ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ห้องเก็บฟิคแต่งเล่น(ล็อค)

    ลำดับตอนที่ #1 :

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12
      0
      10 มี.ค. 58

     Title: จนกว่าวันที่สงครามที่สิ้นสุดจะมาถึง...
    Pairing: ป๋าง้าวอิมะจัง
    Rate:PG
    Note: อัพ50%ค่ะ
    ------------------------------------------------------------------------

     

     

    นานแสนนานมาแล้ว....ข้าเกิดมาบนโลกใบนี้พร้อมกับมหันตภัยครั้งใหญ่ที่มีชื่อว่าสงคราม...

    วินาทีแรกบนโลกของข้า สิ่งเดียวที่มองเห็นคือแผ่นดินที่กำลังคลุ้มคลั่ง  มีแต่เลือดและเลือดเท่านั้นที่ละเลงเลอะเปรอะไปจนแลเห็นเป็นทะเลโลหิต  ไกลออกไปไม่รู้กี่ร้อยโยชน์

    นานแสนนานมาแล้วเช่นกัน...ข้าได้พบกับชายผู้หนึ่งที่ก้าวเข้ามาตรงหน้าข้า และเอ่ยปากด้วยอาญาสิทธ์ว่าเขาคือนายเหนือหัวของข้า

    นับแต่วันนั้น...ช้าผู้ซึ่งเป็นเพียงอาวุธที่สร้างมาจากเหล็กและไม้  ก็กลายเป็นเทพสงครามที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง

    ทุกคมที่ตวัดฟาดฟันลงไป...ต้องมีหนึ่งชีวิตที่ต้องสังเวย  อิวะโทชิ กลายเป็นมหาเทพสงครามที่กุมหมากแห่งชัยชนะไว้ในกำมือ  ผู้คนเกรงกลัวข้า ศัตรูก้มหัวแทบเท้าข้า...

    ตัวข้าในช่วงเวลานั้น  ราวกับดอกไม้ไฟที่พุ่งทะยานถึงจุดสูงสุดของแผ่นฟ้า....อยู่สูงกว่าเทพเจ้า เมื่อมองลงไปก็แลเห็นมนุษย์ทั้งหลายเป็นแค่เศษฝุ่นควันที่ปลิวผ่านไป...

    ยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์นั้นกินระยะเวลานับสิบปี  ข้าก้าวลงสู่สมรภูมิพร้อมกับนายเหนือหัวของข้านับครั้งไม่ถ้วน...ทั้งข้าและเขาต่างมีจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน  ราวกับว่าไม่มีอะไรแยกเราออกจากกันได้....

    ทว่านอกจากตัวข้าแล้ว  ข้างกายนายเหนือหัวของข้าก็ยังมีอีกหนึ่งบุรุษที่มักยืนอยู่ด้านหลังเสมอ  ชายผู้นั้นมองมาจากมุมที่ต่ำกว่าด้วยสายตาที่ข้าอ่านออกว่าเป็นผู้สูงศักดิ์....

    ในครั้งแรกที่ข้าเห็นชายผู้นั้น  รอบกายของเขาว่างเปล่า  ไม่มีแม้แต่อาวุธสักชิ้นในมือ  ถึงกระนั้น...นายเหนือกลับสั่งกำชับข้านักหนาว่าให้ปกป้องชายผู้นั้นยิ่งชีวิตของข้า...ซึ่งข้าก็ปฏิบัติตาม...

    ไม่มีเงื่อนไข  ไม่มีการขัดขืน  ข้าไม่เก็บคำถามใดๆมาใส่ใจ  ก็เพียงแต่ทำตามคำสั่งนั้นไปเงียบๆเท่านั้น

     

    ฤดูกาลผันผ่านไป  จนกระทั่งญี่ปุ่นย่างก้าวเข้าสู่เช้าแรกของฤดูใบไม้ผลิ 

    ในเวลานั้น...ยุคสมัยของสงครามยังไม่มอดดับลง ทว่าข้ากลับเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป...

