คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 4 ดอกไม้ช่อเดิม
Chapter 4
ดอกไม้ช่อเดิม
พรึบ กึก!
ช่อดอกไม้ที่ทำจากแบงค์สีเทาจำนวนหลายสิบใบถูกโยนลงถังขยะทันทีที่เปลี่ยนไปอยู่ในมือของคนน้อง
“น้องไลค์ทิ้งมันทำไมคะ พี่อุตส่าห์พับมาให้”
“แค่เศษเงินกับคำเชย ๆ”
“น้องไลค์…”
“วันนี้ไม่ใช่คิวของพี่นะคะ วันนี้เป็นคิวของน้องจอม มอ.BK พี่จำวันผิดรึเปล่า!?”
“คะ…คือพี่”
“ถ้าเกิดจอมเข้าใจฉันผิดฉันจะเอาเรื่องพี่!”
“ขะ…ขอโทษ พี่กลับแล้วก็ได้ค่ะ”
Part : ไลค์
“หลัง ๆ มานี้เราเจอกันบ่อยนะแกว่ามั้ย?” เสียงของฮันนี่ดังขึ้นจากในครัว โดยมีซานกำลังยืนทำอาหารอยู่
“เพื่อนกำลังสับสนอยู่ เรียกมาปรึกษาไม่ได้เลยรึไง?”
“สับสนเรื่องอะไร?”
“ฉันกำลังคิดอยู่ว่าฉันจะเอายังไงกับชีวิตดี”
“แกสับสนอะไร ไหนลองพูดขึ้นมาสักหนึ่งประโยคดิ๊ ที่มันติดอยู่ในใจแกตอนนี้”
“เรื่องพี่โซ”
“นั่นไงฉันว่าแล้ว!” ฮันนี่วางจานลงบนโต๊ะอาหาร ก่อนซูมี่จะช่วยจัดเรียง
“สุดท้ายแกก็กลับมาสนใจพี่โซ”
“สนใจบ้าอะไร เค้าเรียกสับสนโว้ย สับสนที่แปลว่าไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อไป”
“ก็ถ้าแกไม่ได้ติดใจอะไรขนาดนั้น แกจะไปคิดมากทำไม”
“ก็ฉันรู้สึกผิดอ่ะ ฉันลืมเล่าไปว่าวันนั้นที่เจอกัน พี่เขาบอกคิดถึงฉัน และการที่พี่เขาพูดคำนั้นออกมา ก็แสดงว่าพี่เขาก็ยังมีเยื่อใยอยู่รึเปล่า”
“แล้วมันทำไม ก็ในเมื่อแกไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่เขา”
“เอาจริง ๆ นะ ตัดเรื่องสเปกออกไป พี่โซเขาก็เป็นคนดีคนนึงเลย”
“สรุปดีหรือไม่ดีกันแน่”
“ฉันไม่รู้”
“ทิ้งพี่เขาไปเป็นปี สุดท้ายก็กลับมานั่งคิดเรื่องเขาเนี่ยนะ? แล้วที่บอกว่ารู้สึกผิดเนี่ย เรื่องอะไร”
“ก็ที่ฉันทิ้งพี่เขาอย่างไร้เยื่อใย ฉันกลับมาคิดดูอีกที หรือฉันหักดิบเกินไป เหมือนจะเคยได้ยินว่าพี่เขาอยู่ตัวคนเดียว”
“ใช่ ที่พี่โซเป็นคนนึงที่ฉันนับถือมาก ๆ เพราะน้อยนะที่จะมีคนตั้งตัวได้ตั้งแต่อายุยังน้อย คนบ้าอะไรเริ่มทำธุรกิจต่อจากครอบครัวตั้งแต่อายุยี่สิบเอ็ด” ซูมี่เริ่มพูดถึงบุคคลที่ตัวเองนับถือว่าเป็นไอดอล
