ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ปฐพีอุ้มรัก #1
บทที่ 1
ตอนเด็กหากมีคนถามว่าอนาคตฝันอยากจะเป็นอะไร คงตอบออกมาได้โดยไม่ต้องคิด อยากเป็นตำรวจไล่ล่าผู้ร้าย อยากเป็นซุปเปอร์ฮีโร่คอยปกป้องผู้คน ดวงวาวโรจน์เมื่อนึกถึงสิ่งที่อยากเป็น แต่เมื่อโตขึ้น แสงสว่างนัยตากลับค่อยๆ เลือนหายไป ความฝันของเราถูกตีกรอบด้วยขนบธรรมเนียมสังคมที่หล่อหลอมให้เราเติบโตมา จนบางคนกลายเป็น 'คนหมดฝัน' แต่คงไม่ใช่กับผม เพราะผมเป็นคนไม่มีฝันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
บางทีผมก็โกรธตัวเองเหมือนกันที่ไม่เคยมีความ 'อยาก' ที่จะทำอะไรเลย ยิ่งโตขึ้น ความตื่นเต้น ความกระตือรือล้นมันก็ยิ่งหมดไป... หรือบางทีเพราะผมอาจยังไม่เจอสิ่งที่ 'ชอบ' ผมได้แต่หวังว่าผมจะเจอสิ่งนั้นเร็วๆ
"น้องคะ น้อง น้องคะ!"
"คะ ครับผม! จะรับอะไรดีครับ" ลูกค้าผู้หญิงในชุดพนักงานบริษัทเรียกผมออกจากห้วงความคิด
"พี่ขอชาเขียวปั่นแก้วนึงค่ะ"
"ชาเขียวปั่นมัทฉะลาเต้หนึ่งแก้วราคา 65 บาทครับ"
"นี่ค่ะ"
"รับมาหนึ่งร้อยบาทนะครับ" ผมคีย์ตัวเลขตามจำนวนเงินที่ลูกค้าให้มาแล้วกดปุ่มรับเงิน จากนั้นลิ้นชักเก็บเงินก็กระเด้งออกมา หน้าจอคอมแสดงยอดเงินที่ผมต้องทอนลูกค้า ผมหยิบเงินออกมาตามจำนวน "เงินทอน 35 บาทครับ ไปรอรับของที่เคาท์เตอร์ด้านขวามือได้เลยครับ" ผมยื่นเงินทอนให้ลูกค้าพร้อมใบเสร็จ ตามขั้นตอนที่ถูกสอนมาก่อนเข้าทำงาน
ร้านกาแฟใต้ตึกพาณิชย์ซึ่งเป็นแหล่งรวมของบริษัทย์ขนาดเล็กและขนาดกลางไว้หลายบริษัท ลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นพนักงานในบริษัทนั้นๆ หรือไม่ก็เป็นคนที่มาติดต่องาน ตั้งแต่เรียนมหาลัยปีหนึ่งจนถึงตอนนี้ซึ่งอีกไม่กี่เดือนก็จะจบแล้ว ผมทำงานพาร์ทไทม์มาหลายอย่าง ผมชอบที่นี่ที่สุด ได้เห็นผู้คนหลากหลายสายงาน พวกเขาใช้ร้านกาแฟเป็นที่คุยงาน เป็นที่พักผ่อน หรือแม้กระทั่งเป็นที่พบปะกับเพื่อนตามประสาของคนไม่มีเวลา
"ขอกาแฟดำที่นึง"
ลูกค้าคนใหม่เดินเข้ามาสั่งสินค้า แต่พอได้เห็นหน้าก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือคุณทินกรลูกค้าประจำของทางร้าน คุณทินกรมักจะมาที่นี่แล้วสั่งเมนูเดิมซึ่งก็คือกาแฟดำซึ่งดูไม่เข้ากับบุคลิกชายวัยสี่สิบสุดแสนอารมณ์ดีของเขาเลย
"กาแฟดำเข้มๆ เหมือนเดิมนะครับคุณกร"