    บ้านของข้าสว่างขึ้นเล็กน้อย  แสงแดดที่ส่องจ้าเข้ามาทำให้ข้าเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนพื้นไม้ในระยะที่ไม่ไกลจากข้านัก  เขามีผมยาวสีทองคำขาว  เมื่อต้องกับแสงแดดก็กระพริบเป็นประกายมุก...

    ข้าได้แต่มองด้วยความงุนงง     คำถามมากมายแล่นเข้ามาในหัว  ชายผู้นี้เป็นใคร มาจากไหน และมาได้อย่างไรกัน?  จากการแต่งตัวที่ดูราวกับขุนนางสูงศักดิ์และ จะให้เอ่ยปากกล่าวหาว่าเป็นโจรผู้ร้ายก็ไม่น่าจะเป็นไปได้....

    ถึงกระนั้นจะให้กล่าวว่าเป็นแขกของบ้านก็ยากที่จะเชื่อเต็มที...ประการหนึ่งคือนายเหนือของข้ามีอัธยาศัยดีเกินกว่าจะให้แขกมานอนกับพื้นเช่นนี้ ...และอีกประการหนึ่งคือนายเหนือไม่เคยอนุญาตให้ใครผู้ใดเข้ามาในห้องของข้ามาก่อน..

    และราวกับฝ่ายนั้นจะรู้ตัวว่ามีคนมองอยู่...แพขนตาสีอ่อนค่อยๆปรือขึ้น ...พร้อมกับดวงตาประกายทับทิมที่ตัดกับสีผิวทำให้ดูเด่นขึ้นมาเป็นพรายระยับ

    ชายปริศนาผู้นั้นยันกายขึ้นมานั่งพับเพียบ พลันใบหน้าคมคายยังติดจะสะลึมสะลือยังไม่ตื่นดีก็ผินมาทางข้าแล้วมองอย่างพิจารณา..

    และหลังจากนิ่งไปซักพัก  เขาก็คลี่ยิ้มละมุนละไม

    “ท่านคืออิวะโทชิใช่มั้ย?”

    นั่นคือประโยคแรกที่เขาพูด...ทว่าตัวข้าในเวลานั้นยังอยู่ในสภาวะงุนงงจึงไม่ทันได้ตอบอันใดไป...

    ตั้งแต่เกิดมาในบ้านของช่างตีดาบ...ข้าแทบไม่เคยพูดคุยกับใครเลย มิใช่เพราะหยิ่งยโสแต่เป็นเพราะไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถเห็นตัวตนหรือได้ยินเสียงของข้าเลยแม้แต่ผู้เดียว...

    เมื่อไม่ได้รับคำตอบ...ฝ่ายนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยประโยคต่อไปขึ้นมา...

    “ผมคืออิมาโนะทสึรุกิ  จะมาเป็นโอดาจิ(ดาบใหญ่)คู่กายของท่านมินาโมโตะ โนะ โยชิสึเนะ นับแต่วันนี้!...”

    เสียงพูดนั้นหยุดไปครู่หนึ่งราวกับเจ้าตัวกำลังใคร่ครวญบางสิ่งบางอย่างอยู่.....

    “ให้เกียรติเป็นเพื่อนกับผมได้มั้ย  อิวะโทชิ!

    กล่าวจบ  อีกฝ่ายก็ระบายยิ้มสดใส...

    “......”

    ...ข้าก็ไม่ใครแน่ใจนัก ว่าเป็นเพราะแสงแดดฤดูใบไม้ผลิวันนี้ริบหรี่เกินไป หรือว่าสายตาของข้าที่ยังตื่นไม่เต็มตานั้นยังพร่ามัวอยู่กันแน่....

    ...รอยยิ้มนั้น ...จึงได้เจิดจ้างดงามเหลือเกิน. 

    ราวกับว่าดวงดาวและดวงตะวันทั่วจักรวาลจะถูกนำมามารวมอยู่ในดวงตาที่ส่องประกายนั้น....

    ราวกับว่า บนโลกใบนี้จะมีดวงตะวันบนท้องฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งดวง...

