ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คุณไลคหล่อนชอบคนเร้าใจ

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 4 ดอกไม้ช่อเดิม

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ย. 67


    Chapter 4

    ดอกไม้ช่อเดิม

     

     

    พรึบ กึก!

    ช่อดอกไม้ที่ทำจากแบงค์สีเทาจำนวนหลายสิบใบถูกโยนลงถังขยะทันทีที่เปลี่ยนไปอยู่ในมือของคนน้อง

    “น้องไลค์ทิ้งมันทำไมคะ พี่อุตส่าห์พับมาให้”

    แค่เศษเงินกับคำเชย ๆ

    “น้องไลค์…”

    “วันนี้ไม่ใช่คิวของพี่นะคะ วันนี้เป็นคิวของน้องจอม มอ.BK พี่จำวันผิดรึเปล่า!?”

    “คะ…คือพี่”

    “ถ้าเกิดจอมเข้าใจฉันผิดฉันจะเอาเรื่องพี่!”

    “ขะ…ขอโทษ พี่กลับแล้วก็ได้ค่ะ”

     

    Part : ไลค์ 

    “หลัง ๆ มานี้เราเจอกันบ่อยนะแกว่ามั้ย?” เสียงของฮันนี่ดังขึ้นจากในครัว โดยมีซานกำลังยืนทำอาหารอยู่

    “เพื่อนกำลังสับสนอยู่ เรียกมาปรึกษาไม่ได้เลยรึไง?”

    “สับสนเรื่องอะไร?”

    “ฉันกำลังคิดอยู่ว่าฉันจะเอายังไงกับชีวิตดี”

    “แกสับสนอะไร ไหนลองพูดขึ้นมาสักหนึ่งประโยคดิ๊ ที่มันติดอยู่ในใจแกตอนนี้”

    “เรื่องพี่โซ”

    “นั่นไงฉันว่าแล้ว!” ฮันนี่วางจานลงบนโต๊ะอาหาร ก่อนซูมี่จะช่วยจัดเรียง 

    “สุดท้ายแกก็กลับมาสนใจพี่โซ”

    “สนใจบ้าอะไร เค้าเรียกสับสนโว้ย สับสนที่แปลว่าไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อไป”

    “ก็ถ้าแกไม่ได้ติดใจอะไรขนาดนั้น แกจะไปคิดมากทำไม”

    “ก็ฉันรู้สึกผิดอ่ะ ฉันลืมเล่าไปว่าวันนั้นที่เจอกัน พี่เขาบอกคิดถึงฉัน และการที่พี่เขาพูดคำนั้นออกมา ก็แสดงว่าพี่เขาก็ยังมีเยื่อใยอยู่รึเปล่า”

    “แล้วมันทำไม ก็ในเมื่อแกไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่เขา”

    “เอาจริง ๆ นะ ตัดเรื่องสเปกออกไป พี่โซเขาก็เป็นคนดีคนนึงเลย”

    “สรุปดีหรือไม่ดีกันแน่”

    “ฉันไม่รู้”

    “ทิ้งพี่เขาไปเป็นปี สุดท้ายก็กลับมานั่งคิดเรื่องเขาเนี่ยนะ? แล้วที่บอกว่ารู้สึกผิดเนี่ย เรื่องอะไร”

    “ก็ที่ฉันทิ้งพี่เขาอย่างไร้เยื่อใย ฉันกลับมาคิดดูอีกที หรือฉันหักดิบเกินไป เหมือนจะเคยได้ยินว่าพี่เขาอยู่ตัวคนเดียว”

    “ใช่ ที่พี่โซเป็นคนนึงที่ฉันนับถือมาก ๆ เพราะน้อยนะที่จะมีคนตั้งตัวได้ตั้งแต่อายุยังน้อย คนบ้าอะไรเริ่มทำธุรกิจต่อจากครอบครัวตั้งแต่อายุยี่สิบเอ็ด” ซูมี่เริ่มพูดถึงบุคคลที่ตัวเองนับถือว่าเป็นไอดอล

