ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (nct markmin)•17 years old•

    ลำดับตอนที่ #2 : 01 : นายคนนั้น

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 61






    01

    นายคนนั้น
















    "แจม มึงได้เอาหนังสือวรรณคดีมาปะ"



    คนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องเรียนก่อนจะพาดกระเป๋าเป้ที่เต็มไปด้วยพวงกุญแจโล่กัปตันอเมริกาไว้กับเก้าอี้แล้วเอ่ยถามเขาด้วยใบหน้าที่ฉายความกังวลอย่างไม่บิดบัง พร้อมนั่งลงโต๊ะข้างๆเขาด้วยอาการที่เรียกว่าตูดไม่ติดที่


    "เอามา"



    "ไอ้เชี่ยเอ้ย! ชิบหายละ พรทิพย์เล่นกูแน่ เชี่ยเอ้ยๆๆๆ"




    ไอ้คนที่กำลังตกทุกข์เพราะเหมือนจะพลาดเอาหนังสือไทยมายกมือกุมหัวแล้วพูดกับตัวเองเหมือนคนสติหลุด ซึ่งจากที่ชายหนุ่มฟังก็สามารถจับคำได้อยู่ประมาณสองสามคำซ้ำๆว่า




    ชิบหาย กูตายแน่ และ ไม่น่าเลยกู




    ชีวิตคนเรามันก็อย่างนี้แหละ บางสิ่งที่เราไม่อยากให้มันเกิด แต่มันก็เกิด โดยที่ไม่กำหนดเวลาให้เราได้เตรียมใจ




    "มึง ห้องสามมันเรียนไทยคาบไรวะ"


    "สามมั้ง" เขากรอกตาแวบหนึ่งก่อนจะตอบกลับพร้อมบอกอีกฝ่ายให้เอาบุญ เพราะดูแววเหมือนมันจะจำอะไรเกี่ยวกับการเรียนไม่ได้เลยในชีวิตนี้ "เราเรียนคาบห้า"



    "งั้นกูก็รอด ค่อยไปยืมคาบสี่ก็ได้" ไอ้แฮช สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเพื่อนร่วมห้องผิวคล้ำแดดพรูลมหายใจออกมาเบาๆ พอมันสบายใจเมื่อหาทางที่ไม่ต้องโดนอาจารย์พรทิพย์หรือที่นักเรียนในระดับชั้นเดียวกันเรียกว่า พรทิพย์ เจ๊ทิพย์ แม่ มาดามทิพย์ ทำโทษด้วยสาเหตุที่ลืมเอาหนังสือวรรณคดีมาแบบไม่ตั้งใจ มันก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินไปยังกลุ่มเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่ที่กำลังเม้ามอยกันอย่างเมามันส์




    ด้วยที่เป็นอันรู้กันดีว่า พรทิพย์ กิตติศัพท์เป็นที่เลื่องลือ ว่ากันว่า เจ๊เค้าสามารถทำให้คนที่ไม่สนใจจะแยแสเรื่องเรียน ไม่คิดจะทำงานหรือการบ้านตั่งต่างต้องมานั่งตะบี้ตะบันทำงานเจ๊เค้าตลอดหนึ่งปีการศึกษากันหน้าตั้ง




    แต่คะแนนสอบที่ออกหลังปลายภาคเรียนก็เกือบจะเทียบเท่าวิชาที่หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันตอนเข้าห้องสอบว่า 'กูเท!'




    ไหนผลตอบแทนสำหรับความทุ่มเทอย่างเหนื่อยล้ามาทั้งภาคเรียน ฟัค โคตรอันแฟร์




    จรัลคิด ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะรอให้เวลาอาจารย์คาบแรกเดินเข้ามาสอน พร้อมหยิบสายฟังขึ้นมาเสียบจมอยู่ในโลกของตัวเองแล้วหลับตาไป

    .






    .







    .



    "วันนี้ครูชลดาลาป่วย หยิบหนังสือขึ้นมา...เรียนถึงไหนละ"





    จรัลยังขอยืนยันคำเดิมว่า บางสิ่งที่เราไม่อยากให้มันเกิด มันมักจะเกิดโดยที่ไม่มีใครสามารถกะเกณฑ์มันได้นั้นเป็นเรื่องจริงที่โคตรจริง




    เมื่อทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมาเพราะเสียงคุยจ้อกแจ้กในห้องเงียบไป ก็พบมนุษย์ผู้ซึ่งเหมือนแบกอะไรไว้ใบหน้าให้มันตึงตลอดเวลากำลังยืนเท้าสะเอวอยู่ขอบประตูมองทุกคนด้วยสายตาคมกริบ เท่านั้นแหละ ไอ้ที่กระจัดกระจายอยู่ทุกซอกทุกมุมห้องก็เดินเข้าประจำโต๊ะตัวเองอย่างเป็นระเบียบ เงียบเชียบ แม้ปากจะขมุบขมิบประมาณว่า เจ๊แกไม่ได้สอนคาบนี้ไม่ใช่หรอวะ? กันด้วยความงงงวยระดับร้อย




