ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึกการรอคอย

    ลำดับตอนที่ #3 : วันถัดมา

    • อัปเดตล่าสุด 16 ต.ค. 48




    4 Oct 2005

    Dear diary,





    อัสดงทรงตะวันพลันลับแสง      ไร้สำแดงฤทธาพาใจขม

    จบขอบฟ้าจูบผืนน้ำคร้ามจิตตรม          ฤทัยซมครวญหาผู้ลาไกล



        การตื่นตอนเช้ามาพบกับความสดใสนั้น ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่ายินดีของวัน แต่คำพูดนี้คงใช้ได้เฉพาะกับคนต่างจังหวัดเท่านั้น เพราะคนในกรุงเทพยามนี้ ไม่มีใครได้สนใจบรรยากาศยามเช้ากันนักหรอก เนื่องจากความเร่งรีบและการมีอยู่อย่างจำกัดของเวลา



    เช้านี่มันยังเป็นวันปกติที่หาสาระอะไรไม่ได้ นอกจากไปเรียนแบบกึ่งๆเซ็งเนื่องจากวิชา Biology หนึ่งในวิชากำหราบเซียน แต่ช่างเถอะยังไงซะกำลังใจก็มีมาตั้งแต่เช้า เพราะอะไรน่ะหรอ ก็โทรศัพท์ไง โทรศัพท์ตอนเช้าที่สั่นจนตกใจแทบตกเตียงเพราะคนที่คิดถึงโทรมาบอกว่าเช้านี่จะย้ายที่พัก และจบลงด้วยคำว่าคิดถึง ประโยคเดิมๆ ซ้ำๆ เรียบๆ แต่กลับดังก้องอยู่ในหัวของฉันตลอดวัน



    วันนี้สอบ Eng วิชาที่อยากจะโดดเป็นที่สุด เพราะว่ามันคือความน่าเบื่อในการเรียน ชีวิตนี้ไม่เคยรู้สึกเซ็งขนาดนี้มาก่อน จะโดดก็ไม่รู้จะไปทำอะไรดี เข้าไปก็ได้แต่หลับ แต่ตอนสอบมันกลับทำได้ เฮ้อคนเรา วิชาที่ตั้งใจแทบตาย เรียนแล้วอยากจะโดดตึกมันซะเดี๋ยวนั้น ให้มันได้อย่างงี้สิ!



    ตอนบ่ายๆ หลังจากเลิกเรียน ในขณะที่หัวใจกำลังคิดถึงใครบางคนอยู่นั้น คนที่คิดถึงก็โทรมาเป็นครั้งที่สองของวันแค่เพียงได้ยินเสียง โลกที่ดูเหมือนจะเงียบเหงาก็พลันสว่างขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าที่ระรื่นเรียกเสียงแซวจากเพื่อนๆได้อีกชุดสองชุด ก่อนที่ฉันต้องลี้ภัยไปหาที่คุยเงียบๆ แล้วบอกว่าตอนนี้อยู่ทีริมหาดก่อนที่จะเงียบให้ฉันฟังเสียงคลื่นซัดสาด เจ้าตัวบอกผ่านคลื่นโทรศัพท์มาว่า



    อยู่ริมหาดแบบนี้มันชวนให้คิดถึงใครบางคน..



    นั่นสินะ แต่ชายหาดตอนบ่าย คงมีประกายแดดบนผืนน้ำสีครามกับชาดหาดสีขาวเท่านั้นล่ะมั๊ง หาดทรายขาวสะอาดที่ปราศจากผู้คน ยิ่งฟังจากปากยิ่งทำให้ฉันอยากจะไปยืนอยู่ข้างๆ เราคุยกันสัพเพเหระจนกระทั่งเขาตัดสายไป แต่รอยยิ้มยังคงค้างอยู่โดยที่คิดว่ามันคงจะจางหายไม่ง่ายนัก ฉันยังคงยิ้มจนเพื่อนแซวอีกระลอก



    เลิกเรียนแล้ว แต่ยังไม่อยากกลับบ้านเลย คำพูดที่คุยกันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว



    \"ฝันถึงเธอด้วย อยากให้เธออยู่ใกล้ๆ\"  