    “ด้วยตัวคนเดียว ไร้คนปรึกษา ไร้คนแนะนำ ณ ตอนนั้นแล้วดูตอนนี้สิ พี่เขามีทุกอย่าง ทรงอำนาจ” ฮันนี่พูดเสริม “เพราะแม่พี่เขาจากไปกระทันหัน ก็เลยไม่ได้เตรียมการอะไรเอาไว้ก่อน เป็นฉันคงจะเครียดตายเลยนะ ที่อายุแค่นั้นแต่ต้องมาอยู่ในฐานะผู้บริหารระดับสูงสุดน่ะ”

    “แกก็อย่าไปเรื่องเยอะกับพี่เขาเลย พี่เขาใช้เกือบทั้งชีวิตมากับงานแล้วอ่ะ พี่เขาควรจะได้มีความสุขกับอะไรที่ไม่ใช่งานบ้าง เช่นการมีความรักที่ดี” ฮั่นนี่ใช้ทัพพีตักข้าวในหม้อใส่จานให้เราทีละคนอย่างใจเย็น

    “ยัยไลค์ ถือว่าฉันขอล่ะนะ กับพี่โซคนนี้แกไม่เอา สเปกมาเป็นตัวกำหนดได้มั้ยวะ พี่เขาไม่ควรถูกแกทิ้งเพียงเพราะแค่ไม่ตรงสเปกอ่ะแก” ซูมี่ที่เดินไปหยิบเอาน้ำในตู้เย็นมาเทใส่แก้วให้เช่นกัน ในขณะที่ซานได้ถ้วยอาหารเข้ามาวางไว้ตรงกลางโต๊ะ

    “นี่แหละที่ฉันรู้สึกผิด ฉันยอมรับว่ามันเป็นการเลิกคุยกันด้วยเหตุผลที่ไร้สาระมาก ๆ”

    “ยัยพี่พิมพ์ที่มันตรงสเปกแกน่ะ เห็นรึยัง ว่ามันก็ไม่ได้ดีเลย แกจะชอบไปทำไมวะคนปากหวาน ยิ้มเก่งแต่ลับหลังเป็นคนละคน”

    “ใช่ ฉันว่าคนอย่างพี่โซน่ะน่าค้นหากว่าตั้งเยอะ”

    “ยังไง” เธอเลิ่กคิ้วถามยัยฮันนี่อย่างไม่เข้าใจ เพราะที่ผ่านมาเธอคิดว่าอีกคนออกจะน่าเบื่อ 

    “คนที่นิ่ง ๆ และเงียบขรึมแบบนั้นน่ะ ตอนมีความรักอาจจะเป็นคนละคนไปเลยก็ได้นะ แบบว่าคลั่งรักกับเธอแค่คนเดียวอะไรอย่างงี้”

    “ก็จริง แล้วคิดว่าพี่คนอย่างพี่โซเขาจะอยากกลับมาคุยกับฉันอีกเหรอ? ทำไว้ซะขนาดนั้น”

    “ถ้าแกรู้สึกผิดจริง ๆ แกก็ลองไปขอโทษพี่เขาแล้วก็เปิดอกคุยกับพี่เขาดี ๆ มั้ย?”

    “มันยังทันอยู่เหรอวะ?” นี่ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้วนะ...

    “ก็ถ้าแกด้านพออ่ะนะจะกี่ปีก็ไม่สายนอกซะจากพี่เขาจะมีคนใหม่ไปแล้ว”

    “อ้าว ทำไมพูดหมา ๆ แบบนี้-” ฉันใจเสียเมื่อได้ยินว่าอีกคนมีคนอื่น ทำไมกันนะ

    “ด้านได้ อายอดอ่ะ แกเคยได้ยินคำนี้มั้ย” ฮั่นนี่พูดขึ้นพร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ

    “ฉันไม่ได้อยากได้พี่เขาสักหน่อย”

    “งั้นก็ยกให้ยัยซูมี่ไปนะ ถ้างั้น-”

    “ไม่!”

