คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : #3 กวางน้อย
3
กวางน้อย
“ฉันไม่อยู่ก็ช่วยเป็นเด็กดีด้วยนะ เดี๋ยวเย็นๆ จะรีบกลับมาไม่ต้องงอแง”
“ข้าไม่ได้งอแง เจ้าต่างหากที่งอแง”
มิลานในร่างกระต่ายส่ายหน้าเอือมระอามนุษย์ที่กำลังเกาะกรงสี่เหลี่ยมไม่ยอมออกไปทำงาน
รู้ว่าชอบสัตว์ แต่ไม่คิดว่าหล่อนจะชอบขนาดนี้ สัตว์พวกนี้มันน่ารักตรงไหนกันมีแต่จะเป็นอาหารของมิลานก็เท่านั้น
…
“วันนี้มาช้ากว่าทุกวันเลย มีเรื่องอะไรเปล่า?” ทันทีที่วางกระเป๋าลงบนโต๊ะทำงานเมย์ที่เป็นทั้งเพื่อนสมัยเรียนและเพื่อนร่วมงานถามขึ้น
“มัวแต่เล่นกับสัตว์เลี้ยงนิดหน่อย ก็เลยมาสายน่ะ”
“สัตว์เลี้ยง?”
“ใช่จ้ะ”
“เดียร์มีสัตว์เลี้ยงตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นรู้มาก่อน”
“พอดีเพิ่งรับมาเลี้ยงน่ะ”
“มิน่าล่ะถึงได้เห่อจนมาทำงานสาย ไว้วันหลังพาเราไปดูสัตว์เลี้ยงของเดียร์ด้วยนะ” เมย์เองเป็นผู้หญิงที่รักสัตว์ไม่ต่างจากเธอพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“ชอบขนาดนั้นวันหลังก็หามาเลี้ยงเองบ้างสิ”
“ก็อยากเลี้ยงอยู่หรอก แต่คิมเขาเป็นภูมิแพ้น่ะ”
“ย้ายไปอยู่ด้วยกันแล้วเหรอ?” สิ่งหนึ่งที่เธอตกใจ ไม่คิดว่าเพื่อนทั้งสองคนจะข้ามขั้นกันเร็วขนาดนั้น แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าทั้งคู่คบหากันมาสามปี คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“ก็สักพักแล้วน่ะ”
ดารินทร์รู้สึกเสียใจแปลกๆ เหมือนกับว่าตัวเองอกหักทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นแฟนกัน เพราะรูปลักษณ์ภายนอกของเมย์นั้นออกจะเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อย ดูรักนวลสงวนตัว ไม่คิดว่าจะพาผู้ชายไปนอนค้างที่ห้องด้วยกัน
มองแค่รูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้จริงๆ
ทำไมต้องรู้สึกแย่ขนาดนี้กันนะ…
“น่าอิจฉาจัง ดีแล้วล่ะอีกหน่อยเราคงต้องหาแฟนสักคนบ้างซะแล้วล่ะ ฮ่าฮ่า”
“เดียร์…”
“หืม?” เธอมองเมย์ที่เดินเข้ามาประชิดร่าง ก่อนที่มือเรียวนั้นจะบีบเข้าที่มือของเธอเบาๆ
“ความรักมันไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดหรอกนะ”
“…” ทำไมคำพูดนี้ถึงได้หลุดออกมาจากปากของผู้หญิงที่เหมือนจะมีความรักที่ดีได้ล่ะ
“จริงๆ แล้วเราน่ะ-”
“เมย์ครับ” เสียงของคิมดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนผละออกจากกัน ใบหน้าของเมย์ไร้รอยยิ้มซึ่งแตกต่างจากครั้งก่อนๆ “มาอยู่ตรงนี้นี่เอง”
“คิม?”