    "อีเหี้ย เกิดไรขึ้น"




    แต่ใดใดล้วนไม่น่าสงสารเท่าไอ้แฮช บุรุษที่เดินกลับโต๊ะมาด้วยใบหน้าที่หลากหลายอารมณ์ ทั้งซีด ทั้งงง ทั้งอึน เหมือนสติหลุดไปแล้วเหลือแต่ร่างกายที่ห่อเหี่ยว



    "ครูชลป่วย นางเข้าแทน"



    เสียงเพื่อนผู้หญิงด้านหลังชะโงกตอบคนข้างๆเขาด้วยความหวังดี จุดนั้นชายหนุ่มเหมือนจะเป็นลมล้มพับไปแม้จะนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีฐานปักหลักอย่างมั่นคงก็ตาม มันทำหน้าอึนซึ่งจรัลก็เก่งพอที่จะตีความจากใบหน้าของมันได้เป็นคำพูดว่า 



    'ชิบหายแล้วกู'




    เห็นใจว่ะ




    "ย..ยาดม"



    "เอนก หนังสือไปไหนคะ?"




    ทันทีที่ได้ยินเสียงเพรียก เจ้าของชื่อก็สะดุ้งสุดตัว ทั้งยาดมก็ยังค้างเติ่งอยู่ที่มือ ก่อนจะหันไปมองอาจารย์หญิงที่มองเขาด้วยสายตาอันคมกริบไม่จางหาย 



    "ยืน"



    "..."



    "หนังสือไปไหนคะ?"



    "ม..ไม่ได้เอามาครับ"



    "วันนี้มีเรียนไหม คาบไหน" เธอจ้องจนแฮชรู้สึกเหมือนเสื้อผ้าจะขาดเป็นรู ก่อนจะหันไปถามใครสักคนที่นั่งแถบหน้าๆ




    ปัดโถ่ ตัวเองก็จำไม่ได้เหมือนกันนิหว่า 




    "มีค่ะ" เสียงพลเมืองดีตอบ




    "แล้วทำไมเพื่อนเธอถึงจำไม่ได้ว่าวันนี้มีคาบ อาจารย์ พรทิพย์ ล่ะคะ?"



    "...."




    เอนกกลืนน้ำลายดังเอื้อก ได้แต่ฟังหญิงชราเอ่ยกับนักเรียนหญิงแถวหน้าเหมือนว่าเขาเป็นอากาศ พร้อมทั้งเจ๊แกยังลงเสียงหนักแน่นที่ชื่อตัวเอง ประหนึ่งรู้ตัวว่าชื่อฉันนั้นโคตรทรงอิทธิพลกับนักเรียน แต่เธอก็ยังกล้ามองข้ามวิชาฉันงี้



    แล้วทำไมกูถึงคิดเป็นตุเป็นตะขนาดนี้วะ บ้าจริง




    "แค่เรื่องหนังสือที่ต้องเอามาทุกคาบที่เรียนยังทำไม่ได้ แล้วไม่ทราบว่าเธอจะรับผิดชอบอะไรได้อีกคะนาย เอนก?"



    "...."




    "ไปทำรายงานเรืองที่เรียนอยู่แล้วพรีเซนต์หน้าห้อง พรุ่งนี้"



    "...."



    "เงียบนี่ เข้าใจไหม?"



    "ค..ครับ"



    ชายหนุ่มตอบรับก่อนจะค่อยๆนั่งลง พร้อมความรู้สึกที่อยากจะวิ่งไปกรี้ดใส่หน้าเจ๊ทิพย์ แล้วตะโกนว่า



    'กลับไปให้หมาที่บ้านเทอทำไป!กูทำไม่ทัน!"





    แต่ในความเป็นจริงก็ทำได้แต่เพียงยัดยาดมเข้าจมูกอย่างท้อแท้ โดยมีสายตาของนายจรัลมองตามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย 



    เวลาคืนเดียวกับรายงานพร้อมเนื้อหาอันอัดแน่นเล่มหนึ่ง ตาย กูตาย



    ตึง!




    "จารย์ขา!!เพื่อนเป็นลม!!"








