คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ลำดับตอนที่ 1
Pairing: ป๋าง้าวอิมะจัง
Rate:PG
Note: อัพ50%ค่ะ
------------------------------------------------------------------------
นานแสนนานมาแล้ว....ข้าเกิดมาบนโลกใบนี้พร้อมกับมหันตภัยครั้งใหญ่ที่มีชื่อว่าสงคราม...
วินาทีแรกบนโลกของข้า สิ่งเดียวที่มองเห็นคือแผ่นดินที่กำลังคลุ้มคลั่ง มีแต่เลือดและเลือดเท่านั้นที่ละเลงเลอะเปรอะไปจนแลเห็นเป็นทะเลโลหิต ไกลออกไปไม่รู้กี่ร้อยโยชน์
นานแสนนานมาแล้วเช่นกัน...ข้าได้พบกับชายผู้หนึ่งที่ก้าวเข้ามาตรงหน้าข้า และเอ่ยปากด้วยอาญาสิทธ์ว่าเขาคือนายเหนือหัวของข้า
นับแต่วันนั้น...ช้าผู้ซึ่งเป็นเพียงอาวุธที่สร้างมาจากเหล็กและไม้ ก็กลายเป็นเทพสงครามที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง
ทุกคมที่ตวัดฟาดฟันลงไป...ต้องมีหนึ่งชีวิตที่ต้องสังเวย อิวะโทชิ กลายเป็นมหาเทพสงครามที่กุมหมากแห่งชัยชนะไว้ในกำมือ ผู้คนเกรงกลัวข้า ศัตรูก้มหัวแทบเท้าข้า...
ตัวข้าในช่วงเวลานั้น ราวกับดอกไม้ไฟที่พุ่งทะยานถึงจุดสูงสุดของแผ่นฟ้า....อยู่สูงกว่าเทพเจ้า เมื่อมองลงไปก็แลเห็นมนุษย์ทั้งหลายเป็นแค่เศษฝุ่นควันที่ปลิวผ่านไป...
ยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์นั้นกินระยะเวลานับสิบปี ข้าก้าวลงสู่สมรภูมิพร้อมกับนายเหนือหัวของข้านับครั้งไม่ถ้วน...ทั้งข้าและเขาต่างมีจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน ราวกับว่าไม่มีอะไรแยกเราออกจากกันได้....
ทว่านอกจากตัวข้าแล้ว ข้างกายนายเหนือหัวของข้าก็ยังมีอีกหนึ่งบุรุษที่มักยืนอยู่ด้านหลังเสมอ ชายผู้นั้นมองมาจากมุมที่ต่ำกว่าด้วยสายตาที่ข้าอ่านออกว่าเป็นผู้สูงศักดิ์....
ในครั้งแรกที่ข้าเห็นชายผู้นั้น รอบกายของเขาว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่อาวุธสักชิ้นในมือ ถึงกระนั้น...นายเหนือกลับสั่งกำชับข้านักหนาว่าให้ปกป้องชายผู้นั้นยิ่งชีวิตของข้า...ซึ่งข้าก็ปฏิบัติตาม...
ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการขัดขืน ข้าไม่เก็บคำถามใดๆมาใส่ใจ ก็เพียงแต่ทำตามคำสั่งนั้นไปเงียบๆเท่านั้น
ฤดูกาลผันผ่านไป จนกระทั่งญี่ปุ่นย่างก้าวเข้าสู่เช้าแรกของฤดูใบไม้ผลิ
ในเวลานั้น...ยุคสมัยของสงครามยังไม่มอดดับลง ทว่าข้ากลับเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป...
บ้านของข้าสว่างขึ้นเล็กน้อย แสงแดดที่ส่องจ้าเข้ามาทำให้ข้าเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนพื้นไม้ในระยะที่ไม่ไกลจากข้านัก เขามีผมยาวสีทองคำขาว เมื่อต้องกับแสงแดดก็กระพริบเป็นประกายมุก...
