คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 7 รอยยิ้มเธอทำให้ใจสั่น
Chapter 7
รอยยิ้มเธอทำให้ใจสั่น
บริษัท ไลค์ดีไซน์ (Like design) จำกัด
“อืมมม พี่ว่าตรงนี้มันหลวมไปนะ เอาเข้าอีกนิดนึง” เธอกำลังตรวจความเรียบร้อยของชุดใหม่ ที่เพิ่งออกแบบและตัดเสร็จไม่กี่วันนี้ โดยฝีมือเลขาส่วนตัว ที่ขอเป็นลูกมือช่วย
“เอาตรงนี้เข้านะคะ”
“ใช่ค่ะ ตรงนั้นแหละ ที่เหลือโอเคหมดแล้ว”
“ว้าาา การตัดชุดเองนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะเนี่ย คุณไลค์ต้องใจเย็นขนาดไหนคะ ถึงตัดออกมาได้เป็นโหล ๆ ได้” เลขาสาวช่างพูด พอมีโอกาสก็บ่นออกมาไม่หยุด
“หึ ใจเย็นไม่พอ มันต้องอาศัยความชำนาญด้วย”
“จิ๊บอยากมีพรสวรรค์แบบคุณบ้างจังค่ะ นั่งสวย ๆ ออกแบบชุด พอตัดเสร็จก็นั่งชมฝีมือตัวเอง คงจะภูมิใจไม่น้อยเลยนะคะ”
“ค่ะ พี่ภูมิใจทุกครั้งที่ได้เห็นผู้คนสวมชุดที่พี่เป็นคนออกแบบน่ะ อย่างน้อย ๆ ก็มีคนที่ชอบเสื้อผ้าของพี่”
“ไม่น้อยเลยนะคะ เกือบทั้งประเทศนี่ยังไม่รวมที่ต่างประเทศด้วยนะคะ”
“เวอร์”
“จิ๊บพูดจริง นี่จิ๊บกำลังคุยกับเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกเลยนะคะเนี่ย”
“เวอร์อีกละ”
“อิจฉาคนที่จะมาเป็นแฟนคุณไลค์อนาคตจังเลยค่ะ คนคนนั้นต้องโชคดีมากแน่ ๆ เลย นี่ถ้าจิ๊บเห็นนะคะ จิ๊บจะรีบเดินเข้าไปถามเลยว่าชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไร”
“จิ๊บ อย่าเวอร์ ฉันไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้น” เธอส่ายหน้าให้กับเลขาตัวแสบ ที่พูดเก่งยิ่งกว่าอะไร แต่ก็ถือว่าดี เพราะมันทำให้เธอไม่เหงาแถมยังยิ้มได้ด้วย “เอ้อ เดี๋ยวนี้ไม่มีดอกไม้ที่ทำจากเงินมาส่งให้ฉันบ้างเลยเหรอ?”
“ไม่มีนะคะ มีแค่ช่อนั้นแหละค่ะ หลังจากนั้นก็เงียบเลย ทำไมเหรอคะ?”
“อ๋ออ เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”
น่าแปลกที่ปกติอีกคนจะมักชอบส่งช่อดอกไม้ที่ทำจากเงินมาให้บ่อย ๆ หรือแทบจะทุกวันด้วยซ้ำในเมื่อก่อน แต่หากสงสัยว่าทำไมถึงมีในลิ้นชักแค่สิบช่อ นั่นก็เพราะช่ออื่น ๆ ที่เหลือฉันปฏิเสธไปบ้าง ยกให้เลขาตัวเองบ้าง เอาไปบริจาคบ้าง เพราะเก็บเอาไว้ไม่หวาดไม่ไหว แต่ถ้าหากเอามาใช้เป็นการส่วนตัวนั้นไม่เคยเอามาใช้เลยสักบาทเดียว
“ว่าแต่ใครเหรอคะที่เป็นเจ้าของช่อดอกไม้นั่นดูท่าน่าจะรวยใช่ย่อย”
“ใช่ เขารวย รวยมาก แถมเร้าใจมากด้วย”
“ว้ายยย ตายแล้วจริงเหรอคะเนี่ย!?”