    ราวกับว่ามวลบุบผาทั้งโลกจะหมดความหอมรัญจวน ....ราวกับว่าเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจะแผ่วลง...

    ....ราวกับว่าโลกทั้งใบจะหยุดหมุนไปในวินาทีนั้น....ตรงหน้าข้า....

    ...ข้าหลงรักรอยยิ้มนั้นจับใจ....

     

     

    .

     

     

    .

     

     

    .

     

     

    ผมเกิดมาบนแผ่นดินที่อาจเรียกได้ว่าพร้อมจะล่มสลายได้ทุกเมื่อ ...เมื่อเท้าเหยียบลงไป ณ ที่ใดก็เหมือนจะมีแต่ซากศพ...มองไปทิศใดก็มีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า  แทบจะไร้ซึ่งกลิ่นอายของชีวิต

    ใช่....นี่คงจะเป็นยุคมืดของศีลธรรม พระเจ้าคงละสายตาจากประเทศนี้แล้ว   ตัวผมถึงได้ถูกสร้างขึ้นมา

    ชายที่สร้างผมขึ้นมา เคยกล่าวเปรยๆไว้ก่อนที่ผมจะถูกเปลี่ยนมือมายังท่านมินาโมโตะ...

    ว่าถ้าเลือกได้เขาก็คงไม่สร้างผมและพี่น้องขึ้นมา...อย่างแน่นอน

    ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริงทุกประการ  อาวุธสงครามอย่าพวกเราจะไม่ถูกสร้างขึ้นมาในยุคที่มีสันติสุขหรือในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความรักปรองดอง  เวลาชั่วพริบตาแรกที่พวกเราลืมตาขึ้นมานั้น...พวกเราเองก็ต่างรู้อยู่แก่ใจในหน้าที่ว่าพวกเรามีหน้าที่เพียงแค่สร้างความบาดหมางให้มากขึ้นเท่านั้น...

    ไม่เคยมีดาบเล่มใดที่หันคมเข้าหาใครแล้วได้รับมิตรภาพตอบกลับมา...พวกเราจึงถูกขนานนามว่าเป็นปีศาจร้าย...

    ทั้งที่ผมไม่เคยคิดอยากจะให้เป็นแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว...

     

    ผมจะถามตัวเองในทุกๆครั้งที่เห็นร่างไร้วิญญาณของมนุษย์ ว่าพวกเราไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้เลยอย่างนั้นหรือ...

    ถึงกระนั้น  สิ่งที่เราทำได้ก็คงมีแค่การก้มหน้าแล้วสังหารผู้คนต่อไป....ทำได้เท่านั้นเอง...

    ไม่มีใครฟังเสียงร้องไห้ของพวกเราหรอก เช่นเดียวกับเหยื่อของสงครามที่ไม่สามารถอุทธรณ์ฎีกาขอความเป็นธรรมได้เลยสักนิดเดียว...

    ก็เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อดีเหมือนกัน....

     

    .

     

     

    .

     

    หลังจากถูกตีขึ้นมาไม่นานนัก...ผมก็ถูกพาเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ที่ดูแปลกตา....มันดู....สะอาดสะอ้าน....แล้วก็กว้างขวางกว่าบ้านของนายช่างมากทีเดียว

    ผมหันไปมองเจ้าบ้านที่นั่งเป็นสง่าอยู่บนแท่นสูงพร้อมยิ้มให้เป็นการทักทาย....

    แล้วก็เป็นเช่นเดิม...ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ...เหมือนเขาจะมองไม่เห็นผมนะ?

    มันทำให้ผมสงสัยว่ามีใครที่สามารถมองเห็นผมได้บ้างรึเปล่า....รึว่าผมจะต้องอยู่ตัวคนเดียวอย่างนี้ไปตลอดชีวิตกัน...

    ..................

    “ข้าน้อยตีดาบเล่มนี้ขึ้นมาหวังให้เป็นของคู่บารมีท่าน...ขอท่านมินาโมโตะได้โปรดรับน้ำใจเล็กๆน้อยๆจากข้าผู้ต่ำต้อยด้วย”

    “นี่...คือ....”

