ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึกการรอคอย

    ลำดับตอนที่ #4 : สามวันผ่านไป

    • อัปเดตล่าสุด 16 ต.ค. 48


    \"ฝากสายลมบอกผ่านวิญญาณป่า ผ่านภูผาแผ่นผืนพื้นน้ำใส เป็นสำเนียงขับขานตำนานไพร ส่งดวงใจผ่านลำนำคำบทกลอน\"



    เคยเป็นบ้างไหมเวลาที่อยากให้ใครคนหนึ่งรับรู้เรื่องราวส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดที่หนักอึ้งนี้ได้ สำหรับฉันแล้ว คงเพิ่งจะเข้าใจในวันนี้เอง...



    เช้านี้คงเป็นอีกวันที่เรียนสายแต่ต้องตื่นเช้า เพราะย่างที่รู้ๆกันดีว่า การที่จะเดินทางจากฝากหนึ่งไปยังอีกฝากหนึ่งของจังหวัดที่ชื่อว่ากรุงเทพมหานครนั้น มันช่างเป็นเวลาอันยาวนานราวกับการเดินทางข้ามจังหวัดบางจังหวัดเสียอีก และฉันก็คือคนหนึ่งที่ต้องทนทรมานฝ่ามหันตภัยรถติดไปยังมหาวิทยาลัย เช้านี่ฉันได้ยินเสียงโทรศัพท์แต่เช้า ก่อนที่จะตามด้วยเสียงเดิม



    “เธอจ๋า.......... จะย้ายที่พักอีกแล้วนะ นี่นั่งรอรถอยู่ล่ะ คิดถึงจังเลยนะ” คำอ้อนร่อนผ่านสัญญาณทางไกลมาตามสายลม

    “คิดถึงเหมือนกัน” ฉันตอบพลางคว้างกระดุมนักศึกษามาคล้องกับเสื้อ ถ้าใครคุ้นเคยกันมันดีก็จะรู้ว่ากระดุมที่ใหญ่กว่ารังดุมนั้นเวลาใว่มันน่ารำคาณแค่ไหน

    “แล้วนี่อยู่ที่ไหนเนี่ย” คงเป็นเพราะความเงียบเกินไปมั๊งที่ทำให้ปลายสายสงสัย

    “อยู่บ้าน วันนี้เรียนสายน่ะ” ฉันตอบไปตามปกติ

    “ทำอารายอยู่อ่ะ” ชายหนุ่มดัดเสียงพูดราวกับตนเป็นเด็ก

    “แต่งตัวอยู่ แป๊บนึงนะกระดุมใส่ยาก” ฉันพลั้งปากบอกไปก่อนที่จะใส้คอหนีบโทรศัพท์มือถือแล้วจัดการกับกระดุมเม็ดสุดท้าย

    “ช่วยใส่มะ” คำถามยิงมาโดยไม่รอจังหวะว่าง

    5 Oct 2005

    Dear diary,





    ฝากสายลมบอกผ่านวิญญาณป่า    ผ่านภูผาแผ่นผืนพื้นน้ำใส

    เป็นสำเนียงขับขานตำนานไพร         ส่งดวงใจผ่านลำนำคำบทกลอน



        เคยเป็นบ้างไหมเวลาที่อยากให้ใครคนหนึ่งรับรู้เรื่องราวส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดที่หนักอึ้งนี้ได้ สำหรับฉันแล้ว คงเพิ่งจะเข้าใจในวันนี้เอง...



    เช้านี้คงเป็นอีกวันที่เรียนสายแต่ต้องตื่นเช้า เพราะอย่างที่รู้ๆกันดีว่า การที่จะเดินทางจากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่งของจังหวัดที่ชื่อว่ากรุงเทพมหานครนั้น มันช่างเป็นเวลาอันยาวนานราวกับการเดินทางข้ามจังหวัดบางจังหวัดเสียอีก และฉันก็คือคนหนึ่งที่ต้องทนทรมานฝ่ามหันตภัยรถติดไปยังมหาวิทยาลัย เช้านี้ฉันได้ยินเสียงโทรศัพท์แต่เช้า ก่อนที่จะตามด้วยเสียงเดิม



    “เธอจ๋า.......... จะย้ายที่พักอีกแล้วนะ นี่นั่งรอรถอยู่ล่ะ คิดถึงจังเลยนะ” คำอ้อนร่อนผ่านสัญญาณทางไกลมาตามสายลม

    “คิดถึงเหมือนกัน” ฉันตอบพลางคว้างกระดุมนักศึกษามาคล้องกับเสื้อ ถ้าใครคุ้นเคยกันมันดีก็จะรู้ว่ากระดุมที่ใหญ่กว่ารังดุมนั้นเวลาใว่มันน่ารำคาณแค่ไหน