ข้าได้แต่มองด้วยความงุนงง คำถามมากมายแล่นเข้ามาในหัว ชายผู้นี้เป็นใคร มาจากไหน และมาได้อย่างไรกัน? จากการแต่งตัวที่ดูราวกับขุนนางสูงศักดิ์และ จะให้เอ่ยปากกล่าวหาว่าเป็นโจรผู้ร้ายก็ไม่น่าจะเป็นไปได้....
ถึงกระนั้นจะให้กล่าวว่าเป็นแขกของบ้านก็ยากที่จะเชื่อเต็มที...ประการหนึ่งคือนายเหนือของข้ามีอัธยาศัยดีเกินกว่าจะให้แขกมานอนกับพื้นเช่นนี้ ...และอีกประการหนึ่งคือนายเหนือไม่เคยอนุญาตให้ใครผู้ใดเข้ามาในห้องของข้ามาก่อน..
และราวกับฝ่ายนั้นจะรู้ตัวว่ามีคนมองอยู่...แพขนตาสีอ่อนค่อยๆปรือขึ้น ...พร้อมกับดวงตาประกายทับทิมที่ตัดกับสีผิวทำให้ดูเด่นขึ้นมาเป็นพรายระยับ
ชายปริศนาผู้นั้นยันกายขึ้นมานั่งพับเพียบ พลันใบหน้าคมคายยังติดจะสะลึมสะลือยังไม่ตื่นดีก็ผินมาทางข้าแล้วมองอย่างพิจารณา..
และหลังจากนิ่งไปซักพัก เขาก็คลี่ยิ้มละมุนละไม
“ท่านคืออิวะโทชิใช่มั้ย?”
นั่นคือประโยคแรกที่เขาพูด...ทว่าตัวข้าในเวลานั้นยังอยู่ในสภาวะงุนงงจึงไม่ทันได้ตอบอันใดไป...
ตั้งแต่เกิดมาในบ้านของช่างตีดาบ...ข้าแทบไม่เคยพูดคุยกับใครเลย มิใช่เพราะหยิ่งยโสแต่เป็นเพราะไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถเห็นตัวตนหรือได้ยินเสียงของข้าเลยแม้แต่ผู้เดียว...
เมื่อไม่ได้รับคำตอบ...ฝ่ายนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยประโยคต่อไปขึ้นมา...
“ผมคืออิมาโนะทสึรุกิ จะมาเป็นโอดาจิ(ดาบใหญ่)คู่กายของท่านมินาโมโตะ โนะ โยชิสึเนะ นับแต่วันนี้!...”
เสียงพูดนั้นหยุดไปครู่หนึ่งราวกับเจ้าตัวกำลังใคร่ครวญบางสิ่งบางอย่างอยู่.....
“ให้เกียรติเป็นเพื่อนกับผมได้มั้ย อิวะโทชิ!”
กล่าวจบ อีกฝ่ายก็ระบายยิ้มสดใส...
“......”
...ข้าก็ไม่ใครแน่ใจนัก ว่าเป็นเพราะแสงแดดฤดูใบไม้ผลิวันนี้ริบหรี่เกินไป หรือว่าสายตาของข้าที่ยังตื่นไม่เต็มตานั้นยังพร่ามัวอยู่กันแน่....
...รอยยิ้มนั้น ...จึงได้เจิดจ้างดงามเหลือเกิน.
ราวกับว่าดวงดาวและดวงตะวันทั่วจักรวาลจะถูกนำมามารวมอยู่ในดวงตาที่ส่องประกายนั้น....
ราวกับว่า บนโลกใบนี้จะมีดวงตะวันบนท้องฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งดวง...
ราวกับว่ามวลบุบผาทั้งโลกจะหมดความหอมรัญจวน ....ราวกับว่าเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจะแผ่วลง...
....ราวกับว่าโลกทั้งใบจะหยุดหมุนไปในวินาทีนั้น....ตรงหน้าข้า....