    “ไลค์ แกอย่าหวงก้างดิไหนบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขาไง”

    “คือว่า...” เธอหันไปสบตากับซูมี่ ที่นั่งอยู่ข้างซานฝั่งตรงข้ามกัน 

    จริง ๆ ยัยซูมี่มันก็แอบชอบพี่โซมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เพราะอีกคนนั้นเลือกที่จะมาคุยกับเธอ ซูมี่จึงไม่ได้คิดจะแย่งพี่เขาจากเธอ แถมยังไม่โกรธกันด้วย เมื่อรู้ว่าเธอเป็นคนทิ้งพี่เขา 

    “ถ้าแกไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขาจริง ๆ แกก็ให้ยัยซูมี่มันไปจีบพี่เขาเถอะ”

    “…”

    “ฉันสัญญาเลยนะ ถ้าจีบติดฉันจะเลิกคุยกับทุกคนที่ฉันคุยอยู่ในตอนนี้ ฉันจะจริงจังกับพี่เขาแค่คนเดียวเลย”

    “ว่าไง ยัยซูมี่มันพูดขนาดนี้แล้ว แกจะเอายังไง”

    สถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดี ทุกคนต่างมองมาที่เธอที่กำลังเคี้ยวข้าวอยู่นั้น ในขณะเดียวกันก็กำลังคิดหนักอยู่ไม่น้อย 

    เธอรู้สึกมืดแปดด้านมาก ๆ คิดหนัก ว่าถ้าหากเลือกกลับไป พี่เขาจะยอมรับได้มั้ยนะ? แล้ว... จะต้องใช้เหตุผลอะไรในการกลับไปหาพี่เขาล่ะ ก็ในเมื่อตัวเองเป็นคนบอกเขาว่าไม่ให้มายุ่งเอง...

    เธอยังจำสีหน้าและน้ำเสียงของอีกคนในคืนนั้นได้ดี น้ำเสียงที่สั่นปนตกใจเล็กน้อย กับนัยตาที่สั่นไหวเหมือนจะร้องไห้ปนเศร้านั้น ที่จ้องเข้ามาในดวงตาของเธอ

    “ฉันขอโทษนะซูมี่ แต่ฉันยกพี่โซให้แกไม่ได้จริง ๆ”

    “ยังไงซิ?”

    “ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะกลับไปง้อพี่โซ...” ในตอนนั้นเอง บนโต๊ะอาหารก็ได้เงียบลง พร้อมกับรอยยิ้มของเพื่อนคนอื่น ๆ รวมถึงซูมี่ด้วย 

    “นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย?” ซูมี่หันไปถามซานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน 

    “แกกินอยู่ จะฝันได้ยังไง”

    “เพิ่งจะเคยเห็นยัยไลค์มันยอมพูดว่าจะกลับไปง้อคนคุยเก่ามัน”

    “คนแรกเลยป่ะแบบนี้ ปกติจบแล้วคือจบเลยนะไม่กลับไปง้อ”

    “คนแรกดิ คนแรกมาตลอดอ่ะ”

    ไปให้สุดแล้วหยุดอยู่ที่เตียงเลยนะไลค์” สิ่งที่ฮันนี่พูด มันทำให้เธอหน้าแดงขึ้นมาดื้อ ๆ 

    “บะ...บ้า ไปง้อนะ ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น...”

    “มันก็ต้องมีบ้างแหละน่า” ฮันนี่ตีไหล่เธอเบา ๆ

    “บางทีครั้งแรกของแกโชคชะตาอาจจะกำหนดให้พี่โซก็ได้นะ”

    “เออว่ะ” ฮันนี่เหมือนจะเห็นด้วยกับซูมี่

    “ไปกันใหญ่แล้วพวกแก มันไม่เกี่ยวกับโชคชะตาอะไรทั้งนั้นอ่ะ ถ้าจะเสียจริงฉันคงเสียไปนานแล้ว แค่ฉันยังไม่อยากจะมอบมันให้ใครจริง ๆ ต่างหาก”

    “งั้นถ้าแกเสียให้พี่โซจริง ๆ นี่ สงสัยคงต้องจัดงานแต่งในวันรุ่งขึ้นเลยป้ะ หวงนักหวงหนาไอ้พรหมจรรย์เนี่ย”

    “ใครมันจะไปใช้คุ้มได้เท่าแกสองคนล่ะ”

    “ทำมะ อิจฉาเหรอ?”

