ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ปฐพีอุ้มรัก #3
บทที่ 3
เวลาบ่ายโมง ตอนทานข้าวเที่ยงกับพวกพี่ๆ นั่งฟังพวกเขาคุย ทั้งที่พูดคุยเป็นภาษาไทยแท้ๆ แต่ผมไม่รู้เรื่องเลยว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แม้จะมีจิกกัดกันบ้าง แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้ก็คือมิตรภาพ และสิ่งที่ผมมองเห็นได้ชัดเจนคือความเข้ากันบนความแตกต่าง บุคลิกท่าทางของพี่ๆ อย่างพี่ธันวาหนุ่มหล่อเจ้าพ่อแฟชั่นตั้งแต่หัวจรดเท้า พี่น๊อต นายเกือบเนิร์ด อดีตเด็กโอลิมปิคคอมเจ้าของประโยค 'แหมะ ก็...' ตั้งแต่เจอกันผมได้ยินพี่แกพูดบ่อยมากจนคาดว่าเป็นวลีประจำตัวไปแล้ว พี่โมกโอตะแท้ร้อยเปอร์เซ็นอิมพอร์ตมาจากญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ระหว่างทานข้าวผมได้ยินคำเมาส์มอยระยะเผาขนมาว่าพี่แกชอบวาร์ปไปญี่ปุ่นทุกครั้งที่มีโอกาส ไปแค่วันเดียวเพื่องานอีเว้นจับมือกับไอดอลสาวที่แกชอบ ยอมลงเสียเวลานั่งเครื่องบิน 12 ชั่วโมงเพื่อไปเจอไอดอลที่รักแค่ไม่กี่นาทีพี่แกก็ยอม ผมก็ยอมใจพี่แกเหมือนกัน ส่วนพี่หวานๆ เป็นคนเดียวที่ผมคิดว่าคุยกับผมรู้เรื่องที่สุด ผมเลยถามพี่เขาไปตรงๆ ว่า ทำไมพี่หวานถึงได้คุยกับผมรู้เรื่องแล้วก็ยังคุยกับพวกพี่คนอื่นรู้เรื่องอีกด้วย แล้วผมก็ได้ความรู้ใหม่ว่า งาน BA ที่พี่หวานๆ ทำมันย่อมาจาก System Business Analyst คือคนที่รับความต้องการของลูกค้าผู้มีจิตนาการล้ำเลิศว่าอยากให้ซอฟต์แวร์ของตนออกมาในรูปแบบไหน พี่หวานจะเป็นคนรีดความต้องการจากประโยคน้ำท่วมทุ่งเหล่านั้นออกมาเป็นข้อๆ ส่งให้ SA หรือ System Analyst ซึ่งก็คือพี่ธันวา พี่ธันวาจะเอาภาษามนุษย์ทั่วไปที่พี่หวาน ส่งให้มาวิเคราะห์และออกแบบว่าซอฟต์แวร์ที่ลูกค้าอยากได้มันจะออกมาในแนวทางไหน คล้ายพิมพ์เขียวของโปรแกรม จากนั้นก็ส่งพิมพ์เขียวที่คนทั่วไปไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่กลับไปให้พี่หวาน ใช้ภาษามนุษย์อธิบายให้ลูกค้าฟัง ถ้าลูกค้าไม่ชอบก็ต้องเอากลับมาแก้จนเป็นที่พอใจแล้วถึงค่อยเอาเจ้าพิมพ์เขียวนี้ส่งให้โปรแกรมเมอร์ผู้ไม่เข้าใจภาษามนุษย์ต่อไป สรุปคือพี่ธันวาจะแปลงภาษามนุษย์ให้เป็นภาษาโปรแกรมเมอร์ ส่วนพี่หวานๆ ก็เป็นคนเอาภาษาโปรแกรมเมอร์ให้คนทั่วไปเข้าใจ งานเหล่านี้พี่ธันวาเรียกรวมๆ ว่า SE หรือ Software Engineer ภาษาไทยคือ วิศกรซอฟต์แวร์ เป็นเอาวิธีการทางวิศกรรมมาใช้ในการควบคุมมาตรฐานการพัฒนาซอฟต์แวร์... เนื่องจากบริษัทไม่ได้ใหญ่มาพี่ธันวาก็จะทำหน้าที่เป็น Project Manager ไปด้วยเลย บางโปรเจ็คก็เป็นพี่หวานๆ แล้วแต่ว่าโปรเจ็คใหนใครถนัด...พี่เขาบอกมาแบบนี้
ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่ากว่าจะได้โปรแกรมแต่ละตัวออกมามันมีขั้นตอนเยอะแยะมากมายขนาดนี้ คิดว่ามีแค่โปรแกรมเมอร์นั่งเขียนโปรแกรมก็เพียงพอแล้ว กลับกลายเป็นว่าโปรแกรมเมอร์กลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งในงานนี้เท่านั้น แม้ผมจะฟังไปงงไป แต่ก็อึ้งกับงานที่พวกเขาทำ มีสิ่งใหม่ๆ ปัญหาใหม่ๆมาให้พวกเขาได้ขบคิดตลอดเวลา มัน...ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
"ไปกันเถอะพวกเรา" พี่ธันวาลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารเป็นคนแล้ว ตามด้วยคนอื่นๆ
"พวกพี่ขึ้นไปก่อนเลยนะครับ ผมไปซื้อกาแฟให้คุณทีก่อน"
ผมเดินแยกออกมามุ่งหน้าไปยังร้านกาแฟ ที่ทำงานเก่าของผม คุณติณยังรับแขกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเดิม แค่ใบหน้าหล่อเหลา หุ่นสุดเพอร์เฟคในชุดยูนิฟอร์มของร้านบวกกับผ้ากันเปื้อนสีดำแค่นั้นก็ทำให้ลูกค้าสาวๆ มองตามันเป็นแล้ว เขายังเพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเองด้วยรอยยิ้มชวนหลงไหล ไม่ใช่แค่ลูกค้าหรอก เพราะผมมักจะได้ยินพวกสาวๆ ในร้านแอบกระซิบกันบ่อยๆ ว่าคุณติณหล่ออย่างนั้น หล่ออย่างนี้ เอาจริงๆ นะ ผมโคตรอิจฉาเลย ผมอยากให้คนอื่นชมผมว่าหล่อบ้าง หน้าตาผมก็ไม่ได้แย่นะ แต่คนส่วนมากมักจะมองข้ามความหล่อของผมแล้วมองเห็นสิ่งที่มันเด่นชัดกว่าแทน อย่างเช่น 'น้องดินเป็นเด็กดีจัง น่ารักมาเลยค่ะ' ไม่ก็ 'น้องดินนี่เป็นเด็กเรียบร้อยจัง' หรือ 'ดิน ใจดีจัง' อะไรอย่างนี้ ผมคิดว่าตัวผมไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาชมเลยสักนิด ผมแค่ไม่รู้จะทำอะไร ไม่อยากมีปัญหากับใครเลยเออออไปกับสิ่งที่พวกเขาขอมาก็เท่านั้นเอง
"อ้าวดิน งานใหม่เป็นยังไงบ้าง" คุณติณโบกมือทักมจากหน้าเคาน์เตอร์ ผมเลยเดินไปหาหลังจากลูกค้าคนล่าสุดเดินออกไปแล้ว
"ยังไม่ได้ทำอะไรเลยครับ นี่แหละงานแรกของผม มาซื้อกาแฟ"
กาแฟที่คุณกรมาซื้อทุกวันเขาไม่ได้ดื่มเอง แต่เป็นกาแฟสำหรับคุณที กาแฟดำความเข้มข้นสองเท่าจากปกติ ความสงสัยของผมจึงคลี่คลาย ที่ผมเคยอ่านมาคนที่ชอยดื่มกาแฟดำมักจะเป็นคนที่เจ้าระเบียบ เก่งกาจ อดทน ทำงานทุกอย่างด้วยประสิทธิภาพที่ล้นเปี่ยม แต่ก็แอบมีมุมดื้อรั้น ผมเลยตัดใจคิดว่ามันก็แค่ความน่าจะเป็น ไม่ใช่ว่าคนที่ดื่มกาแฟดำจะนิสัยเป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้ผมเริ่มเชื่อแล้วว่าค่อนข้างจริง
"กาแฟดำความเข้มข้นสองเท่าเหมือนเดิม รอแปปนึงนะเดี๋ยวฉันทำให้เอง" ผมจ่ายเงินให้คุณติณด้วยบัตรเครดิตที่คุณกรฝากไว้กับพี่ธันวา ซึ่งคือบัตรเดียวกับที่เขาใช้ซื้อกาแฟที่ร้านทุกวัน ผมเดินไปรอที่เคาน์เตอร์ข้างๆ ขณะที่คุณติณกำลังชงกาแฟ
"คุณติณครับ ผมถามอะไรสักอย่างได้ไหม"
"ว่า?"