“ด้วยตัวคนเดียว ไร้คนปรึกษา ไร้คนแนะนำ ณ ตอนนั้นแล้วดูตอนนี้สิ พี่เขามีทุกอย่าง ทรงอำนาจ” ฮันนี่พูดเสริม “เพราะแม่พี่เขาจากไปกระทันหัน ก็เลยไม่ได้เตรียมการอะไรเอาไว้ก่อน เป็นฉันคงจะเครียดตายเลยนะ ที่อายุแค่นั้นแต่ต้องมาอยู่ในฐานะผู้บริหารระดับสูงสุดน่ะ”
“แกก็อย่าไปเรื่องเยอะกับพี่เขาเลย พี่เขาใช้เกือบทั้งชีวิตมากับงานแล้วอ่ะ พี่เขาควรจะได้มีความสุขกับอะไรที่ไม่ใช่งานบ้าง เช่นการมีความรักที่ดี” ฮั่นนี่ใช้ทัพพีตักข้าวในหม้อใส่จานให้เราทีละคนอย่างใจเย็น
“ยัยไลค์ ถือว่าฉันขอล่ะนะ กับพี่โซคนนี้แกไม่เอา สเปกมาเป็นตัวกำหนดได้มั้ยวะ พี่เขาไม่ควรถูกแกทิ้งเพียงเพราะแค่ไม่ตรงสเปกอ่ะแก” ซูมี่ที่เดินไปหยิบเอาน้ำในตู้เย็นมาเทใส่แก้วให้เช่นกัน ในขณะที่ซานได้ถ้วยอาหารเข้ามาวางไว้ตรงกลางโต๊ะ
“นี่แหละที่ฉันรู้สึกผิด ฉันยอมรับว่ามันเป็นการเลิกคุยกันด้วยเหตุผลที่ไร้สาระมาก ๆ”
“ยัยพี่พิมพ์ที่มันตรงสเปกแกน่ะ เห็นรึยัง ว่ามันก็ไม่ได้ดีเลย แกจะชอบไปทำไมวะคนปากหวาน ยิ้มเก่งแต่ลับหลังเป็นคนละคน”
“ใช่ ฉันว่าคนอย่างพี่โซน่ะน่าค้นหากว่าตั้งเยอะ”
“ยังไง” เธอเลิ่กคิ้วถามยัยฮันนี่อย่างไม่เข้าใจ เพราะที่ผ่านมาเธอคิดว่าอีกคนออกจะน่าเบื่อ
“คนที่นิ่ง ๆ และเงียบขรึมแบบนั้นน่ะ ตอนมีความรักอาจจะเป็นคนละคนไปเลยก็ได้นะ แบบว่าคลั่งรักกับเธอแค่คนเดียวอะไรอย่างงี้”
“ก็จริง แล้วคิดว่าพี่คนอย่างพี่โซเขาจะอยากกลับมาคุยกับฉันอีกเหรอ? ทำไว้ซะขนาดนั้น”
“ถ้าแกรู้สึกผิดจริง ๆ แกก็ลองไปขอโทษพี่เขาแล้วก็เปิดอกคุยกับพี่เขาดี ๆ มั้ย?”
“มันยังทันอยู่เหรอวะ?” นี่ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้วนะ...
“ก็ถ้าแกด้านพออ่ะนะจะกี่ปีก็ไม่สายนอกซะจากพี่เขาจะมีคนใหม่ไปแล้ว”
“อ้าว ทำไมพูดหมา ๆ แบบนี้-” ฉันใจเสียเมื่อได้ยินว่าอีกคนมีคนอื่น ทำไมกันนะ
“ด้านได้ อายอดอ่ะ แกเคยได้ยินคำนี้มั้ย” ฮั่นนี่พูดขึ้นพร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ
“ฉันไม่ได้อยากได้พี่เขาสักหน่อย”
“งั้นก็ยกให้ยัยซูมี่ไปนะ ถ้างั้น-”
“ไม่!”
