ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ปฐพีอุ้มรัก #5 [1/2]
บทที่ 5 [1/2]
[คุยกันก่อนอ่าน]
ขอโทษคนที่อ่านตอนนี้ไปแล้วนะคะ ลบทุกความทรงจำที่มีแล้วอ่านฝังความทรงจำใหม่นี้เข้าไปแทนนะคะ อันนี้เป็นฉบับรีไรท์แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ 100 เปอร์เซนนะคะ
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เสื้อนักศึกษาของผมแห้งพอดี เราจึงขอกลับบ้าน ตอนรถขับออกจากรั้วเรือนร้อยรัก เด็กๆ พากันโบกมือลาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ระหว่างที่ผมขับรถออกจากซอยสู่ถนนใหญ่เพื่อไปส่งคุณทีที่คอนโดที่เขาเรียกมันว่าบ้าน จู่ๆ ผมก็คิดถึงบางเรื่อง วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของแม่เขา เขาจะอยู่บ้านคนเดียวคืนนี้ยังไง
ผมไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนที่สนใจความรู้สึกคนอื่นมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คืนนี้ ผมไม่อยากให้เขาอยู่ลำพัง ผมต้องทำให้เวลาคุณทีอยู่คนเดียวสั้นที่สุด
"คุณทีครับ ค่ำแล้วหาอะไรกินก่อนกลับบ้านไหมครับ เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อน" ผมถามคนที่ยังนั่งเงียบผ่านกระจกมองหลัง
"ไม่เป็นไร ฉันยังไม่หิว"
คิดแล้วว่าต้องพูดแบบนี้
"ถ้าอย่างนั้นคุณไปเป็นเพื่อนผมก็ได้ ผมหิวแล้วมากกก เลยตอนนี้" ผมลากเสียงให้ยาวที่สุดบอกเขาให้รู้ว่าถ้าไม่กินข้าวตอนนี้ผมตายแน่ๆ "ผมยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่ตอนเที่ยง เพราะคุณโทรมา ผมก็รีบไปรับคุณเลย เราไปหาอะไรกินกันเถอะครับ นะครับ" ผมแสร้งตีหน้าเศร้าให้เขาสงสาร ผมไม่ได้ทำหน้าแบบนี้นานเท่าไหร่แล้ว จำได้ว่าล่าสุดที่ทำคือตอนขอแม่ซื้อของเล่นสมัยเด็กๆ และเหมือนว่ามันจะได้ผลเสียด้วย
"ก็ได้"
"คุณทีอยากทานอะไรครับ ผมเลี้ยงเอง แต่อย่าแพงมากนะครับ ผมไม่มีตังค์จ่าย แหะๆ" ผมยิ้มแยๆ ให้คนที่นั่งอยู่ข้างหลังผ่านกระจก
"ตามใจนายเลยแล้วกัน"
"ครับผม!"
ตกลงกันเสร็จแล้ว เจ้านายของผมเขาก็นั่งเงียบไปตามสไตล์คุณชายสายนิ่ง มีแต่ผมนี่แหละที่ร่าเริง ฮัมเพลงไปขับรถไป แม้บางครั้งจะมีสายตานิ่งๆ ลอบมองมาที่ผม แต่สายตานั้นไม่ได้ดุหรือมีท่าทีว่ารำคาญเสียงผมแต่อย่างใด นั่นแปลว่าอนุญาต ผมเลยฮัมเพลงต่อไปตามประสา
มัวแต่ดีใจที่เขายอมไปกินข้าวด้วยจนลืมไปว่า ยังไม่ได้คิดเลยจะพาเขาไปไหน