...ข้าหลงรักรอยยิ้มนั้นจับใจ....
.
.
.
ผมเกิดมาบนแผ่นดินที่อาจเรียกได้ว่าพร้อมจะล่มสลายได้ทุกเมื่อ ...เมื่อเท้าเหยียบลงไป ณ ที่ใดก็เหมือนจะมีแต่ซากศพ...มองไปทิศใดก็มีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า แทบจะไร้ซึ่งกลิ่นอายของชีวิต
ใช่....นี่คงจะเป็นยุคมืดของศีลธรรม พระเจ้าคงละสายตาจากประเทศนี้แล้ว ตัวผมถึงได้ถูกสร้างขึ้นมา
ชายที่สร้างผมขึ้นมา เคยกล่าวเปรยๆไว้ก่อนที่ผมจะถูกเปลี่ยนมือมายังท่านมินาโมโตะ...
ว่าถ้าเลือกได้เขาก็คงไม่สร้างผมและพี่น้องขึ้นมา...อย่างแน่นอน
ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริงทุกประการ อาวุธสงครามอย่าพวกเราจะไม่ถูกสร้างขึ้นมาในยุคที่มีสันติสุขหรือในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความรักปรองดอง เวลาชั่วพริบตาแรกที่พวกเราลืมตาขึ้นมานั้น...พวกเราเองก็ต่างรู้อยู่แก่ใจในหน้าที่ว่าพวกเรามีหน้าที่เพียงแค่สร้างความบาดหมางให้มากขึ้นเท่านั้น...
ไม่เคยมีดาบเล่มใดที่หันคมเข้าหาใครแล้วได้รับมิตรภาพตอบกลับมา...พวกเราจึงถูกขนานนามว่าเป็นปีศาจร้าย...
ทั้งที่ผมไม่เคยคิดอยากจะให้เป็นแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว...
ผมจะถามตัวเองในทุกๆครั้งที่เห็นร่างไร้วิญญาณของมนุษย์ ว่าพวกเราไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้เลยอย่างนั้นหรือ...
ถึงกระนั้น สิ่งที่เราทำได้ก็คงมีแค่การก้มหน้าแล้วสังหารผู้คนต่อไป....ทำได้เท่านั้นเอง...
ไม่มีใครฟังเสียงร้องไห้ของพวกเราหรอก เช่นเดียวกับเหยื่อของสงครามที่ไม่สามารถอุทธรณ์ฎีกาขอความเป็นธรรมได้เลยสักนิดเดียว...
ก็เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อดีเหมือนกัน....
.
.
หลังจากถูกตีขึ้นมาไม่นานนัก...ผมก็ถูกพาเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ที่ดูแปลกตา....มันดู....สะอาดสะอ้าน....แล้วก็กว้างขวางกว่าบ้านของนายช่างมากทีเดียว
ผมหันไปมองเจ้าบ้านที่นั่งเป็นสง่าอยู่บนแท่นสูงพร้อมยิ้มให้เป็นการทักทาย....
แล้วก็เป็นเช่นเดิม...ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ...เหมือนเขาจะมองไม่เห็นผมนะ?
มันทำให้ผมสงสัยว่ามีใครที่สามารถมองเห็นผมได้บ้างรึเปล่า....รึว่าผมจะต้องอยู่ตัวคนเดียวอย่างนี้ไปตลอดชีวิตกัน...
..................
“ข้าน้อยตีดาบเล่มนี้ขึ้นมาหวังให้เป็นของคู่บารมีท่าน...ขอท่านมินาโมโตะได้โปรดรับน้ำใจเล็กๆน้อยๆจากข้าผู้ต่ำต้อยด้วย”
“นี่...คือ....”
“ข้าให้ชื่อดาบเล่มนี้ว่าอิมาโนะทสึรุกิ หวังว่าจะให้ได้ใช้เคียงคู่ท่านในทุกสมรภูมิ...ขอท่านได้โปรดอย่าปฏิเสธน้ำใจของข้าน้อยเลย!”
