ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 01 : นายคนนั้น
01
นายคนนั้น
"แจม มึงได้เอาหนังสือวรรณคดีมาปะ"
คนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องเรียนก่อนจะพาดกระเป๋าเป้ที่เต็มไปด้วยพวงกุญแจโล่กัปตันอเมริกาไว้กับเก้าอี้แล้วเอ่ยถามเขาด้วยใบหน้าที่ฉายความกังวลอย่างไม่บิดบัง พร้อมนั่งลงโต๊ะข้างๆเขาด้วยอาการที่เรียกว่าตูดไม่ติดที่
"เอามา"
"ไอ้เชี่ยเอ้ย! ชิบหายละ พรทิพย์เล่นกูแน่ เชี่ยเอ้ยๆๆๆ"
ไอ้คนที่กำลังตกทุกข์เพราะเหมือนจะพลาดเอาหนังสือไทยมายกมือกุมหัวแล้วพูดกับตัวเองเหมือนคนสติหลุด ซึ่งจากที่ชายหนุ่มฟังก็สามารถจับคำได้อยู่ประมาณสองสามคำซ้ำๆว่า
ชิบหาย กูตายแน่ และ ไม่น่าเลยกู
ชีวิตคนเรามันก็อย่างนี้แหละ บางสิ่งที่เราไม่อยากให้มันเกิด แต่มันก็เกิด โดยที่ไม่กำหนดเวลาให้เราได้เตรียมใจ
"มึง ห้องสามมันเรียนไทยคาบไรวะ"
"สามมั้ง" เขากรอกตาแวบหนึ่งก่อนจะตอบกลับพร้อมบอกอีกฝ่ายให้เอาบุญ เพราะดูแววเหมือนมันจะจำอะไรเกี่ยวกับการเรียนไม่ได้เลยในชีวิตนี้ "เราเรียนคาบห้า"
"งั้นกูก็รอด ค่อยไปยืมคาบสี่ก็ได้" ไอ้แฮช สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเพื่อนร่วมห้องผิวคล้ำแดดพรูลมหายใจออกมาเบาๆ พอมันสบายใจเมื่อหาทางที่ไม่ต้องโดนอาจารย์พรทิพย์หรือที่นักเรียนในระดับชั้นเดียวกันเรียกว่า พรทิพย์ เจ๊ทิพย์ แม่ มาดามทิพย์ ทำโทษด้วยสาเหตุที่ลืมเอาหนังสือวรรณคดีมาแบบไม่ตั้งใจ มันก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินไปยังกลุ่มเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่ที่กำลังเม้ามอยกันอย่างเมามันส์
ด้วยที่เป็นอันรู้กันดีว่า พรทิพย์ กิตติศัพท์เป็นที่เลื่องลือ ว่ากันว่า เจ๊เค้าสามารถทำให้คนที่ไม่สนใจจะแยแสเรื่องเรียน ไม่คิดจะทำงานหรือการบ้านตั่งต่างต้องมานั่งตะบี้ตะบันทำงานเจ๊เค้าตลอดหนึ่งปีการศึกษากันหน้าตั้ง
แต่คะแนนสอบที่ออกหลังปลายภาคเรียนก็เกือบจะเทียบเท่าวิชาที่หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันตอนเข้าห้องสอบว่า 'กูเท!'
ไหนผลตอบแทนสำหรับความทุ่มเทอย่างเหนื่อยล้ามาทั้งภาคเรียน ฟัค โคตรอันแฟร์
จรัลคิด ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะรอให้เวลาอาจารย์คาบแรกเดินเข้ามาสอน พร้อมหยิบสายฟังขึ้นมาเสียบจมอยู่ในโลกของตัวเองแล้วหลับตาไป
.
.
.