ชีวิตนักศึกษาค่าอยู่ค่ากินมีน้อย ต้องใช้สอยอย่างประหยัด อาหารที่กินบ่อยสุดรองจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและกับข้าวโรงอาหารก็ร้ายก๋วยเตี๋ยวเฮียหลงนี่แหละ อร่อยใกล้บ้าน มาตฐานคงที่ และความล้ำเริศที่สุดคือเฮียแกขายราคาเดิมตั้งแต่ผมเข้าปีหนึ่งจนตอนนี้จะจบปีสี่อยู่แล้ว
ผมจอดรถไว้ข้างทาง ตอนผมบอกว่าถึงแล้วคุณทีทำหน้าแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ถามอะไร เขาเดินตามผมมาโดยดีจนกระทั่งถึงหน้า ตอนนี้เวลาประมาณทุ่มกว่าๆ ช่วงเวลามื้อเย็นของเด็กมหาลัยงบน้อยเหมือนอย่างผม จึงเห็นเด็กในชุดนั่งศึกษานั่งกันอยู่หลายโต๊ะ
"อ้าวพี่ดิน สวัสดีค่ะ ไม่ได้เจอกันนานเลย" หลินเด็กสาวตัวเล็กผิวขาว ตาตี่อย่างคนที่มีเชื้อสายจีน เธอเดินมาทักทันทีที่มองเห็นผมยืนอยู่หน้าร้าน
หลินลูกสาวของเฮียหลง ตอนนี้เธออยู่มอหกกำลังเตรียมตัวเข้ามหาลัย แต่น้องก็ต้องมาช่วยพ่อทำงาน
"หวัดดีน้องหลิน มีโต๊ะว่างมั้ย"
"ข้างในเหลืออยู่โต๊ะนึงพอดีเลยพี่ดิน ติดผนังตรงซ้ายมือเลยนะคะ"
"ขอบคุณครับ"
"ค่ะ"
ผมยิ้มหวานให้ น้องหลินหน้าแดง แต่สายตาเธอไม่ได้อยู่ที่ผม มองผ่านผมไปยังคนข้างหลังที่ยังไม่ปริปากพูดอะไรสักคำตั้งแต่เดินมา
เจ้านายผมนี่เสน่ห์แรงจริงๆ
"เข้าไปข้างในกันครับคุณที" ผมเดินนำเข้าไป ตรงที่หลินบอกมีโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมขนาดเล็กตั้งอยู่พร้อมเก้าอี้ไม้สองอัน "เชิญครับคุณที" ผมให้สิทธิคนเป็นเจ้านายนั่งก่อน "คุณทีจะทานอะไรดีครับ?"
"นายชอบกินอะไร" คุณทีตอบผมโดยการถามกลับ
"ร้านนี้ล่ะก็ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นอร่อยสุดในสามโลกเลยครับ!"
"งั้นเอาแบบที่นายว่ามาก็แล้วกัน"
"ครับผม"
ผมกำลังจะมองหาน้องหลินเพื่อสั่งอาหาร จังหวะเดียวกับที่เธอเดินมาที่โต๊ะเราราวกับรู้งาน
"วันนี้กินอะไรดีคะพี่ดิน"
"พี่ขอก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นสองทีเลยนะ"
"ได้จ้า"
"ว่าแต่เฮียหลงไปไหนหรอน้องหลิน"
ผมถามเพราะปกติแล้วจะได้ยินเสียงตะโกนด่าของเฮียหลงทุกครั้งที่พวกนักศึกษาผู้ชายแซวน้องหลิน แค่ครั้งนี้กลับเงียบ ไร้วี่เเววเฮียแก
"อ้อ พ่อไปปะท้วงน่ะพี่" น้องหลินพูดราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ
"ประท้วง?"
"ใช่พี่ ก็บ้านเช่าย่านที่เราเช่าอยู่ เจ้าของเขาจะขายที่ให้บริษัทอสังหาเอาไปสร้างคอนโด เขาเลยให้พวกเราย้ายออกภายในเดือนนี้ เขาจะให้เงินชดเชย แต่ระยะเวลาแค่นี้ใครมันจะไปหาที่อยู่ได้ทัน พ่อเลยไปเป็นแกนนำประท้วงขอความยุติธรรม"
"อ่อ..."