    ยิ่งคิดยิ่งทำให้แทบละเมอ



    ไม่รู้สินะ การที่ใครซักคนที่อยู่เคยใกล้ๆกลับต้องห่างไกลกันแบบนี้ มันทำให้รู้สึกเหงายังไงบอกไม่ถูก นี่อีกไม่กี่วันก็จะต้องสอบแล้ว ฉันยังคงไปเรียนตามปกติ ทั้งๆที่เด็กมหาลัยอื่นปิดจะหมดแล้ว นี่ก็คงเป็นความเบื่อหน่ายอีกอย่างหนึ่ง ความจริงแล้ว ช่วยนี้ฉันเริ่มเครียดกับการเรียนและสภาวะงี่เง่าที่ต้องเจอกับเพื่อนที่น่ารัก แวะเวียนมายิ้มแย้มเพื่อหาคนช่วยติว ช่วยสอนให้เป็นระยะๆ กับคำขู่ของบุพการีที่บอกแค่ให้ไปเรียนกับเอาเกรดสวยๆมาฝาก แล้วนี่ฉันจะมีปัญญาหามาจากไหน บ้านกับมหาลัยห่างกันคนละซีกโลก แค่ไปกลับอย่างเดียวก็ทำให้ทรุดแล้ว นี่ยังมีงานแล้วก็การบ้านอีกกองพะเนิน บวกกับสภาพชีวิตอันน่าเบื่อหน่าย ยิ่งทำให้อาการปวดหัวข้างเดียวกำเริบขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว และแน่นอนมันจะมาแค่ปวดหัวอย่างเดียวคงไม่ทรมานฉันอย่างพอเพียง แต่มันมาพร้อมกับอาการปวดเกร็งที่กระเพาะและอยากอาเจียน ซึ่งเป็นโรคที่เรียกว่าพ่วงท้ายเพื่อความทรมานของคนที่เป็น

    ฟ้าครึ้มๆ ก่อนที่ฝนจะเทลงมาอย่าสะใจในขณะที่ฉันคิดจะกลับบ้าน แน่นอนเมื่อฟ้ารั่วซะขนาดนี้ เราคงต้องทำตามประสงค์โดยการแกร่วอยู่ที่มหาลัยอีกสักชั่วโมง สองชั่วโมง เพื่อรอให้ฝนซา และการจราจรลื่นไหลไปได้บ้าง ไม่อย่างนั้นถึงแม้ฝนจะหยุด แต่ก็คงต้องติดแหง็กอยู่บนถนนที่รถติดวินาศอีกสายของนครแห่งเทวดาอย่างกรุงเทพเป็นแน่ คิดแล้วก็เซ็ง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เลยชะแว็บเข้าหอสมุดนั่งอ่านหนังสือฆ่าเวลาเล่นแก้เซ็งไปพลาง และแน่นอนใครมันจะบ้าอ่านหนังสือเรียน ฉันก็ไปขนหนังสือนิยายบ้าง วรรณกรรมบ้าง หนังสือแปลบ้าง มานั่งเสพจนกว่าฝนจะซา เพราะความหวังที่จะให้มันหยุดตกเลยของฉันนั้น มันแทบจะกลายเป็นศูนย์เนื่องจากมันตกมาชั่วโมงกว่าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

    ไม่ว่ามันจะหยุดหรือไม่หยุด ฉันก็ยังคงทู่ซี้อ่านหนังสือในหอสมุดต่อไป แอร์เย็นฉ่ำ ที่ฉันคิดว่ามันเย็นจนเกินพอดี กับโต๊ะอ่านหนังสือสำหรับคนเพียงคนเดียวนั้น ก็ยังคงสามารถลดความเบื่อหน่ายให้ฉันได้บ้าง แต่แล้ววันนี้เรียกว่าดวงซวยหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ อยู่ๆไฟในหอสมุดก็พร้อมใจกันดับพรึบลงทั้งหมด เสียง \"เฮ้ย\" ดังขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย แต่ก็ยังดีที่ฉันนั่งข้างหน้าต่าง จึงทำให้พอมีแสงสว่างลอดเข้ามาทำให้ยังคงอ่านหนังสือต่อได้ ส่วนเรื่องร้อนรึเปล่านั้นคงไม่ต้องพูด เพราะตอนที่เปิดแอร์คนอื่นอาจจะเย็น แต่สำหรับฉันนั้น มันจะทำให้ฉันแข็งตาย!!

    สายฝนขาดเม็ดแล้ว ฉันเก็บหนังสือเข้าที่แล้วก็รีบโบกปีกร่ำลาจากหอสมุดลงสู่พื้นซีเมนต์ของมหา’ลัย ถลาไปสู่ป้ายรถเมล์ และไอ้ที่ป้ายนี้เองที่สร้างความขุ่นเคืองให้กับนักศึกษาเนื่องด้วยรถเมล์คันที่อยากขึ้นมักจะไม่จอด แต่ขึ้นที่ไม่ได้ขึ้นกลับจอดจนทำให้รถติด และนี่ก็ทำให้นึกถึงครั้งที่แซวพ่อตัวดี “เพราะมหา’ลัยเธอนี่แหละ ทำให้รถติดอย่างหายนะ” แต่ความจริงแล้วมหา’ลัยที่ตัวเองเรียนอยู่ ก็ไม่ได้น้อยหน้าเขาเลยเช่นกัน...