“ไลค์ แกอย่าหวงก้างดิไหนบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขาไง”
“คือว่า...” เธอหันไปสบตากับซูมี่ ที่นั่งอยู่ข้างซานฝั่งตรงข้ามกัน
จริง ๆ ยัยซูมี่มันก็แอบชอบพี่โซมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เพราะอีกคนนั้นเลือกที่จะมาคุยกับเธอ ซูมี่จึงไม่ได้คิดจะแย่งพี่เขาจากเธอ แถมยังไม่โกรธกันด้วย เมื่อรู้ว่าเธอเป็นคนทิ้งพี่เขา
“ถ้าแกไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขาจริง ๆ แกก็ให้ยัยซูมี่มันไปจีบพี่เขาเถอะ”
“…”
“ฉันสัญญาเลยนะ ถ้าจีบติดฉันจะเลิกคุยกับทุกคนที่ฉันคุยอยู่ในตอนนี้ ฉันจะจริงจังกับพี่เขาแค่คนเดียวเลย”
“ว่าไง ยัยซูมี่มันพูดขนาดนี้แล้ว แกจะเอายังไง”
สถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดี ทุกคนต่างมองมาที่เธอที่กำลังเคี้ยวข้าวอยู่นั้น ในขณะเดียวกันก็กำลังคิดหนักอยู่ไม่น้อย
เธอรู้สึกมืดแปดด้านมาก ๆ คิดหนัก ว่าถ้าหากเลือกกลับไป พี่เขาจะยอมรับได้มั้ยนะ? แล้ว... จะต้องใช้เหตุผลอะไรในการกลับไปหาพี่เขาล่ะ ก็ในเมื่อตัวเองเป็นคนบอกเขาว่าไม่ให้มายุ่งเอง...
เธอยังจำสีหน้าและน้ำเสียงของอีกคนในคืนนั้นได้ดี น้ำเสียงที่สั่นปนตกใจเล็กน้อย กับนัยตาที่สั่นไหวเหมือนจะร้องไห้ปนเศร้านั้น ที่จ้องเข้ามาในดวงตาของเธอ
“ฉันขอโทษนะซูมี่ แต่ฉันยกพี่โซให้แกไม่ได้จริง ๆ”
“ยังไงซิ?”
“ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะกลับไปง้อพี่โซ...” ในตอนนั้นเอง บนโต๊ะอาหารก็ได้เงียบลง พร้อมกับรอยยิ้มของเพื่อนคนอื่น ๆ รวมถึงซูมี่ด้วย
“นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย?” ซูมี่หันไปถามซานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน
“แกกินอยู่ จะฝันได้ยังไง”
“เพิ่งจะเคยเห็นยัยไลค์มันยอมพูดว่าจะกลับไปง้อคนคุยเก่ามัน”
“คนแรกเลยป่ะแบบนี้ ปกติจบแล้วคือจบเลยนะไม่กลับไปง้อ”
“คนแรกดิ คนแรกมาตลอดอ่ะ”
“ไปให้สุดแล้วหยุดอยู่ที่เตียงเลยนะไลค์” สิ่งที่ฮันนี่พูด มันทำให้เธอหน้าแดงขึ้นมาดื้อ ๆ
“บะ...บ้า ไปง้อนะ ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น...”
“มันก็ต้องมีบ้างแหละน่า” ฮันนี่ตีไหล่เธอเบา ๆ
“บางทีครั้งแรกของแกโชคชะตาอาจจะกำหนดให้พี่โซก็ได้นะ”
“เออว่ะ” ฮันนี่เหมือนจะเห็นด้วยกับซูมี่
“ไปกันใหญ่แล้วพวกแก มันไม่เกี่ยวกับโชคชะตาอะไรทั้งนั้นอ่ะ ถ้าจะเสียจริงฉันคงเสียไปนานแล้ว แค่ฉันยังไม่อยากจะมอบมันให้ใครจริง ๆ ต่างหาก”
“งั้นถ้าแกเสียให้พี่โซจริง ๆ นี่ สงสัยคงต้องจัดงานแต่งในวันรุ่งขึ้นเลยป้ะ หวงนักหวงหนาไอ้พรหมจรรย์เนี่ย”
“ใครมันจะไปใช้คุ้มได้เท่าแกสองคนล่ะ”
“ทำมะ อิจฉาเหรอ?”