“เมย์ ยกโทษให้ผมเถอะนะ”
“คิดว่าสิ่งที่คิมทำมันยกโทษให้ได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ผมผิดไปแล้ว คราวหลังจะไม่ทำอีก”
“ช่างเถอะ ฉันไม่เก็บมาคิดให้รกสมองหรอก”
“ถ้าไม่คิดจริงๆ คุณคงไม่ไล่ให้ผมกลับไปนอนที่บ้านหรอกครับ”
“ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียวโดยไม่มีนาย”
“เมย์…”
“…” ดารินทร์มองทั้งสองคนด้วยอาการมึนงง ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมทั้งสองคนเหมือนกำลังมีปากเสียงกัน อีกทั้งที่นี่มันคือที่บริษัท “คนอื่นเริ่มมากันแล้ว ค่อยคุยกันหลังเลิกงานเถอะ”
“เดียร์ช่วยฉันด้วยนะ” คิมหันมาขอร้องกับเธอ
“เรื่องเราสองคน อย่าไปดึงใครเข้ามาเกี่ยวเลย มันน่าสมเพช” เมย์พูดเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะหันมาสบตาเธอ “วันนี้ทั้งวันห้ามเข้ามายุ่งกับฉัน ไม่อย่างงั้นเราขาดกัน”
“คะ…ครับ” วันนี้ทั้งวันดูเหมือนเมย์จะแอบมองมาที่เธอ ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่พอเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารทีไรก็ต้องสบตากับอีกคนทุกที ครั้งแรกที่รู้สึกอึดอัดกับการกระทำของอีกคน
จู่ๆ ก็รู้สึกคิดถึงเจ้ากระต่ายขนดำล้วนที่ห้องพักของตน อยากรีบเลิกงานแล้วกลับไปเล่นกับมัน แม้แท้จริงแล้วตัวตนที่แท้จริงของมันจะไม่ใช่กระต่ายจริงๆ ก็ตาม
แค่อยากหนีบรรยากาศอึมครึมนี้ไปไกลๆ ก็แค่นั้น
ครืนนนน ครืนนนน สมาร์ทโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นเล็กน้อยทำให้ต้องหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ พบว่ามันคือข้อความจากคนที่จ้องเธอมาตลอดวันอย่างเมย์
เมย์ : เย็นว่างไหม ว่าจะชวนไปดื่มมีเรื่องจะคุยด้วย
เดียร์ : โทษที พอดีเราต้องรีบกลับไปให้อาหารสัตว์ที่ห้องน่ะ
เมย์ : งั้นก็ดีเลย ไปดื่มที่ห้องของเดียร์ก็ได้ แต่ไปกันแค่สองคนนะ ห้ามชวนคิมไปเด็ดขาด
เดียร์ : อ่า…โอเค
สุดท้ายก็ต้องจำใจตอบตกลงอีกคนไปแบบนั้น ในใจภาวนาขอให้กระต่ายตัวนั้นเป็นเด็กดี แสร้งเป็นกระต่ายให้แนบเนียนไม่สร้างเรื่องอะไรให้กันก็พอ
…
“เข้ามาสิ” ดารินทร์เอ่ยปากเชิญให้แขกของห้องในรอบปีเดินเข้ามาด้านในห้องพักราคาปานกลาง
“ไม่ได้มาที่นี่นานเลยนะเนี่ย ยังดูดีเหมือนเดิมสมกับเป็นเดียร์จริงๆ” เมย์เดินเข้ามาในห้องด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะรีบตรงเข้าไปตรงตำแหน่งของกรงเจ้ากระต่ายทันที
“หูยย นี่มันหมาพันธุ์อะไรเนี่ย ทำไมน่ารักจัง”
“ฮะ?” หมางั้นเหรอ? เปล่านะเธอไม่ได้เลี้ยงหมาสักหน่อย เลี้ยงกระต่ายต่างหาก
บ๊อก บ๊อก! เสียงเห่าเล็กๆ ของสัตว์เลี้ยงในกรงดังขึ้นทำให้เจ้าของห้องแทบหงายหลังลงไปนอนกลิ้งกับพื้น ก่อนชะโงกหน้าผ่านร่างของอีกไปมองให้เต็มตาอีกครั้ง
เจ้าสนุกขนฟูตัวเล็กๆ น่ารักๆ กำลังแลบลิ้นหายใจอยู่ในกรงทำให้เธอถึงกับขมวดคิ้วเพราะเหมือนมันกำลังยิ้มมาให้กัน
“นี่มันพันธุ์ปอมรึเปล่าเนี่ย? ต้องใช่แน่ๆ ปอมเมอเรเนียนขนดำล้วนด้วยไม่เคยเห็นมาก่อนเลยอ่ะ”
บ๊อก! บ๊อก!
