ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คุณไลคหล่อนชอบคนเร้าใจ

    ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 7 รอยยิ้มเธอทำให้ใจสั่น

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.ย. 67


    Chapter 7

    รอยยิ้มเธอทำให้ใจสั่น

     

     

    บริษัท ไลค์ดีไซน์ (Like design) จำกัด

    “อืมมม พี่ว่าตรงนี้มันหลวมไปนะ เอาเข้าอีกนิดนึง” เธอกำลังตรวจความเรียบร้อยของชุดใหม่ ที่เพิ่งออกแบบและตัดเสร็จไม่กี่วันนี้ โดยฝีมือเลขาส่วนตัว ที่ขอเป็นลูกมือช่วย 

    “เอาตรงนี้เข้านะคะ”

    “ใช่ค่ะ ตรงนั้นแหละ ที่เหลือโอเคหมดแล้ว”

    “ว้าาา การตัดชุดเองนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะเนี่ย คุณไลค์ต้องใจเย็นขนาดไหนคะ ถึงตัดออกมาได้เป็นโหล ๆ ได้” เลขาสาวช่างพูด พอมีโอกาสก็บ่นออกมาไม่หยุด 

    “หึ ใจเย็นไม่พอ มันต้องอาศัยความชำนาญด้วย”

    “จิ๊บอยากมีพรสวรรค์แบบคุณบ้างจังค่ะ นั่งสวย ๆ ออกแบบชุด พอตัดเสร็จก็นั่งชมฝีมือตัวเอง คงจะภูมิใจไม่น้อยเลยนะคะ”

    “ค่ะ พี่ภูมิใจทุกครั้งที่ได้เห็นผู้คนสวมชุดที่พี่เป็นคนออกแบบน่ะ อย่างน้อย ๆ ก็มีคนที่ชอบเสื้อผ้าของพี่”

    “ไม่น้อยเลยนะคะ เกือบทั้งประเทศนี่ยังไม่รวมที่ต่างประเทศด้วยนะคะ”

    “เวอร์”

    “จิ๊บพูดจริง นี่จิ๊บกำลังคุยกับเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกเลยนะคะเนี่ย”

    “เวอร์อีกละ”

    “อิจฉาคนที่จะมาเป็นแฟนคุณไลค์อนาคตจังเลยค่ะ คนคนนั้นต้องโชคดีมากแน่ ๆ เลย นี่ถ้าจิ๊บเห็นนะคะ จิ๊บจะรีบเดินเข้าไปถามเลยว่าชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไร”

    “จิ๊บ อย่าเวอร์ ฉันไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้น” เธอส่ายหน้าให้กับเลขาตัวแสบ ที่พูดเก่งยิ่งกว่าอะไร แต่ก็ถือว่าดี เพราะมันทำให้เธอไม่เหงาแถมยังยิ้มได้ด้วย “เอ้อ เดี๋ยวนี้ไม่มีดอกไม้ที่ทำจากเงินมาส่งให้ฉันบ้างเลยเหรอ?”

    “ไม่มีนะคะ มีแค่ช่อนั้นแหละค่ะ หลังจากนั้นก็เงียบเลย ทำไมเหรอคะ?”

    “อ๋ออ เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”

    น่าแปลกที่ปกติอีกคนจะมักชอบส่งช่อดอกไม้ที่ทำจากเงินมาให้บ่อย ๆ  หรือแทบจะทุกวันด้วยซ้ำในเมื่อก่อน แต่หากสงสัยว่าทำไมถึงมีในลิ้นชักแค่สิบช่อ นั่นก็เพราะช่ออื่น ๆ ที่เหลือฉันปฏิเสธไปบ้าง ยกให้เลขาตัวเองบ้าง เอาไปบริจาคบ้าง เพราะเก็บเอาไว้ไม่หวาดไม่ไหว แต่ถ้าหากเอามาใช้เป็นการส่วนตัวนั้นไม่เคยเอามาใช้เลยสักบาทเดียว

    “ว่าแต่ใครเหรอคะที่เป็นเจ้าของช่อดอกไม้นั่นดูท่าน่าจะรวยใช่ย่อย”

    “ใช่ เขารวย รวยมาก แถมเร้าใจมากด้วย

    “ว้ายยย ตายแล้วจริงเหรอคะเนี่ย!?”