“หึ ไม่ทีทางอ่ะ”
“นี่มันสมัยไหนแล้ว ไม่ใช่สมัยที่จะต้องเก็บซิงเอาไว้ให้สามี สมัยนี้มันอยู่ที่ความสบายใจมากกว่า เธอได้ฉัน ฉันได้เธอ ถือว่าวินวินกันทั้งคู่”
“มันก็แล้วแต่คนนะ ฉันว่า ลืมไปแล้วเหรอว่าฉันก็ยังซิง” ซานพูดขึ้น
“แต่เดี๋ยวแกก็จะไม่ซิงแล้วไง ปีหน้าก็จะแต่งแล้วนี่”
“มันก็ใช่ แต่พูดถึงตอนนี้ไง”
“เห้อออ หยุดเถียงกันสักที ฉันจะกินข้าว”
ถ้าหากเธอไม่ห้ามสามคนนี้ล่ะก็ คงจะไม่ได้กินข้าวกันพอดี
2 ชั่วโมงหลังจากนั้น
“กลับดี ๆ นะพวกแก”
“เออ กินเสร็จแล้วก็ไล่” ฮันนี่พูดเชิงตัดพ้อ แต่เป็นการล้อเลียนเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีการโกรธหรือน้อยใจ
“ขอบใจพวกแกมาก ที่ช่วยกระตุ้นให้ฉันด้านขึ้น”
“ไม่เป็นไร- เอ๊ะ!?”
“หึ โชคดี ๆ”
ปัง~!
เธอปิดประตูใส่เพื่อนทั้งสามคน ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้องอย่างอารมณ์ดี ในรอบเดือนเลยก็ว่าได้
บ่ายวันนี้สงสัยคงต้องแวะเข้าไปที่บริษัทสักหน่อยแล้ว เพราะจู่ ๆ ก็มี passion ขึ้นมาดื้อ ๆ และอาจจะไปขอไอเดียการง้อคนจากเลขาคนที่รู้ใจกันด้วย
บริษัทไลค์ดีไซน์ (like Design) จำกัด
“ไงทุกคน วันนี้งานติดปัญหาอะไรมั้ยเอ่ยย?”
“เอ่อ มะ...ไม่มีค่ะ”
“อ๋ออ ดีมาก ถือว่านั่นเป็นคำตอบที่ดี แต่ถ้ามีปัญหาอะไรปรึกษาฉันได้เลยนะ วันนี้ฉันอารมณ์ดี”
“ได้เลยค่ะคุณไลค์ เดี๋ยวถ้าเกิดมีปัญหาพวกเราจะรีบแจ้งนะคะ”
“จ้ะ แต่ไม่มีก็ดีเหมือนกันนะ”
สาวเจ้าของบริษัทเดินเข้ามาด้านในอย่างอารมณ์ดี ทำเอาพนักงานคนอื่น ๆ ต่างพากันแปลกใจ
ถึงแม้จะอารมณ์ดีแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้วก็ตาม แต่นี่ถือว่าเป็นในรอบหลายวัน เพราะที่ผ่านมาเจ้านายต่างหน้าบูดบึ้ง แถมยังพูดน้อยสุด ๆ เลยด้วย
เห็นว่าวันนี้เจ้านายดูอารมณ์ดีหน่อย บรรยากาศในที่ทำงานก็น่าทำงานขึ้นมาเป็นเท่าตัวเลยเชียว
“ไงจ้ะจิ๊บ พี่มาแล้ววว” ทันทีที่เดินมาถึงหน้าห้องทำงาน เธอก็ไม่ลืมที่จะทักทายสาวเลขาส่วนตัว ที่นั่งอยู่ตรงหน้าห้อง
“อ้าว คุณไลค์ วันนี้อารมณ์ดีมาแต่ไกลเลยนะคะ”
“แน่นอนสิ ก็คนมันมี passion อ่ะเนอะ”