เมย์ดูเหมือนจะตกหลุมรักสนุกตัวนี้เข้าอย่างจัง ถือวิสาสะเปิดกรงแล้วอุ้มมันออกมากอด แต่เจ้าสุนัขตัวนี้มันกลับกระโดดออกจากอ้อมกอดของเมย์แล้วเดินมาวนรอบๆ ขาของเธอแทน
“คงจะไม่ชินกับคนแปลกหน้าสินะ” เมย์พยายามพูดปลอบใจตัวเองที่ถูกสุนัขเมิน
“คิดคงใช่นะ” มันน่ารักจนอดใจไม่ไหว เลยอุ้มมันขึ้นมาในอ้อมกอด โดยเจ้าสุนัขตัวนั้นก็ซุกเข้าที่แผงอกของเธออย่างรู้ความ “เด็กดี”
บ๊อก บ๊อก! บรู้วววว~
“น่ารัก” ทำไมยัยนี่ถึงแปลงร่างเป็นสัตว์ได้น่ารักขนาดนี้กันนะ
‘เจ้าเองก็น่ารัก’
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นในหัวของเธอ ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงของใคร ก็ยัยแวมไพร์ที่จ้องจะจับเธอทำเมียยังไงล่ะ
‘พาคนอื่นมาที่ห้องแบบนี้ข้าหวงนะ’
เมื่อรู้แบบนั้นใบหน้าที่กำลังยิ้มหวานก็หุบยิ้มทันที
‘มีสิทธิ์อะไรมาหวงยะ!’
ดารินทร์ลองคิดในใจตอบกลับอีกคนไป ซึ่งมันก็ได้ผล ความคิดของเธอส่งไปถึงอีกคนแน่นอนเพราะทันทีที่คิดจบเสียงหัวเราะของเขาก็ดังขึ้นในหัวอีกครั้ง
“มาดื่มกันเถอะ เดี๋ยวจะดึกซะก่อน” เมย์ยื่นแก้วให้
“เอ่อ…”
ดารินทร์มองมือที่ถือแก้ว อีกมืออุ้มสุนัข ก้มมองหน้ามันที่กำลังทำตาแป๋วมองมาที่เธอ จะเอามันกลับไปอยู่ในกรงก็คงจะใจร้ายเกินไป จะปล่อยให้เดินในห้องไปมามีหวังก็คงจะดื้อทำข้าวของพัง จึงตัดสินใจอุ้มมันเอาไว้อย่างงั้นเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น
“ติดเจ้าของจังเลยนะ” เมย์ที่เห็นเจ้าสุนัขอยู่นิ่งในอ้อมแขนเจ้าของมันจึงอดแซวไม่ได้
“ทรงนี้น่าจะดื้อ ขืนปล่อยลงพื้นมีหวังทำข้าวของพังกันพอดี” เธอพูดหลังยกแก้วขึ้นดื่ม ก่อนจะอุ้มมันมานั่งทับตักแทนเพราะจะหยิบกับแกล้มกิน ส่วนเจ้าสุนัขขนปุกปุยนั่งนิ่งไม่ขยับไปไหนจ้องไปที่แขกของห้องในวันนี้
‘อย่ามายุ่งกับข้านะ!’