    “ข้าให้ชื่อดาบเล่มนี้ว่าอิมาโนะทสึรุกิ หวังว่าจะให้ได้ใช้เคียงคู่ท่านในทุกสมรภูมิ...ขอท่านได้โปรดอย่าปฏิเสธน้ำใจของข้าน้อยเลย!

    “....”

     

    มินาโมโตะ โนะ โยชิสึเนะ....ชื่อของเจ้าของบ้านหลังใหญ่หลังนี้...

    บทสนทนาอื่นที่ยากจะเข้าใจผ่านหูไปโดยที่ผมไม่ได้ใส่ใจสักนิด  เช่นเดียวกับตำแหน่งดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยลงเลียบผิวน้ำ

    สำหรับผมแล้ว  วันเวลาไม่ใช่ปัญหาเลย..ใครจะไปรู้ว่าจิตวิญญาณที่เป็นอมตะนั้นต้องทุกข์ทนกับอะไรบ้าง....

    เวลาหนึ่งวันนั้นมีค่าน้อยกว่าเสี้ยววินาทีเสียอีก...และ.ปีหนึ่งๆของพวกเราก็ผ่านไปโดยไร้จุดหมายและการเปลี่ยนแปลง...

    จนกว่าวันที่สงครามที่สิ้นสุดจะมาถึง....พวกเราก็ยังคงต้องแบกรับชะตากรรมภายใต้ผืนธงขาว-แดงต่อไป...

    ...........

    “เอาเป็นว่า  เอาไปเก็บไว้ในห้องอาวุธก่อนก็แล้วกัน  แล้วข้าจะหาวิธีจัดการต่อไปเอง”

    “เป็นพระคุณขอรับ!

    ...........

    นายช่างที่คุ้นเคยเดินลับสายตาไป....ครั้งนี้เขาไม่ได้พาผมไปด้วย 

    ผมเหลียวหลังกลับมามองตัวบ้านที่กว้างโอ่โถงก็อดใจหายไม่ได้...หลังจากนี้จะเป็นยังไงกันนะ  ในบ้านใหม่หลังนี้...

    “พวกเจ้าตรงนั้น...ช่วยมายกนี่ไปเก็บในห้องอาวุธที แล้วก็อย่าทำตกล่ะ”

    ท่านมินาโมโตะผายมือไปทางประตูมุมสุของห้องพลางออกคำสั่งกับกลุ่มหญิงชายที่ยืนอยู่บริเวณนั้น  และยังไม่ทันสิ้นคำดีพวกเขาก็ถลาเข้ามายกดาบไปอย่างรวดเร็ว...

    ผมสืบเท้าตามคนรับใช้ของบ้านไปยังห้องเก็บอาวุธเงียบๆ  ท่าประคองดาบตลกๆของคนเหล่านั้นทำให้ผมอดอมยิ้มไม่ได้   

    มนุษย์นี่แรงน้อย แล้วก็ตัวเล็กกันจริงๆ  ผมคิดว่าแบบนั้นนะ...

    หรือจะเป็นเพราะส่วนสูง195เซนติเมตรของผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน....

     

    “ที่นี่ใช่ไหม?”

    “น่าจะเป็นแบบนั้น”

    “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็รีบวางแล้วกลับกันเถอะ”

    “นั่นสินะ”

     

    พวกเขามาหยุดกันตรงหน้าห้องเล็กๆห้องหนึ่ง  วางดาบลงบนแท่นแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่างอยู่...ทิ้งให้ผมยืนอยู่คนเดียวกับห้องที่เงียบสงัด...

    ....ไม่สิ จะว่าเงียบก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก  ผมได้ยินเสียงหายใจแผ่วๆของใครบางคนอยู่ใกล้แค่นี้เอง...

    พอลองมองดูดีๆ ผมก็ไม่ได้อยู่ในห้องนี้คนเดียวนี่นา....ตรงหน้าผมยังมีชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนหนึ่งหลับอยู่ข้างหน้าต่าง  ยูกาตะสีม่วงตัวโคร่งเลิกขึ้นจนเห็นผิวสีน้ำผึ้ง ...ท่านอนก็ไม่ได้น่าพิสมัยนัก  แต่ก็ไม่น่าเกลียดอะไร...อาจเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาที่น่าจะดูดีมากถ้าเทียบกับคนทั่วไปด้วยกระมัง...