                        - 17 years old -







    สวัสดีครับ


    ผมชื่อจรัล ทัพทอง หรือที่ทุกคนเรียกว่าแจม ตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบันก็อายุรวมสิบเจ็ดปีขวบบริบูรณ์ เป็นลูกชายคนเดียวไม่มีพี่ไม่มีน้อง บ้านรวยครับ แต่จะซื้ออะไรได้ทีต้องแทบจะกราบเท้าแม่ด้วยความตระหนี่ที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่รุ่นปู่ทวดย่าทวด ทำให้ผมกลายเป็นคนที่ดูเหมือนกิเลสน้อย อะไรที่เพื่อนๆมีผมมักไม่ค่อยมี นอกจากจะทำงานหาเงินซื้อเองหรือพ่อแม่จะซื้อมาให้เอง ซึ่งนั่นเป็นส่วนน้อยคิดเป็นร้อยละ20สำหรับความเป็นไปได้ที่มันจะเกิด


    ชีวิตของผมเรียบง่ายดีครับ 



    ซึ่งนั่นมันก็เอ่อ..เป็นตอนที่ผมยังไม่รู้จักความรักน่ะนะ




    ในชีวิตนี้ผมมีความรักแค่สองครั้ง..หรือสามวะ ครั้งแรกเป็นตอนที่ผมยังเด็กซึ่งไม่ค่อยอยากจะรื้อฟื้นมันเท่าไหร่ แม้จะมีตราบาปเป็นแมวในบ้านตัวเองที่ผมดันตั้งชื่อมันให้เหมือนกับคนที่ชอบ จะเปลี่ยนชื่อมันก็กระไรๆอยู่ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย



    ครั้งต่อมาคือตอนม.2 เป็นเด็กผู้หญิง ชอบได้อยู่เดือนกว่า ตอนหลังอกหักเพราะมารู้ว่ามีแฟนแล้วเป็นทอมด้วย งั้นไม่นับ



    ส่วนครั้งที่สอง(จริงๆ)ก็คือปัจจุบันนี่แหละครับ จริงๆมันเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่ผมย้ายเข้ามาต่อมอสี่ที่นี้เมื่อปีที่แล้ว 


    มันชื่อ มาร์ค รณพีร์ ธนา- อะไรสักอย่างผมจำไม่ได้ รู้แต่ว่ายาวมาก เด็กใหม่ที่เข้าพร้อมกันเมื่อปีที่แล้ว เป็นบุคคลที่ผมได้ยินชื่อตั้งแต่ยังไม่ทันจะเห็นหน้า จากผู้หญิงในห้องที่คาดว่าน่าจะเป็นเด็กเก่าที่อยู่ก่อนอาจจะสักปีสองปีหรือทั้งชีวิต ตอนแรกก็แปลกใจว่าคนไหนคือมาร์ค ทำไมถึงกลายเป็นทอลค์ออฟเดอะทาวด์ในวันเปิดเทอมวันแรกแบบนั้น



    แต่พอได้เห็นผมก็ไม่ได้แปลกใจ มาร์คเป็นผู้ชายตัวสูงขาวตี๋พิมพ์นิยมที่ผู้หญิงชอบ เอาเป็นว่าถ้าไปเดินแถวข้างถนนก็ไม่สามารถหามนุษย์หน้าตาแบบนี้ได้ง่ายๆ ซ้ำยังเป็นคนที่มีรอยยิ้มเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยิ้มกระชากใจสาว ดูเชิญชวนให้ชายแท้อยากเแปรผันเป็นตุ๊ด ดูเป็นไอดอลของนักเรียนในโรงเรียนเดียวกัน หนักหน่อยก็มีคนตามไปกรี้ดหน้าห้องน้ำเวลาขี้




    แล้วทำไมผมถึงชอบมันน่ะหรอ?





    ในขณะที่ทุกคนชื่นชมและรุมตอมเด็กใหม่อย่างกับแมลงวันตอมขี้ ผม แจม จรัล คนที่ไม่มีแม้แต่จะมีใครมาถามว่า 'เด็กใหม่อ่อ ชื่อไร' ก็ได้แต่หลบอยู่ในหลืบไม่ออกไปพบปะกับผู้คน มันไม่ใช่วิสัยของผมถ้าจะต้องให้ฉีกยิ้มแล้วเสนอหน้าไปบอกว่า 'สวัสดี เราแจมนะ' ไรงี้



    มันไม่ใช๊!




    การชวนคุยมันน่าอึดอัดพอๆกับการที่ต้องออกไปพรีเซนต์หน้าห้อง หรือแม้กระทั่งการแนะนำตัวในตอนที่เข้าเรียนที่แห่งใหม่ แม้จะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และก็ทำได้เพียงแต่ปลอบใจตัวเองว่า อย่าตื่นเต้น แปปเดียวเดี๋ยวก็ผ่านไป





    หรือเปล่าวะ




    "ผมช..ชื่อ จรัล ทัพทอง ชื่อเล่นช..ชื่อ แจมครับ"



    "ผู้ชายเหี้ยไรวะชื่อแจม"




    เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นแทบจะทันทีที่ผมแนะนำตัวเองจบ



    ซึ่ง..