    “ตกใจอะไรขนาดนั้น”

    “ผู้ชายคนนั้นเขาน่าจะเป็นคนใส่ใจรายละเอียดมากเลยนะคะนั่น ถึงได้รู้ว่าคุณไลค์ชอบเงิน”

    “ก็ถูก”

    “ที่ว่าเค้าเป็นคนใส่ใจเหรอคะ?”

    “ที่ว่าฉันชอบเงิน”

    “โถ่!!!!” พูดจบเราทั้งคู่ต่างก็หัวเราะขึ้นอย่างอารมณ์ดี ที่ตบมุขกันอย่างรู้ใจ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาสนใจกับชุดในหุ่นอีกครั้ง 

    “จิ๊บเคยแอบชอบใครสักคนมั้ย?”

    “ก็เคยนะคะ”

    “แล้วจิ๊บทำตัวยังไง เวลาที่ได้อยู่ใกล้คนที่ตัวเองแอบชอบ”

    “ไม่กล้าสบตา ไม่เป็นตัวของตัวเอง จากที่พูดมาก ๆ ก็จะไม่ค่อยพูด เพราะกลัวเค้ารำคาญแฮะ ๆ”

    “แล้วจิ๊บเคยสับสนมั้ย แบบว่าสรุปเราชอบเค้าหรือแค่อยากเอาชนะ...”

    “ไม่เคยค่ะ ถ้าจิ๊บชอบใครจิ๊บจะไม่พยายามเอาชนะคนที่จิ๊บชอบเลย”

    “อ๋าาาา”

    “ถามทำไมเหรอคะ?”

    “อ๋ออ เปล่าหรอก แค่อยากรู้น่ะ”

    เธอยอมรับว่าจริง ๆ แล้วเธอก็ยังแอบสับสนอยู่บ้างกับการกระทำของอีกคน ถึงแม้คำพูดและการกระทำของเขาจะดูเหินห่าง แต่แววตามันตรงกันข้าม

    “ความรักนี่มันเข้าใจยากเนอะ”

    “ค่ะ แค่เข้าใจตัวเองก็ยากพอแล้ว แต่นี่ต้องมาเข้าใจคนอื่นเพิ่มด้วย”

    “นั้นแหละความรักล่ะนะ”

    “แล้วเมื่อไหร่คุณไลค์จะเปิดตัวคะ?” ทำไมเธอถึงต้องรู้สึกหน้าแดงและร้อนฉ่า เมื่อเลขาเชียร์ให้มีแฟน ทั้ง ๆ ที่สถานะคนคุยตอนนี้ยังคลุมเครืออยู่เลยแท้ ๆ 

    “ไว้เป็นแฟนฉันจะพามาแนะนำให้รู้จักคนแรกเลย”

    “จริงนะคะ!?”

    “อือฮึ” ‘หึ ฝันไปเถอะ คงอีกนาน’

     

    13:00 น.

    กึก

    “เห้อออ เหนื่อย...”

    อยู่กับเด็กนี่แล้วสนุกจริง ๆ แถมยังเสียพลังงานไปเยอะด้วย นี่เพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้นนะ ไม่อยากจะนึกสภาพว่าถ้าหากต้องมานั่งคุยกันแบบนี้ทุกวันล่ะก็ มีหวังประสาทกินแน่ ๆ 

    ดีนะที่เธอแบ่งช่วงเช้าเป็นงานฝีมือ ส่วนช่วงบ่ายเป็นงานเอกสาร จึงทำให้ได้พักสมองหน่อย

    จริงอยู่เธอคนเดียวที่ดูจะเป็นคนออกสังคมเก่งมากที่สุดในบรรดาสามพี่น้อง แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเธอเองก็เป็นคนที่โลกส่วนตัวสูงในระดับหนึ่ง แต่เพราะสังคมแฟชั่น และนักออกแบบ มันเป็นอาชีพที่ต้องเจอผู้คนมากหน้าหลายตากันอยู่แล้ว ซึ่งสรุปง่าย ๆ ก็คือ ต้องเป็นตัวแม่ ตัวมัมแบบเธอเท่านั้น สังคมแฟชั่นถึงจะยอมรับเสื้อผ้าสวย ๆ นางแบบก็ต้องสวยเป็นเรื่องธรรมดา 