"นอกจากกาแฟดำแล้วคุณทีไม่เคยดื่มเครื่องดื่มอย่างอื่นเลยหรอครับ อย่างกาแฟที่มีความหวานหน่อยๆ หรือไม่ก็ชา ผมว่ามันน่าจะทำให้เขาผ่อนคลายจากงานแสนเคร่งเครียดนั่นได้"
"พี่ทีเลิกดื่มกาแฟหวานตั้งแต่..." แล้วคุณติณก็หยุดไป
"......" ผมรอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อ
"เสร็จแล้ว" คุณติณยื่นแก้วกาแฟให้ผม
"ขอบคุณครับ"
"ฝากทักทายพี่ทีด้วยนะ บอกเขาด้วยว่าช่วยกรุณาลงมาสอดส่องที่ร้านกาแฟบ้าง ไม่มาเจอหน้าน้องนุ่งเดี๋ยวฉันจะฮุบร้านเอาไว้คนเดียวเลย ฮ่าๆๆ" คุณติณหัวเราะกลบเกลื่อนสิ่งที่เขาเกือบหลุดปากพูดออกมา ซึ่งประโยคที่ค้างคานั่นมันเพิ่มฮอร์โมนความอยากรู้ในตัวผมอีกเท่าตัวเลย
เขาเลิกดื่มกาแฟหวาน... หมายความว่าเขาเคยดื่มมันมาก่อน แล้วอะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนไป...
ก๊อกๆ
ผมเคาะประตูห้องทำงานของเจ้านายคนใหม่ ใจผมเต้นตุบๆลุ้นว่าผมจะได้เจออะไรในห้องทึบนั่น
"เข้ามา" น้ำเสียงราบเรียบแต่ฟังดูมีอำนาจเรียกผมให้เข้าไปหา
ผมเปิดประตูห้องเข้าไป ส่ิงแรกที่ผมเห็นคือโต๊ะทำงานที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากคอมพิวเตอร์สองจอและคีย์บอร์ด เจ้าของโต๊ะไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นแต่เขาอยู่ที่โซฟา กำลังง่วนอยู่กับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคที่ตั้งอยู่โต๊ะเตี้ย โซฟาหันหน้าไปทางห้องทำงานของพวกเรา กระจกใสมองเห็นทุกคนได้ชัดเจน แจ่มแจ้งที่สุดก็โต๊ะทำงานของผมนี่แหละ
กระจกนั่น...ความจริงแล้วมันเป็นกระจกฝ้าด้านเดียว!