"วันนี้ครูชลดาลาป่วย หยิบหนังสือขึ้นมา...เรียนถึงไหนละ"
จรัลยังขอยืนยันคำเดิมว่า บางสิ่งที่เราไม่อยากให้มันเกิด มันมักจะเกิดโดยที่ไม่มีใครสามารถกะเกณฑ์มันได้นั้นเป็นเรื่องจริงที่โคตรจริง
เมื่อทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมาเพราะเสียงคุยจ้อกแจ้กในห้องเงียบไป ก็พบมนุษย์ผู้ซึ่งเหมือนแบกอะไรไว้ใบหน้าให้มันตึงตลอดเวลากำลังยืนเท้าสะเอวอยู่ขอบประตูมองทุกคนด้วยสายตาคมกริบ เท่านั้นแหละ ไอ้ที่กระจัดกระจายอยู่ทุกซอกทุกมุมห้องก็เดินเข้าประจำโต๊ะตัวเองอย่างเป็นระเบียบ เงียบเชียบ แม้ปากจะขมุบขมิบประมาณว่า เจ๊แกไม่ได้สอนคาบนี้ไม่ใช่หรอวะ? กันด้วยความงงงวยระดับร้อย
"อีเหี้ย เกิดไรขึ้น"
แต่ใดใดล้วนไม่น่าสงสารเท่าไอ้แฮช บุรุษที่เดินกลับโต๊ะมาด้วยใบหน้าที่หลากหลายอารมณ์ ทั้งซีด ทั้งงง ทั้งอึน เหมือนสติหลุดไปแล้วเหลือแต่ร่างกายที่ห่อเหี่ยว
"ครูชลป่วย นางเข้าแทน"
เสียงเพื่อนผู้หญิงด้านหลังชะโงกตอบคนข้างๆเขาด้วยความหวังดี จุดนั้นชายหนุ่มเหมือนจะเป็นลมล้มพับไปแม้จะนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีฐานปักหลักอย่างมั่นคงก็ตาม มันทำหน้าอึนซึ่งจรัลก็เก่งพอที่จะตีความจากใบหน้าของมันได้เป็นคำพูดว่า
'ชิบหายแล้วกู'
เห็นใจว่ะ
"ย..ยาดม"
"เอนก หนังสือไปไหนคะ?"
ทันทีที่ได้ยินเสียงเพรียก เจ้าของชื่อก็สะดุ้งสุดตัว ทั้งยาดมก็ยังค้างเติ่งอยู่ที่มือ ก่อนจะหันไปมองอาจารย์หญิงที่มองเขาด้วยสายตาอันคมกริบไม่จางหาย
"ยืน"
"..."
"หนังสือไปไหนคะ?"
"ม..ไม่ได้เอามาครับ"
"วันนี้มีเรียนไหม คาบไหน" เธอจ้องจนแฮชรู้สึกเหมือนเสื้อผ้าจะขาดเป็นรู ก่อนจะหันไปถามใครสักคนที่นั่งแถบหน้าๆ
ปัดโถ่ ตัวเองก็จำไม่ได้เหมือนกันนิหว่า
"มีค่ะ" เสียงพลเมืองดีตอบ
"แล้วทำไมเพื่อนเธอถึงจำไม่ได้ว่าวันนี้มีคาบ อาจารย์ พรทิพย์ ล่ะคะ?"
"...."
เอนกกลืนน้ำลายดังเอื้อก ได้แต่ฟังหญิงชราเอ่ยกับนักเรียนหญิงแถวหน้าเหมือนว่าเขาเป็นอากาศ พร้อมทั้งเจ๊แกยังลงเสียงหนักแน่นที่ชื่อตัวเอง ประหนึ่งรู้ตัวว่าชื่อฉันนั้นโคตรทรงอิทธิพลกับนักเรียน แต่เธอก็ยังกล้ามองข้ามวิชาฉันงี้
แล้วทำไมกูถึงคิดเป็นตุเป็นตะขนาดนี้วะ บ้าจริง
"แค่เรื่องหนังสือที่ต้องเอามาทุกคาบที่เรียนยังทำไม่ได้ แล้วไม่ทราบว่าเธอจะรับผิดชอบอะไรได้อีกคะนาย เอนก?"
"...."
"ไปทำรายงานเรืองที่เรียนอยู่แล้วพรีเซนต์หน้าห้อง พรุ่งนี้"
"...."
"เงียบนี่ เข้าใจไหม?"
"ค..ครับ"
ชายหนุ่มตอบรับก่อนจะค่อยๆนั่งลง พร้อมความรู้สึกที่อยากจะวิ่งไปกรี้ดใส่หน้าเจ๊ทิพย์ แล้วตะโกนว่า
'กลับไปให้หมาที่บ้านเทอทำไป!กูทำไม่ทัน!"