    “หึ ไม่ทีทางอ่ะ”

    “นี่มันสมัยไหนแล้ว ไม่ใช่สมัยที่จะต้องเก็บซิงเอาไว้ให้สามี สมัยนี้มันอยู่ที่ความสบายใจมากกว่า เธอได้ฉัน ฉันได้เธอ ถือว่าวินวินกันทั้งคู่”

    “มันก็แล้วแต่คนนะ ฉันว่า ลืมไปแล้วเหรอว่าฉันก็ยังซิง” ซานพูดขึ้น 

    “แต่เดี๋ยวแกก็จะไม่ซิงแล้วไง ปีหน้าก็จะแต่งแล้วนี่”

    “มันก็ใช่ แต่พูดถึงตอนนี้ไง”

    “เห้อออ หยุดเถียงกันสักที ฉันจะกินข้าว”

    ถ้าหากเธอไม่ห้ามสามคนนี้ล่ะก็ คงจะไม่ได้กินข้าวกันพอดี 

     

    2 ชั่วโมงหลังจากนั้น

    “กลับดี ๆ นะพวกแก”

    “เออ กินเสร็จแล้วก็ไล่” ฮันนี่พูดเชิงตัดพ้อ แต่เป็นการล้อเลียนเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีการโกรธหรือน้อยใจ

    “ขอบใจพวกแกมาก ที่ช่วยกระตุ้นให้ฉันด้านขึ้น”

    “ไม่เป็นไร- เอ๊ะ!?”

    “หึ โชคดี ๆ”

    ปัง~!

    เธอปิดประตูใส่เพื่อนทั้งสามคน ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้องอย่างอารมณ์ดี ในรอบเดือนเลยก็ว่าได้ 

    บ่ายวันนี้สงสัยคงต้องแวะเข้าไปที่บริษัทสักหน่อยแล้ว เพราะจู่ ๆ ก็มี passion ขึ้นมาดื้อ ๆ และอาจจะไปขอไอเดียการง้อคนจากเลขาคนที่รู้ใจกันด้วย 

     

    บริษัทไลค์ดีไซน์ (like Design) จำกัด

    “ไงทุกคน วันนี้งานติดปัญหาอะไรมั้ยเอ่ยย?”

    “เอ่อ มะ...ไม่มีค่ะ”

    “อ๋ออ ดีมาก ถือว่านั่นเป็นคำตอบที่ดี แต่ถ้ามีปัญหาอะไรปรึกษาฉันได้เลยนะ วันนี้ฉันอารมณ์ดี”

    “ได้เลยค่ะคุณไลค์ เดี๋ยวถ้าเกิดมีปัญหาพวกเราจะรีบแจ้งนะคะ”

    “จ้ะ แต่ไม่มีก็ดีเหมือนกันนะ”

    สาวเจ้าของบริษัทเดินเข้ามาด้านในอย่างอารมณ์ดี ทำเอาพนักงานคนอื่น ๆ ต่างพากันแปลกใจ 

    ถึงแม้จะอารมณ์ดีแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้วก็ตาม แต่นี่ถือว่าเป็นในรอบหลายวัน เพราะที่ผ่านมาเจ้านายต่างหน้าบูดบึ้ง แถมยังพูดน้อยสุด ๆ เลยด้วย 

    เห็นว่าวันนี้เจ้านายดูอารมณ์ดีหน่อย บรรยากาศในที่ทำงานก็น่าทำงานขึ้นมาเป็นเท่าตัวเลยเชียว 