เวรกำแล้วไอ้ดินเอ้ย...เขาจะสังเกตุหรือเปล่าว่าผมมองเข้ามาในห้องนี้บ่อยแค่ไหน
"ผมเอากาแฟมาให้ครับ"
"นายเองหรอดิน ขอบใจมาก เอามาวางไว้ตรงนี้เลย" เขาชี้นิ้วลงที่โต๊ะตรงข้างโน๊ตบุคจากนั้นก็หันไปยุ่งกับงานในโน๊ตบุคต่อ
ผมเอากาแฟไปวางในตำแหน่งที่เขาบอก ข้างโต๊ะเตี้ยมีถึงขยะเล็กๆ อยู่ ในนั้นผมแอบสังเกตเห็นเศษพลาสติกห่อแซนวิสจากร้านสะดวกซื้อ เพราะเป็นของที่ทำมาเพื่อขายเอากำไรมันเลยแทบไม่มีสารอาหารใดๆ เลย ดูเหมือนเขากินแค่เจ้านี่เป็นมื้อเที่ยงทั้งที่ตัวเองต้องทำงานใช้สมองทั้งวัน เขาไม่รักษามันไม่เท่าไหร่ แต่เหมือนว่าเขากำลังทำลายมันด้วยนี่สิ อย่างนี้คุณกรถึงได้เป็นห่วงเรื่องสุขภาพของเขานัก
"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ"
ผมหันหลังกลับกำลังจะเปิดประตูห้อง คนที่นั่งอยู่เรียกผมไว้ก่อน
"ดิน ตอนนี้นายเรียนอะไรอยู่"
"เกษตรพืชสวนครับ" ซึ่งมันไม่เกี่ยวอะไรเลยกับงานสายซอฟต์แวร์
"อย่างนั้นหรอ..." คุณทีทำหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง "มานี่หน่อย" เขาเรียกผมกลับเข้าไปหา ผมยืนรอรับคำสั่งว่าเขาอยากให้ผมทำอะไร
"มีอะไรครับคุณที"
"มานั่งลงตรงนี้ ข้างๆ ฉัน" เขาดึงแขนผมนั่งบนโซฟาข้างๆ ตอนแรกผมตกใจนิดหน่อยไม่คิดว่าคนที่เป็นเจ้าของบริษัทจะไม่ถือตัวกับลูกน้องขนาดนี้ จากนั้นผมก็นั่งเงียบ นิ่ง และเกร็ง ทั้งที่หุ่นก็ไล่เลี่ยกัน แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองหดเล็กลงจนเหลือตัวเท่ามดเลย
คุณทีเลื่อนคอมพิวเตอร์มาตรงหน้าผม หน้าจอมันมีแต่ตัวอักษรภาษาอังกฤษสัญลักษณ์แล้วก็ตัวเล็กเต็มหน้าจอโปรแกรมไปหมด หรือที่โปรแกรมเมอร์เขาเรียกว่า source code นั่นแหละครับ จากนั้นเขาก็คลิกเมาส์ที่ปุ่มสีเขียวรูปร่างเหมือนสัญลักษณ์ play เหมือนในโปรแกรมนำเสนองานที่ผมเคยใช้ แต่ในนี้มันเขียนว่า run ไม่นานหน้าต่างโปรแกรมอีกบานก็ปรากฎขึ้นมา หน้าตามันเหมือนเกมส์ผจญภัย
"นี่อะไรครับ?"
"ลองเล่นดู"
พูดจบเขาก็กดปุ่น start ในเกมส์ให้ผมเลือกคาแร็กมาทั้งตัวละครชายและหญิง จากนั้นก็เลือกการแต่งกาย แล้วก็เริ่มต้นการผจญภัย แต่การผ่านด่านไม่ได้ใช้กำลังต่อสู้แต่เป็นโจทย์คณิตศาสตร์ ยิ่งอาวุญหรือการแต่งกายที่เป็นแรไอเทม โจทย์ปัญหาก็จะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ แต่เนื้อหาไม่เกินความรู้ของเด็กมัธยมต้น ผมเลยแก้โจทย์ได้สบาย เขาไม่ไม่ได้ทำเกมแต่กำลังสร้างสื่อการสอน...
"......" ผมนั่งเล่นเกมไปเรื่อยๆ โดยมีสายตาของคุณทีคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา
"เป็นยังไงบ้าง" เขาถามผมหลังจากที่ผมเล่นจบด่านแรก
ผมจะบอกยังไงดีล่ะ...
"ก็สนุกดีครับ... โจทย์ถ้าคนที่เล่นไม่เกินมัธยมต้นล่ะก็ โจทย์ปัญหาก็ไม่ได้ยากหรือว่าง่ายจนเกินไป ดีด้วยที่มีการแบ่งระดับเด็กประถมกับมัธยม ก็ประมาณนี้แหละครับ" ผมตอบไปตามสิ่งที่ตัวเองคิด คุณทีนั่งฟังอย่างตั้งใจ "อ้อ ตรงตัวเลขแสดงคำตอบอ่ะครับ ผมรู้สึกว่ามันตัวเล็กไป แล้วก็ตัวหนังสือมันทึบไปกับฉากหลังอ่ะครับ มองไม่ถนัดเท่าไหร่"
"อย่างนั้นหรอ..." คุณทีหมุนโน๊ตบุคให้หน้าจอเฉียงไปทางตัวเอง มือข้างหนึ่งรัวนิ้ว เปลี่ยนตัวเลขและตัวอักษรที่โค้ด จากนั้นก็กดปุ่มรัน "แบบนี้ล่ะเป็นไง..."