    ไอ้เหี้ย! มึงต้อนรับเพื่อนใหม่ของมึงด้วยคำทักทายหมาๆแบบนี้หรอออ



    เสียงหัวเราะดังพอเป็นพิธี ดูจะสนุกสนานกับการทำให้ผมหน้าเจื่อนตั้งแต่ยังไม่ทันรู้จักกับใครเลย สัสเอ้ย ซึ่งพอส่งสายตาไปหาครูที่อยู่หน้าห้องก็พบว่าอีกฝ่ายยืนกอดอกนิ่งๆไม่หือไม่อือ ไม่คิดจะห้ามอะไรใดๆทั้งสิ้น



    "ทอมปลอมตัวมาปะมึง ฮ่าๆ"


    "...."


    ยัง ยังไม่หยุดอีก



    "ทอมจิงดิ ไหนเปิดดูซิ ว่าชายหรือหญิง"



    จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจกันยกใหญ่ ส่วนผมก็ทำได้แต่กระดิกหูแต่ไม่ได้หันหลังไปมองว่าไอ้ส้นตีนตัวไหนมันพูด ทำเป็นไม่เดือดร้อนแล้วจะนั่งลง ซึ่งในจังหวะที่ผมจะนั่ง เสียงใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด ดับทุกความร่าเริงที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่แทบจะทันที



    "เสียมารยาทจังครับ!"



    "...."




    "เป็นพ่อเป็นแม่เค้าหรอ ถึงกล้าไปวิจารณ์เค้าอะ ไอ้ควาย!"



    "...."



    ทุกคนในห้องตกอยู่ในบรรยากาศมาคุเช่นเดียวกับผม ที่ค่อยๆหันไปตามเสียงแล้วก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นว่าเจ้าของวาจาสามหาวนั่นเป็นคนเดียวกันกับคนที่ทุกเพิ่งอวยกันดังระงมไปเมื่อเช้าว่า 


    'น่ารักว่ะแก' 


    หรือ


    'พูดจาดี ดูเรียบร้อยอะ' 


    และ


    'สุภาพเวอร์'


    ยังมีอีก


    'หล่อรวยแล้วยังพูดเพราะ โคตรพ่อของลูกกูในอนาคต'



    จรัลได้ยินหมด



    แล้วดูตอนนี้ดิ สะอึกกันเป็นแถบ



    "อ่า..ใจเย็นเนอะเด็กๆ..จรัลใช่ไหมลูกนั่งลงได้ค่ะ"



    ผมยกมือไหว้ครูที่เดิมยิ้มแหยเข้ามาปรามตอนที่สงครามสงบเรียบร้อยแล้วนั่งลง ไม่วายหันไปมองคนที่ปกป้องผมจากคนใจทรามที่ตอนนี้ทำเป็นฟุบหน้าลงกับโต๊ะท่ามกลางสายตาของเพื่อนในห้องที่มองสลับไปมากันด้วยความระแวง




    แต่ก็ เอ่อ..นี่ละมั้งครับ ความประทับใจแรกกับเด็กใหม่ที่ชื่อมาร์ค

    .







    .








    .





    "แจมปะ?"



    "...."



    "เห้ย ชื่อแจมใช่ป่าว"



    "อ..อ่า"




    "เรามาร์คนะ กินข้าวด้วยคนดิ"



    นี่มันเรื่องอะไรกันพระเจ้า



    ผมพยักหน้าหงึกหงักให้ไอ้หน้าหล่อที่มาขอนั่งกินข้าวด้วยคนในตอนที่ผมกำลังนั่งเล็มข้าวอยู่อย่างโดดเดี่ยว อีกฝ่ายยิ้มรับพอเป็นพิธีแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม ก่อนจะเริ่มเปิดบทสนทนาโดยไม่ปล่อยให้ผมได้แดกข้าวอย่างสงบสุขอีกต่อไป



    "ชื่อแจมนี่ใครตั้งให้อ่อ"



    มึงจะรู้ไปทำไมวะ ไม่ได้มาขอนั่งกินข้าวด้วยเพราะต้องการจะรู้แค่นี้หรอกนะ ไม่งั้นกูจะตีมึงด้วยช้อนโรงเรียน


    "แม่"


    "อ๋อ"



    จริงๆแล้ว ชื่อแจมก็ไม่ได้มีที่มาที่ไปอะไรหรอกครับ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุจะสิบแปดปีก็ไม่เคยถามสาเหตุว่าคิดยังไงถึงตั้งชื่อนี้ รู้แต่ว่ามันไม่ได้มีความหมายแฝงอะไรลึกลับซับซ้อนขนาดนั้น และก็ใช้มาด้วยความเคยชิน



    ก็ปกติไปที่ไหนก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องชื่อหรอกครับ เพิ่งจะมีอีโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนแรก



    หลังจากนั้นผมกับไอ้เด็กใหม่ตรงหน้าก็นั่งกินกันไปเงียบๆจนออดขึ้นเรียนคาบบ่าย ก็พากันแยกย้าย คิดว่ามันคงจะมาแค่วันนี้พรุ่งนี้ก็อาจจะไปกับกลุ่มอื่น