"ตามนั้นเลยดิน"
"ราคา 85 บาทครับ"
คุณทินกรยื่นบัตรเครดิตมาให้ ผมสอดมันเข้ากันที่อ่านบัตรจากนั้นก็กดปุ่มตามขั้นตอน ระหว่างที่รอเครื่องอ่านบัตร โทรศัพท์ของคุณกรก็ดังขึ้น
"ครับ เดี๋ยวนี้เลยหรอครับ ได้ครับได้ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้"
พอวางสายคุณกรก็รีบออกไปทันที โดยที่ยังไม่รอรับกาแฟและ...บัตรเครดิต! ผมรีบกดแคลเซิลบัตร
"คุณกรครับ! เดี๋ยวก่อน!" ช้าเกินไป กว่าผมจะหยิบบัตรออกมาได้คุณกรก็พ้นประตูร้านไปแล้ว "พี่ตุ๊กตาผมฝากเคาน์เตอร์แปปนึงนะครับ"
พี่ตุ๊กตาฝ่ายทำเครื่องดื่มที่เห็นเหตุการมาตลอดพยักหน้ารับ ผมออกไปหน้าร้านเห็นหลังคุณกรไกลๆ เขากำลังมุ่งหน้าไปที่ลิฟต์ ผมวิ่งตามไป กำลังจะร้องเรียกแต่สายตาของผมมองเห็นเหตุการณ์ที่เร่งรีบกว่าการคืนบัตรเสียก่อน สตรีท้องแก้กำลังจะโดนรถขนของที่พนักงานขนออกมาจากลิฟต์ชนเข้า ผมเลยวิ่งไปทางนั้นก่อน โชคดีที่คุณกรอยู่ใกล้ผู้หญิงคนนั้นมากกว่า คุณกรจับเธอหมุนให้พ้นรัศมีการชน สตรีมีครรภ์ปลอดภัย แต่แขนขวาของคุณเลขาชนเข้ากับลังที่พนักงานขนของขนลงมาพอดี ดูจากท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวด คงเจ็บไม่น้อย ผมรีบวิ่งเข้าไปดูอาการประจวบกับชายท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งเดินเข้ามาดูเหตุการณ์เหมือนคนอื่นๆ
"เป็นอะไรมากมั้ยครับคุณ ผมขอโทษจริงๆ ผมไม่ทันมอง" พนักงานขนของหน้าตื่นเข้ามาถาม
"เกิดอะไรขึ้นคุณกร" ชายคนนั้นถาม
"คุณคนนี้เข้ามากันฉันไม่ให้โดนชนค่ะ" หญิงตั้งครรภ์พูดกับชายที่เข้ามาถามเสียงตื่น
"ลุกไหวมั้ยครับคุณกร" ผมคุกเข่าลงไปช่วยพยุงคุณทินกรลุกขึ้น
"ผมว่าคุณไปโรงพยาบาลให้หมอดูอาการก่อนดูกว่านะคุณกร" ชายในชุดสูทถาม
"แล้วใครจะขับรถให้คุณทีล่ะครับ วันนี้ที่บริษัทไม่มีใครว่างเลยสักคน"
"ไม่ต้องห่วง ผมนั่งแท็กซี่ไปเอง"
"ไม่ได้นะครับ มันไม่ปลอดภัย"
"แล้วคุณคิดว่าผมจะปลอดภัยเหรอหากคุณเป็นคนขับ" เขาเอ่ยเสียงเรียบ มองคุณกรตาดุ
คุณกรครุ่นคิดก่อนมองมาที่ผม "ดิน เธอขับรถเป็นไหม?"
"เอ่อ... เป็นครับ" ผมพยักหน้าตอบ
"มีใบขับขี่หรือเปล่า"
"มีครับ"
บ้านผมทำสวนผลไม้ ผมมักจะขับรถไปส่งผลไม้ที่ตลาดแทนพ่อบ่อยๆ เลยมีใบขับขี่รถยนต์เป็นของตัวเองตั้งแต่ตอนอายุผมสามารถสอบใบขับขี่ได้
ที่คุณทินกรถามแบบนี้อย่างบอกนะว่า...