    “แล้วนี่อยู่ที่ไหนเนี่ย” คงเป็นเพราะความเงียบเกินไปมั๊งที่ทำให้ปลายสายสงสัย

    “อยู่บ้าน วันนี้เรียนสายน่ะ” ฉันตอบไปตามปกติ

    “ทำอารายอยู่อ่ะ” ชายหนุ่มดัดเสียงพูดราวกับตนเป็นเด็ก

    “แต่งตัวอยู่ แป๊บนึงนะกระดุมใส่ยาก” ฉันพลั้งปากบอกไปก่อนที่จะใส้คอหนีบโทรศัพท์มือถือแล้วจัดการกับกระดุมเม็ดสุดท้าย

    “ช่วยใส่มะ” คำถามยิงมาโดยไม่รอจังหวะว่าง

    “ใส่อะไร กระดุมหรือลูกปืนลงรังเพลิง” ฉันถามย้อนกลับทำเอาเขาอึ้งไปพักใหญ่ๆ ก็แน่ล่ะทั้งเขาและฉันรู้กันดีว่า ฉันยิงปืนเป็น และที่สำคัญพ่อฉันยังมี .38 ของจริงเอาไว้ไล่ยิงไอ้พวกที่มาเกาะแกะลูกสาวที่ไม่มีแม้แต่ความสวยหรือความน่ารักอย่างฉันแต่จนแล้วจนรอด ก็ได้เป้าเคลื่อนที่อย่างนายไม้มาลองฝีมือจนได้ทั้งๆที่กว่าจะฝ่าด่านฉันได้ก็ยากเต็มที

    บางคนอาจจะคิดว่าฉันนั้นเป็นสาวสวยหุ่นดี ผิวขาวจนมีใครต่อใครมาจีบ แต่เปล่าเลย ฉันไม่สวย หรือไม่มีความสวยอยู่ในบริเวณใกล้กว่า 3 เมตรส่วนฝีปากนั้น คงไม่ต้องสาธยายอะไรมาก แค่นิยามง่ายๆว่า เข้าร้านทำฟันไม่ได้เพราะหมาในปากจะกัดหมอเอาก็คงจะไม่ไกลเกินความจริงนัก แถมพ่วงท้ายด้วยวันๆอยู่ในกลุ่มผู้ชาย เฮฮาไปตามประสา ถ้าวันไหนมีคนเห็นว่าน่ารักขึ้นมา วันนั้นคงฟ้าผ่าหมาหรือไม่ก็ฝนแล้งน้ำขาดเป็นนานสองนานแน่นอน



    วันนี้คงเป็นอีกวันที่ใจกลับคิดถึงแต่คงห่าง หลังจากเลิกเรียนก็ยังคงคิดถึงอยู่ทั้งๆที่อยู่ท่ามกลางฝูงทโมน เอ๊ยกลางฝูงเพื่อนทั้งหลาย ความจริงแล้วมองไปมองมาเราก็เหมือนไข่ในหิน ที่เพื่อนมันหวงนักหวงหนา แล้วจะไม่หวงได้ยังไงในเมื่อมีฉันเป็นผู้หญิงคนเดียว และผู้หญิงคนนี้เองที่สามารถจัดการเรื่องเรียน การกิน การอยู่ รวมถึงเรื่องใจกล้าและบ้าบิ่นด้วยซ้ำไป แต่ที่แน่ๆฉันสามารถขอเบอร์สาวแถมแพกเกจถามชื่อพร้อมคณะให้เสร็จสรรพ แล้วแบบนี้จะเรียกฉันว่าอย่างไรดีล่ะ แต่ก็นะ เจ้าพวกนั้นไม่เคยเห็นหรอกว่า “เจ้าแม่” ที่พวกมันเห็นจะกลายเป็นลูกแมวขี้อ้อนที่อยู่กับผู้ชายคนนี้ ผู้ชายคนที่ไม่มีแม้แต่การติดต่อกลับมา...



    การรอคอยนั้นมันมีค่ามากมายนัก แต่ก็ยังสามารถทรมานผู้ที่รอคอยได้เช่นเดียวกัน



    สำหรับฉันในวันนี้ คงทำได้แต่นั่งมองสายฝนที่โปรยลงมาจากท้องฟ้าอีกครั้ง ความเหงา ความหนาว ความเศร้าและความอ้างว้าง ไม่ได้จางหายไปไหน และยังคงทวีคุณขึ้นไปอีกเป็นไม่รู้กี่เท่า อาการคลื่นไส้อยากอาเจียนซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากไมเกรนและยังคงมาเยือนอย่างไม่ขาด ยิ่งใกล้สอบทีไร ความกดดันยิ่งทวีขึ้นเป็นเท่าตัว ฉันต้องทำได้ดีและไม่มีที่ติด คำพูดคำนี้คงมีแต่คนบ้าเท่านั้นที่คิดจะทำ หรือบางทีไม่บ้าแต่ไขว้คว้าหามันเข้าไป สำหรับฉันผลการเรียนไม่ได้หวังอะไรนัก ขอแค่เรียนให้ได้พอใช้ก็พอเพราะสิ่งที่ต้องการนั้น มันคือประสบการณ์และการเรียนรู้ของช่วงหนึ่งในชีวิตเท่านั้น แต่สำหรับบุพการีของฉันนั้น ฉันไม่ขอเดาหรอกว่าเขาอยากได้อะไรหรือคาดหวังอะไรในตัวฉัน