"รู้สึกว่าจะเป็นไอ้บริษัทที่มันลงโฆษนาใหญ่ๆ ตรงโน้นอ่ะ" น้องหลินชี้ไปที่ป้ายโฆษนาขนาดยักษ์ตรงข้ามถนน
"น้อง สั่งอาหารอาหารหน่อยยย" เสียงตะโกนดังมาจากโต๊ะเสริมนอกร้าน
"ลูกค้าเรียกแล้ว หนูไปก่อนนะพี่ดิน" น้องหลินยิ้มตาหยีแล้ววิ่งออกไปรับออเดอร์
ผมมองป้ายโฆษขนาดใหญ่อีกรอบ ผมรู้สึกโชคดีที่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะต้องถูกเจ้าของเขาให้ย้ายออกเมื่อไหร่ ผู้คนในเมืองใหญ่หลายคนโตมาในบ้านเช่า เขาคิดว่ามันคือบ้านไปแล้ว มันเหมือนเป็นการบังคับให้เขาออกจากบ้านของตัวเอง ยิ่งมองป้ายยิ่งทำให้ผมหดหู่ใจผมเลยหันกลับเขามา พบว่าคุณทีเองก็มองป้ายนั้นด้วยแววตาไม่ต่างจากผมเลย
"น่าสงสารนะครับ การที่ต้องโดนไล่ออกจากบ้านตัวเองแบบนี้ แต่จะให้ทำยังไงได้เนอะ ชีวิตหาเช้ากินค่ำ ไม่มีทั้งเงินไม่มีทั้งอำนาจ"
คงทำได้เพียง เข้มแข็งและเดินหน้าสู้ชะตาชีวิตต่อไป
"คนอย่างเขา ทำอะไรไม่เคยสนใจคนอื่นอยู่แล้ว" คุณทีพึมพำเบาๆ บวกกับเสียงรถราวิ่งไปมาข้างนอกทำให้ผมไม่ได้ยินที่เขาพูด
"คุณทีว่าอะไรหรอครับ?"
"เปล่า ไม่มีอะไร" เขาบอกแต่แววตาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ที่ผมเดาไม่ออกอีกเช่นเคย
หลังจากรอประมาณห้านาทีในที่สุดก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นก็มาวางอยู่ตรงหน้าเราสองคน พร้อมกับตะกร้าผักสด ผมสูดกลิ่นหอมของน้ำซุปเข้าเต็มจมูกก่อนจัดการตักเครื่องปรุงที่ตั้งอยู่ข้างโต๊ะใส่ชามก๋วยเตี๋ยว ใช้ช้อนกับตะเกียบคนทุกอย่างในชามให้เข้ากัน กำลังจะโซ้ยเข้าปาก มองไปยังคนที่นั่งตรงข้าม เขาจ้องชามก๋วยเตี๋ยว คิ้วเข้มย่นเข้าหากันเล็กน้อย เหมือนว่าพวกมันเป็นโจทย์คณิตศาสตร์ที่เขาคิดไม่ออก
"คุณทีไม่ทานหรอครับ?"
"......" คุณทีเงียบแล้วมองไปที่ตระกร้าเครื่องปรุงก่อนแล้วหันมามองที่ผม
อย่าบอกนะว่า...
"คุณไม่เคยกินก๋วยเตี๋ยวหรอครับ?"
"ก็... ร้านอาหารที่ฉันกินไม่เคยมีเมนูอะไรแบบนี้" ชายตัวโตบอกเสียงอ่อย แววตาจำนนต่อชามก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าอย่างเห็นได้ชัด
ผมนี่อยากจะขำกร๊ากออกมาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ถ้าไม่ติดว่าเขาโตกว่าและเป็นเจ้านายผม ให้ตายสิ ท่าทางของเขาตอนนี้มันน่ารักชะมัด
หืม? เมื่อกี้ผมคิดอะไร? น่ารักเหรอ?