"เธอขับรถไปส่งคุณทีแทนได้ไหม ฉันไม่มั่นใจคนอื่น"
แล้วคุณกรมั่นใจผมเหรอครับ
"แต่ว่าตอนนี้ผมยังอยู่ในเวลางาน..."
"เดี๋ยวเร่ืองนั้นฉันจัดการให้" คุณกรหยิบกุญแจรถออกมายัดใส่มือผม เป็นการมัดมือชกว่าผมต้องขับรถให้คุณผู้ชายมาดนิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม
"ตกลงครับ"
"ขอบใจมากดิน" คุณกรตบไหล่ผมเบาๆ ด้วยสีหน้าดีใจ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นหน้านิ่วด้วยความเจ็บปวด "รีบไปเถอะครับคุณทีเดี๋ยวจะไม่ทันการ"
คนชื่อ 'คุณที' พยักหน้าเบาๆ แล้วมองมาที่ผมเชิงบอกว่าให้ผมเดินตามเขาไป ผมละล้าละลังเพราะใจหนึ่งก็เป็นห่วงคุณกร เขาต้องไปโรงพยาบาล จนกระทั่งหญิงตั้งครรภ์ที่คุณกรช่วยไว้มาอาสาพาเขาไปโรงพยาบาลผมถึงวางใจยอมเดินตามคุณทีไป
เขาพาผมเดินลงมาที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน ระหว่างทางไม่มีบทสนทนาของเราแม้แต่คำเดียว นั่นก็เพราะ 'เราไม่รู้จักกัน' ผมได้แต่เดินตามหลังเขามาเงียบๆ มองแผ่นหลังของชายในชุดสูทที่ผมไม่รู้ว่ายี่ห้ออะไรแต่ดูจากเนื้อผ้า การตัดเย็บราคาคงแพงกว่าค่าหอพักผมหลายเท่า ความสูงเขาไม่ต่างกันมาก หุ่นก็ไล่ๆ กัน แต่วุฒิภาวะที่ต่างกันลิบลับเลย ชายที่เดินนำหน้าผม แผ่นหลังกว้าง ไหล่เหยียดบอกว่าเขาเคร่งเครียดกับการทำงาน ใบหน้าหล่อคมสันแต่ไม่มีเค้าของรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย ผมเดาว่าเขาต้องเป็นเจ้านายประเภทที่ลูกน้องกลัวหัวหดแน่ๆ
"คันนี้"
เขาเดินหยุดอยู่ข้างรถยุโรปสีดำมันปลาบแล้วมองมาที่ผม ผ่านไปสามวินาทีผมถึงเข้าใจสัญญาณจากสายตานั่น
ตี๊ด
ผมกดปุ่มรีโมทย์ปลดล็อกรถ ผมกำลังจะเดินไปเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับให้ แต่คุณทีเปิดประตูเข้าไปนั่งตรงเบาะหลังแล้วหยิบไอแพดขึ้นมากดอะไรบางอย่าง
อ่า... ลืมไป พวกเจ้านายเขาไม่นั่งที่นั่งข้างคนขับ
ผมเอ๋ออยู่นอกรถ แต่ทันใดที่ใบหน้านิ่งมองมาที่ผม ร่างกายของผมมันก็กระโดดขึ้นรถด้วยตัวเอง ไม่ต้องเปลืองพลังงานสมองสั่งการ คนอะไรก็ไม่รู้แค่สายตาก็ทำให้คนอื่นเสียวสันหลังวาบได้
ภายในรถราคาแพงทุกอย่างดูหรูหราไปหมด แต่การบังคับไม่ได้ต่างจากรถกระป๋องที่บ้านผมสักเท่าไหร่เลยไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ผมจะขับรถที่ชาตินี้ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้แตะต้องอีกหรือเปล่าคันนี้