    รถเมล์มาแล้ว ฉันรีบโดดขึ้นไปนั่งโดยไม่รีรอ...



    และความจริงก็ปรากฏขึ้นว่า มันติดวินาศสันตะโรจริงๆดังคาด แต่ติดไม่พอ น้ำยังคงท่วมเป็นหย่อมๆอีกต่างหากนี่ล่ะหนอ กทม. เฮ้อ

    รถติดแบบนี้ฉันจึงเบนสายตาออกไปนอกหน้าต่าง นั่งมองทุ่งหญ้าข้างทางให้สบายตาพลางคิดถึงคนที่อยู่ห่างไกลออกไป ตอนนี้เธอกำลังไปเที่ยวที่ไหนนะ จวนจะค่ำอยู่แล้วคงเหนื่อยน่าดูเลย แถมตอนนี้ยังไม่ต้องมาผจญกับสภาพรถติดที่แสนน่าเบื่อแบบนี้อีกต่างหาก ใจหนึ่งก็อยากจะออกไปเก็บประสบการณ์ด้วย แต่อีกใจเล่า จะไปได้ยังไงกัน ก็เราเป็นผู้หญิงนี่ไปกับผู้ชายน่าเกลียดตายชัก เฮ้อ............... ช่างมันเถอะ คิดได้แค่นี้แล้วก็ถอนหายใจ ก่อนที่จะตัดสินใจเอาหัวพิงกระจกข้างๆแล้วหลับตาลงเนื่องด้วยความเบื่อหน่ายและอ่อนเพลีย



    ถึงอนุสาวรีย์แล้ว ฉันต้องลงจากรถคนหนึ่งก่อนที่จะต่ออีกคันเนื่องจากหมดระยะ ด้วยความเหนื่อยใจ รถเยอะคนแยะ แต่ยังคงแออัด ถ้าเป็นไปได้ อยากจะหนีไปจากเมืองที่เต็มไปด้วยมดงานที่รีบเร่งอย่างกรุงเทพเสียจริงๆ

    นั่งรถมาร่วมๆ 2 ชั่วโมงด้วยความเบื่อและความเซ็ง ก่อนที่จะย้ายตัวขึ้นนั่งมอเตอร์ไซค์ต่อข้าบ้าน นี่ถ้าไม่เขียนก็ไม่รู้เลยว่าการไปกลับนี่มันหลายทอดหลายต่อซะจริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามหา’ลัยเรามันชนบทหรือบ้านเรากันดารกันแน่



    ฉันเข้ามาในบ้าน ด้วยอาการสะลึมสะลือเนื่องจากเพิ่งตื่นแต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงทักทายเสียงแรกคือ จะสอบแล้วอ่านหนังสือหรือยัง ในใจนั้นตอบไปแล้วว่า ยางงงงงงงงงงงงงง แต่ความจริงที่ปากพูดก็คือ



    \"อ่านบ้างแล้วน่า... \" ฉันตอบก่อนที่จะชิ่งเข้าห้องล็อกประตู



    อย่างแรกที่ฉันทำคือค้นโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าแล้วลองโทรดู ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าคงปิดเครื่อง แต่แล้วสิ่งที่ได้ยินคือสัญญาณสายไม่ว่าง!! ฉันลองวางสายแล้วรอสักระยะเพื่อที่จะโทรไปใหม่ และตอนที่ฉันกดเบอร์โทรเสร็จพร้อมกับกดปุ่มโทรออก เบอร์ที่เพิ่งกดโทรออกไปนั้นก็โทรกลับเข้ามา สิ่งนี้เองที่มันทำให้ฉันยิ้มออกมาได้อีกครั้ง



    ถ้าบอกว่ามันทำให้ฉันหายเหนื่อยคงจะเวอร์ไป แต่ถ้าบอกว่ามันทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้นล่ะก็ คงไม่เถียงแน่ๆ

    \"จะมืดแล้ว โพล้เพล้แบบนี้คิดถึงเธอจังเลย\" ประโยคอ้อนแบบเดิมมาในรูปแบบใหม่ขึ้น แต่ว่ายังไงซะคำว่าเบื่อกับรำคาญก็ไม่ได้มากร้ำกรายมากกว่าคำว่าคิดถึงและดีใจเลยซักนิด

    \"มีคนเค้าบอกว่าเวลาใกล้จะมืดแบบนี้มันทำให้คิดถึงคนที่อยู่ไกลออกไป จริงรึเปล่า\" กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองถามคำถามชวนอ้วกเข้าไปก็สายเสียแล้ว