    ต้องปั้นหน้ายิ้มและหัวเราะไปให้สุด แล้วไปหยุดอยู่ที่เตียงนอนหลังเลิกงานทุก ๆ วันดีกว่า และที่บอกว่าสเปกคือคนพูดเก่ง ยิ้มเก่ง อารมณ์ และเร้าใจอะไรนั่น จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ซะทีเดียว แค่คิดว่าคนเราต้องมีลักษณะและนิสัยที่แตกต่างกันมันถึงจะเติมเต็มกันได้ดี 

    แต่จากที่เจอมา น้อยคนนักที่มีนิสัยแบบนั้นแล้วจะเป็นคนดี และซื่อสัตว์ สู้เธอหาคนธรรมดา ๆ แล้วอยู่ใช้ชีวิตกันไปแบบสงบ ๆ ดีกว่า

    ว่าแต่พี่โซนี่จัดว่าเป็นคนธรรมดามั้ยนะ…

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก 

    “เข้ามา” เธอร้องคนข้างนอก

    “คุณไลค์คะ”

    “ว่าไงจิ๊บ?”

    “มีแขกมาขอพบค่ะ”

    “ใครน่ะ?”

    “เขาบอกว่าเป็นคนรู้จักของคุณไลค์ค่ะ ตัวสูง ๆ ให้เข้ามาเลยมั้ยคะ?”

    ตัวสูงงั้นเหรอ? หรือว่าจะเป็น…

    “อือ ให้เค้าเข้ามาได้เลย” เธอบอกอีกคนไปพร้อมกับก้มหน้าแล้วนั่งนวดขมับตัวเองไปมา เมื่อเผลอคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย 

    พี่โซก็ไม่น่าจะลงทุนมาหากันถึงที่นี่ได้…

    “พี่โซ?”

    “พี่แค่บอกว่าไม่จำเป็นต้องเจอกันทุกวัน แต่นี่อะไรเล่นไม่เจอกันตั้งหลายวัน” อีกฝ่ายเดินหน้าตั้งเข้ามาหาเธอ

    “เอ่อ...เพิ่งผ่านไปได้แค่สามวันเองนะคะพี่โซ”

    อีกคนชักสีหน้ากลับมาตึงเครียดอีกครั้ง ก่อนจจะจ้องหน้าเธอเขม็ง

    “อย่าให้ฉันรู้ว่าเธอแอบมีคนอื่น”

    ทั้งน้ำเสียง สีหน้า ไม่รวมรัศมีที่น่ากลัวของอีกคนอีก ไลค์มองว่ามันช่างชวนขนลุกแปลก ๆ

    “มะ…ไม่มีค่ะ”

    “ดี”

    “…”

    “แล้วนี่ หักโหมงานหนักเหรอ ทำไมถึงนั่งนวดขมับแบบนั้น?” เสียงทุ้มถามขึ้นพร้อมกับกลิ่นน้ำหอมที่ชวนให้รู้สึกสดชื่นลอยเข้ามาเดะจมูก 

    “นิดหน่อยค่ะ พอดีงานที่บริษัทต้องเร่งผลิตเสื้อผ้าเพิ่มน่ะ แล้วไหนจะมีเสื้อผ้าล๊อตใหม่ด้วย ไลค์ต้องเช็คความเรียบร้อยก่อนจะสั่งตัดเพิ่มน่ะค่ะ” เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกคนที่ยืนอยู่ แล้วผายมือให้เขาไปนั่งตรงโซฟาถัดไปจากโต๊ะทำงาน “ห้องอาจจะรกนิดนึงนะคะ พอดีว่าเมื่อเช้าเราแก้ชุดกันในนี้ค่ะ”

    “ไม่นิดแล้วมั้ง แทบไม่มีที่เดินเลย”

    “ขอโทษค่ะ”

    “แต่ก็ไม่เป็นไร พี่เข้าใจว่างานยุ่งจนไม่มีเวลาดูแลความสะอาด”

    “ค่ะ”

    “ว่าแต่ป้าแม่บ้านของบริษัทไลค์หายไปไหนกันหมด ทำไมยังไม่ขึ้นมาเก็บกวาด”