"เอ่อ... คุณจะให้ผมไปส่งที่ไหน"
"สมชัยซุปเปอร์" คุณทีเอ่ยพร้อมยื่นไอแพดที่เขาถือเมื่อครู่มาให้ผม ในนั้นมีชื่อซุปเปอร์ที่เขาบอกและแผนที่เขียนเอาไว้ชัดเจน มันเนวิเกเตอร์หน้าตาที่ผมไม่เคยเห็นแต่ดูเข้าใจง่ายมากทีเดียว
เมื่อรู้ปลายทาง ไม่รอช้า ผมรีบสตาร์จรถทันที เพราะเริ่มรับรู้ได้ถึงรังสีเยือกเย็นจากทางด้านหลังแล้ว
จากตึกที่ผมทำงานอยู่ห่างจากสมชัยซุปเปอร์ไม่กี่กิโลเมตรแต่เรายังไปไม่ถึงครึ่งทางเลย รถจอดอยู่ที่เดิมมากว่าสิบนาทีแล้วเหมือนกับรถคันอื่นๆ เสียงแตรรถบีบไล่กันเสียงดังระงม ช่วงเที่ยงปกติแล้วถนนสายนี้รถไม่ติดเท่าไหร่ คงเกิดอุบัติเหตุที่ไหนสักที่เลยทำให้รถติดเป็นขบวนยาวขนาดนี้ ผมมองรถคันหน้าที่ไม่ยอมขยับไปไหนสลับกับคนที่นั่งเบาะหลัง ใบหน้านิ่งมองนาฬิกาสองสามครั้งแล้วตั้งแต่ออกมา แม้เขาไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆ แต่ผมรับรู้ได้ว่าตอนนี้เขากำลังรีบมาก
ผมต้องทำอะไรสักอย่าง...
ผมจำได้ว่าจากนี้ไปไม่กี่เมตรด้านขวาจะมีซอยที่สามารถลัดเลาะไปตามแนวถนนใหญ่ได้ แม้จะเป็นซอยเล็กๆ แต่ก็ใหญ่พอให้รถยนต์วิ่งได้ โชคดีที่ถนนยังพื้นที่มากพอให้รถเราแทรกไปจนถึงทางเลี้ยวได้ ผมหักพวงมาลัยเลี้ยวออกจากเลนที่เราอยู่ คนนั่งเบาะหลังมองผมด้วยแววตาสงสัยเล็กน้อย
"ผมมีทางที่เราจะไปถึงเร็วขึ้น"
เขาไม่ว่าอะไร หมายความว่าอนุญาต ผมเลี้ยวเข้าไปในซอย ขับเลียบถนนเส้นหลักไปเรื่อยๆ แม้จะมีทางเลี้ยวเยอะแยะไปหน่อย แต่ถ้าเทียบกับรอเวลารถติด เส้นทางนี้ถือว่าเร็วกว่าเยอะ
เมื่อพ้นระยะรถติดผมจึงขับรถเข้าถนนใหญ่ ป้าย 'สัมชัยซุปเปอร์' ขนาดใหญ่ตั้งเด่นให้เรามองเห็นแต่ไกล
"นายรู้ได้ยังไงว่ามีเส้นทางนี้อยู่"
ดูเหมือนผู้ชายด้านหลังจะเริ่มมองเห็นตัวตนของผมแล้ว หลังจากที่เขานั่งเงียบมานาน เห็นความสามารถของผมแล้วล่ะสิ
"ผมเคยทำพาร์ทไทม์เป็นเด็กส่งพิซซ่ามาก่อนครับ เลยต้องรู้เส้นทางลัดเอาไว้บ้างเพื่อทำเวลาในการส่ง" ผมบอกตามความจริง คนที่อยู่เบาะหลังทำหน้านิ่งเป็นการรับทราบเช่นเคย
อย่างที่บอกผมเคยทำพาร์ทไทม์หลายอย่าง ส่งพิซซ่าเป็นงานที่ผมเคยทำตอนอยู่ปีสาม แต่ก็หยุดทำเพราะการส่งพิซซ่าตอนกลางคืนทำให้ผมนอนไม่พอไปหลับในห้องเรียนจนอาจารย์ว่า ผมเลยต้องเปลี่ยนมาทำงานร้านกาแฟกะกลางวันจนถึงปัจจุบันนี้