    การคาดหวังเป็นสิ่งที่ดี แต่สำหรับบางครั้งการคาดหวังคือการที่ต้องการได้ดั่งใจ โดยที่ไม่คิดเลยว่าผู้ที่เราไปหวังนั้นจะทำได้หรือไม่



    “ชั้นไม่เคยทำอะไรให้ใครภูมิใจเลย ชั้นไม่เคยทำให้ความหวังของใครเป็นไปได้ขึ้นมาหรอก” คำพูดทุกครั้งเวลาที่เขาท้อแท้และสิ้นหวัง แต่เขาจะรู้มั๊ย ว่าคนที่ไม่เคยทำให้ความหวังของใครเป็นจริง ไม่เคยทำให้พ่อแม่ภูมิใจ และยังคงเป็นตัวสร้างปัญหาต่อไปนั้น ก็ยังคงนั่งปรับทุกข์ให้เขาอยู่ตรงนี้ ทุกๆคำพูด ฉันอยากจะบอกเหลือเกินว่าสิ่งที่เธอทำนั้นมันดีที่สุดแล้ว แต่ก็เท่านั้น ... บางครั้งการยอมเป็นผู้ฟังคงอาจจะดีซะกว่า

    สายฝนพรำ ยิ่งทำให้ฉันอยากร้องไห้ ในตอนนี้ฉันยังคงเหลือเพียงตัวคนเดียว ... มองไปทางไหนก็ไม่เหลือใคร เพื่อนที่หวังพึ่งฉันจะให้ฉันหวังพึ่งได้อย่างไร อย่าเลย อย่าเอาความทุกข์ใจไปให้คนอื่น ฉันค่อยๆเอนร่างพิงกับเบาะรถเมล์แล้วหลับตาลงช้าๆ ก่อนที่หยาดน้ำตามันจะร่วงลงมาให้ต้องอายใครต่อใคร



    เหนื่อย...... ล้า........ อ่อนแรงเต็มที............ มันไม่มีวิธีที่จะหยุดอะไรต่อมิอะไรลงได้เลยรึไง ทุกอย่างต้อมีทางออก แต่ตอนนี้มันคงยังหาไม่เจอ



    รถจอดแล้ว ฉันค่อยๆก้าวลงตามปกติ แล้วต่อด้วยรถมอเตอร์ไซค์เข้าบ้าน เรื่องปกติยามวิกาล... เด็กคนหนึ่งกลับบ้านโดยที่ไม่มีใครสน คนในบ้านนั้นเขาคิดแค่เพียงฉันนั้นไม่อดทน แค่นี้ก็ไม่ไหว แต่ใครจะรู้ว่าที่เหนื่อยน่ะ มันเหนื่อยใจต่างหาก ทุกครั้งที่กลับมาบ้านแล้วล้มตัวลงนอน ฉันก็แทบไม่อยากที่จะลุกขึ้นมาผจญกับความวุ่นวายใดๆอีก



    ทุ่มกว่าแล้ว ไม่มีสัญญาณเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือ... ฉันค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงสูดหายใจลึกๆ ก่อนที่จะออกไปอาบน้ำ นี่คงเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้ การปล่อยให้น้ำเย็นๆไหลรดตั้งแต่หัวจรดเท้า อาจจะทำให้สบายใจขึ้นมาบ้าง แต่เปล่าเลย อาการปวดตุบๆที่ขมับขวา ยังคงรุกรานอย่างต่อเนื่อง ฉันกลับเข้าห้องแต่ตัวก่อนที่จะเดินวนๆเวียนๆ เหมือนผีเฝ้าห้องโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรต่อดีมานานขนาดไหนก็ไม่รู้ แต่แล้วก็ตักสินใจคว้ามือถือ แล้วเดินออกมานั่งหน้าคอมฯ เปิดเกมส์เล่นแก้เซ็ง



    แต่กลับพบกับความเซ็งกว่านั่นก็คือ ไม่เหลือเกมส์ให้เล่นซะแล้ว ฉันเลยตัดสินใจต่อเน็ตเปิดเพลงฟัง พร้อมกับนั่งมอง MSN messenger ของชาวบ้านเข้าๆออกๆกันเป็นว่าเล่น