    ผมลองหันไปมองที่แท่นขนาดย่อมข้างๆกายเขาก็เห็นว่ามีตัวอักษรสลักว่า “อิวะโทชิ”

    ผมยกมือลูบตัวอักษรบนแท่นไม้นั้นเบาๆ  ถึงจะประหลาดใจเล็กน้อยที่วัตถุบนแท่นยาวนั้นไม่ใช่ดาบแต่เป็นอาวุธด้ามยาวที่มีใบมีดรูปร่างคดงอแปลกๆ  แต่จากภาพรวมก็ทำให้เข้าใจได้ว่าชายคนนี้คงเป็นอาวุธเหมือนกันกับผม...

    ผมนั่งมองเขาอยู่นานสองนาน....ถ้าเป็นเขาละก็....

    เขาจะมองเห็นผมไหมนะ....เขาจะพูดกับผมได้หรือเปล่า...

    บางทีเขาอาจจะเป็นคำตอบสำหรับคำถามมากมายที่ผมไม่สามารถถามใครได้เลย...

    .

     

    .

    ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพราะความรู้สึกแปลกๆ....ท้องฟ้าที่เห็นผ่านหน้าต่างเปลี่ยนเป็นสีครามสดใสแล้ว...

    และเมื่อกวาดสายตาไปรอบห้อง...อา..ชายผู้นั้นนั่นเองที่เป็นต้นเหตุของไอกดดันในตอนแรก...

    จิตใต้สำนึกสั่งให้ผมลองเอ่ยทักทายไปเหมือนทุกครั้ง...

    “ท่านคืออิวะโทชิใช่มั้ย?”

    “......”

    ไม่มีเสียงตอบรับ? หรือว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงของผมกัน...ไม่สิ! ดูจากสายตาที่มองมาทางนี้ เขาน่าจะได้ยินนะ....

    เพื่อความแน่ใจ...ผมจึงตัดสินใจพูดย้ำไปอีกครั้ง

    “ผมคืออิมาโนะทสึรุกิ  จะมาเป็นโอดาจิ(ดาบใหญ่)คู่กายของท่านมินาโมโตะ โนะ โยชิสึเนะ นับแต่วันนี้!...”

    เขายังคงนิ่งอยู่...ผมก็ไม่รู้จะว่ากระไรดี เลยพูดต่อตามแบบที่ช่างตีดาบเคยพูดกับคนแปลกหน้าผู้หนึ่ง

     “ให้เกียรติเป็นเพื่อนกับผมได้มั้ย  อิวะโทชิ!

    “....”

    ผมยิ้มให้  ครั้งนี้เขาผงะเล็กน้อย

    เขาลดสายตาลงมองพื้น  และพักหนึ่งก็พูดขึ้นมาเป็นประโยคแรก...

     

    “ได้สิ  ข้าอิวะโทชิ  ศาตราสงครามของเบ็นเคย์  ยินดีที่ได้รู้จัก...”

     

    .

     

    .

     

     

    .

     

    อิมาโนะทสึรุกิมีท่าทีราวกับตกใจมากทีเดียว   แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น...รอยยิ้มที่ระบายบนใบหน้านั้นยิ่งทวีความสดใสยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคำตอบรับ....

    “ท่านได้ยินเสียงของผมด้วยเหรอ ดีใจจังๆ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้พูดกับคนอื่น”

    อีกฝ่ายพูดมาเช่นนั้น  ...อันที่จริงการพูดคุยกันก็อาจจะนับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับจิตวิญญาณของอาวุธก็เป็นได้...

    “ไม่แปลก...ข้าเป็นอาวุธ เจ้าก็เป็นอาวุธ การที่จะสื่อสารกันได้นับเป็นเรื่องปกติ ...ฝากตัวด้วยล่ะ อิมาโนะทสึรุกิ!