    แต่ผิดคาดว่ะ เพราะวันถัดมา ไอ้เด็กใหม่หน้าหล่อก็เดินมา ด้วยประโยคเดียวกันกับเมื่อวานว่า 'กินข้าวด้วยคนดิ' พร้อมแนะนำตัวเองเพราะกลัวผมจะจำมันไม่ได้


    ใครจะจำมันไม่ได้บ้างวะ ถามที


    จากวันแรก ก็มีวันที่สอง ที่สาม ที่สี่ เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน



    พอรู้ตัวอีกที อ้าว ปีหนึ่งแล้วนี่หว่า



    พิเศษใส่ไข่คือ วันเวลาที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ความสนิทสนมที่มีมากขึ้น ความรู้สึกแปลกใหม่ของผมที่มีต่อมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นๆ และต้องยกความดีความชอบให้กับความฉลาดของผม ที่ทำให้สามารถนิยามไอ้ความรู้สึกต่างๆนั่นได้เป็นคำว่า 'ชอบ' 



    ครับ ผมชอบไอ้มาร์ค ไอ้คนที่ผมไม่ปฏิเสธว่าสนิทกับมันที่สุด สนิทกายแต่ไม่สนิทใจอะครับผม


    แม่ง เศร้า รู้สึกกบฎยังไงก็ไม่รู้


    เคยคิดจะตัดใจ แต่ด้วยอานุภาพความหล่อ บ้านรวย ละมุนละไมของมัน และที่สำมะคันแม่งโคตรเปย์ ก็กลายเป็นว่าผมไม่แพลนที่จะเลิกชอบมันเร็วๆนี้อะครับ 


    บน ถ้าเลิกชอบแม่งได้แบบไม่ได้มีแพลนจะขายบ้าน ให้ป๊ากะม๊าไปเช่าอพาร์ทเม้นต์เอา


    เป็นงะ โคตรคูล ภูมิใจสัส


    สมกับเป็นจรัลจริงๆ







                       - 17 years old -








    "ป้าครับ เอาผัดกระเพราแล้วก็ไข่ดาวจาน"


    ผมบอกป้าที่ประจำร้านอาหารตามสั่ง ด้วยความที่ป้าแกมีใบหน้าที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับใครทำให้คนมาอุดหนุนร้านแกน้อย ถ้าเทียบกับร้านอื่นๆที่แถวยาวจนเกะกะขวางทางเดินไปหมด


    แต่ด้วยความสัจจริง ร้านนี้อร่อยครับ แม้จะเป็นเมนูสิ้นคิดอย่างผัดกระเพราและไข่ดาวน่ะ



    ผมมองป้าแกตักอาหารด้วยความไวแสง ก่อนจะยื่นมือไปรับจ่ายตังค์แล้วแจกยิ้มแถมให้อีกหนึ่งดอก แต่วืดครับ เพราะป้าแกไม่ยอมมอง


    พอได้ข้าวผมก็พาด้วยเองมานั่งที่โต๊ะตรงกลางโรงอาหารที่มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว อีกฝ่ายยังนั่งก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือโดยที่ยังไม่แตะข้าวในจาน พอผมนั่งลงฝั่งตรงข้ามนั่นแหละมันถึงเงยหน้ามอง


    "ผัดกระเพราอีกละ ไม่เบื่อบ้างไงวะ"



    นี่สามารถนับว่าเป็นคำทักทายประจำทุกเที่ยงของไอ้มาร์ค มันทำหน้าแหยแล้วชะโงกมามองข้าวผัดกระเพราในจานผม ก่อนจะกลับไปนั่งปกติเหมือนเดิม



    "ทำไมวะ ผัดกระเพรามันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ"


    "ไม่ได้แย่ แต่กูเห็นมึงกินเกือบจะทุกวัน เห็นแล้วเบื่อแทน"


    แหน่ะ มีความเบื่อแทน เขินดีมั้ยกู



    "ก็ไม่รู้จะกินไร ป้าเขาก็ทำอร่อยนะพูดจริง" 



    ไอ้คนที่นั่งเหมือนจะไม่รับฟัง ซ้ำมันทำสิ่งที่ทำให้ผมต้องงงงวย เมื่อมันลากจานข้าวของผมไปฝั่งมัน แล้วสลับดันจานข้าวของมันมาฝั่งผม ผมขมวดคิ้วแล้วก้มมองข้าวหมูแดงตรงหน้า ก่อนจะเงยหน้าถามมันใหม่



    "ทำไรของมึงมาร์ค"



    "ก็อยากรู้ว่าอร่อยจริงป่าว"


    "...."


    อะไรวะ คืออยากรู้แล้วมึงจะสลับจานคนอื่นเขากันง่ายๆงี้เลย ไอ้บ้าเขินนะ


    แม้ส่วนลึกกำลังเขินเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ก็ตาม แต่ในความเป็นจริงผมก็ทำเป็นตีหน้าขรึมแล้วพูดกลับไปว่า


    "แล้วกูจะกินไรอ่ะ?"