แต่ในความเป็นจริงก็ทำได้แต่เพียงยัดยาดมเข้าจมูกอย่างท้อแท้ โดยมีสายตาของนายจรัลมองตามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
เวลาคืนเดียวกับรายงานพร้อมเนื้อหาอันอัดแน่นเล่มหนึ่ง ตาย กูตาย
ตึง!
"จารย์ขา!!เพื่อนเป็นลม!!"
- 17 years old -
สวัสดีครับ
ผมชื่อจรัล ทัพทอง หรือที่ทุกคนเรียกว่าแจม ตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบันก็อายุรวมสิบเจ็ดปีขวบบริบูรณ์ เป็นลูกชายคนเดียวไม่มีพี่ไม่มีน้อง บ้านรวยครับ แต่จะซื้ออะไรได้ทีต้องแทบจะกราบเท้าแม่ด้วยความตระหนี่ที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่รุ่นปู่ทวดย่าทวด ทำให้ผมกลายเป็นคนที่ดูเหมือนกิเลสน้อย อะไรที่เพื่อนๆมีผมมักไม่ค่อยมี นอกจากจะทำงานหาเงินซื้อเองหรือพ่อแม่จะซื้อมาให้เอง ซึ่งนั่นเป็นส่วนน้อยคิดเป็นร้อยละ20สำหรับความเป็นไปได้ที่มันจะเกิด
ชีวิตของผมเรียบง่ายดีครับ
ซึ่งนั่นมันก็เอ่อ..เป็นตอนที่ผมยังไม่รู้จักความรักน่ะนะ
ในชีวิตนี้ผมมีความรักแค่สองครั้ง..หรือสามวะ ครั้งแรกเป็นตอนที่ผมยังเด็กซึ่งไม่ค่อยอยากจะรื้อฟื้นมันเท่าไหร่ แม้จะมีตราบาปเป็นแมวในบ้านตัวเองที่ผมดันตั้งชื่อมันให้เหมือนกับคนที่ชอบ จะเปลี่ยนชื่อมันก็กระไรๆอยู่ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย
ครั้งต่อมาคือตอนม.2 เป็นเด็กผู้หญิง ชอบได้อยู่เดือนกว่า ตอนหลังอกหักเพราะมารู้ว่ามีแฟนแล้วเป็นทอมด้วย งั้นไม่นับ
ส่วนครั้งที่สอง(จริงๆ)ก็คือปัจจุบันนี่แหละครับ จริงๆมันเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่ผมย้ายเข้ามาต่อมอสี่ที่นี้เมื่อปีที่แล้ว
มันชื่อ มาร์ค รณพีร์ ธนา- อะไรสักอย่างผมจำไม่ได้ รู้แต่ว่ายาวมาก เด็กใหม่ที่เข้าพร้อมกันเมื่อปีที่แล้ว เป็นบุคคลที่ผมได้ยินชื่อตั้งแต่ยังไม่ทันจะเห็นหน้า จากผู้หญิงในห้องที่คาดว่าน่าจะเป็นเด็กเก่าที่อยู่ก่อนอาจจะสักปีสองปีหรือทั้งชีวิต ตอนแรกก็แปลกใจว่าคนไหนคือมาร์ค ทำไมถึงกลายเป็นทอลค์ออฟเดอะทาวด์ในวันเปิดเทอมวันแรกแบบนั้น
แต่พอได้เห็นผมก็ไม่ได้แปลกใจ มาร์คเป็นผู้ชายตัวสูงขาวตี๋พิมพ์นิยมที่ผู้หญิงชอบ เอาเป็นว่าถ้าไปเดินแถวข้างถนนก็ไม่สามารถหามนุษย์หน้าตาแบบนี้ได้ง่ายๆ ซ้ำยังเป็นคนที่มีรอยยิ้มเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยิ้มกระชากใจสาว ดูเชิญชวนให้ชายแท้อยากเแปรผันเป็นตุ๊ด ดูเป็นไอดอลของนักเรียนในโรงเรียนเดียวกัน หนักหน่อยก็มีคนตามไปกรี้ดหน้าห้องน้ำเวลาขี้
แล้วทำไมผมถึงชอบมันน่ะหรอ?