“....”
มินาโมโตะ โนะ โยชิสึเนะ....ชื่อของเจ้าของบ้านหลังใหญ่หลังนี้...
บทสนทนาอื่นที่ยากจะเข้าใจผ่านหูไปโดยที่ผมไม่ได้ใส่ใจสักนิด เช่นเดียวกับตำแหน่งดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยลงเลียบผิวน้ำ
สำหรับผมแล้ว วันเวลาไม่ใช่ปัญหาเลย..ใครจะไปรู้ว่าจิตวิญญาณที่เป็นอมตะนั้นต้องทุกข์ทนกับอะไรบ้าง....
เวลาหนึ่งวันนั้นมีค่าน้อยกว่าเสี้ยววินาทีเสียอีก...และ.ปีหนึ่งๆของพวกเราก็ผ่านไปโดยไร้จุดหมายและการเปลี่ยนแปลง...
จนกว่าวันที่สงครามที่สิ้นสุดจะมาถึง....พวกเราก็ยังคงต้องแบกรับชะตากรรมภายใต้ผืนธงขาว-แดงต่อไป...
...........
“เอาเป็นว่า เอาไปเก็บไว้ในห้องอาวุธก่อนก็แล้วกัน แล้วข้าจะหาวิธีจัดการต่อไปเอง”
“เป็นพระคุณขอรับ!”
...........
นายช่างที่คุ้นเคยเดินลับสายตาไป....ครั้งนี้เขาไม่ได้พาผมไปด้วย
ผมเหลียวหลังกลับมามองตัวบ้านที่กว้างโอ่โถงก็อดใจหายไม่ได้...หลังจากนี้จะเป็นยังไงกันนะ ในบ้านใหม่หลังนี้...
“พวกเจ้าตรงนั้น...ช่วยมายกนี่ไปเก็บในห้องอาวุธที แล้วก็อย่าทำตกล่ะ”
ท่านมินาโมโตะผายมือไปทางประตูมุมสุของห้องพลางออกคำสั่งกับกลุ่มหญิงชายที่ยืนอยู่บริเวณนั้น และยังไม่ทันสิ้นคำดีพวกเขาก็ถลาเข้ามายกดาบไปอย่างรวดเร็ว...
ผมสืบเท้าตามคนรับใช้ของบ้านไปยังห้องเก็บอาวุธเงียบๆ ท่าประคองดาบตลกๆของคนเหล่านั้นทำให้ผมอดอมยิ้มไม่ได้
มนุษย์นี่แรงน้อย แล้วก็ตัวเล็กกันจริงๆ ผมคิดว่าแบบนั้นนะ...
หรือจะเป็นเพราะส่วนสูง195เซนติเมตรของผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน....
“ที่นี่ใช่ไหม?”
“น่าจะเป็นแบบนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็รีบวางแล้วกลับกันเถอะ”
“นั่นสินะ”
พวกเขามาหยุดกันตรงหน้าห้องเล็กๆห้องหนึ่ง วางดาบลงบนแท่นแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่างอยู่...ทิ้งให้ผมยืนอยู่คนเดียวกับห้องที่เงียบสงัด...
....ไม่สิ จะว่าเงียบก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก ผมได้ยินเสียงหายใจแผ่วๆของใครบางคนอยู่ใกล้แค่นี้เอง...
พอลองมองดูดีๆ ผมก็ไม่ได้อยู่ในห้องนี้คนเดียวนี่นา....ตรงหน้าผมยังมีชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนหนึ่งหลับอยู่ข้างหน้าต่าง ยูกาตะสีม่วงตัวโคร่งเลิกขึ้นจนเห็นผิวสีน้ำผึ้ง ...ท่านอนก็ไม่ได้น่าพิสมัยนัก แต่ก็ไม่น่าเกลียดอะไร...อาจเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาที่น่าจะดูดีมากถ้าเทียบกับคนทั่วไปด้วยกระมัง...