    “ไลค์ให้ทำเป็นรอบ ๆ ค่ะ ห้องทำงานของไลค์เป็นที่สุดท้ายที่เขาจะมาเก็บ”

    “อ่า กาแฟมั้ย?” คนที่นั่งตัวตรงหันมาถามเธอด้วยน้ำเสียงปกติ 

    “คะ?” เธอทำได้แค่หันหลังกลับไปถามอีกคนซ้ำอีกครั้ง เพราะยังคงงุนงงกับคำถามอีกคน 

    “พี่ถามว่าอยากดื่มกาแฟมั้ย? เดี๋ยวพี่ออกไปชงให้”

    “เอ่อ...เรื่องนั้นไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวถ้าไลค์อยากดื่มเดี๋ยวไลค์ให้เลขาไปชง-”

    “ไม่มีใครชงกาแฟถูกใจไลค์ได้เท่าพี่แล้วล่ะค่ะ” พูดแล้วพี่เขาก็ถือวิสาสะเดินออกจากห้องทำงานไป ปล่อยให้เธอยืนอึ้งอยู่คนเดียว

    “...” นั่นเขาก็พูดถูก เมื่อหนึ่งปีก่อน พี่เขาตามจีบเธอบ่อยจนรู้ว่าเธอชงกาแฟสูตรอะไร ถึงแม้มันจะเป็นสูตรตายตัวที่ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่ที่น่าแปลกก็คือไม่มีใครชงกาแฟได้อร่อยเท่าคนคนนี้เลย

    เอ๊ะ...หรือจริง ๆ แล้วมันไม่ได้อร่อยเพราะสูตรชงกาแฟ แต่มันอร่อยเพราะคนชง...

    นั่นก็ไม่อาจหาคำอธิบายได้อย่างชัดเจนอีกเช่นเคย

    ผ่านไปไม่นานเท่านั้น อีกคนก็เข้ามาด้านในพร้อมกับกาแฟในมือ โดยเธอแอบเห็นว่ามีใบหน้าของเลขาจิ๊บโผล่เข้ามายิ้มให้แว๊บนึง นั่นทำให้ต้องขมวดคิ้วใส่ 

    “ทานอะไรรึยัง”

    “ยังค่ะ วันนี้ไลค์กะว่าจะงด-”

    “งดทำไม ตัวก็ผอมยังต้องงดอะไรอีก?”

    “...”

    กึก!

    “งั้นก็ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้วกาแฟน่ะออกไปข้างนอกกับพี่เถอะ” ว่าแล้วพี่โซเขาก็เดินเข้ามาจูงมือเธอเดินออกไปจากห้องทำงาน โดยไม่แคร์ว่าจะมีใครมองเราสองคนยังไง โดยเฉพาะเลขาหน้าห้อง ที่นั่งเกาหัวงง ๆ ตอนเห็นเธอโดนอีกคนลากเข้าลิฟต์ไป 

     

    ร้านอาหารแห่งหนึ่ง 

    “อยากทานอะไรก็สั่งเลยนะ เดี๋ยวมื้อนี้พี่จ่ายเอง”

    “เอ่อ-”

    “ไม่ต้องเกรงใจ ถ้าไม่งั้นไลค์ค่อยไปเลี้ยงพี่คืนในมื้อถัดไปก็ได้” คนพาเธอมาที่ร้านอาหารพูดต่อโดยไม่รอให้เธอได้อ้าปากพูดหรือออกความเห็นใด ๆ ยกเว้นตอนสั่งอาหาร 

    จนกระทั่งเราทั้งคู่สั่งอาหารเสร็จ และกำลังนั่งรออาหารอยู่นั้น เธอก็ได้สำรวจดูร้านอาหารที่อีกคนพามา จำได้ว่าการจะได้มาทานที่นี่มันไม่ใช่ว่ามาถึงแล้วจะได้นั่งทานเลย...

    “อย่าให้พี่รู้อีกนะ ว่าเราอดข้าว มื้อเช้าดื่มกาแฟพี่ก็อนุโลมให้แล้ว แต่นี่ยังจะงดมื้อ-”

    “พี่โซคะ”

    “คะ?”