"ถึงแล้วครับ"
ผมจอดรถตรงลานจอดรถหน้าซุปเปอร์
"นายรออยู่นี่นะ"
พูดจบคุณทีก็ลงจากรถเดินเข้าไปในซุปเปอร์ทันที
ถึงจะอยากรู้แค่มากแค่ไหนว่าเขามาทำอะไรที่ซุปเปอร์มาร์เกตแต่ถามไปเขาคงไม่ตอบ บางทีอาจจะได้แววตานิ่งๆตอบกลับมาว่า 'ยุ่ง' ก็เป็นได้ผมไม่ถามและทำตามที่เขาสั่งอย่างเงียบๆ แต่ต่อมอยากรู้ของผมมันกลับไม่ยอมหยุดทำงาน ผมเลยหยิบสมาร์ทโฟนตกรุ่นของตัวเองขึ้นมาหาข้อมูล ได้ความว่า
'สมชัยซุปเปอร์ ซุปเปอร์มาร์เกตขายอาหารสดขนาดเล็กหนึ่งในผู้ที่ได้รับพิษเศรษฐกิจจนต้องปิดตัวลง จนกระทั่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมากลับมาเปิดใช้งานอีกครั้งเพียงหนึ่งสาขาแต่ก็เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย รูปลักษณ์ใหม่ที่เรียกได้ว่าไฉไลกว่าเดิม ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยในการจัดการสินค้า มีชั้นวางสินค้าอัจฉริยะคอยเก็บข้อมูลการซื้อจากลูกค้าเพื่อนำไปวิเคราะห์ จัดการสินค้าให้ตรงความต้องการของลูกค้า เรียกได้ว่า จิ๋วแต่แจ๋ว ยุค 4G คนที่ปรับตัวได้เท่านั้นถึงจะรอด มาคอยจับตาดูกันว่าอนาคตสมชัยซุปเปอร์จะเป็นอย่างไร จะสดในขึ้นหรือดับวูปลงอีกเหมือนเดิมหรือเปล่า'
จากเนื้อความข่าว สรุปแล้วผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเขามาทำอะไรที่ซุปเปอร์แห่งนี้... ผมจะหาข้อมูลเขาในอินเตอร์เนตแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะผมรู้จักแค่ว่าเขาชื่อคุณที แล้วคุณทีในประเทศนี้มีกี่คนกันล่ะ
แต่ไม่ลองก็ไม่รู้
ผมเปิดอากู๋คู่มือคนตกอยาก อยากรู้อะไรก็แวะมาเดี๋ยวกู๋บอกให้ ผมพิมพ์ชื่อของเขาตามที่ผมรู้ 'คุณที' ลงไปในหน้าค้นหารูปภาพ แต่ก็เจอภาพใครไม่รู้ มีแม้กระทั่งรูปสามีของดาราสาวสวยเจ้าแม่แฟชั่นขวัญใจผม
ต่อมอยากรู้ของผมมันผลิตฮอร์โมนความพยายามออกมาเรื่อยๆ ทำให้ผมไม่ยอมแพ้ที่จะค้นหา คุณกรเรียกเขาว่าคุณที 'ไม้ที' หรอ ไม่น่าใช่ หน้าตาเย็นชาอย่างกับน้ำแข็งแบบนั้น...นที ผมเปลี่ยนคำค้นหา ผมเลื่อนดูรูปบุคคลตามผลลัพธ์ ไม่คิดว่าจะเจอหรอก แต่แล้วสายตาของผมก็สะดุดเข้ากับรูปของชายในชุดสูทสีดำใบหน้านิ่งคิ้วตึงเหมือนคนแบกโลกไว้ตลอดเวลา
ผมเจอเขาแล้ว...