“หืมมม อะไรกันคะเนี่ย”
“ไม่บอกหรอก พี่เข้าห้องก่อนนะ”
“ค่ะ อ้ออ คุณไลค์คะ ช่อดอกไม้ที่ส่งมาถึงตั้งแต่เช้า ไม่ทราบว่าจะให้จิ๊บทำยังไงกับมันดีคะ?” คำถามของเลขาสาวทำให้เธอต้องหยุดเดินทันที “แปลกนะคะ ไม่มีช่อดอกไม้มาเดือนนึงแล้ว จู่ ๆ ก็มีคนส่งมา”
ช่อดอกไม้งั้นเหรอ? จำได้ว่าล่าสุดช่อสุดท้ายคือเดือนที่แล้วจริง ๆ นั่นแหละ จะว่านี่ก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้วนะ ที่ยัยพี่พิมพ์นั่นไม่ได้ส่งดอกไม้มาให้กัน
หรือว่าจะกินกันกับยัยเด็กเสียงหวานนั่นจนอิ่มแล้ว? ก็เลยจะกลับมาจีบเธอใหม่งั้นเหรอ?
ความเกลียดชังเดิมที่เคยมีมันก็ได้ก่อขึ้นมาในใจเธออีกครั้ง พอรู้ว่าช่อดอกไม้นั่นเป็นของใครเธอทั้งรู้สึกรังเกียจ และขยะแขยงขึ้นมาดื้อ ๆ
“ก็ไม่น่าถามพี่นะจิ๊บ เอาไปทิ้งซะ พี่ไม่รับดอกไม้จากคนพรรค์นั้นหรอก นี่ต้องให้พี่บอกอีกกี่รอบว่า เอาไป ทิ้งน่ะ” เธอพูดเน้นประโยคท้ายอีกครั้ง เพื่อเป็นการย้ำเตือนเลขาให้จำขึ้นใจ “ถ้าเห็นว่าเป็นช่อดอกไม้ดอกกุหลาบสีแดง พร้อมกับข้อความที่พิมพ์มาในการ์ดว่า สำหรับคนสวย แฟนสาวในอนาคตของพี่พิมพ์นะคะ ล่ะก็ เอาไปทิ้งได้ในทันที โดยไม่ต้องถามฉันเลย”
“แต่วันนี้ไม่ใช่ดอกกุหลาบนะคะคุณไลค์”
“ว่าไงนะ?” เธอหันกลับไปมองหน้าเลขาที่กำลังเม้มริมฝีปากแน่น ในมือถือช่อดอกไม้เอาไว้ เธอพยายามชะเง้อมองดูว่ามันเป็นดอกไม้ชนิดไหน แต่เพราะตัวเล็กเกินไปจึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน
หรือว่ายัยพี่พิมพ์อะไรนั่นจะเล่นลิ้น ใช้วิธีอื่น…
รอบนี้จะมาไม้ไหนอีกล่ะ
“ดอกไม้ที่ส่งมาวันนี้ถูกทำจากแบงค์พันค่ะ ราว ๆ ห้าสิบใบได้ค่ะ มันอัดแน่นอยู่ในช่อนี้ แถมแนบการ์ดที่เขียนบรรจงด้วยลายมือเอาไว้ด้วยค่ะ-”
“ในนั้นมันเขียนว่าอะไร!?” เธอถามขึ้นเสียงดัง จนเลขาที่ชื่อจิ๊บสะดุ้งตัวโหยง
“มะ...มันเขียนว่า ขอให้เช้าวันนี้-”
“เป็นการเริ่มต้นที่ดี?” เธอไม่รอช้า รีบต่อประโยคที่เหลือ ก่อนจะจ้องหน้าเลขาจิ๊บ และหล่อนก็พยักหน้าให้กับเธอ
“ล้อกันเล่นรึเปล่า” คนที่จะส่งดอกไม้แบบนี้และคำพูดแบบนี้ได้มีแค่คนเดียว
นั่นก็คือพี่โซ...