    "ของกูไง อร่อยเหมือนกัน"



    ง่ายเนอะ แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมันกลับไปพร้อมค่อยๆจับช้อนที่ไอ้มาร์คมันจับก่อนหน้านี้ด้วยความเขินเล็กๆ นี่เค้าเรียกว่าจับมือกันทางอ้อมผ่านเชื้อโรคที่ติดอยู่บนช้อนแน่ๆ



    เขินว่ะ ไอ้มาร์ค ไอ้บ้า



    มันยากมากนะครับ สำหรับการกลั้นยิ้มกับมโนแลนด์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา พร้อมจะตักข้าวเข้าปาก แต่ยังไม่ทันที่จะได้กินคำแรก สายตาผมก็ดันเหลือบมองเลยหลังไอ้มาร์คไปแล้วก็พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังมัน


    ผมจำได้ว่าเธอชื่อพี่แตง อยู่มอหก แล้วก็รู้ด้วยครับว่าเธอจ้องไอ้มาร์คมาเป็นแรมปี ตั้งแต่ที่มันเข้ามอสี่ใหม่จนจะขึ้นมอหกอยู่แล้วพี่แกก็ยังไม่เลิกชอบ ทุกคนนอกจากผมก็รู้เพราะข่าวออกจะครึกโครม ก็พี่แกเล่นเปิดเผยซะขนาดนี้ เหลือรอให้ไอ้มาร์คใจอ่อนอย่างเดียวก็สมหวังละ 



    ซึ่งถ้าถึงวันนั้นจริงผมจะไม่มาเรียน จะนอนร้องไห้อยู่บ้าน



    ดูเหมือนว่าผมจะมองพี่เขานานเกินจนพี่แตงหันมาทางผม พี่เขาเอานิ้วจรดปากแล้วออกเสียงชู่วว่าให้ผมเงียบ ผมก็พยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเธอจะย่องเข้ามาด้านหลังไอ้มาร์คแล้วก็..



    "จ๊ะเอ๋!"


    "...."


    พี่แกเล่นตะปปหลังไอ้มาร์ค คนที่นั่งกินข้าวผัดกระเพราไม่รู้อิโหน่อิเหน่สะดุ้งเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ ด้วยความที่มันก็ตกใจ ไอ้มาร์คก็เลยขมวดคิ้วหันไปหาคนด้านหลัง ประจวบเหมาะกับที่พี่แตงเอียงหน้าเข้าไปใกล้มันพอดี เลยทำให้จมูกไอ้มาร์คเฉียดจมูกพี่แกอย่างไม่ได้ตั้งใจ


    เคร้ง!



    "...."



    แต่คนที่ตกใจกว่าทั้งไอ้มาร์คทั้งพี่แตงก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากผมที่กำลังอ้าปากหวอนั่งมองภาพตรงหน้าเป็นภาพสโลว์โมชั่นแล้วเผลอปล่อยช้อนในมืออย่างไม่รู้ตัว



    พูดสิว่าไม่ได้ตั้งใจ จะร้องไห้แล้วนะว้อย!



    "อ้าว พี่แตง มาทำไรอ่ะ?"



    ยังโชคดีที่ไอ้มาร์คดูเหมือนจะมีภูมิต้านทานมากกว่า มันเลยผงะถอยหลังเหมือนโดนสีกาไม่ได้ แล้วเอ่ยทักคนอายุมากกว่าที่ตอนนี้กำลังยืนหน้าดำหน้าแดงอยู่ด้วยความเขินระดับล้าน


    "เมื่อเช้าอ..เอ่อ พ..พี่ทำขนมมาให้...อ่ะ"


    "โห ไม่น่าลำบากเลยพี่"


    "ไม่เป็นไร น้องมาร์คกินนะ"



    พี่เธอพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะหยิบถุงกระดาษที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นคุกกี้หรืออะไรสักอย่างมาให้ไอ้มาร์ค ซึ่งมันก็รับมาแบบเกรงๆใจ หลังจากนั้นพี่แตงก็ยืนเก้ๆกังๆเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรต่อเพราะโดนอานุภาพความหล่อแอคแทคเข้าไปหนึ่งดอกก็ไปไม่เป็น 


    "เอ่อ..งั้นพี่ไปแล้วนะบาย...บายน้องแจม"


    เธอพูดเร็วๆไม่วายหันมาบอกลาผมแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ผมมองตามไปจนเห็นว่าพี่เขานั่งลงโต๊ะที่มีเพื่อนของพี่เขามองด้วยความลุ้น เชื่อไหมครับ ว่าพอตูดพี่เขาแตะเก้าอี้ เสียงพี่แกก็แหลมปรี้ดลบภาพเด็กสาวขี้อายเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ได้อย่างหมดจด