"......"
ผมไม่ได้มองหน้าจอคอมเพราะตามัวแต่จ้องมืออีกข้างของเขาที่เอื้อมไปหยิบแก้วกาแฟที่ผมเพิ่งซื้อมาให้ เขากำลังเอามันเข้าปาก เขาจะรู้ไหมนั่นว่ามัน...
"อึก ร้อน"
ไม่สินะ...
คุณทีเอามือปิดปาก และเลือกที่จะกลืนกาแฟร้อนๆลงคอแทนการพ่นมันออกมา
"......"
ผมพยายามกลั้นขำเอาไว้ เมื่อได้เห็นใบหน้านิ่งของเขาเหยเก ดูทรมานสุดๆ ครั้งแรก...ที่ผมได้เห็นใบหน้านั้นแสดงอารมณ์
"ทำไมนายไม่บอกฉันว่ามันร้อน..." เขาหันมามองผมตาดุ แต่ไม่ได้ตำหนิอะไร เชิงบอกว่า น่าจะเตือนกันหน่อยก็ดีจะได้ไม่เสียฟอร์ม
"ผมจะเตือนแล้วครับ... แต่ไม่ทัน"
ผมก้มลงซ่อนหน้ายิ้มเอาไว้ แต่ไม่พ้นสายตาของเขา คุณทีกระแอมเบาๆ ผมเลยเงยหน้าขึ้นมาปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด
"เปลี่ยนใหม่แล้วเป็นยังไงบ้าง" เขาเปลี่ยนเรื่อง กลับเข้ามาสนใจเกมที่อยู่หน้าจอ
"ดูง่ายสบายตาขึ้นเยอะเลยครับ" ผมตอบตามความเป็นจริง ที่เขาทำเมื่อครู่คือปรับขนาดตัวอักษรและเปลี่ยนสีให้มันดูสว่างขึ้นตามที่ผมแนะนำ "ทำไมคุณทีถึงให้ผมเล่นเกมนี้ล่ะครับ?"
"เพราะนายดูเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นเทสเตอร์ของเกมส์ตัวนี้" เขากำลังชมผมอยู่ใช่ไหมเนี่ย "เกมนี้เป้าหมายคือใช้เป็นสื่อการสอนให้เด็กไม่เกินมัธยมต้น ถ้านายบอกว่ามันสนุก เด็กๆ ก็คงคิดเหมือนกัน"
คุณทีครับ......นี่คุณกำลังหลอกด่าว่าผมว่าเป็นเด็กยังไม่โตหรือเปล่า
หลังจากช่วยเป็นเทสเตอร์ให้เกมของคุณทีแล้วผมก็กลับออกมานั่งโต๊ะทำงานของตัวเอง ตั้งแต่รู้ว่าห้องนั้นมันไม่ใช่ประจกฝ้าอย่างที่คิด ผมก็ไม่กล้ามองเข้าไปในห้องนั้นนานเกินสามวินาทีอีกเลย ผมพยายามมองหาอะไรทำแต่ก็ไม่มีอะไรทำ เพราะคุณทีไม่ได้ออกไปไหนผมเลยไม่ได้ขับรถ เมื่อพี่ธันวาเห็นผมว่างจนนั่งตบอากาศเล่นเขาเลยใช้ผมถ่ายเอกสารนิดๆหน่อยๆ ข้างเครื่องถ่ายเอกสารมีเครื่องทำลายกระดาษด้วย ผมเห็นพี่หวานๆ หย่อนกระดาษลงไปแล้วมันก็ออกมาเป็นเส้นๆ ท่าทางน่าสนุกผมเลยขอเธอทำ จากนั้นก็เดินดูบริษัทอีกครอบเพิ่งสังเกตุเห็นว่ามันมีห้องครัวด้วย เครื่องครัวครบครัน ทุกชิ้นใหม่เอี่ยมเหมือนไม่เคยมีการใช้งานมาก่อนเว้นแต่เครื่องชงกาแฟสำเร็จรูปที่สภาพค่อนข้างดูออกว่าผ่านสมรภูมิรบมานับร้อย
หลังจากจบทัวร์บริษัท ผมก็กลับมาที่โต๊ะ มานอน แล้วก็หลับ...