“ตกใจอะไรขนาดนั้น”
“ผู้ชายคนนั้นเขาน่าจะเป็นคนใส่ใจรายละเอียดมากเลยนะคะนั่น ถึงได้รู้ว่าคุณไลค์ชอบเงิน”
“ก็ถูก”
“ที่ว่าเค้าเป็นคนใส่ใจเหรอคะ?”
“ที่ว่าฉันชอบเงิน”
“โถ่!!!!” พูดจบเราทั้งคู่ต่างก็หัวเราะขึ้นอย่างอารมณ์ดี ที่ตบมุขกันอย่างรู้ใจ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาสนใจกับชุดในหุ่นอีกครั้ง
“จิ๊บเคยแอบชอบใครสักคนมั้ย?”
“ก็เคยนะคะ”
“แล้วจิ๊บทำตัวยังไง เวลาที่ได้อยู่ใกล้คนที่ตัวเองแอบชอบ”
“ไม่กล้าสบตา ไม่เป็นตัวของตัวเอง จากที่พูดมาก ๆ ก็จะไม่ค่อยพูด เพราะกลัวเค้ารำคาญแฮะ ๆ”
“แล้วจิ๊บเคยสับสนมั้ย แบบว่าสรุปเราชอบเค้าหรือแค่อยากเอาชนะ...”
“ไม่เคยค่ะ ถ้าจิ๊บชอบใครจิ๊บจะไม่พยายามเอาชนะคนที่จิ๊บชอบเลย”
“อ๋าาาา”
“ถามทำไมเหรอคะ?”
“อ๋ออ เปล่าหรอก แค่อยากรู้น่ะ”
เธอยอมรับว่าจริง ๆ แล้วเธอก็ยังแอบสับสนอยู่บ้างกับการกระทำของอีกคน ถึงแม้คำพูดและการกระทำของเขาจะดูเหินห่าง แต่แววตามันตรงกันข้าม
“ความรักนี่มันเข้าใจยากเนอะ”
“ค่ะ แค่เข้าใจตัวเองก็ยากพอแล้ว แต่นี่ต้องมาเข้าใจคนอื่นเพิ่มด้วย”
“นั้นแหละความรักล่ะนะ”
“แล้วเมื่อไหร่คุณไลค์จะเปิดตัวคะ?” ทำไมเธอถึงต้องรู้สึกหน้าแดงและร้อนฉ่า เมื่อเลขาเชียร์ให้มีแฟน ทั้ง ๆ ที่สถานะคนคุยตอนนี้ยังคลุมเครืออยู่เลยแท้ ๆ
“ไว้เป็นแฟนฉันจะพามาแนะนำให้รู้จักคนแรกเลย”
“จริงนะคะ!?”
“อือฮึ” ‘หึ ฝันไปเถอะ คงอีกนาน’
13:00 น.
กึก
“เห้อออ เหนื่อย...”