    พูดจบ ข้าก็ยิ้มตอบ เด็กใหม่นั่นก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่จนสังเกตได้ทางสีหน้า

    ...บางทีข้ากับเจ้าหนุ่มนี่ก็อาจจะมีหลายๆส่วนที่คล้ายกันอยู่ก็ได้....

    “จะพูดไป...เจ้านี่สูงกว่าดาบที่ข้าเคยพบมาเยอะเลยนะ อิมาโนะทสึรุกิ?”

    ข้ามองอีกฝ่ายหัวจรดเท้าแล้ว ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขากำลังนั่งอยู่ ส่วนสูงที่เหนือกว่าดาบทั่วไปหลายเท่าทำให้ข้าอดถามขึ้นมาไม่ได้

    “เห? หมายถึงผมเหรอ อาจจะเพราะเป็นดาบใหญ่ก็ได้”

    เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก  ดูท่าเจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าส่วนสูงมาตรฐานของดาบส่วนใหญ่นั้นคือเท่าไหร่...

     

    “อิวะจังก็ตัวสูงนะ ไม่ต้องคิดมากไปหรอก”

    “อิวะจัง?”

    “เรียกแบบนี้แล้วน่ารักดีน่ะ”

    “ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นนะ แต่..เอ้อ  เอาเถอะ จะเรียกแบบไหนก็แล้วแต่เจ้าเลย”

    “ฮิฮิ~ ขอบคุณนะอิวะจัง”

     

    นั่นอาจเป็นครั้งแรกที่ข้าต้องเงยหน้ามองใครสักคน...

    ข้าที่เป็นดังดอกไม้ไฟบนจุดสูงสุดของขอบฟ้า  ในเวลานี้กลับเห็นบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป...

    ข้ากำลังร่วงหล่นหรือเปล่านะ  หรือว่าเป็นเจ้าเด็กใหม่คนนี้ที่ขึ้นไปอยู่สูงกว่ากัน..

    ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่ข้ารู้สึกราวกับตำแหน่งของข้าลดความสำคัญลง....

    ไม่ว่าอะไรก็เป็นสิ่งที่เข้าใจยากเสียจริง....สำหรับง้าวเล่มหนึ่งอย่างข้า..

     

    “อิวะจัง~ อิวะจา~~

    “หืม? อิมาโนะทสึรุกิเรอะ มีอะไรล่ะวันนี้”

    ถ้าเป็นคนอื่น ข้าคงจะต้องใช้เวลาปรับตัวนานทีเดียว  แต่พอเป็นเจ้าเด็กใหม่คนนี้ข้ากลับรู้สึกราวกับยอมรับได้อย่างง่ายดาย...

    “เมื่อกี้นายท่านออกไปข้างนอก  ผมเลยว่าจะมาชวนอิวะจังไปเดินรอบๆบ้านซักหน่อยน่ะ”

    เจ้าตัวว่าพลางก็มาดึงแขนเสื้อข้า  อันที่จริงแค่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะต้องปฏิเสธหรอก...

    “เจ้าก็เดินจนชินแล้วไม่ใช่รึไง  เดินทำไมหลายๆรอบ”

    “ผมอยากเดินกับอิวะจังน่ะ”

    ฝ่ายนั้นตอบกลับมาชัดถ้อยชัดคำ หน้าตาร่าเริงเสียจนปฏิเสธไม่ลง

    “แค่นั้น?”

    “แค่นั้นแหละ”

    “....เอ้าได้เลย ไปกันเลยเจ้าหนู!

    “ฮ่ะฮ่า~ ขอบคุณนะอิวะจัง”

    และนั่นก็เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่ข้าเดินพาอิมาโนะทสึรุกิชมบ้านตัวเอง  ทั้งที่รู้จักครบทุกซอกทุกมุมแล้วแท้ๆ...

    บางครั้งก็รู้สึกอย่างกับพาเด็กโข่งไปเดินเล่นเสียอย่างนั้น...

