ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึกการรอคอย

    ลำดับตอนที่ #1 : ออกเดินทาง

    • อัปเดตล่าสุด 16 ต.ค. 48




    2 Oct 2005

    Dear diary,



    ผีเสื้อจูบดอกไม้คล้ายบอกกล่าว        ว่าถึงคราวตามฝันพลันหล่นหาย

    ดอกไม้แย้มยิ้มรับน้ำตาพราย                    วอนพระพายพัดพาภุมมาคืน



    คำเหงาๆที่ผุดขึ้นมาในหัวครั้งแล้วครั้งเล่า ของดอกไม้ดอกหนึ่งที่หวังให้ลมหนาวกับสายฝนพรำหอบนำความคิดถึงไปสู่ผีเสื้อผู้บินไกล    



    สำหรับฉันแล้วมันยากเหลือเกิน ยากที่จะเอ่ยคำขอร้องให้อยู่ เพราะมันคงเห็นแก่ตัวมากเกินไปที่จะให้คนๆหนึ่งต้องมานั่งทนทุกข์อยู่กับอีกคนซึ่งดูเหมือนเส้นด้ายชีวิตบางๆที่เหลืออยู่กำลังจะขาด อย่าเลย อย่าปล่อยให้ความโศกเศร้าของตนเองทำร้ายใครเลย จงปล่อยเขาไปเถิด..



    เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงสัปดาห์เนื่องจากการตัดสินใจของเขา



    \"เจอกันพรุ่งนี้ที่เดิมนะ\" เสียงนัดหมายของเขาผ่านทางโทรศัพท์ โดยที่นึกว่าเจ้าตัวคงจะลืมเสียแล้ว

    \"ได้สิ\" คำตอบเพียงสั้นๆของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งตอบรับก่อนที่จะวางสายไปเพราะอาการปวดตุบๆเริ่มเข้าจู่โจมที่ขมับด้านซ้าย



    เรานัดกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง โดยที่คุณชายมาสายอีกตามเคย



    \"เธอจ๋า.............. ขอโทษนะ คงไม่ได้ดูหนังแล้วล่ะ\" คำพูดออดอ้อนถูกหยอดทันทีเมื่อเจ้าตัวมาถึง

    \"อื้ม ไม่เป็นไรหรอก\" ฉันตอบสบายๆแต่อาการใจสั่นมันกำเริบอีกแล้ว คงเป็นเพราะเครียดเกินไป แต่ในใจนะอยากจะขอบคุณเขาสักคำที่ยังอุตส่าห์จำคำชวนของเด็กซนๆที่อยากดูการ์ตูนได้

    \"อืมม งั้นเธอไปซื้อของเป็นเพื่อนหน่อยสิ!\" คำขอร้องออกจากปากหนุ่มจอมทะเล้นก่อนที่จะฉุดมือฉันให้ลุกขึ้นยืนแกมบังคับ แต่คำถามเดิมๆกับน้ำเสียงเป็นห่วงยังคงดังออกจากปากของเขา

    \"เป็นอะไรรึเปล่า..\"

    \"มีอะไรรึเปล่า\"

    \"ไหวมั๊ย\" คำถามที่เจือด้วยน้ำเสียงห่วงใยแบบนี้ล่ะ ยิ่งทำให้ฉันไม่อยากเอ่ยอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว

    \"ง่วงนอนอ่า...\" คำแก้ตัวพร้อมกับอาการหาวมันใช้ได้ดีเสมอ แต่คงเก็บอาการได้ไม่นาน



    คุณชายพาฉันไปสวนจตุจักร พร้อมกับบอกเล่ารายการของที่ต้องการจะซื้อ ดังนั้น ยัยวีจึงจำเป็นต้องลากคุณชายไม้ตะลอนๆไปทั่วเพื่อหาร้านขายของ จนบ่ายๆนั่นแหละถึงจะได้ของครบ

    เขาว่ากันว่าถ้าจะไปซื้อของที่จตุจักรนั้นคุณผู้ชายกรุณาควงเพื่อน เพื่อนหญิง แฟน พี่สาว น้องสาว ไปด้วยท่าจะดี เพราะเห็นแต่ละรายแล้วจะต่อแต่ละทีอิดๆออดๆเหลือเกิน จนบ่ายสองกว่าๆ เขาจึงชวนฉันไปร้านหนังสือ วันนั้นที่นั่นมีงาน...

    แต่แค่เพียงฉันขึ้นรถเมล์อาการปวดตุบๆก็วกกลับมาพร้อมกับอาการเวียนหัวและอยากจะอาเจียน คงเป็นผลข้างเคียงของโรคเก่าที่รักษาไม่หายขาด

    \"ถ้าจะนอนไปนั่งเบาหลังมั๊ย\" ความเอื้ออาทรดังมาจากชายที่นั่งข้างๆ

    \"ไม่ล่ะ ไม่ต้องลุกๆนั่งๆหรอก\" ฉันปฏิเสธก่อนที่จะเอาหัวพิงกับกระจกรถแล้วหลับไป แต่ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาก็เพราะเสียงเรียกจากชายข้างๆบอกว่าเตรียนตัวลงเถอะ



    ลงจากป้ายรถเมล์จะต้องข้ามถนนที่ไม่มีแม้กระทั่งทางม้าลาย ฉันเพิ่งสังเกตตอนนี้เองว่าไม่ว่าจะเดินหรือนั่งก็ตาม ไม้จะจับมือของฉันไว้เสมอ ถึงแม้ไม่จับเขาก็ทำแค่เพียงแตะแขนเบาๆ เท่านั้น ซึ่งนั่นก็คงเป็นอย่าหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียว แต่พอถามเข้าก็ได้คำตอบที่ต้องอมยิ้มนิดๆว่า

    \"เดี๋ยวหลง!\"

    หลังจากงานเลิก เขาส่งฉันขึ้นรถกลับบ้าน...และทุกครั้งเมื่อถึงบ้าน ฉันก็จะโทรไปหาเขาเพื่อบอกให้รู้..