เลขาจิ๊บหล่อนค่อย ๆ หันด้านที่โชว์ดอกไม้ที่ถูกทำจากแบงค์พันมาให้เธอดูแบบเต็ม ๆ ตา ทันใดนั้นเองเธอก็ได้รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างกระทันหัน เพียงแค่เสี้ยววินาทีนั้นเอง เธอก็ได้เดินเข้าไปแย่งช่อดอกไม้จากมือเลขาตัวเองทันที
พรึบ!
“อะฮึ่ม! ฉันเปลี่ยนใจละ”
“เอ่อ...”
“เงินตั้งห้าหมื่นเลยนะ จะทิ้งลงได้ไงกัน”
“ค่ะ... แฮะ ๆ” เธอมองช่อดอกไม้นั้นก่อนจะยิ้มออกมาอย่างดีใจ โดยไม่ปิดบังสายตาเลขา
“ต่อไปนี้ถ้ามีดอกไม้ที่ทำจากเงินส่งมาอีก ช่วยเก็บเอาไว้ให้พี่ด้วยนะ แต่ถ้าวันไหนไม่ใช่ดอกไม้ที่ทำจากเงินล่ะก็ เอาไปทิ้งได้เลย”
“แหม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะคะ หรือจะเป็นคนเดียวกับที่เคยส่งมาให้เมื่อหนึ่งปีก่อน?”
“อย่าแซวสิ ฉันขอตัวเข้าห้องละ”
“ค่าาา”
.
เธอเดินเข้าไปด้านในห้องทำงาน ก่อนจะเก็บช่อดอกไม้นั่นใส่ลิ้นชักอันใหญ่ ที่อยู่ริมโต๊ะทำงาน แน่นอนว่าฉเธอชอบช่อดอกไม้แบบนี้ที่สุด ไม่ใช่เพราะมันถูกทำจากเงินแต่อย่างใด ถึงนั่นจะเป็นอีกเหตุผลที่ชอบก็เถอะ แต่เหตุผลหลัก ๆ เลยก็คือ มันสามารถเก็บไว้ได้นาน โดยไม่ต้องกลัวว่าดอกไม้พวกนี้มันจะแห้งเหี่ยว และเสียไปตามกาลเวลา และช่อดอกไม้อันเก่าที่อยู่ในลิ้นชักพวกนี้ มันก็ยังคงอยู่ครบทุกช่อ มีจำนวนนับสิบช่อได้
ช่อดอกไม้ช่อที่สิบเอ็ดได้ถูกนำไปวางรวมกับช่อเก่าอย่างเบามือ
ตั้งแต่ได้มันมา เธอไม่เคยคิดที่จะเอามันออกมาใช้สักดอก แค่นึกว่าถ้าหากช่อดอกไม้มันต้องขาดแหว่ง เธอก็รับไม่ได้แล้วล่ะ และแน่นอนว่าถ้าหากเธอไม่ปฏิเสธช่อดอกไม้ที่ทำจากเงินของอีกคนป่านนี้คงมีล้นห้องทำงานไปแล้ว
“หือออ!?” ในขณะเดียวกันนั้นเอง ก่อนที่เธอจะดันลิ้นชักให้ปิดสายตาของเธอมันก็ได้เหลือบไปเห็นการ์ดอีกใบ ที่อยู่ในช่อเดียวกัน และขนาดความยาวของข้อความพอจะทำให้เดาได้ว่ามันน่าจะคนละข้อความกับอันแรก จึงได้หยิบมันออกมาอ่านด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้น