อืม... ผมคงใช้คำผิด...มั้ง แต่ก็เรียกได้ว่าเกินคาด ผู้ชายท่าทางฉลาด เก่งรอบด้าน สามารถทำในสิ่งที่คนทั่วไปทำไม่ได้แต่กลับไม่รู้วิธีการกินก๋วยเตี๋ยว
"นั่นเป็นเครื่องปรุงเอาไว้ปรุงรสก๋วยเตี๋ยวครับ ก็จะมีน้ำตาล น้ำปลา พริกป่นแล้วก็น้ำส้มสายชู" ผมชี้เครื่องปรุงที่อยู่ในถาดให้เขาดูทีละอย่าง "ก่อนอื่นคุณทีลองชิมน้ำซุปก่อนครับ ที่ถ้ารู้สึกว่ามันขาดรสชาติไหนก็เติมลงไปตามความชอบได้เลย"
“ฉันกินรสนี้แหละ” คุณทีชิมน้ำซุปในถ้วยถามที่ผมแนะนำ
“ทานกันเถอะครับ เดี๋ยวเย็นแล้วจะหมดอร่อย”
ผมโซ้ยก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก ตาแอบมองคุณทีไปด้วย เขาพับแขนเสื้อเชิ้ตทั้งสองข้างขึ้นระดับศอก มือข้างหนึ่งจับตะเกียบอีกข้างจับช้อนเหมือนอย่างที่ผมทำ โชคดีไปเขาใช้ตะเกียบเป็น เมื่อดูแล้วไม่น่ามีปัญหาอะไรผมเลยก้มหน้ากินก๋วยเตี๋ยวต่อ
ทั้งที่ผมบอกกับคุณทีไว้ว่าผมจะเป็นคนเลี้ยงข้าวมือนี้เอง สุดท้ายแล้วตอนออกจากร้านเขาก็เป็นคนจ่าย เขาใช้สิทธิความเป็นเจ้านายบวกกับสายตาดุๆ ห้ามผมควักตังในกระเป๋าออกมา
เราสองคนเดินออกจากร้าน คุณมีกำลังมุ่งหน้าไปที่รถ แต่เสียใจ วันนี้ผมไม่ยอมให้คุณกลับบ้านง่ายๆ หรอกครับ
“คุณทีครับ” คนโดนเรียกหันกลับมามองผมแววตาสงสัย “ไกลจากนี้มีสวนสาธารณะริมน้ำ เราไปเดินเล่นย่อยอาหารกันสักหน่อยไหมครับ”
ผมรอลุ้นว่าเขาจะว่าอะไร คุณทีไม่พูด...
“......”
แต่เขาพยักหน้าแทน
เดินมาไม่เกินสามร้อยเมตรก็พบกับทางเข้าสวน เป็นสวนสาธารณะที่มีพื้นที่เป็นแนวยาวตามริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถนนเรียบแม่น้ำมีเสาไฟตั้งตามรายทาง ทั้งแสงสว่างของเมืองใหญ่ทำให้สวนนี้ไม่มืดมิดน่ากลัว ทั้งวันนี้เป็นวันเสาร์ ชีวิตไม่ต้องเร่งรีบอะไร จึงยังมีคนเดินเล่นในสวนแห่งนี้
ระหว่างเดินเล่นผมสังเกตเห็นรถขายชาเย็นโบราณ เป็นอีกหนึ่งของกินที่ผมชอบกินมาก เมื่อคุณทีไม่เคยกินก๋วยเตี๋ยว ผมเลยเดาว่าเขาคงไม่เคยกินชาเย็นข้างทางเหมือนกัน
“คุณทีครับ คุณทีไปนั่งรอผมที่ม้านั่งตรงโน้นนะครับเดี๋ยวผมมา”
“นายจะไปไหน”
“ผมมีบางอย่างอยากให้คุณลอง” ผมวิ่งไปที่ร้านชานมปล่อยให้คุณทียืนรอ ผมวิ่งมาถึงรถเข็นขายชาซึ่งอยู่ห่างออกมาไม่ไกลเท่าไหร่ คุณทียังอยู่ในระยะสายตาของผม “ลุงครับ ขอชาเย็นสองแก้วครับ แก้วนึงไม่ต้องหวานมากนะลุง”
“ได้เลยไอ้หนู ลุงจัดให้”
ลุงตักน้ำตาลและเทน้ำข้นหวานลงในแก้วชงแก้วแรก ส่วนแก้วที่สองนั้นลุงปล่อยว่าไว้แล้วก้มลงไปหยิบของสองอย่างออกมาจากถังน้ำแข็ง มันคือน้ำผึ้งและนมจืด ลุงใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาล
“น้ำผึ้ง?”