มันขู่เล็กน้อยเมื่อมือเรียวของเมย์กำลังยื่นมาสัมผัสมัน และมีหลังครั้งที่อีกคนพยายามจะอุ้มมันออกไปจากตักเจ้าของ จนมือนั้นยอมแพ้แล้วชักมือกลับไป
…
“เห้ออ กลับสักที” จนทั้งคู่หยุดดื่ม ส่วนเมย์นั้นขอตัวกลับก่อน เหลือเพียงดารินทร์ที่เอนหลังพิงโซฟาอย่างเหนื่อยล้า
ตอนนี้เธอรับรู้ปัญหาระหว่างเมย์กับคิมแล้ว เมย์เล่าให้ฟังตอนกำลังนั่งดื่มกัน ว่าทั้งสองคนกำลังมีปัญหากัน เพราะคิมได้แอบไปคุยกับผู้หญิงคนอื่น แล้วเมย์จับได้
“พวกผู้ชายเป็นแบบนี้กันทุกคนรึเปล่านะ” ร่างบางพึมพำกับตัวเองเบาๆ เพราะถ้าเป็นตัวเธอเองก็ไม่อยากจะเจอกับผู้ชายแบบนั้นเหมือนกัน “น่ารังเกลียดจริงๆ ไอ้พวกผู้ชายเจ้าชู้เนี่ย”
“แต่ข้ารักเดียวนะ” เสียงพูดดังออกมาจากสุนัขตัวน้อยที่นั่งอยู่บนตัก ทำเอาดารินทร์ที่กำลังกรึ่มๆ อยู่ยกยิ้มแล้วลูบศีรษะมันไปมาอย่างเอ็นดู “เป็นเมียข้าเจ้าจะไม่มีวันเสียใจเพราะเรื่องแบบนั้นหรือเรื่องใดๆ ก็ตาม”
“จะอะไรกับฉันนักหนา ฉันมันก็แค่มนุษย์เงินเดือนธรรมดาคนนึง ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษตรงไหนเลย”
“เจ้าดีที่สุดสำหรับข้า”
“แหงสิ ก็เห็นบอกว่าเลือดฉันอร่อยนี่”
“นั่นมันก็อีกเรื่องนึง”
“ฉันอยากอยู่เฉยๆ ไม่ต้องตื่นมาทำงานเหมือนเธอบ้างจัง”
“ข้าเองก็ต้องทำงานแลกกับอาหารเหมือนกัน”
“งานอะไรล่ะ”
“ก็ที่เป็นกระต่าย เป็นหมาอยู่ตอนนี้ไง”
“แบบนี้ไม่ได้เรียกทำงานสักหน่อย มันต้องเรียนจนได้วุฒิมา แล้วเอาไปสมัครงานทำต่างหาก”
“งั้นให้ข้าเรียนเอาวุฒิไปสมัครงานดีไหม?”
“อยู่มา300ปีได้ยังไงนะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ” นี่คือสิ่งที่เธอสงสัยแต่ไม่กล้าถาม อีกคนใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องอะไร
“ความจริงแล้วบ้านข้ารวยมาก”
“จริงเหรอ?”
“แต่หนีออกมาแล้วน่ะ”
“อ้าว”
“ในหมู่พวกข้ามีกฏว่าต้องแต่งงานกับคู่หมั้นที่บ้านหาให้ตั้งแต่เกิดน่ะ”
“แวมไพร์มีแบบนี้ด้วยเหรอ?”
“ใช่ เพราะต้องสืบพันธุ์กับแวมไพร์ด้วยกันเอง เดิมทีก็เหลือน้อยเต็มที คู่หมั้นข้าอายุมากกว่าข้าตั้ง 300 กว่าปีเลยล่ะ” เธอไม่แปลกใจว่าทำไมอีกคนถึงได้หนีออกมา
“หนีออกมาแบบนี้แล้วไม่กลัวถูกตามเจอเหรอ?”
“ไม่มีทางหรอก ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่กับเจ้า”
“เกี่ยวอะไรกับฉัน”
“ตั้งแต่คืนนั้นที่ข้าบินมาที่นี่ ข้าก็รู้สึกว่าที่นี่เป็นที่ที่ปลอดภัยสำหรับข้า อาจเป็นเพราะกลิ่นของเจ้ามันช่วยกลบกลิ่นของข้า…” มิลานพูดพร้อมกับมองสำรวจร่างกายของเธอ “ถ้าไม่ได้เจ้าช่วยเอาไว้ คืนนั้นข้าคงตายไปแล้ว”
“เอาถึงตายเลยเหรอ?”
“ผู้ที่นำความเสื่อมเสียมาให้กับวงศ์ตระกูลอันสูงส่งย่อมต้องถูกกำจัดทิ้ง ย่อมไม่แปลก”
“แค่ไม่แต่งงานเอง ถึงกับต้องฆ่าแกงกันเลยเหรอ?”
“พวกข้ามีความซับซ้อนมากกว่าเจ้าอาจจะรู้ได้”
“…”
“บางทีโชคชะตาข้าอาจจะถูกลิขิตมาให้พบกับเจ้า”
“โชคชะตา?”
“ท่านแม่เคยบอกข้าว่าหากเกิดอาการร้อนรุ่ม ทั้งยังรู้สึกปรารถนาที่จะครอบครองใครสักคน ก็จงทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้ครอบครอง เว้นเสียแต่งตัวเองหรือคนคนนั้นมีคู่ของตนอยู่แล้ว”
“…”
“ข้าร้อนรุ่ม และรู้สึกปรารถนาอยากจะครอบครองเจ้าตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอ…”
“แต่เมื่อกี้เธอบอกว่าเธอมีคู่หมั้นอยู่แล้วนี่”
“ข้า…”
“คงจะเป็นแค่ช่วงฤดูผสมพันธุน่ะสิไม่ว่า กะจะมาหลอกฉัน ฉันไม่โง่ให้หลอกง่ายๆ หรอกนะ!”