    “ไงจ้ะจิ๊บ พี่มาแล้ววว” ทันทีที่เดินมาถึงหน้าห้องทำงาน เธอก็ไม่ลืมที่จะทักทายสาวเลขาส่วนตัว ที่นั่งอยู่ตรงหน้าห้อง 

    “อ้าว คุณไลค์ วันนี้อารมณ์ดีมาแต่ไกลเลยนะคะ”

    “แน่นอนสิ ก็คนมันมี passion อ่ะเนอะ”

    “หืมมม อะไรกันคะเนี่ย”

    “ไม่บอกหรอก พี่เข้าห้องก่อนนะ”

    “ค่ะ อ้ออ คุณไลค์คะ ช่อดอกไม้ที่ส่งมาถึงตั้งแต่เช้า ไม่ทราบว่าจะให้จิ๊บทำยังไงกับมันดีคะ?” คำถามของเลขาสาวทำให้เธอต้องหยุดเดินทันที “แปลกนะคะ ไม่มีช่อดอกไม้มาเดือนนึงแล้ว จู่ ๆ ก็มีคนส่งมา”

    ช่อดอกไม้งั้นเหรอ? จำได้ว่าล่าสุดช่อสุดท้ายคือเดือนที่แล้วจริง ๆ นั่นแหละ จะว่านี่ก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้วนะ ที่ยัยพี่พิมพ์นั่นไม่ได้ส่งดอกไม้มาให้กัน 

    หรือว่าจะกินกันกับยัยเด็กเสียงหวานนั่นจนอิ่มแล้ว? ก็เลยจะกลับมาจีบเธอใหม่งั้นเหรอ?

    ความเกลียดชังเดิมที่เคยมีมันก็ได้ก่อขึ้นมาในใจเธออีกครั้ง พอรู้ว่าช่อดอกไม้นั่นเป็นของใครเธอทั้งรู้สึกรังเกียจ และขยะแขยงขึ้นมาดื้อ ๆ

    “ก็ไม่น่าถามพี่นะจิ๊บ เอาไปทิ้งซะ พี่ไม่รับดอกไม้จากคนพรรค์นั้นหรอก นี่ต้องให้พี่บอกอีกกี่รอบว่า เอาไป ทิ้งน่ะ” เธอพูดเน้นประโยคท้ายอีกครั้ง เพื่อเป็นการย้ำเตือนเลขาให้จำขึ้นใจ “ถ้าเห็นว่าเป็นช่อดอกไม้ดอกกุหลาบสีแดง พร้อมกับข้อความที่พิมพ์มาในการ์ดว่า สำหรับคนสวย แฟนสาวในอนาคตของพี่พิมพ์นะคะ ล่ะก็ เอาไปทิ้งได้ในทันที โดยไม่ต้องถามฉันเลย”

    แต่วันนี้ไม่ใช่ดอกกุหลาบนะคะคุณไลค์

    “ว่าไงนะ?” เธอหันกลับไปมองหน้าเลขาที่กำลังเม้มริมฝีปากแน่น ในมือถือช่อดอกไม้เอาไว้ เธอพยายามชะเง้อมองดูว่ามันเป็นดอกไม้ชนิดไหน แต่เพราะตัวเล็กเกินไปจึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน 

    หรือว่ายัยพี่พิมพ์อะไรนั่นจะเล่นลิ้น ใช้วิธีอื่น…

    รอบนี้จะมาไม้ไหนอีกล่ะ

    “ดอกไม้ที่ส่งมาวันนี้ถูกทำจากแบงค์พันค่ะ ราว ๆ ห้าสิบใบได้ค่ะ มันอัดแน่นอยู่ในช่อนี้ แถมแนบการ์ดที่เขียนบรรจงด้วยลายมือเอาไว้ด้วยค่ะ-”

    “ในนั้นมันเขียนว่าอะไร!?” เธอถามขึ้นเสียงดัง จนเลขาที่ชื่อจิ๊บสะดุ้งตัวโหยง 

    “มะ...มันเขียนว่า ขอให้เช้าวันนี้-

    เป็นการเริ่มต้นที่ดี?” เธอไม่รอช้า รีบต่อประโยคที่เหลือ ก่อนจะจ้องหน้าเลขาจิ๊บ และหล่อนก็พยักหน้าให้กับเธอ

    “ล้อกันเล่นรึเปล่า” คนที่จะส่งดอกไม้แบบนี้และคำพูดแบบนี้ได้มีแค่คนเดียว

    นั่นก็คือพี่โซ... 