“น้ำผึ้งป่าของหายากเชียวนะ มันจะให้ความหวานแบบละมุนไม่หวานโดดๆ เหมือนน้ำตาล แก้วไม่หวานนี่เป็นของพ่อหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงโน่นใช่ไหม” ลุงชี้ไปที่คุณที
“ใช่ครับ ลุงรู้ได้ยังไงครับ”
“ลุงไม่รู้หรอก ลุงไม่เห็นหน้าเขา แต่ลุงมั่นใจว่าคนชอบกินหวานน่ะเอ็งแน่นอน”
“เอ๋ ลุงรู้ได้ไงว่าผมกินหวาน”
“ก็ข้าขายชานมมากว่าสิบปีแล้ว ลักษณะท่าทางของคนที่แสดงออกมามันบอกอะได้เยอะเลยล่ะ” ผมมองลุงด้วยความประหลาดใจ แววตาใส
“ลุงนี่สุดยอดเลย...”
“อ่ะนี่ เสร็จแล้ว” ลุงยื่นแก้วชาสองแก้วให้ผม
“ขอบคุณครับ เท่าไหร่ครับลุง”
“ห้าสิบบาท”
“นี่ครับลุง ไม่ต้องทอนนะครับ”
“บอกทอนข้าก็ไม่ทอนหรอก ก็เองเอาแบงค์ห้าสิบให้ข้า” ลุงหัวเราะร่วนกับมุขขำขันของผม
ได้ชาเย็นแล้วผมก็วิ่งกลับไปหาคุณทีอย่างเร็วเร่ง
“กลับมาแล้วคร๊าบบบ นี่ครับคุณทีชาเย็นโบราณหวานมันอร่อย” ผมวิ่งกลับมาหาคุณทีซึ่งนั่งรอที่ม้านั่งหันหน้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
“ฉันไม่กินของหวาน” เขาพูดตัดบท
คิดไว้แล้วแหละว่าเขาต้องพูดแบบนี้ เตรียมใจไว้แล้วด้วยแต่ก็ยังเจ็บจี๊ดชะมัด แต่โนสนโนแคร์ครับ ผมยัดแก้วชาใส่มือเขาเลย แล้วนั่งลงข้างๆเขา
“กินของคาวแล้วก็ต้องตามด้วยของหวานครับ แต่ไม่ต้องห่วง ผมรู้ว่าคุณทีไม่ทานหวาน ผมเลยให้ลุงชงชาแบบหวานน้อยให้ ลองดูนะครับ”
“......” คุณทีมองแก้ว สีหน้าลำบากใจหน่อย ๆ แต่สุดท้ายเขาก็ลองกินมัน ผมนี่ยืนลุ้นเสียยิ่งกว่าลุ้นฟุตบอลโลกซะอีก
“เป็นยังไงบ้างครับ”
“ยังหวานอยู่นิดหน่อย แต่ก็กินได้ กลิ่นชาหอมดี”
“เห็นไหมล่ะครับ ชาเย็นโบราณเนี่ยเป็นเครื่องดื่มที่อร่อยที่สุดในโลกเลยผมจะบอกให้! เพราะผมชอบกิน สิ่งที่ผมชอบผมนับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลก ฮ่า ๆ” ผมหัวเราะเสียงดังด้วยความภาคภูมิใจ และยิ่งดีใจไปอีกเมื่อเห็นคนข้างๆ ยิ้มให้กับท่าทางบ้า ๆ บอ ๆ ที่ผมทำประกอบการพูด
“นายนี่ชอบทำอะไรให้ฉันประหลาดใจเรื่อยเลย”
“คุณทีเองก็เหมือนกันแหละครับ มีเรื่องให้ผมแปลกใจเรื่อยเลย”
“ฉันน่ะเหรอ”
“ตอนที่ผมเจอคุณครั้งแรก คุณรู้ไหมว่าผมกลัวคุณ ท่าทางเงียบขรึม กับสายตาดุเหมือนอาจารย์ที่พร้อมจะทำโทษเด็กได้ตลอดเวลาเมื่อเขาทำผิดของคุณมันทำให้ผมกลัว”
“แล้วตอนนี้ไม่กลัวฉันแล้วเหรอถึงได้กล้าบอกว่าฉันน่ากลัว”
“ผมรู้แล้วนี่ครับว่าจริง ๆ แล้วคุณเป็นคนใจดี หลายอย่างที่ผ่านมาและสิ่งที่คุณทำเพื่อเด็ก ๆ บ้านเรือนร้อยรักในวันนี้ด้วย”