    'อีด๊อกกกก!พวกมึงเห็นมั้ยเมื่อกี้ อิเหี้ยย กรี้ดดดด จะเป็นลม'



    ไหนความขี้อายที่พี่แสดงเมื่อกี้ว่ะ คุณหลอกดาว



    "แจม"



    "หา"



    เสียงเรียกทำให้ผมเสตากลับมาทางตรงหน้าตัวเอง แล้วก็พบคนหล่อเรี่ยราดนั่งมองหน้าอยู่1อัตรา



    แต่ยังฟินได้ไม่สุด ไอ้มาร์คจัดการเลื่อนถุงกระดาษที่ผมจำได้ว่าเป็นถุงที่พี่แตงให้มันมาตรงหน้าผม ผมก็เลยเลิกคิ้วถาม



    "อะไรวะ"


    "เอาไปดิ"


    "...."



    "ขนมอ่ะ ทำงงอีก"



    มันว่าอย่างนั้นก่อนจะก้มลงไปจัดการข้าวตัวเองต่อ ทิ้งให้ผมที่ยังนั่งประมวลคำพูดของมันอยู่เกือบหลายวินาที พอจับความรวมๆได้ว่า ให้ผมเอาขนมพี่แตงไปกิน หรือแกะแล้วแบ่งกินกับมัน


    งงครับ แต่ไม่ได้แปลว่าโง่


    "กูไม่ชอบกินขนม"


    ดูเหมือนมันจะล่วงรู้ความคิดผ่านสีหน้างงๆของผม มันก็เลยบอกเหตุผลด้วยประโยคสั้นๆที่ถ้าผมเป็นพี่แตงมาได้ยินอาจจะกระโดดถีบยอดหน้ามันแล้วพูดให้หายแสบประมาณว่า 'ไม่ชอบแดกทำไมไม่บอก เสียเวลาเสียเงิน!' แต่พี่เขาดีเกินไปครับ ผมมั่นใจว่าพี่เขาจะไม่มีทางใช้วาจาแบบนั้นกับไอ้มาร์คแน่ๆ

     

    แต่ขอโทษเถอะ ถึงผมจะไม่ได้เต็มใจที่พี่แตงเข้าหามันนัก แต่ผมก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดจะทำลายความตั้งใจของใครโดนการไปแย่งของเขามากินหน้าด้านๆหรอกนะ


    "บ้า พี่เขาอุตส่าห์ทำมาให้" ผมว่าพลางเลื่อนถุงกลับไป "มึงไม่ชอบทำไมไม่บอกพี่เขาไปละวะ เสียของ"


    "ก็เพราะกลัวเสียของไงถึงให้มึงกิน เอ้า"


    "ไม่ว้อย มึงรู้ปะถ้าพี่แตงเขารู้เขาจะเสียใจนะสัส"



    จู่ๆก็รู้สึกเหมือนองค์พระเอกจะเข้าสิง แต่มันก็ไร้ความรู้สึกรู้สากับคำพูดผม ทำไมเป็นคนเย็นชางี้ ถ้าเป็นผมทำมาให้มันกินบ้างแม่งไม่เอาไปโยนทิ้งเลยหรอวะนั่น



    พูดแล้วก็กลัว เมมไว้ในสมองแล้วว่าแม่งไม่ชอบกินขนม




    จากนั้นก็เกิดสงครามเล็กๆบนโต๊ะ ไอ้มาร์คมันพยายามยัดเยียดขนมที่เพิ่งรู้ว่าเป็นคุกกี้รสนมจริงๆเพราะไอ้มาร์คมันแกะออกมา ซ้ำยังยื่นมาตรงหน้าผม จนเริ่มเอะใจละว่าม้นมีปมอะไรกับขนมนักถึงได้ขู่เข็ญกันแบบนี้ 


    "อะไรของมึงเนี่ยเชี่ยมาร์ค"


    "จะแดกดีๆหรือจะให้กูป้อน"



    ป้อน!!



    เวร เกือบ จะลั่นแล้ว จะลั่น ดีนะยั้งปากไว้ทัน



    "วุ่นวายว่ะ"



    ผมด่ามันกลบเกลื่อน ก่อนจะรับคุกกี้สีขาวมากินอย่างจำยอม 



    เอ้อ! หร่อยว่ะ พลาดแล้วไอ้มาร์ค ไม่น่าเชื่อว่าพี่แตงทำขนมอร่อยขนาดนี้




    "ดีครับดี ถือไปด้วย กูไปละ"


    "อ้าว เดี๋ยว-"



    ไอ้มาร์คมันไม่รอให้ผมพูดให้จบก็ยกจานเดินลิ่วๆนำหน้าไป ส่วนผมก้มมองในจานก็พบว่าข้าวยังไม่พร่องไปสักนิด แต่จำใจต้องลุกตามมันไปทั้งที่ยังไม่ได้ชิมข้าวหมูแดงของมันสักคำ


    รู้ยังว่าอะไรสำคัญกว่า



    ถ้ายังไม่รู้ก็จะตอบให้เอาบุญครับว่า ไอ้มาร์ค /บิด

    .