ผมรู้ตัวอีกทีก็เมื่อรู่สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาจิ้มแก้มผม ผมรู้สึกได้ลางๆ ว่าตัวเองเอามือปัดออกแล้วมันก็มาจิ้มแก้มผมใหม่ แต่พอผมลืมตาขึ้นมาก็ไม่เจออะไร มีเพียงคุณทีที่ยืนหน้านิ่งมองผมหลับน้ำลายไหลอยู่
คุณที......?
"คุณที!" ยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ผมรีบเช็ดคราบน้ำลาย จัดการตัวเองให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ "คุณทีมานานหรือยังครับ"
"ไม่นานหรอก สักสองนาทีได้ ฉันเห็นนายท่าทางจะฝันดีเลยไม่อยากปลุก"
"คุณทีมีอะไรจะใช้ผมหรอครับ"
"กลับบ้าน" คุณทีว่าพร้อมยื่นกุญแจรถให้ผม
ผมมองไปรอบห้อง ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในออฟฟิศแล้ว ก้มมองนาฬิกาข้อมือแสดงเวลาสองทุ่ม นี่ผมหลับไปนานขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
"ครับ" ผมรับกุญแจมา
คุณทีเดินนำหน้าผม พอมาถึงประตูเลื่อนบานใหญ่เสียงดังตี๊ดๆ ที่เกิดขึ้นเหมือนตอนที่ผมเข้ามา แต่ดังที่บัตรของคุณที ประตูเปิดออกอัตโนมัติ ผมเดินตามเขาออกไปติดๆ แต่ตาก็แอบเหลือบมองเข้าไปในออฟฟิศ เพราะไปทุกดวงยังเปิดอยู่ เขาไม่คิดจะปิดไปก่อนกลับเลยเหรอ
แต่พอผมเดินห่างประตูออกมาเท่านั้น เสียงตี๊ดดังขึ้นอีกครั้ง แอร์ที่กำลังทำงานอยู่ปิดตัวลง ไฟทุกดวงที่เปิดอยู่ปิดโดยอัตโนมัติ จากนั้นประตูบานใหญ่ปิดตัวเอง ผมยืนทึ่งในความไฮเทคโนโลยี แต่แล้วความคิดบ้าๆของผมก็บังเกิด ผมเดินเข้าไปเข้าไปใกล้ประตูอีกครั้ง เสียงตี๊ดดังขึ้น ประตูเปิดออก ไฟในห้องกลับมาสว่าง พอผมห่างออกมาทุกอย่างก็ปิดเช่นเคย
เจ๋งโคตร...
เป็นคำเดียวที่ผมคิดได้ตอนนี้
"ดิน จะเล่นประตูออฟฟิศฉันอีกนานมั้ย"
ผมหันกลับไปตามเสียง เห็นคุณทียืนหน้าดุรออยู่หน้าลิฟต์ ผมยิ้มแห้งๆ ให้เขาเหมือนเด็กที่เพิ่งถูกผู้ใหญ่จับได้ว่าแอบเล่นซน
จบงานวันแรกของผมโดยการขับรถมาส่งคุณทีที่บ้าน ความจริงมันคือคอนโดมิเนียมหรูที่อยู่ห่างจากบริษัทประมาณสามสิบนาที โชคดีที่จากคอนโดสามารถนั่งรถไฟฟ้ากลับมาที่หอพักของผมได้โดยใช้เวลาเพียงยี่สิบนาที ตอนแรกเขาจะให้ผมขับรถกลับหอ ใครจะกล้าล่ะครับ รถหรูขาดนั้น เกิดไปเฉี่ยวชนขึ้นมาผมไม่ต้องขายสวนผลไม้ที่เมืองจันท์ชดใช้เลยเหรอ
วันแรกกับที่ทำงานสุดแปลก และพนักงานที่ไม่ใช้ภาษามนุษย์คุยกัน
ที่สำคัญ...
ผมรู้บางอย่างเกี่ยวกับเขา บางอย่างที่ว่า ผู้ชายคนนั้นอาจไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เขาแค่ใช้เปลือกนอกที่ดูเย็นชาซ่อนบางสิ่งเอาไว้เท่านั้น...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น