที่มันไม่ได้สั่นหรือแม้แต่แผดเสียงร้องซักแอะ แต่มันเป็นความวิตกจริตของฉันเองแท้ๆ ที่อยู่ๆก็หยิบมันขึ้นมาดู ไม่รู้เหมือนกันว่าดูทำไม มองแล้วจะเห็นหน้าคนที่คิดถึงหรือเปล่า มองไปมองมาก็กดโทรออกอีก และก็ติดบริการฝากหมายเลขโทรกลับเหมือนเดิม ยังกับคนบ้าไม่มีผิด
คิดไปคิดมา ฉันนี่ก็เข้าขั้นประสาทอยู่พอตัวแล้วนะแบบนี้หรือเพราะว่าการที่คนเรากำลังรอคอยอะไรบางอย่าง ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเวลานั้นทำไมมันถึงได้ช้านักทั้งๆที่มันก็เดินของมันปกติ คงอาจจะเป็นเพราะใจที่กำลังเดินเร็วเกินไป
กลับมาถึงบ้าน จะกินจะนั่งจะนอนก็แทบจะเหมือนพวกโรคจิตไปทุกทีๆ ไปไหนก็พกโทรศัพท์ไปด้วย เวลานอนยังแทบจะกอดมือถือนอนด้วยซ้ำ ทั้งวันทำได้แค่ปลอบตัวเองไปวันๆ
พรุ่งนี้เช้าเขาก็กลับมาแล้ว พรุ่งนี้เช้าฉันก็จะได้เจอเขาแล้ว ในใจยังคนตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อไหร่คนที่รอจะติดต่อมา เมื่อไหร่จะได้ยินเสียง แต่การรอคอยนั้นมันทรมานเสมอ นี่ตัวฉันมันเป็นอะไรไปเนี่ยเกมส์ที่เคยเล่นก็ไม่อยาก งานการก็ไม่เป็นอันทำอะไร คอยเฝ้าแต่จะนับวันเวลา เสียงโทรศัพท์มือถือดังก็ผวา นึกว่าเป็นของคนที่รอ แต่แล้วก็ต้องเก้อทุกครั้งไป
สายฝนค่อยๆโปรบปรายลงมาจากท้องฟ้า ไม่มีเสียงโทรศัพท์ ไม่มีเสียงนุ่มๆของคนที่คิดถึง ไม่มีแม้แต่ข้อความที่ฝากถึง ความเหงาค่อยๆเอ่อท้นขึ้นมาราวกับทำนบที่ใกล้จะพังเต็มที
“ลืมเราไปแล้ว”
ประโยคแรกในด้านลบที่ผุดขึ้นมาในหัว พร้อมๆกับเสียงฟ้าร้องครืนๆซึ่งดูราวกับว่าจะจงใจซ้ำเติม สายฝนค่อยๆกระหน่ำขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับนาฬิกาที่เดินไปโดยที่ไร้เสียงเรียกจากโทรศัพท์
เส้นสีเงินวาววับพาดลงจากฟากฟ้าเบื้องบนสู่เบื้องล่าครั้งแล้วครั้งเล่าต่างเปร่งเสียงเปรี้ยงๆ ยิ่งทำให้รู้สึกผวา อาการกลัวฟ้าผ่าเป็นทุนเดิมยิ่งทำให้น้ำตารื้น ความเหงา ความอ้างว้าง วิ่งปราดเข้ามาสิงอยู่ในหัวใจ ยิ่งทำให้ทำนบค่อยๆลั่นพร้อมกับน้ำตารื้นออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ ความหนาวเย็นจากภายนอกค่อยๆแผ่ซ่านเข้ามาภายไม่ใช่แค่เพียงตัวห้อง แต่มันแผ่ข้ามาได้ถึงในจิตใจ
สายลมกับเสียงฝนโบกผ่านหน้าต่างบานเกร็ด พร้อมกับเสียงแสกสากของต้นไม้ที่ไหวเอน เหมือนกับกำลังใจของฉันที่ถูกสั่นคลอน ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนนะ ตอนนี้เธอทำอะไรอยู่ ทำไมไม่โทรมา ทำไมไม่บอกกัน
นาฬิกาถูกตั้งเวลาปลุก ก่อนที่ฉันจะผล็อยหลับไป...
“ไม่ว่าเธอจะมารึไม่มา ไม่ว่าเธอจะกลับมาตอนไหน ยังไงสัญญาก็คือสัญญา ยังไงฉันก็จะรอ”
วีเรศวร
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น