‘หวังว่าน้องไลค์จะไม่รังเกียจช่อดอกไม้ของพี่แล้วไม่ส่งมันกลับมาเหมือนครั้งก่อนนะคะ ที่พี่ส่งมาให้ในวันนี้ก็เพราะอยากจะขอโทษที่เดินชนน้องในวันนั้น’
“หึ ขอโทษทำไม ฉันต่างหากล่ะที่ต้องขอโทษพี่ เพราะคนที่ชนจริง ๆ แล้วมันเป็นฉัน” เธอส่ายหน้าไปมาพร้อมกับยิ้มให้การ์ดแผ่นนั้น แต่เพราะความเคยชินจึงได้เผลอพลิกการ์ดใบหน้ากลับไปอีกด้าน ก็ไปสะดุดเข้ากับข้อความอีกข้อความที่เขียนเอาไว้ตัวเล็กมาก ๆ เหมือนกับว่ากลัวใครจะอ่านเจอ
‘ไลค์ยังคงสวยเหมือนเดิมเลยนะคะ’
ข้อความที่ดูเป็นการพร่ำเพ้อคนเดียวนั้น ทำให้เธอเบิกตากว้าง ก่อนจะรีบเดินออกไปหาเลขาตัวเองหน้าห้อง
ปัง!
“จิ๊บ!”
“ว้าย!! คุณไลค์เกิดอะไรขึ้นคะ!?”
“ออกไปซื้อช่อดอกไม้ให้ฉันที”
“ดอกไม้เหรอคะ?”
“ใช่ ดอกกุหลาบสีแดงเอาดอกที่สดและสวยที่สุด ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้นรีบไปซื้อมา”
“ได้เลยค่ะ จิ๊บจะรีบไปหาซื้อมาให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
“อย่าลืมซื้อการ์ดมาด้วย”
“โอเคค่ะ!”
โอกาสมาหาถึงที่ แบบนี้จะไม่คว้าเอาไว้ก็ยังไงอยู่!!!
“สู้เค้า น้องจิ๊บ!! พี่ขอรบกวนด้วย!” ไลค์ยืนมองตามหลังเลขาที่รีบวิ่งไปกดลิฟต์ลงไปด้านล่างเพื่อไปหาซื้อดอกไม้ด้วยรอยยิ้ม
นานแค่ไหนแล้วที่อีกคนไม่ได้ส่งดอกไม้มาให้กันแบบนี้ หนึ่งปีได้แล้วมั้ง
10 นาทีต่อมา
Rrrrrrrrr~ Rrrrrrrrr~
“ว่าไงจิ๊บ” เธอรับสายหลังจากที่นั่งไม่ติดที่มานับสิบนาที เพราะมัวแต่ใจจดใจจ่อรอให้อีกคนซื้อดอกไม้มาให้
[คุณไลค์คะดอกกุหลาบสีแดงหมดค่ะ]
“ก็ไปซื้อร้านอื่นสิ”
[แต่ร้านอื่นที่ว่าต้องขับรถไปไกลเลยนะคะ ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงได้ค่ะ]
ไม่ได้… รอมาแค่สิบนาทีเธอก็ใจแทบขาดแล้ว แต่ต้องให้รออีกครึ่งชั่วโมงก็เตรียมจองศาลาได้เลย
“แล้วเหลือดอกไม้อะไร”
[ถ้าเป็นดอกกุหลาบตอนนี้เหลือเป็นดอกกุหลาบสีเหลืองอย่างเดียวค่ะ]
“เป็นร้านดอกไม้ประสาอะไรเนี่ย”
[เอ่อ…]
“จะสีอะไรก็เอามาเถอะ ดีกว่าไม่มี”
[โอเคค่ะ]
เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้กุหลาบสีเหลืองมา…
ความคิดเห็น