ผมลองหันไปมองที่แท่นขนาดย่อมข้างๆกายเขาก็เห็นว่ามีตัวอักษรสลักว่า “อิวะโทชิ”
ผมยกมือลูบตัวอักษรบนแท่นไม้นั้นเบาๆ ถึงจะประหลาดใจเล็กน้อยที่วัตถุบนแท่นยาวนั้นไม่ใช่ดาบแต่เป็นอาวุธด้ามยาวที่มีใบมีดรูปร่างคดงอแปลกๆ แต่จากภาพรวมก็ทำให้เข้าใจได้ว่าชายคนนี้คงเป็นอาวุธเหมือนกันกับผม...
ผมนั่งมองเขาอยู่นานสองนาน....ถ้าเป็นเขาละก็....
เขาจะมองเห็นผมไหมนะ....เขาจะพูดกับผมได้หรือเปล่า...
บางทีเขาอาจจะเป็นคำตอบสำหรับคำถามมากมายที่ผมไม่สามารถถามใครได้เลย...
.
.
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพราะความรู้สึกแปลกๆ....ท้องฟ้าที่เห็นผ่านหน้าต่างเปลี่ยนเป็นสีครามสดใสแล้ว...
และเมื่อกวาดสายตาไปรอบห้อง...อา..ชายผู้นั้นนั่นเองที่เป็นต้นเหตุของไอกดดันในตอนแรก...
จิตใต้สำนึกสั่งให้ผมลองเอ่ยทักทายไปเหมือนทุกครั้ง...
“ท่านคืออิวะโทชิใช่มั้ย?”
“......”
ไม่มีเสียงตอบรับ? หรือว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงของผมกัน...ไม่สิ! ดูจากสายตาที่มองมาทางนี้ เขาน่าจะได้ยินนะ....
เพื่อความแน่ใจ...ผมจึงตัดสินใจพูดย้ำไปอีกครั้ง
“ผมคืออิมาโนะทสึรุกิ จะมาเป็นโอดาจิ(ดาบใหญ่)คู่กายของท่านมินาโมโตะ โนะ โยชิสึเนะ นับแต่วันนี้!...”
เขายังคงนิ่งอยู่...ผมก็ไม่รู้จะว่ากระไรดี เลยพูดต่อตามแบบที่ช่างตีดาบเคยพูดกับคนแปลกหน้าผู้หนึ่ง
“ให้เกียรติเป็นเพื่อนกับผมได้มั้ย อิวะโทชิ!”
“....”
ผมยิ้มให้ ครั้งนี้เขาผงะเล็กน้อย
เขาลดสายตาลงมองพื้น และพักหนึ่งก็พูดขึ้นมาเป็นประโยคแรก...
“ได้สิ ข้าอิวะโทชิ ศาตราสงครามของเบ็นเคย์ ยินดีที่ได้รู้จัก...”
.
.
.
อิมาโนะทสึรุกิมีท่าทีราวกับตกใจมากทีเดียว แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น...รอยยิ้มที่ระบายบนใบหน้านั้นยิ่งทวีความสดใสยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคำตอบรับ....
“ท่านได้ยินเสียงของผมด้วยเหรอ ดีใจจังๆ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้พูดกับคนอื่น”
อีกฝ่ายพูดมาเช่นนั้น ...อันที่จริงการพูดคุยกันก็อาจจะนับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับจิตวิญญาณของอาวุธก็เป็นได้...
“ไม่แปลก...ข้าเป็นอาวุธ เจ้าก็เป็นอาวุธ การที่จะสื่อสารกันได้นับเป็นเรื่องปกติ ...ฝากตัวด้วยล่ะ อิมาโนะทสึรุกิ!”