อยู่กับเด็กนี่แล้วสนุกจริง ๆ แถมยังเสียพลังงานไปเยอะด้วย นี่เพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้นนะ ไม่อยากจะนึกสภาพว่าถ้าหากต้องมานั่งคุยกันแบบนี้ทุกวันล่ะก็ มีหวังประสาทกินแน่ ๆ
ดีนะที่เธอแบ่งช่วงเช้าเป็นงานฝีมือ ส่วนช่วงบ่ายเป็นงานเอกสาร จึงทำให้ได้พักสมองหน่อย
จริงอยู่เธอคนเดียวที่ดูจะเป็นคนออกสังคมเก่งมากที่สุดในบรรดาสามพี่น้อง แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเธอเองก็เป็นคนที่โลกส่วนตัวสูงในระดับหนึ่ง แต่เพราะสังคมแฟชั่น และนักออกแบบ มันเป็นอาชีพที่ต้องเจอผู้คนมากหน้าหลายตากันอยู่แล้ว ซึ่งสรุปง่าย ๆ ก็คือ ต้องเป็นตัวแม่ ตัวมัมแบบเธอเท่านั้น สังคมแฟชั่นถึงจะยอมรับเสื้อผ้าสวย ๆ นางแบบก็ต้องสวยเป็นเรื่องธรรมดา
ต้องปั้นหน้ายิ้มและหัวเราะไปให้สุด แล้วไปหยุดอยู่ที่เตียงนอนหลังเลิกงานทุก ๆ วันดีกว่า และที่บอกว่าสเปกคือคนพูดเก่ง ยิ้มเก่ง อารมณ์ และเร้าใจอะไรนั่น จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ซะทีเดียว แค่คิดว่าคนเราต้องมีลักษณะและนิสัยที่แตกต่างกันมันถึงจะเติมเต็มกันได้ดี
แต่จากที่เจอมา น้อยคนนักที่มีนิสัยแบบนั้นแล้วจะเป็นคนดี และซื่อสัตว์ สู้เธอหาคนธรรมดา ๆ แล้วอยู่ใช้ชีวิตกันไปแบบสงบ ๆ ดีกว่า
ว่าแต่พี่โซนี่จัดว่าเป็นคนธรรมดามั้ยนะ…
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา” เธอร้องคนข้างนอก
“คุณไลค์คะ”
“ว่าไงจิ๊บ?”
“มีแขกมาขอพบค่ะ”
“ใครน่ะ?”
“เขาบอกว่าเป็นคนรู้จักของคุณไลค์ค่ะ ตัวสูง ๆ ให้เข้ามาเลยมั้ยคะ?”
ตัวสูงงั้นเหรอ? หรือว่าจะเป็น…
“อือ ให้เค้าเข้ามาได้เลย” เธอบอกอีกคนไปพร้อมกับก้มหน้าแล้วนั่งนวดขมับตัวเองไปมา เมื่อเผลอคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
พี่โซก็ไม่น่าจะลงทุนมาหากันถึงที่นี่ได้…
“พี่โซ?”
“พี่แค่บอกว่าไม่จำเป็นต้องเจอกันทุกวัน แต่นี่อะไรเล่นไม่เจอกันตั้งหลายวัน” อีกฝ่ายเดินหน้าตั้งเข้ามาหาเธอ
“เอ่อ...เพิ่งผ่านไปได้แค่สามวันเองนะคะพี่โซ”
อีกคนชักสีหน้ากลับมาตึงเครียดอีกครั้ง ก่อนจจะจ้องหน้าเธอเขม็ง
“อย่าให้ฉันรู้ว่าเธอแอบมีคนอื่น”
ทั้งน้ำเสียง สีหน้า ไม่รวมรัศมีที่น่ากลัวของอีกคนอีก ไลค์มองว่ามันช่างชวนขนลุกแปลก ๆ
“มะ…ไม่มีค่ะ”
“ดี”
“…”
“แล้วนี่ หักโหมงานหนักเหรอ ทำไมถึงนั่งนวดขมับแบบนั้น?” เสียงทุ้มถามขึ้นพร้อมกับกลิ่นน้ำหอมที่ชวนให้รู้สึกสดชื่นลอยเข้ามาเดะจมูก
“นิดหน่อยค่ะ พอดีงานที่บริษัทต้องเร่งผลิตเสื้อผ้าเพิ่มน่ะ แล้วไหนจะมีเสื้อผ้าล๊อตใหม่ด้วย ไลค์ต้องเช็คความเรียบร้อยก่อนจะสั่งตัดเพิ่มน่ะค่ะ” เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกคนที่ยืนอยู่ แล้วผายมือให้เขาไปนั่งตรงโซฟาถัดไปจากโต๊ะทำงาน “ห้องอาจจะรกนิดนึงนะคะ พอดีว่าเมื่อเช้าเราแก้ชุดกันในนี้ค่ะ”