     

     

    ในช่วงเวลานี้  ทุกอย่างดูเหมือนจะเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว...แม้แต่ข้าเองก็ยังรู้สึกว่าการต่อสู้ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างอีกต่อไป

    ข้าพอใจกับการได้ใช้เวลาร่วมกับผู้คนในที่แห่งนี้.....ถึงจะวุ่นวายไปบ้าง  แต่ก็ไม่เงียบเหงาอีกต่อไป...

    ข้าเคยคิดเล่นๆอยู่เช่นกัน  ว่าถ้าข้าเป็นพระเจ้า  หรือมีฤทธิ์อำนาจมากพอที่จะดลบันดาลอะไรสักอย่าง...

    ...ข้าก็อยากจะทำให้ช่วงเวลาอันแสนสงบนี้  เดินช้าลงอีกสักนิดได้ก็ยังดี....

     

     

     

     

    “อ...อิวะจัง!! อิวะจัง! แงงงงง  นี่มันอะไรกัน  ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วล่ะ!!

    เช้าวันหนึ่งในปลายฤดูใบไม้ผลิ  ข้าที่เพิ่งลุกจากเตียงได้ไม่ทันไร ก็มีอะไรกลมๆ เล็กๆ พุ่งเข้ามาเกาะเอวข้าจนแน่น  พอสังเกตดีๆถึงได้รู้ว่าเป็นเด็กคนหนึ่ง...

     “เฮ่ย!? เจ้าเป็นใครฟะเนี่ย???”

    อารามตกใจ  ข้าแทบจะผลักเด็กคนนั้นออกไปเสียเดี๋ยวนั้น....แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมง่ายๆ

    แล้วข้าก็สะดุดใจกับอะไรบางอย่าง...

    “...เอ๊...เจ้านี่หน้าตาคุ้นๆ  คงไม่ใช่ว่า....”

    ข้านึกไปถึงเพื่อนอาวุธที่เพิ่งพากันเดินรอบบ้านขาลากไปเมื่อวันก่อนแล้วก็ก้มมองอีกฝ่ายชัดๆอีกครั้ง ประจวบกับจังหวะนั้นเจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี

    “ผมเองไงอิวะจัง!! อิมาโนะทสึรุกิ  แม้แต่อิวะจังเองก็จำไม่ได้เหรอเนี่ย!!

    พอเห็นว่าข้าทำท่าจะจำไม่ได้ เจ้าเด็กนั่นก็ร้องห่มร้องไห้เป็นการใหญ่แล้วเขย่าตัวข้าไปมาด้วยแรงที่ผลักโต๊ะยังไม่ล้มด้วยซ้ำไป

    “อะไรนะ!! ตลกน่า....อย่ามาล้อข้าเล่น  วันก่อนเจ้ายังสูงเลยหัวข้าอยู่เลย  แบบนี้มองยังไงก็เด็ก7ขวบชัดๆ!

    “ผม...ผมไม่รู้เหมือนกัน!! จู่ๆนายท่านก็บอกว่า ‘195เซนมันสูงไปนะข้าถือไม่ไหว ช่วยเอาไปทำให้เป็นมีดพกขนาดพอดีมือก็พอแล้วแล้วก็...แล้วก็...ฮือออ”

    ฟังกันรู้เรื่องอยู่แค่นั้น....อดีตโอดาจิก็กอดข้าแน่นแล้วร้องไห้โวยวายเสียใหญ่โต จนข้าพูดขัดอะไรไม่ได้สักอย่าง  อันที่จริงข้ายังแอบคิดเลยว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเสียหน่อย  แต่...บ๊ะ!  ก็เพราะข้าไม่ใช่เขาถึงคิดแบบนี้ได้กระมัง...

    ก็ได้แต่ปลอบกันไปตามสภาพทั้งแบบนั้น...

    “ก็แล้วเจ้าน่ะคิดว่าจะทำยังไงต่อละ  อิมาโนะทสึรุกิ...”

    “....ผม...เท่าที่ทำได้ตอนนี้  จะอะไรก็ได้ที่เป็นประโยชน์ต่อนายท่านละมั้ง...”

    “...คิดได้แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ...”

      

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×