    “อยากมาทานข้าวกับไลค์ ทำไมไม่ชวนไลค์ดี ๆ คะ? ลากไลค์ออกมาแบบนั้นคนในบริษัทคงพากันตกใจหมด”

    “พวกเขาต้องขอบคุณพี่พาเจ้านายของพวกเขามาทานข้าว จริงๆแล้วก็ไม่ได้เต็มใจสักเท่าไหร่”

    “แต่ร้านนี้ต้องจองโต๊ะก่อนนะคะ”

    “...”

    “ไม่เนียนเลยนะคะพี่โซ”

    “เงียบไปเถอะ” เมื่อถูกจับได้อีกคนก็ตัดบทสนทนาทันทีพร้อมกับมองไปทางอื่น

    “อะไรคะ ที่แท้พี่เองก็อยากเจอไลค์สินะคะ”

    “ก็ไม่ได้ขนาดนั้น”

    “ไม่ขนาดนั้น แต่แอบอู้งานที่บริษัทมาหาไลค์?”

    “...”

    “หืมมม? ว่าไงคะ?” เธอยื่นมือเข้าไปกุมหลังมืออีกคนที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนที่เขาจะสะบัดมือออก

    “พะ...พี่เคลียร์งานหมดแล้วต่างหาก พอว่างก็เลยแวะมาหาเฉย ๆ”

    “อ๋อออ เหรอคะ”

    “อืม”

    “ก็ได้ค่ะ ว่างก็ว่าง งั้นบ่ายนี้พี่อยากจะไปนั่งเฝ้าไลค์เคลียร์เอกสารที่บริษัทมั้ยคะ?” เธอถามอีกคนเป็นการหยั่งเชิง แล้วพบว่าอีกคนมีสีหน้าที่เหมือนจะเสียดายอย่างเห็นได้ชัด และนั่นก็เป็นไปตามที่เธอคิด เพราะคนบ้างานอย่างพี่โซน่ะไม่มีทางทิ้งงานตัวเองได้นานหรอก

    “ก็อยากไปนะ แต่ว่า…”

    “พูดแบบนี้แสดงว่าไม่สะดวกสินะคะ”

    “เปลี่ยนเป็นไปทานข้าวตอนเย็นแทนได้มั้ย?”

    “ฮะ!?”

    “บ่ายนี้คงไม่สะดวก เอาเป็นตอนเย็นได้มั้ย?”

    “นี่พี่ชวนไลค์เดทอยู่งั้นเหรอคะ?”

    “เปล่า แค่ไปทานข้าว”

    “อ๋อได้ค่ะ” ทันทีที่เธอตอบตกลงอีกคนไป เขาก็ได้พ่นลมออกมาจากปากอย่างโล่งอก ประดั่งชายหนุ่มที่เพิ่งจะรวบรวมความกล้าชวนสาวเดทเป็นครั้งแรกอย่างไงอย่างงั้นแน่ะ 

    ไอ้ท่าทีท่าดูเหมือนจะไม่สนใจกันแบบนั้น มันทำให้เธอได้แต่แอบยิ้มอยู่ในใจคนเดียว ปนกับเอ็นดู 

    เมื่อหนึ่งปีก่อนเธอนี่มันโง่จริง ๆ ที่มองข้ามคนน่ารักแบบเขาไป 

     

    19:30 น.

    ณ ภัตตาคารหรูแห่งหนึ่งใจกลางเมือง

    “ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยขอบคุณพนักงานเสิร์ฟอย่างไม่ถือตัว พร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เมื่อเขาได้นำอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะของพวกเรา ก่อนจะกลับมาสนใจกับคนผู้ร่วมโต๊ะอีกครั้ง “มองหน้าไลค์แบบนั้น มีอะไรรึเปล่าคะ?”

    “เบื่อมั้ยคะ?”

    “คะ?”

    “เลิกงานแล้ว ยังต้องมาเจอหน้าพี่อีก”

    เธอจ้องหน้าอีกคนก่อนจะยิ้มให้เขาจากใจจริง 

    พี่เขาเป็นคนจำเก่ง จำได้แม้กระสิ่งคำพูดและการกระทำของเธอในเมื่อก่อน ถ้าเป็นตอนนั้น เธอคงจะบอกพี่เขาไปอย่างทุกครั้งว่าเหนื่อย และเบื่อทุกครั้งที่ต้องมาทานอาหารเย็นกับพี่เขา แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว

    “ไม่เหนื่อย ไม่เบื่อเลยค่ะ ดีซะอีกมีคนเลี้ยงข้าว”

    ช่วงนี้หนูขัดสนเหรอ?