    เลขาจิ๊บหล่อนค่อย ๆ หันด้านที่โชว์ดอกไม้ที่ถูกทำจากแบงค์พันมาให้เธอดูแบบเต็ม ๆ ตา ทันใดนั้นเองเธอก็ได้รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างกระทันหัน เพียงแค่เสี้ยววินาทีนั้นเอง เธอก็ได้เดินเข้าไปแย่งช่อดอกไม้จากมือเลขาตัวเองทันที 

    พรึบ!

    “อะฮึ่ม! ฉันเปลี่ยนใจละ”

    “เอ่อ...”

    “เงินตั้งห้าหมื่นเลยนะ จะทิ้งลงได้ไงกัน”

    “ค่ะ... แฮะ ๆ” เธอมองช่อดอกไม้นั้นก่อนจะยิ้มออกมาอย่างดีใจ โดยไม่ปิดบังสายตาเลขา 

    “ต่อไปนี้ถ้ามีดอกไม้ที่ทำจากเงินส่งมาอีก ช่วยเก็บเอาไว้ให้พี่ด้วยนะ แต่ถ้าวันไหนไม่ใช่ดอกไม้ที่ทำจากเงินล่ะก็ เอาไปทิ้งได้เลย”

    “แหม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะคะ หรือจะเป็นคนเดียวกับที่เคยส่งมาให้เมื่อหนึ่งปีก่อน?”

    “อย่าแซวสิ ฉันขอตัวเข้าห้องละ”

    “ค่าาา”

             .

    เธอเดินเข้าไปด้านในห้องทำงาน ก่อนจะเก็บช่อดอกไม้นั่นใส่ลิ้นชักอันใหญ่ ที่อยู่ริมโต๊ะทำงาน แน่นอนว่าฉเธอชอบช่อดอกไม้แบบนี้ที่สุด ไม่ใช่เพราะมันถูกทำจากเงินแต่อย่างใด ถึงนั่นจะเป็นอีกเหตุผลที่ชอบก็เถอะ แต่เหตุผลหลัก ๆ เลยก็คือ มันสามารถเก็บไว้ได้นาน โดยไม่ต้องกลัวว่าดอกไม้พวกนี้มันจะแห้งเหี่ยว และเสียไปตามกาลเวลา และช่อดอกไม้อันเก่าที่อยู่ในลิ้นชักพวกนี้ มันก็ยังคงอยู่ครบทุกช่อ มีจำนวนนับสิบช่อได้

    ช่อดอกไม้ช่อที่สิบเอ็ดได้ถูกนำไปวางรวมกับช่อเก่าอย่างเบามือ 

    ตั้งแต่ได้มันมา เธอไม่เคยคิดที่จะเอามันออกมาใช้สักดอก แค่นึกว่าถ้าหากช่อดอกไม้มันต้องขาดแหว่ง เธอก็รับไม่ได้แล้วล่ะ และแน่นอนว่าถ้าหากเธอไม่ปฏิเสธช่อดอกไม้ที่ทำจากเงินของอีกคนป่านนี้คงมีล้นห้องทำงานไปแล้ว

    “หือออ!?” ในขณะเดียวกันนั้นเอง ก่อนที่เธอจะดันลิ้นชักให้ปิดสายตาของเธอมันก็ได้เหลือบไปเห็นการ์ดอีกใบ ที่อยู่ในช่อเดียวกัน และขนาดความยาวของข้อความพอจะทำให้เดาได้ว่ามันน่าจะคนละข้อความกับอันแรก จึงได้หยิบมันออกมาอ่านด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้น