“ไม่นิดแล้วมั้ง แทบไม่มีที่เดินเลย”
“ขอโทษค่ะ”
“แต่ก็ไม่เป็นไร พี่เข้าใจว่างานยุ่งจนไม่มีเวลาดูแลความสะอาด”
“ค่ะ”
“ว่าแต่ป้าแม่บ้านของบริษัทไลค์หายไปไหนกันหมด ทำไมยังไม่ขึ้นมาเก็บกวาด”
“ไลค์ให้ทำเป็นรอบ ๆ ค่ะ ห้องทำงานของไลค์เป็นที่สุดท้ายที่เขาจะมาเก็บ”
“อ่า กาแฟมั้ย?” คนที่นั่งตัวตรงหันมาถามเธอด้วยน้ำเสียงปกติ
“คะ?” เธอทำได้แค่หันหลังกลับไปถามอีกคนซ้ำอีกครั้ง เพราะยังคงงุนงงกับคำถามอีกคน
“พี่ถามว่าอยากดื่มกาแฟมั้ย? เดี๋ยวพี่ออกไปชงให้”
“เอ่อ...เรื่องนั้นไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวถ้าไลค์อยากดื่มเดี๋ยวไลค์ให้เลขาไปชง-”
“ไม่มีใครชงกาแฟถูกใจไลค์ได้เท่าพี่แล้วล่ะค่ะ” พูดแล้วพี่เขาก็ถือวิสาสะเดินออกจากห้องทำงานไป ปล่อยให้เธอยืนอึ้งอยู่คนเดียว
“...” นั่นเขาก็พูดถูก เมื่อหนึ่งปีก่อน พี่เขาตามจีบเธอบ่อยจนรู้ว่าเธอชงกาแฟสูตรอะไร ถึงแม้มันจะเป็นสูตรตายตัวที่ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่ที่น่าแปลกก็คือไม่มีใครชงกาแฟได้อร่อยเท่าคนคนนี้เลย
เอ๊ะ...หรือจริง ๆ แล้วมันไม่ได้อร่อยเพราะสูตรชงกาแฟ แต่มันอร่อยเพราะคนชง...
นั่นก็ไม่อาจหาคำอธิบายได้อย่างชัดเจนอีกเช่นเคย
ผ่านไปไม่นานเท่านั้น อีกคนก็เข้ามาด้านในพร้อมกับกาแฟในมือ โดยเธอแอบเห็นว่ามีใบหน้าของเลขาจิ๊บโผล่เข้ามายิ้มให้แว๊บนึง นั่นทำให้ต้องขมวดคิ้วใส่
“ทานอะไรรึยัง”
“ยังค่ะ วันนี้ไลค์กะว่าจะงด-”
“งดทำไม ตัวก็ผอมยังต้องงดอะไรอีก?”
“...”
กึก!
“งั้นก็ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้วกาแฟน่ะออกไปข้างนอกกับพี่เถอะ” ว่าแล้วพี่โซเขาก็เดินเข้ามาจูงมือเธอเดินออกไปจากห้องทำงาน โดยไม่แคร์ว่าจะมีใครมองเราสองคนยังไง โดยเฉพาะเลขาหน้าห้อง ที่นั่งเกาหัวงง ๆ ตอนเห็นเธอโดนอีกคนลากเข้าลิฟต์ไป
ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“อยากทานอะไรก็สั่งเลยนะ เดี๋ยวมื้อนี้พี่จ่ายเอง”
“เอ่อ-”
“ไม่ต้องเกรงใจ ถ้าไม่งั้นไลค์ค่อยไปเลี้ยงพี่คืนในมื้อถัดไปก็ได้” คนพาเธอมาที่ร้านอาหารพูดต่อโดยไม่รอให้เธอได้อ้าปากพูดหรือออกความเห็นใด ๆ ยกเว้นตอนสั่งอาหาร
จนกระทั่งเราทั้งคู่สั่งอาหารเสร็จ และกำลังนั่งรออาหารอยู่นั้น เธอก็ได้สำรวจดูร้านอาหารที่อีกคนพามา จำได้ว่าการจะได้มาทานที่นี่มันไม่ใช่ว่ามาถึงแล้วจะได้นั่งทานเลย...
“อย่าให้พี่รู้อีกนะ ว่าเราอดข้าว มื้อเช้าดื่มกาแฟพี่ก็อนุโลมให้แล้ว แต่นี่ยังจะงดมื้อ-”
“พี่โซคะ”
“คะ?”