    “ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ”

    คนบ้าอะไร บทจะซื่อก็ซื่อซะเหลือเกิน!!!  

    “ไลค์หมายถึง ไลค์ชอบที่ได้มาเดทกับพี่น่ะค่ะ”

    “บอกไปแล้วไงว่านี่ไม่ใช่การเดท แค่มาทานข้าว-”

    “ดอกไม้ที่สั่งได้แล้วครับคุณผู้หญิง”

    “...” เธอนั่งมองอีกคนที่หันไปมองพนักงานในร้าน ที่ถือช่อดอกไม้ที่ทำจากเงินมาให้อีกคนได้ตรงจังหวะ และเขาก็ทำได้แค่มองพนักงานคนนั้นแล้วทำตาปริบ ๆ ก่อนจะหันมามองหน้าเธอ

    “ไม่ใช่เดทเนอะ”

    “อืม!!” ว่าแล้วพี่เขาก็ยื่นมันมาให้เธอ

    แล้วเธอจะเขินแล้วหันมาดมดอกไม้ปลอมนี่ทำไม!! ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ แต่ก็ไม่เป็นไร กลิ่นหอมของเงินก็ไม่เลวเหมือนกัน 

    ในขณะเดียวกันเธอก็เพิ่งจะนึกเรื่องของอีกคนออก จึงได้ยิ้มแล้วพูดออกไปอย่างมั่นใจ

    “ไลค์เพิ่งรู้เหตุผลที่พี่ชอบให้ดอกไม้ที่ทำจากเงิน เพราะพี่แพ้เกสรดอกไม้รึเปล่าคะ?”

    “ไม่ใช่”

    “อ้าว” เพราะใบหน้าของการตอบกลับของอีกคนที่มันเรียบนิ่ง จึงทำให้เธอรู้สึกหน้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ 

    “แล้วทำไม-”

    “เพราะรู้ว่าไลค์ชอบเงิน ก็เลยอยากจะมอบสิ่งที่ไลค์ชอบให้ก็เท่านั้น” พี่เขายักไหลทั้งสองข้าง “ส่วนเรื่องแพ้เกสรดอกไม้ก็จริงเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เหตุผลหลักที่พี่เปลี่ยนดอกไม้เป็นเงินหรอกนะ”

    “อ่า...ขอบคุณนะคะ ใส่ใจไลค์ขนาดนั้นเชียว”

    “แล้วรู้ได้ยังไงว่าพี่แพ้เกสรดอกไม้”

    “วันนั้นเลขาของพี่บอกมาค่ะ”

    “อ่าา เริ่มจำเรื่องของพี่ได้บ้างแล้วสินะ”

    พูดแบบนี้ หลอกด่ากันรึเปล่านะ?...

    “ไว้วันหลังไลค์จะส่งดอกไม้ชนิดอื่นไปให้นะคะ”

    “ไม่ต้องหรอกเปลืองทรัพย์เปล่า ๆ”

    “ทีพี่ล่ะคะ ช่อนึงก็หลายหมื่นอยู่นะ”

    รวย” ถึงจะเป็นคำสั้น ๆ แต่ความหมายยิ่งใหญ่

    “โห น่าหมั่นไส้”

    “หึ” หัวเราะออกมาแล้ว… น้อยมากที่เธอจะเห็นอีกคนยิ้มและหัวเราะเป็นธรรมชาติแบบนี้

    “พี่ยิ้มแล้วสวยจัง ยิ้มเยอะ ๆ นะคะ”

    “…” ทันทีที่รู้ตัวอีกคนก็รีบหุบยิ้มทันที หรือเธอพูดอะไรผิดไป

    “พี่ไม่อยากสวยหรอก”

    “แล้วถ้าไลค์บอกว่ารอยยิ้มของพี่ทำให้ไลค์ใจสั่นล่ะคะ?”


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×