พูดจบ ข้าก็ยิ้มตอบ เด็กใหม่นั่นก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่จนสังเกตได้ทางสีหน้า
...บางทีข้ากับเจ้าหนุ่มนี่ก็อาจจะมีหลายๆส่วนที่คล้ายกันอยู่ก็ได้....
“จะพูดไป...เจ้านี่สูงกว่าดาบที่ข้าเคยพบมาเยอะเลยนะ อิมาโนะทสึรุกิ?”
ข้ามองอีกฝ่ายหัวจรดเท้าแล้ว ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขากำลังนั่งอยู่ ส่วนสูงที่เหนือกว่าดาบทั่วไปหลายเท่าทำให้ข้าอดถามขึ้นมาไม่ได้
“เห? หมายถึงผมเหรอ อาจจะเพราะเป็นดาบใหญ่ก็ได้”
เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก ดูท่าเจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าส่วนสูงมาตรฐานของดาบส่วนใหญ่นั้นคือเท่าไหร่...
“อิวะจังก็ตัวสูงนะ ไม่ต้องคิดมากไปหรอก”
“อิวะจัง?”
“เรียกแบบนี้แล้วน่ารักดีน่ะ”
“ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นนะ แต่..เอ้อ เอาเถอะ จะเรียกแบบไหนก็แล้วแต่เจ้าเลย”
“ฮิฮิ~ ขอบคุณนะอิวะจัง”
นั่นอาจเป็นครั้งแรกที่ข้าต้องเงยหน้ามองใครสักคน...
ข้าที่เป็นดังดอกไม้ไฟบนจุดสูงสุดของขอบฟ้า ในเวลานี้กลับเห็นบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป...
ข้ากำลังร่วงหล่นหรือเปล่านะ หรือว่าเป็นเจ้าเด็กใหม่คนนี้ที่ขึ้นไปอยู่สูงกว่ากัน..
ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่ข้ารู้สึกราวกับตำแหน่งของข้าลดความสำคัญลง....
ไม่ว่าอะไรก็เป็นสิ่งที่เข้าใจยากเสียจริง....สำหรับง้าวเล่มหนึ่งอย่างข้า..
“อิวะจัง~ อิวะจา~ง~ “
“หืม? อิมาโนะทสึรุกิเรอะ มีอะไรล่ะวันนี้”
ถ้าเป็นคนอื่น ข้าคงจะต้องใช้เวลาปรับตัวนานทีเดียว แต่พอเป็นเจ้าเด็กใหม่คนนี้ข้ากลับรู้สึกราวกับยอมรับได้อย่างง่ายดาย...
“เมื่อกี้นายท่านออกไปข้างนอก ผมเลยว่าจะมาชวนอิวะจังไปเดินรอบๆบ้านซักหน่อยน่ะ”
เจ้าตัวว่าพลางก็มาดึงแขนเสื้อข้า อันที่จริงแค่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะต้องปฏิเสธหรอก...
“เจ้าก็เดินจนชินแล้วไม่ใช่รึไง เดินทำไมหลายๆรอบ”
“ผมอยากเดินกับอิวะจังน่ะ”
ฝ่ายนั้นตอบกลับมาชัดถ้อยชัดคำ หน้าตาร่าเริงเสียจนปฏิเสธไม่ลง
“แค่นั้น?”
“แค่นั้นแหละ”
“....เอ้าได้เลย ไปกันเลยเจ้าหนู!”
“ฮ่ะฮ่า~ ขอบคุณนะอิวะจัง”
และนั่นก็เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่ข้าเดินพาอิมาโนะทสึรุกิชมบ้านตัวเอง ทั้งที่รู้จักครบทุกซอกทุกมุมแล้วแท้ๆ...
บางครั้งก็รู้สึกอย่างกับพาเด็กโข่งไปเดินเล่นเสียอย่างนั้น...