“อยากมาทานข้าวกับไลค์ ทำไมไม่ชวนไลค์ดี ๆ คะ? ลากไลค์ออกมาแบบนั้นคนในบริษัทคงพากันตกใจหมด”
“พวกเขาต้องขอบคุณพี่พาเจ้านายของพวกเขามาทานข้าว จริงๆแล้วก็ไม่ได้เต็มใจสักเท่าไหร่”
“แต่ร้านนี้ต้องจองโต๊ะก่อนนะคะ”
“...”
“ไม่เนียนเลยนะคะพี่โซ”
“เงียบไปเถอะ” เมื่อถูกจับได้อีกคนก็ตัดบทสนทนาทันทีพร้อมกับมองไปทางอื่น
“อะไรคะ ที่แท้พี่เองก็อยากเจอไลค์สินะคะ”
“ก็ไม่ได้ขนาดนั้น”
“ไม่ขนาดนั้น แต่แอบอู้งานที่บริษัทมาหาไลค์?”
“...”
“หืมมม? ว่าไงคะ?” เธอยื่นมือเข้าไปกุมหลังมืออีกคนที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนที่เขาจะสะบัดมือออก
“พะ...พี่เคลียร์งานหมดแล้วต่างหาก พอว่างก็เลยแวะมาหาเฉย ๆ”
“อ๋อออ เหรอคะ”
“อืม”
“ก็ได้ค่ะ ว่างก็ว่าง งั้นบ่ายนี้พี่อยากจะไปนั่งเฝ้าไลค์เคลียร์เอกสารที่บริษัทมั้ยคะ?” เธอถามอีกคนเป็นการหยั่งเชิง แล้วพบว่าอีกคนมีสีหน้าที่เหมือนจะเสียดายอย่างเห็นได้ชัด และนั่นก็เป็นไปตามที่เธอคิด เพราะคนบ้างานอย่างพี่โซน่ะไม่มีทางทิ้งงานตัวเองได้นานหรอก
“ก็อยากไปนะ แต่ว่า…”
“พูดแบบนี้แสดงว่าไม่สะดวกสินะคะ”
“เปลี่ยนเป็นไปทานข้าวตอนเย็นแทนได้มั้ย?”
“ฮะ!?”
“บ่ายนี้คงไม่สะดวก เอาเป็นตอนเย็นได้มั้ย?”
“นี่พี่ชวนไลค์เดทอยู่งั้นเหรอคะ?”
“เปล่า แค่ไปทานข้าว”
“อ๋อได้ค่ะ” ทันทีที่เธอตอบตกลงอีกคนไป เขาก็ได้พ่นลมออกมาจากปากอย่างโล่งอก ประดั่งชายหนุ่มที่เพิ่งจะรวบรวมความกล้าชวนสาวเดทเป็นครั้งแรกอย่างไงอย่างงั้นแน่ะ
ไอ้ท่าทีท่าดูเหมือนจะไม่สนใจกันแบบนั้น มันทำให้เธอได้แต่แอบยิ้มอยู่ในใจคนเดียว ปนกับเอ็นดู
เมื่อหนึ่งปีก่อนเธอนี่มันโง่จริง ๆ ที่มองข้ามคนน่ารักแบบเขาไป
19:30 น.
ณ ภัตตาคารหรูแห่งหนึ่งใจกลางเมือง
“ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยขอบคุณพนักงานเสิร์ฟอย่างไม่ถือตัว พร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เมื่อเขาได้นำอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะของพวกเรา ก่อนจะกลับมาสนใจกับคนผู้ร่วมโต๊ะอีกครั้ง “มองหน้าไลค์แบบนั้น มีอะไรรึเปล่าคะ?”
“เบื่อมั้ยคะ?”
“คะ?”