     

    ‘หวังว่าน้องไลค์จะไม่รังเกียจช่อดอกไม้ของพี่แล้วไม่ส่งมันกลับมาเหมือนครั้งก่อนนะคะ ที่พี่ส่งมาให้ในวันนี้ก็เพราะอยากจะขอโทษที่เดินชนน้องในวันนั้น’

     

    “หึ ขอโทษทำไม ฉันต่างหากล่ะที่ต้องขอโทษพี่ เพราะคนที่ชนจริง ๆ แล้วมันเป็นฉัน” เธอส่ายหน้าไปมาพร้อมกับยิ้มให้การ์ดแผ่นนั้น แต่เพราะความเคยชินจึงได้เผลอพลิกการ์ดใบหน้ากลับไปอีกด้าน ก็ไปสะดุดเข้ากับข้อความอีกข้อความที่เขียนเอาไว้ตัวเล็กมาก ๆ เหมือนกับว่ากลัวใครจะอ่านเจอ 

     

    ‘ไลค์ยังคงสวยเหมือนเดิมเลยนะคะ’

     

    ข้อความที่ดูเป็นการพร่ำเพ้อคนเดียวนั้น ทำให้เธอเบิกตากว้าง ก่อนจะรีบเดินออกไปหาเลขาตัวเองหน้าห้อง 

    ปัง!

    “จิ๊บ!”

    “ว้าย!! คุณไลค์เกิดอะไรขึ้นคะ!?”

    “ออกไปซื้อช่อดอกไม้ให้ฉันที”

    “ดอกไม้เหรอคะ?”

    “ใช่ ดอกกุหลาบสีแดงเอาดอกที่สดและสวยที่สุด ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้นรีบไปซื้อมา”

    “ได้เลยค่ะ จิ๊บจะรีบไปหาซื้อมาให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”

    “อย่าลืมซื้อการ์ดมาด้วย”

    “โอเคค่ะ!”

    โอกาสมาหาถึงที่ แบบนี้จะไม่คว้าเอาไว้ก็ยังไงอยู่!!! 

    “สู้เค้า น้องจิ๊บ!! พี่ขอรบกวนด้วย!” ไลค์ยืนมองตามหลังเลขาที่รีบวิ่งไปกดลิฟต์ลงไปด้านล่างเพื่อไปหาซื้อดอกไม้ด้วยรอยยิ้ม

    นานแค่ไหนแล้วที่อีกคนไม่ได้ส่งดอกไม้มาให้กันแบบนี้ หนึ่งปีได้แล้วมั้ง

     

           10 นาทีต่อมา

             Rrrrrrrrr~ Rrrrrrrrr~

             “ว่าไงจิ๊บ” เธอรับสายหลังจากที่นั่งไม่ติดที่มานับสิบนาที เพราะมัวแต่ใจจดใจจ่อรอให้อีกคนซื้อดอกไม้มาให้

             [คุณไลค์คะดอกกุหลาบสีแดงหมดค่ะ]

             “ก็ไปซื้อร้านอื่นสิ”

    [แต่ร้านอื่นที่ว่าต้องขับรถไปไกลเลยนะคะ ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงได้ค่ะ]

             ไม่ได้… รอมาแค่สิบนาทีเธอก็ใจแทบขาดแล้ว แต่ต้องให้รออีกครึ่งชั่วโมงก็เตรียมจองศาลาได้เลย

             “แล้วเหลือดอกไม้อะไร”

             [ถ้าเป็นดอกกุหลาบตอนนี้เหลือเป็นดอกกุหลาบสีเหลืองอย่างเดียวค่ะ]

             “เป็นร้านดอกไม้ประสาอะไรเนี่ย”

             [เอ่อ…]

             “จะสีอะไรก็เอามาเถอะ ดีกว่าไม่มี”

             [โอเคค่ะ]

             เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้กุหลาบสีเหลืองมา…


     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×