คนเจ้าชู้ก็ว่าแย่พอแล้ว แต่นี่ยังเป็นแวมไพร์เจ้าชู้อีก ไม่อยากจะนึกภาพ
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ!” หมับ!
แค่เสี้ยววินาที สุนัขขนปุยตัวนั้นก็ได้กลายมาเป็นสิ่งที่มีชีวิตคล้ายคลึงกับมนุษย์ หล่อนจับมือของเธอไปสัมผัสแน่น นำไปแตะที่หน้าอกข้างซ้ายของหล่อนอย่างแผ่วเบา
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
“ตรงนี้ของข้าที่มันเชื่องช้ามาตลอด ยามเมื่อได้พบหน้าเจ้ามันกลับเต้นแรง และเร็วจนข้าหาคำอธิบายไม่ได้”
“…”
“เจ้าเป็นของข้าได้หรือไม่? ข้าสัญญาว่าจะปกป้องเจ้าด้วยชีวิต จะสิบปี ร้อยปี หรือพันปี หัวใจดวงนี้ก็จะเป็นของเจ้าตลอดไป”
“พูดบ้าอะไรน่ะ”
“ข้า…”
“จู่ๆ ก็มาสารภาพรักแบบนี้ใครจะเชื่อ เห็นฉันเป็นคนใจง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง?”
“ไม่ใช่นะ ข้าแค่รู้สึก…”
“อย่าเลยมิลาน…”
“ทำไมเล่า?” หล่อนทำหน้าเศร้า ทำเอาหัวใจของดารินทร์อ่อนยวบด้วยความสงสาร…
สงสาร…หรือเพราะอะไรเธอไม่อาจตอบได้ เพียงแต่ไม่ชอบที่จะเห็นอีกคนเศร้าหมอง หรือเสียใจเพราะเธอ
“ทำไมเจ้าถึงปฏิเสธข้า?”
“เพราะมนุษย์อย่างฉันอีกไม่กี่ปีก็ต้องตาย ฉันไม่อยากทำให้ใครต้องมาทุกข์ทรมานหรือจมปลัก ทั้งตอนที่ยังมีชีวิตและตอนที่ตายไปแล้ว”
“ข้าจะมอบชีวิตอันเป็นนิรันดร์ให้กับเจ้า”
“ฉันไม่อยากอยู่บนโลกนี้นานๆ หรอกนะ”
“ทำไมเล่า?”
“เพราะมันออกจะเหนื่อยน่ะสิ”
“เป็นแวมไพร์ไม่มีวันเหนื่อย และไม่มีวันตาย”
“…”
“เจ้าไม่อยากอยู่กับข้าตลอดไปหรือ?”
“มิลานตรงๆ นะคือฉันไม่ได้รักเธอ ทำไมฉันจะต้องอยากอยู่กับเธอตลอดไปด้วย?”
“…” มิลานนิ่งเงียบ ตกตะลึงกับคำพูดที่แสนตรงเกินไปของเธอ ก็ในเมื่อคนมันไม่มีใจ ทำไมต้องโกหกด้วย ไม่รักก็คือไม่รัก
“มิลาน…”
“ความรัก… มันคืออะไรงั้นหรือ?”
“ฉันเองก็ไม่ได้รู้ความหมายของมันนักหรอก รู้แค่ว่ามันคือความปรารถนาที่คนสองคนได้มีให้กัน ไม่ใช่มีแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”
“งั้นก็แสดงว่า…ตอนนี้มีเพียงข้าที่ปรารถนาเจ้าแค่ฝ่ายเดียวงั้นหรือ?”
“ใช่” ดารินทร์ตอบกลับไปอย่างยากลำบาก เพราะรู้สึกขัดต่อความรู้สึกในใจนิดๆ พยายามเถียงกับตัวเองว่านี่มันไม่ใช่ความรักหรืออะไร มันเป็นแค่ความพึงพอใจที่มีให้อีกฝ่ายเท่านั้น มันไม่ใช่ความรัก
“แล้วข้าต้องทำเช่นไร”
“ฉันไม่รู้”
“หรือต้องให้ข้าตาย-”
“ห้ามตายนะ!”