    .







    .



    แกร๊ก..

    บรรยากาศในเวลาเกือบทุ่มกว่าๆนั้นเงียบสงบ ร่างโปร่งของเจ้าของห้องเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูพาดที่ไหล่ ก่อนเจ้าตัวจะกระโดดลงเตียงอย่างเมื่อยล้าไปทั้งตัว



    ลำพังแค่เรียนเขาก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรขนาดนั้น แต่เพราะสองคาบสุดท้ายมันดันเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ติดกันเนี่ยสิ



    ดีแล้วที่รอดตาย




    จรัลพ่นลมหายใจออกมาหนักๆแล้วค่อยๆปิดเปลือกตาลง แต่เพราะร่างโปร่งเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก เขาจึงผุดลุกขึ้นก่อนจะเดินดุ่มๆลงบันไดแล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้าตู้เย็น



    เชี่ย..หายไปไหนวะ



    จรัลนึกในใจในขณะที่กำลังสอดส่ายสายตาหาถุงกระดาษที่เขาถือมันมาจากที่โรงเรียนและจำได้ว่าวางมันไว้บนตู้เย็นก่อนจะขึ้นห้องไปอาบน้ำ แต่มองดูจนดีแล้วก็เห็นแต่เพียงน้ำพริกแมงดาสองกระปุกวางไว้แค่นั้น จนบิดาที่เดินผ่านมาเห็นท่าทีลูกชายตัวเองต้องหยุดถามด้วยความสงสัย


    "หาไรลูก?"


    "ถุงขนมอ่ะ แจมวางไว้-"



    ร่างโปร่งหันกลับไปตอบอย่างร้อนใจแล้วหันกลับมาเพื่อจะเปิดดูในตู้เย็นเผื่อใครหวังดีเอาไปแช่ให้



    แต่เดี๋ยวนะ



    ตะกี้เหมือนเห็นป๊าถือถุงอะไรไว้อยู่วะ???



    นึกไปก็เท่านั้น จรัลเลยตัดสินใจหันไปมองอีกครั้งเพื่อย้ำความแน่ใจว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง แล้วก็ต้องอุดปากกรี้ดเพราะสิ่งที่เขากำลังหาอยู่ในมืออีกฝ่ายพร้อมหลักฐานที่กำลังคาปาก



    "ถุงนี้ปะ เอออร่อยดีนะซื้อร้านไหนมา วันหลังจะฝากซื้อ"





    "ป๊า!!!!"

    .







    .








    .



    เพิ่งจะรู้ว่าถุงขนมนั้นมีคุณค่ามากแค่ไหนก็ตอนที่รู้ว่ามันหมดไปแล้ว


    เด็กชายนั่งมองถุงขนมเปล่าๆด้วยความอาลัยอาวรณ์ที่พอถลาไปแย่งมันมาจากบิดาตัวเองได้ก็สายไปเสียแล้ว คว่ำถุงออกมาก็เหลือแต่ผงคุกกี้ให้เป็นมีดทิ่มแทงใจเล่น



    ป๊านะป๊า หิวทำไมไม่บอกกันดีๆวะ มาหยิบของคนอื่นมั่วซั่วแบบนี้ได้ไง ลงไปตีดีไหมเนี่ย




    เฮ้อ บาปอีกแล้วกู




    จรัลส่ายหัวไล่ความคิดตัวเองก่อนเดินไปนั่งตรงโต๊ะอ่านหนังสือแล้วหยิบปากกาเมจิกขึ้นมา พร้อมเขียนมันลงบนถุงกระดาษอันฟีบเหี่ยวเป็นลายลักษณ์อักษรตัวเบอเร่อว่า



    'ไอ้มาร์คให้'



    พร้อมหัวใจดวงเล็กเท่าขี้แมลงวันอีกหนึ่งดวง



    และจรัลก็เพิ่งรู้ว่าชื่อของคนๆหนึ่งมีอิทธิพลต่อหัวใจขนาดไหนก็ตอนที่จ้องมองชื่อคนที่เขาเพิ่งจะเขียนลงไปแล้วก็ทำได้แต่นั่งยิ้มเพียงลำพัง ซบหน้าลงกับถุงกระดาษราวกับคนบ้า



    ก่อนจะจมสู่ห้วงนิทราพร้อมเรื่องราวดีๆที่ทำให้เขานอนหลับฝันดีไปอีกหนึ่งคืน






                           
    #สวัสดีจรัล








    Tbc


    แก้ไขเนื้อหานิดหน่อยค่ะ แหะ

    ชอบก็มาเม้ามอยหอยกาบกันได้ที่ #สวัสดีจรัล นะคะ


    1 เม้น = 1 กำลังใจ ขอบคุณฮับ!!!


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×