ในช่วงเวลานี้ ทุกอย่างดูเหมือนจะเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว...แม้แต่ข้าเองก็ยังรู้สึกว่าการต่อสู้ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างอีกต่อไป
ข้าพอใจกับการได้ใช้เวลาร่วมกับผู้คนในที่แห่งนี้.....ถึงจะวุ่นวายไปบ้าง แต่ก็ไม่เงียบเหงาอีกต่อไป...
ข้าเคยคิดเล่นๆอยู่เช่นกัน ว่าถ้าข้าเป็นพระเจ้า หรือมีฤทธิ์อำนาจมากพอที่จะดลบันดาลอะไรสักอย่าง...
...ข้าก็อยากจะทำให้ช่วงเวลาอันแสนสงบนี้ เดินช้าลงอีกสักนิดได้ก็ยังดี....
“อ...อิวะจัง!! อิวะจัง! แงงงงง นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วล่ะ!!”
เช้าวันหนึ่งในปลายฤดูใบไม้ผลิ ข้าที่เพิ่งลุกจากเตียงได้ไม่ทันไร ก็มีอะไรกลมๆ เล็กๆ พุ่งเข้ามาเกาะเอวข้าจนแน่น พอสังเกตดีๆถึงได้รู้ว่าเป็นเด็กคนหนึ่ง...
“เฮ่ย!? เจ้าเป็นใครฟะเนี่ย???”
อารามตกใจ ข้าแทบจะผลักเด็กคนนั้นออกไปเสียเดี๋ยวนั้น....แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมง่ายๆ
แล้วข้าก็สะดุดใจกับอะไรบางอย่าง...
“...เอ๊...เจ้านี่หน้าตาคุ้นๆ คงไม่ใช่ว่า....”
ข้านึกไปถึงเพื่อนอาวุธที่เพิ่งพากันเดินรอบบ้านขาลากไปเมื่อวันก่อนแล้วก็ก้มมองอีกฝ่ายชัดๆอีกครั้ง ประจวบกับจังหวะนั้นเจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี
“ผมเองไงอิวะจัง!! อิมาโนะทสึรุกิ แม้แต่อิวะจังเองก็จำไม่ได้เหรอเนี่ย!!”
พอเห็นว่าข้าทำท่าจะจำไม่ได้ เจ้าเด็กนั่นก็ร้องห่มร้องไห้เป็นการใหญ่แล้วเขย่าตัวข้าไปมาด้วยแรงที่ผลักโต๊ะยังไม่ล้มด้วยซ้ำไป
“อะไรนะ!! ตลกน่า....อย่ามาล้อข้าเล่น วันก่อนเจ้ายังสูงเลยหัวข้าอยู่เลย แบบนี้มองยังไงก็เด็ก7ขวบชัดๆ!”
“ผม...ผมไม่รู้เหมือนกัน!! จู่ๆนายท่านก็บอกว่า ‘195เซนมันสูงไปนะข้าถือไม่ไหว ช่วยเอาไปทำให้เป็นมีดพกขนาดพอดีมือก็พอแล้ว’ แล้วก็...แล้วก็...ฮือออ”
ฟังกันรู้เรื่องอยู่แค่นั้น....อดีตโอดาจิก็กอดข้าแน่นแล้วร้องไห้โวยวายเสียใหญ่โต จนข้าพูดขัดอะไรไม่ได้สักอย่าง อันที่จริงข้ายังแอบคิดเลยว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเสียหน่อย แต่...บ๊ะ! ก็เพราะข้าไม่ใช่เขาถึงคิดแบบนี้ได้กระมัง...
ก็ได้แต่ปลอบกันไปตามสภาพทั้งแบบนั้น...
“ก็แล้วเจ้าน่ะคิดว่าจะทำยังไงต่อละ อิมาโนะทสึรุกิ...”
“....ผม...เท่าที่ทำได้ตอนนี้ จะอะไรก็ได้ที่เป็นประโยชน์ต่อนายท่านละมั้ง...”
“...คิดได้แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ...”
ความคิดเห็น