“แล้วนายรู้หรือเปล่าว่าวันนี้นายเองก็ใจดีแปลก ๆ เหมือนกัน” ผมชะงัก หันมองหน้าคนถาม “มีอะไรอยากบอกฉันมั้ยดิน?” แววตาจริงจังจ้องมาที่ผม
ผมทำตัวแปลกจนเห็นได้ชัดขนาดนั้นเลยเหรอ
“คือผม... ผมขอโทษครับคุณที ผมแค่ไม่อยากให้คุณอยู่คนเดียว”
“ไม่อยากให้ฉันอยู่คนเดียว?” คุณทีเอียงคอถามอย่างสงสัย
“ผมรู้จากครูอารีว่าวันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของคุณแม่ของคุณ ผมไม่อยากให้คุณผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนี้ไปคนเดียว เลยหาทางรั้งคุณเอาไว้ คุณจะได้ผ่านช่วงเวลานี้คนเดียวน้อยที่สุด...” ผมสารภาพทุกความตั้งใจ
คุณทีเงียบไปครู่หนึ่ง ก้มหน้ามองพื้น จากนั้นหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะแบบผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กยามเด็กทำอะไรตลกขบขัน เขาหัวเราะแบบนั้นให้ผม
คุณคิดว่าการกระทำของผมเป็นเรื่องตลกหรือครับคุณที นี่ผมจริงจังและตั้งใจทำเพื่อคุณเลยนะ!
ผมหันควบมองค้อนคนที่นั่งข้าง ตอนแรกตั้งใจจะโกรธ แต่พอเห็นรอยยิ้มกว้างของเขาแล้ว ผมแพ้! โกรธไม่ลง ได้แต่ยืนจ้องใบหน้ายิ้มนั้นราวกับต้องมนตร์สะกด
“แม่ฉันเสียตั้งแต่ฉันอายุแปดขวบ ตลอดยี่สิบสี่ปีที่ผ่านมานายคิดว่าฉันผ่านมันมาได้ยังไงล่ะ หืม?”
“ก็ผมเป็นห่วงคุณ...”
“เรื่องความตาย มันเกิดขึ้นกับทุกคน สักวันฉันก็ต้องตาย นายเองก็ต้องตาย ทุกคนต้องตาย แต่แค่ว่าเวลานั้นของแม่ฉันมันมาเร็วเท่านั้นเอง” คุณทีพูดเรื่องแบบนี้ได้มั้งรอยยิ้ม เขาเข้มแข็งเกินไปแล้ว “ขอบใจมากนะดิน ที่เป็นห่วงฉัน เด็กดี” มือใหญ่ของเขาเอื้อมมาวางบนหัวผมแล้วตบแปะเบา ๆ สองครั้ง
“คุณสัญญาได้ไหมครับว่า ถ้ามีช่วงเวลาที่คุณอยากมีเพื่อนคุณจะมองหาผมเป็นคนแรก” ผมไม่รู้ว่าตัวเองกล้าขอแบบนี้กับเขาได้ยังไง
คุณทีนิ่ง มองมาที่ผม บรรยากาศรายรอบเงียบสงัดลงทันที หรือไม่หูของผมก็ไม่รับรู้เสียงรบกวนใดๆ ทั้งสิ้น สายตาของผมจับจ้องคำตอบจากริมฝีปากของเขาเพียงอย่างเดียว
“ฉันสัญญา"
ถ้าร่างกายผมอัดแก๊ส ผมว่าป่านนี้มันลอยออกนอกชั้นโทรโพสเฟียร์ไปแล้ว ผมยิ้มออกมาเหมือนคนบ้าต่อหน้าเขา ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ดีใจขนาดนี้
"ขอบคุณครับ..." นี่คงเป็นความรู้สึกของคนที่ฝันอะไรแล้วฝันเป็นจริง "คุณทีครับ ผมถามอะไรคุณสักอย่างได้ไหม"
"อะไรหรือ"
"ที่ไม่คุณไม่ยอมขับรถเอง...เกี่ยวกับอุบัติเหตุของแม่คุณหรือเปล่าครับ?"