    เมฆฝนเริ่มก่อตัวให้กำเนิดหยดน้ำเล็กๆ และเริ่มหนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆ จนฉันเปียกไปหมด ฉันรีบกลับบ้าน อาบน้ำสระผมแล้วเข้านอนทันทีด้วยความเหนื่อยและเพลีย แต่แล้วเสียงโทรศัพท์บ้านก็แผดขึ้นจนทำให้ฉันต้องสะดุ้งตื่น

    \"เธอ..ถึงบ้านแล้วใช่มั๊ย พรุ่งนี้บ่ายสามโมงเจอกันนะ\" น้ำเสียงขาดห้วง เขาเริ่มทำท่าจะวางสาย

    \"จะวางแล้วหรอ\" ฉันอ้อนตามประสา แต่แล้วอยู่ๆสายฟ้าก็ฟาดลงจากท้องฟ้าจนทำให้เกิดแสงสว่างแปลบปลาบ ฉันเผลอตัวร้องออกมาด้วยความตกใจ



    สายฟ้า เส้นสีเงินที่ฟาดผ่านอากาศลงสู่พื้น มันตามมาด้วยเสียงกัมปนาทอันน่าพรั่นพรึง คงเป็นอีกอย่างละมั๊งที่ฉันหวาดผวา

    \"เธอเป็นอะไรไป\" น้ำเสียงแบบนี้อีกแล้ว ... น้ำเสียงแห่งความอาทรที่ทำให้ฉันไม่อยากแม้แต่จะทำตัวให้เขาลำบากใจ

    \"เปล่าแค่กลัวฟ้าฝ่าน่ะ\" คำพูดราวกับเด็กยิ่งทำให้ปลายสายหัวเราะ

    \"หัวเราะอะไรเล่า\" ครั้งนี้ไม่ได้แกล้งทำแต่เป็นเพราะความเขิน

    \"จ้าๆ ไม่หัวเราะก็ได้ เอ้า มีอะไรจะคุยก็ว่ามา\" เขาร่างเริงขึ้นแล้วฉันก็รู้สึกโล่งใจ ทุกครั้งที่น้ำเสียงกลุ้มใจผ่านทางสายโทรศัพท์ ยิ่งทำให้ฉันกังวลและรู้สึกไม่ดี จนถึงแม้ตัวเองอยากจะระบาย ก็ไม่กล้าที่จะเปิดปาก



    ในที่สุดวันออกเดินทางก็มาถึง ความจริงแล้วในใจฉันไม่อยากให้เขาไปเลย ก่อนไป ฉันไปส่งเขาที่สถานีขนส่ง สร้อยข้อมือทำมาจากเชือกถูกเปลี่ยนเจ้าของโดยที่ฉันบอกเขาแค่ว่า

    \"ต้องเอากลับมาคืนนะ\" คำพูดคำนี้หาฟังๆดูคงไม่มีอะไรแปลก แต่ว่าสิ่งที่อยู่ข้างในลึกๆนั่นก็คือ คำสัญญาของฉันต่างหาก มันเป็นคำสัญญาที่บอกว่าจะเข้มแข็ง จะอดทน และจะไม่ทำอะไรบ้าๆลงไป ฉันจะอยู่รอเพื่อเอาสร้อยเส้นนั้นคืน ด้วยมือที่สวมมันให้กับเธอ...



    18.50 น. เขาขึ้นรถไปแล้ว ส่วนฉันก็ออกเดินไปขึ้นรถกลับบ้าน...



    สายลมเอื่อยๆพัดเข้ามาตาช่องหน้าต่าง ยิ่งทำให้ใจหาย... ความคิดห่วงหา ค่อยๆขยายตัวออกมาจนทำให้ฉันรู้สึกราวกับตัวเองกำลังละเมอ



    ฉันแวะซื้อของนิดหน่อยก่อนกลับ แต่ว่าเสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้น ตอนแรกคิดว่าที่บ้าน เลยปล่อยไว้จะไม่รับ แต่พอดูเบอร์โทรศัพท์แล้ว กลับกลายเป็นเขาที่เพิ่งขึ้นรถไปเมื่อครู่



    เสียงจากปลายสายทำให้ฉันหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง ...



    \"ถึงแล้วโทรมานะ\" น้ำเสียงสั่งเหมือนเด็กสาวมที่คงต้องงอนแน่ๆถ้าไม่ทำตาม

    \"จ้า\" เสียงตอบปนขำดังกลับออกมาก่อนที่สัญญาณจะตัดไป



    การอยู่ห่างไกลกันมากขึ้นนั้น มีนทำให้เรารู้ซึ้งถึงคุณค่าของการอยู่ใกล้ๆกัน และทำให้รู้จักความหมายของคำว่าคิดถึงได้ดีมากขึ้น





    วีเรศวร



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×