“เลิกงานแล้ว ยังต้องมาเจอหน้าพี่อีก”
เธอจ้องหน้าอีกคนก่อนจะยิ้มให้เขาจากใจจริง
พี่เขาเป็นคนจำเก่ง จำได้แม้กระสิ่งคำพูดและการกระทำของเธอในเมื่อก่อน ถ้าเป็นตอนนั้น เธอคงจะบอกพี่เขาไปอย่างทุกครั้งว่าเหนื่อย และเบื่อทุกครั้งที่ต้องมาทานอาหารเย็นกับพี่เขา แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว
“ไม่เหนื่อย ไม่เบื่อเลยค่ะ ดีซะอีกมีคนเลี้ยงข้าว”
“ช่วงนี้หนูขัดสนเหรอ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ”
คนบ้าอะไร บทจะซื่อก็ซื่อซะเหลือเกิน!!!
“ไลค์หมายถึง ไลค์ชอบที่ได้มาเดทกับพี่น่ะค่ะ”
“บอกไปแล้วไงว่านี่ไม่ใช่การเดท แค่มาทานข้าว-”
“ดอกไม้ที่สั่งได้แล้วครับคุณผู้หญิง”
“...” เธอนั่งมองอีกคนที่หันไปมองพนักงานในร้าน ที่ถือช่อดอกไม้ที่ทำจากเงินมาให้อีกคนได้ตรงจังหวะ และเขาก็ทำได้แค่มองพนักงานคนนั้นแล้วทำตาปริบ ๆ ก่อนจะหันมามองหน้าเธอ
“ไม่ใช่เดทเนอะ”
“อืม!!” ว่าแล้วพี่เขาก็ยื่นมันมาให้เธอ
แล้วเธอจะเขินแล้วหันมาดมดอกไม้ปลอมนี่ทำไม!! ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ แต่ก็ไม่เป็นไร กลิ่นหอมของเงินก็ไม่เลวเหมือนกัน
ในขณะเดียวกันเธอก็เพิ่งจะนึกเรื่องของอีกคนออก จึงได้ยิ้มแล้วพูดออกไปอย่างมั่นใจ
“ไลค์เพิ่งรู้เหตุผลที่พี่ชอบให้ดอกไม้ที่ทำจากเงิน เพราะพี่แพ้เกสรดอกไม้รึเปล่าคะ?”
“ไม่ใช่”
“อ้าว” เพราะใบหน้าของการตอบกลับของอีกคนที่มันเรียบนิ่ง จึงทำให้เธอรู้สึกหน้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ
“แล้วทำไม-”
“เพราะรู้ว่าไลค์ชอบเงิน ก็เลยอยากจะมอบสิ่งที่ไลค์ชอบให้ก็เท่านั้น” พี่เขายักไหลทั้งสองข้าง “ส่วนเรื่องแพ้เกสรดอกไม้ก็จริงเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เหตุผลหลักที่พี่เปลี่ยนดอกไม้เป็นเงินหรอกนะ”
“อ่า...ขอบคุณนะคะ ใส่ใจไลค์ขนาดนั้นเชียว”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าพี่แพ้เกสรดอกไม้”
“วันนั้นเลขาของพี่บอกมาค่ะ”
“อ่าา เริ่มจำเรื่องของพี่ได้บ้างแล้วสินะ”
พูดแบบนี้ หลอกด่ากันรึเปล่านะ?...
“ไว้วันหลังไลค์จะส่งดอกไม้ชนิดอื่นไปให้นะคะ”
“ไม่ต้องหรอกเปลืองทรัพย์เปล่า ๆ”
“ทีพี่ล่ะคะ ช่อนึงก็หลายหมื่นอยู่นะ”
“รวย” ถึงจะเป็นคำสั้น ๆ แต่ความหมายยิ่งใหญ่
“โห น่าหมั่นไส้”
“หึ” หัวเราะออกมาแล้ว… น้อยมากที่เธอจะเห็นอีกคนยิ้มและหัวเราะเป็นธรรมชาติแบบนี้
“พี่ยิ้มแล้วสวยจัง ยิ้มเยอะ ๆ นะคะ”
“…” ทันทีที่รู้ตัวอีกคนก็รีบหุบยิ้มทันที หรือเธอพูดอะไรผิดไป
“พี่ไม่อยากสวยหรอก”
“แล้วถ้าไลค์บอกว่ารอยยิ้มของพี่ทำให้ไลค์ใจสั่นล่ะคะ?”
ความคิดเห็น