    \"สำหรับชั้นมันคงจริงมั๊ง แล้วเธอล่ะว่ามันจริงรึเปล่า\" คำถามเสียงนุ่มตอกกลับมาจนทำให้ฉันพูดอะไรไม่ออก

    \"คง.....จริงมั๊ง\" ฉันทิ้งระยะไว้สักหน่อยแล้วค่อยตอบเนื่องด้วยความเขิน

    \"รู้มั๊ยตอนนี้เหงามากๆ คิดถึงเด็กซนๆที่คุยกันประจำ\"

    \"คิดถึงเหมือนกัน ว่าแต่ว่าวันนี้ไปเที่ยวไหนมาบ้างล่ะล่าให้อิจฉาเล่นหน่อยสิ\" ฉันเริ่มเฉไฉ แต่เขาก็เล่าเรื่องที่ไหนเที่ยวไหนต่อไหนให้ฉันฟัง ก่อนที่คุณชายจะขอตัวไปอาบน้ำ และฉันก็ได้ฤกษ์อ่านหนังสือ เฮ้อ ความจริงแล้วอ่านไปก็เท่านั้น เพราะในหัวมันไม่จำอะไรเลยนอกจากจะบอกว่าอยากจะนอน เลยคิดว่าอาบน้ำซะหน่อยดีกว่า แต่ว่าจะอาบๆก็ไม่ได้อาบซะทีเพราะเผลอหลับ!!



        2 ทุ่มกว่าๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับคำขอที่ว่า

    \"โทรกลับมาหาหน่อยนะ\" เอาวะโทรก็โทร



    ฉันโทรกลับไปเพื่อที่ขอแค่ได้ยินเสียงก็พอ

    \"ตอนนี้น่ะอยากให้เธอมาอยู่ด้วยนะ ไม่อยากเหงาอยู่คนเดียวเลย เฮ้อ..ชักอยากกลับซะแล้วสิ อยากกลับไปหาเธอจัง..นี่อยากกอดเธอน่ะ ขอแค่คิดว่าเธออยู่ข้างๆชั้นได้มั๊ย\" เสียทุ้ม นุ่มและอารมณ์อ้อนยังคงเป็นปกติ เห็นเขาขี้อ้อนแบบนี้ แต่ถ้าเป็นการเป็นงานล่ะก็เขาก็เป็นผู้ใหญ่และที่ปรึกษาได้อย่างดีทีเดียว

    \"ชั้นก็อยู่กับเธอตลอดแหละน่า\"

    \"อืม..ตอนนี้เธออยู่ข้างๆแล้วใช่มั๊ย ต่อไปจะทำอะไรกับเธอดีน๊า...\" น้ำเสียงเจ้าเล่ห์กะล่อนออกมาตามสาย ฉันไม่น่าพลั้งปากเลย ไอ้วีเอ๊ยแกพลาดซะแล้ว

    \"บ้า!! เพ้อได้เป็นตุเป็นตะ\" ฉันแหวใส่เพราะเผลอจินตนาการอะไรบ๊องๆตามที่คนพูดชวนให้คิด เสียงหัวเราะร่าตอบกลับมาพร้อมกับเสียงแซว

    \"อย่าคิดไปไกลสิ นี่ทะลึ่งจริง!\"

    \"ก็ใครให้คิดเล่า\" ฉันเถียงกลับก่อนที่จะสูดหายใจขัดๆเพราะเริ่มหายใจไม่ออก

    \"นี่แพ้อากาศอีกแล้ว กินยาแล้วนอนเถอะ ไม่กวนเธอดีกว่านะ\" และแล้วสัญญาณก็ขาดหายไป มันไม่ใช่เพราะเขาวาง แต่เป็นเพราะ \"ยอดเงินในบัญชีของคุณไม่เพียงพอต่อการใช้บริการ\" ถ้าหากใครใช้เครือข่ายระบบนี้คงรู้ดีสำหรับประโยคนรกนี่..



    ความจริงบัตรเติมเงินก็มี แต่ดันโทรก่อนเติม ช่วยไม่ได้แฮะ ความคิดไวเท่าการกระทำ ฉันค้นบัตรเติมเงินออกมาขูดๆๆ ก่อนที่จะทำการเพิ่มยอดเงิน แต่ว่าพอโทรกลับไป โทรศัพท์ก็ปิดเครื่องไปเสียแล้ว...



    นี่ฉันพลาดอีกแล้วสินะ สรุปแล้วคืนนี้ทั้งคืน ฉันก็ติดต่อเขาไม่ได้อีกเลย





    วีเรศวร

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×