“…”
“ถึงจะไม่รัก แต่ฉันก็ไม่ได้ใจร้ายพอที่จะไล่ใครให้ไปตายหรอกนะ ถ้าไม่มีที่ไปจริงๆ ก็มาอยู่ที่นี่กับฉันเถอะ”
“ข้าอยู่ที่นี่กับเจ้าได้จริงๆ หรือ?”
“อื้อ”
“หากอยู่ที่นี่…ถ้าข้าเกิดมีอาการนั้นขึ้นมาล่ะ?”
“อาการอะไร?”
“ข้าจะรู้สึก ‘ปรารถนา’ มันเป็นเพียงแค่กับเจ้าคนเดียว หวังว่าเจ้าไล่จะไม่ข้าออกไป”
“คงไม่ถึงขั้นดูดเลือดฉันจนหมดตัวหรอกมั้ง”
“ไม่ขนาดนั้น…”
“…”เธอกลืนน้ำลายเสียงดัง
“อาจแค่ผสมพันธุ์สักสามวันสามคืนล่ะมั้ง ข้าถึงจะทุเลาลง”
“สะ…สามวันสามคืน!?”
“ยังน้อยไปด้วยซ้ำ สมัยท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าต่างลือว่าทั้งสองอยู่ในห้องนอนนับเดือน อุ๊บ!…”
“หยุด! ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว!” หญิงสาวยื่นมือมาปิดริมฝีปากสีซีดของแวมไพร์สาวเอาไว้ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำเพราะความเขินอาย “ใครให้เอาเรื่องในครอบครัวมาพูดแบบนี้กันเล่า”
“การสืบพันธุ์เป็นเรื่องที่เผ่าเราให้ความสำคัญมาก เพราะกว่าจะกำเนิดชีวิตหนึ่งมาได้นั้นเป็นเรื่องที่ยาก”
“ผิดกับมนุษย์บางกลุ่ม ที่มีง่ายจนเลี้ยงไม่หวาดไม่ไหว” เธอพึมพำ
“หากเจ้าได้ให้กำเนิดบุตรของข้าได้สักคนสองคน ท่านพ่ออาจดีใจ”
“อาจฆ่าล้างโคตรน่ะสิไม่ว่า หนีงานแต่งกับแวมไพร์มามีลูกกับมนุษย์ธรรมดาที่ถูกมองว่าเป็นอาหารมีหวังแค้นหนักเดิม” มิลานยิ้มแล้วหัวเราะเสียงดัง ทำให้ดารินทร์ขมวดคิ้วสงสัย เพราะสิ่งที่เธอกำลังพูดนั้นไม่ใช่เรื่องตลกแม้แต่น้อย แต่เป็นเรื่องที่คอขาดบาดตาย “หัวเราะอะไร?”
“ครั้งแรกที่เห็นเจ้าพูดยาวเหยียดขนาดนี้”
“ก็เพราะแวมไพร์อ๊องๆ อย่างเธอต้องใช้คำอธิบายยาวเหยียดไง ถึงจะเข้าใจ”
“คืนนี้จะให้ข้าเป็นตัวอะไรอีกล่ะ”
“เปลี่ยนเรื่องเฉย!!”
“หึหึ” รอยยิ้มแสนหวานปรากฏขึ้นใบหน้าหน้าขาวซีด ซึ่งไม่ได้ช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลย กลับกันดันรู้สึกขนลุกมากกว่าเดิมซะอีก
หากมิลานเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง หล่อนจะเป็นคนที่สวยมาก ใบหน้าที่มีเสน่ห์และเส้นผมที่ยาวสลวยสีดำเข้มนี้ สามารถเป็นดาราได้สบายๆ เลย
“จะเป็นอะไรก็เป็นไปเถอะ และห้องนี้ถ้าหากฉันไม่อนุญาตเธอก็ห้ามเดินเข้ามาเป็นอันขาดเข้าใจไหม?”
“เข้าใจก็ได้”
“อืม ไปละ” ว่าแล้วเธอก็เดินหายเข้าไปในห้องนอนของตัวเองทันที ปล่อยให้แวมไพร์นั่งยิ้มอยู่ที่ห้องรับแขกเพียงตนเดียว
ความคิดเห็น