กดเข้าไปตามลิงค์ของรูป มันเป็นเว็ปไซต์ที่เขียนบทความเกี่ยบกับเทคโนโลยี หัวข้อบทความที่มีรูปคุณทีแปะอยู่ชื่อว่า 'ปีศาจผู้ลึกลับแห่งโลกเทคโนโลยีไทย' ตามเนื้อหาสรุปได้คร่าวๆ คือคุณที ชื่อจริงคือ นทีธร หิรัญไพศาล อายุ 32 เจ้าของ NTF(Next To the Future) บริษัทผลิตซอฟต์แวร์สัญชาติไทย เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท NGS(Next Gen Software) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตซอฟต์แวร์รายใหญ่ของประเทศไทย เมื่อ 5 ปีก่อนเขาลาออกจากNGSบริษัทที่ตัวเองสร้างขึ้นแล้วมาเปิดบริษัทใหม่ ซึ่งก็คือNTF ปัจจุบันNTFถือว่าเป็นบริษัทคู่แข่งที่NGSจะมองข้ามไม่ได้ ส่วนสาเหตุของการลาออกเป็นความลับ
ผู้ชายคนนี้บ้าไปแล้ว... แต่เจ๋งโคตร
พอได้อ่านประวัติของเขาผมถึงกับขนลุกซู่ ต้องเก่งแค่ไหนถึงจะประสบความสำเร็จด้วยมือของตัวเองเพียงอายุ 32 ปี ปีศาจสมฉายาจริงๆ
ผมไม่รู้ว่าผมค้นประวัติผู้ชายคนนี้นานเท่าไหร่ รู้ตัวอีกทีเจ้าต้องก็เปิดประตูเข้ามาในรถแล้ว ผมรีบเก็บโทรศัพท์แทบไม่ทัน
"เสร็จแล้วหรอครับ" ผมถามผ่านกระจกหลัง เขาพยักหน้าตอบ "จะให้ผมพาไปที่ไหนต่อมั้ย"
"กลับบริษัท"
"ครับ"
ผมขับรถกลับมาจอดที่ลานจอดรถเดิม และเพิ่งสังเกตุว่าตรงนั้นมันมีป้ายเขียนบอกไว้ว่าเป็นที่จอดรถของประธานบริษัท NTF
"ถึงแล้วครับ"
"นายชื่อดินใช่มั้ย"
คุณทีถามขึ้นระหว่างตอนที่ผมดับเครื่องยนต์ เขาคงเพิ่งนึกได้ว่าอย่างน้อยก็ควรถามชื่อคนที่ขับรถพาเขาไปทำธุระ
"ครับ"
"อ่ะ นี่ของนาย" คุณทียื่นกระดาษรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าให้ผม มันคือธนบัตรราคาหนึ่งพันบาท
"อะไรครับ"
"ค่าแรงของนายวันนี้"
"ผมแค่ช่วยขับรถไปส่งแทนคุณกรเท่านั้นเอง"
"คนทำงานก็ต้องได้ค่าแรง รับไป" ผมแค่ช่วยขับรถให้เขาไม่กี่ชั่วโมงเอง ค่าแรงที่ได้เยอะกว่าค่าแรงที่ผมทำงานทั้งวันเสียอีก ตอนแรกไม่อยากรับไว้ แต่พอสบสายตาดุๆ ของเขาผมรีบรับเงินมาทันที ความรู้สึกเหมือนผมโดนสะกดจิตให้ทำตามคำสั่งของเขายังไงอย่างนั้น
ผมกลัวสายตาคู่นั้น
"ขอบคุณครับ นี่ครับกุญแจรถ" ผมยื่นกุญแจรถคืนให้คุณทีแล้วลงจากรถ
แม้ว่าวันนี้จะเกิดเรื่องไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ผมกลับมองว่ามันเป็นโชคดีของผม ที่ทำให้ผมได้รู้จักผู้ชายคนนี้ แค่เศษเสี้ยวเรื่องราวของเขาที่ผมรับรู้ทางอินเตอร์เน็ตก็ทำให้ชีวิตสุดเรียบง่ายของผมดูโคตรเรียบง่ายลงไปอีก แต่ส่ิงที่เพิ่มเข้ามาคือ ความตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกแบบนี้ ความอยากที่จะทำอะไรสักอยาก
อยากรู้จักเขาให้มากขึ้น...
--------------------------------------------------------------------------------------------------
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น