    3 ทุ่มครึ่ง ยังไม่มีโทรศัพท์มา ใจเริ่มกระวนกระวาย... คิดไปต่างๆนานา



    เคยมีคนบอกว่าถอนหายใจหนึ่งครั้งแก่ขึ้นหนึ่งวัน ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันคงแก่ขึ้นเป็นสิบๆปีไปแล้ว เพราะนั่งถอนหายใจมาอย่างนับไม่ถ้วนเลยเสียด้วย



    ในขณะที่ฉันกำลังรอสายเรียกเข้าอยู่นั้น อยู่ๆลำโพงที่เปิดเพลงก็มีสัญญาณแทรกพร้อมกับโทรศัพท์มือถือที่สั่นเป็นจังหวะ ฉันหยิบมันขึ้นมาดู ก่อนที่จะหรี่เสียงแล้ววิ่งถลากเข้าไปในห้อง คงไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าคนที่โทรมาคือคนที่ฉันรอคอยการติดต่อของเขามาทั้งวัน



    “เธอจ๋า.................คิดถึงเธอนะ” น้ำเสียงอ้อนเช่นเดิมดังตามคู่สาย แค่ได้ยินเสียงนี้ ก็ทำให้การพะวงทั้งหมดมลายหายไป ฉันขอแค่เพียงมีเขาอยู่แค่นี้ก็พอใจแล้ว..

    “คิดถึงเธอเหมือนกัน รู้มั๊ยฉันคิดว่าเธอลืมเด็กคนนี้แล้วซะอีก” น้ำเสียงกึ่งๆน้อยใจกึ่งๆตัดพ้อ

    “ใครจะใจร้ายลืมเธอลง” คำพูดคำนี้นั้นทำให้ฉันยิ้มได้ แต่ใครจะรู้ว่าคำเดียวกันนี้ก็สามารถทำให้ฉันเสียน้ำตาได้เช่นกัน

    “เธอ คิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงเธอง่ะ” เขายังคงอ้อนต่อไป

    “เดี๋ยวก็กลับแล้วนี่นา ชั้นจะไปรับนะ เอาสร้อยข้อมือมาคืนด้วยล่ะ” ฉันยังคงพูดคุยด้วยเสียงใสๆ หลังจากนั้นเรื่องสับเพเหระและการเล่าเรื่องราวก็ดำเนินต่อไป...

    “เธอชั้นเป็นห่วงแม่น่ะ” ความรับผิดชอบถูกสั่งตรงมาโดยลางสังหรณ์

    “เป็นห่วงก็โทรไปหาสิ”

    “ถ้าแม่รู้เข้าเค้าจะคิดยังไงนะ” ความกังวลยังคงไม่แปรเปลี่ยน

    “เอาน่า ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดมากเลย พรุ่งนี้เที่ยวอีกวันเย็นก็กลับแล้วนี่นา พอกลับแล้วค่อยยืดอกรับผิดแล้วกันนะ” ฉันค่อยๆปลอบไปตามประสา

    “อื้ม คิดถึงเธอ คิดถึงแม่ คิดถึงบ้าน... อืมขอคิดถึงแม่มากกว่าคิดถึงเธอแล้วกันนะ ชั้นเป็นห่วงยังไงบอกไม่ถูก” คำพูดกึ่งทะเล้นยังคงอยู่ในอารมณ์ซีเรียส ฉันได้แต่หัวเราะ

    “ดีแล้วล่ะ รักแม่ให้มากๆนะ”

    “อื้ม นี่ยังคิดอยู่ว่าถ้าเจอเธอแล้วชั้นจะอดใจไม่ให้กอดเธอได้มั๊ยนะ” คำพูดของเขาทำเอาหน้าฉันร้อนผ่าวขึ้นมาทันตาเห็น

    “บ้า!”

    “เธอไปรับชั้นแล้วไปนั่งร้านกาแฟกันนะ คิดถึงร้าน คิดถึงเธอ...อยากจะกอดเธอนะ” เสียงทุ้มนุ่มของเขาทำเอาใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะเสียด้วยซ้ำ

    “อื้ม” ฉันได้แต่อายแล้วก็รับปากอย่างเขินๆก่อนที่จะวางสายไป...



    ขอแค่เพียงได้ยินเสียง แค่ได้ยินเสียงของเธอเท่านั้น แค่นี้ฉันก็มีความสุขแล้ว อีกแค่วันเดียว ฉันก็ได้เจอคนที่รอแล้ว เหลือเชื่อนะ มันแค่เพียง 5-6 วันแท่นั้น แต่การรอคอยของฉันทำมันราวกับว่ามันนานนับปีเลยทีเดียว





    วีเรศวร





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×