"วันนั้นแม่มารับฉันที่โรงเรียน..." คุณทีเริ่มเล่า สายตายังคงทอดยาวไปยังโพ้นน้ำเจ้าพระยา "เรากำลังจะกลับบ้าน แม่ขับรถ ฉันนั่งอยู่ข้างแม่ เล่าทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนให้ท่านฟัง แม่ฟังและสนใจเรื่องที่ฉันเล่าจนไม่ทันสังเกตรถที่วิ่งผ่าไฟแดงมา..."
"คุณถึงได้ไม่อยากให้ผมชวนคุยเวลาขับรถ" เขาไม่ได้รำคาญที่ผมพูดมาก แต่เพราะเป็นห่วงไม่อยากให้ผมเสียสมาธิ
"อย่างที่บอก มันผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว ฉันทำใจได้แล้วเรื่องแม่ แต่สมองของฉันมันยังจดจำภาพอุบัติเหตุได้อยู่ เพื่อปกป้องตัวเองร่างกายของฉันเลยกลัวการที่จะนั่งข้างหน้ารถตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา"
"คุณที..."
"เฮ้... นายเป็นอะไรดิน" คุณทีหันมาสีหน้าตกใจเมื่อเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวพร้อมร้องไห้ของผม
"ผมสงสารคุณ" ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร ผมรู้สึกว่าตัวเองเซ้นสิทีฟเหลือเกิน โดยเฉพาะเรื่องของผู้ชายคนนี้
"เรื่องมันก็ไม่ได้มีด้านเศร้าไปซะหมดหรอก อีกเหตุผลนึงที่ฉันไม่ขับรถก็เพราะสายงานของฉันด้วย นอนไม่เป็นเวลา บางครั้งก็ไม่ได้นอน ฉันเลยเลือกที่จะให้คนอื่นขับรถให้ดีกว่า อีกอย่าง ฉันตาแพ้แสงเพราะจ้องคอมตลอดเวลา การนั่งเบาะหลังก็ช่วยให้ตาฉันไม่ต้องแสงอาทิตย์มากเกินไป เห็นไหมว่าในความโชคร้ายมันก็มีเรื่องดี ๆ ซ่อนอยู่เหมือนกัน"
ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้เข้มแข็งและมองโลกด้านบวกได้ขนาดนี้ คุณจะทำให้ผมนับถือคุณมากไปถึงไหนครับ
"คุณทีครับ!" ผมเรียกเขาเสียงหนักแน่น "จากนี้ไปคุณจะไปไหน โทรเรียกผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ จนกว่าคุณทินกรจะกลับมา ผมจะขับรถให้คุณเอง!"
"อื้อ"
จบบทสนทนา เราต่างคนต่างเงียบ ทว่ากลับไม่มีบรรยากาศของความอึดอัดอึมครึมแต่อย่างใด เหมือนสายลมหอบพัดความรู้สึกเหล่านั้นไปเหลือเพียงความรู้สึกโล่ง ต่างคนต่างหันหน้าสู่แม่น้ำ มองเรือสำราญที่ดับประดาด้วยไปแสงสีค่อยๆ แล่นผ่านหน้าไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือความรู้สึกดีเหมือนคุณเริ่มอ่านหนังสือที่คุณไม่คิดว่าชาตินี้จะอ่านออกรู้เรื่อง เริ่มเข้าใจเนื้อหาแท้จริงภายในโดยไม่ต้องเดาจากรูปปกอีกต่อไปแล้ว
ครืดด ครืดด
โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงคุณทีสั่น เขาหยิบมันออกมา หน้าจอสว่างจ้าปรากฏชื่อของใครคนหนึ่งที่ผมเห็นไม่ถนัด
"ว่าไง" หลังจากรับสายสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ความตึกเครียดปรากฎออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด "ได้ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้"
ผมนั่งมองสถานการเงียบๆ
"......"
"ดิน"
"ครับ"
"ฉันว่านายต้องขับรถให้ฉันแล้วล่ะ"
"ไปไหนครับ"
"ไปบริษัทด่วนเลย"
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
มีข้อผิดพลาดตรงไหนก็แนะนำกันได้เด้อค่ะ
เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
ฮัก
UmeshuSoda
(เหล้าบ๊วยผสมโซดา อร่อยยยยยย)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น