ในขณะที่ทุกคนชื่นชมและรุมตอมเด็กใหม่อย่างกับแมลงวันตอมขี้ ผม แจม จรัล คนที่ไม่มีแม้แต่จะมีใครมาถามว่า 'เด็กใหม่อ่อ ชื่อไร' ก็ได้แต่หลบอยู่ในหลืบไม่ออกไปพบปะกับผู้คน มันไม่ใช่วิสัยของผมถ้าจะต้องให้ฉีกยิ้มแล้วเสนอหน้าไปบอกว่า 'สวัสดี เราแจมนะ' ไรงี้
มันไม่ใช๊!
การชวนคุยมันน่าอึดอัดพอๆกับการที่ต้องออกไปพรีเซนต์หน้าห้อง หรือแม้กระทั่งการแนะนำตัวในตอนที่เข้าเรียนที่แห่งใหม่ แม้จะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และก็ทำได้เพียงแต่ปลอบใจตัวเองว่า อย่าตื่นเต้น แปปเดียวเดี๋ยวก็ผ่านไป
หรือเปล่าวะ
"ผมช..ชื่อ จรัล ทัพทอง ชื่อเล่นช..ชื่อ แจมครับ"
"ผู้ชายเหี้ยไรวะชื่อแจม"
เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นแทบจะทันทีที่ผมแนะนำตัวเองจบ
ซึ่ง..
ไอ้เหี้ย! มึงต้อนรับเพื่อนใหม่ของมึงด้วยคำทักทายหมาๆแบบนี้หรอออ
เสียงหัวเราะดังพอเป็นพิธี ดูจะสนุกสนานกับการทำให้ผมหน้าเจื่อนตั้งแต่ยังไม่ทันรู้จักกับใครเลย สัสเอ้ย ซึ่งพอส่งสายตาไปหาครูที่อยู่หน้าห้องก็พบว่าอีกฝ่ายยืนกอดอกนิ่งๆไม่หือไม่อือ ไม่คิดจะห้ามอะไรใดๆทั้งสิ้น
"ทอมปลอมตัวมาปะมึง ฮ่าๆ"
"...."
ยัง ยังไม่หยุดอีก
"ทอมจิงดิ ไหนเปิดดูซิ ว่าชายหรือหญิง"
จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจกันยกใหญ่ ส่วนผมก็ทำได้แต่กระดิกหูแต่ไม่ได้หันหลังไปมองว่าไอ้ส้นตีนตัวไหนมันพูด ทำเป็นไม่เดือดร้อนแล้วจะนั่งลง ซึ่งในจังหวะที่ผมจะนั่ง เสียงใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด ดับทุกความร่าเริงที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่แทบจะทันที
"เสียมารยาทจังครับ!"
"...."
"เป็นพ่อเป็นแม่เค้าหรอ ถึงกล้าไปวิจารณ์เค้าอะ ไอ้ควาย!"
"...."
ทุกคนในห้องตกอยู่ในบรรยากาศมาคุเช่นเดียวกับผม ที่ค่อยๆหันไปตามเสียงแล้วก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นว่าเจ้าของวาจาสามหาวนั่นเป็นคนเดียวกันกับคนที่ทุกเพิ่งอวยกันดังระงมไปเมื่อเช้าว่า
'น่ารักว่ะแก'
หรือ
'พูดจาดี ดูเรียบร้อยอะ'
และ
'สุภาพเวอร์'
ยังมีอีก
'หล่อรวยแล้วยังพูดเพราะ โคตรพ่อของลูกกูในอนาคต'
จรัลได้ยินหมด
แล้วดูตอนนี้ดิ สะอึกกันเป็นแถบ
"อ่า..ใจเย็นเนอะเด็กๆ..จรัลใช่ไหมลูกนั่งลงได้ค่ะ"
ผมยกมือไหว้ครูที่เดิมยิ้มแหยเข้ามาปรามตอนที่สงครามสงบเรียบร้อยแล้วนั่งลง ไม่วายหันไปมองคนที่ปกป้องผมจากคนใจทรามที่ตอนนี้ทำเป็นฟุบหน้าลงกับโต๊ะท่ามกลางสายตาของเพื่อนในห้องที่มองสลับไปมากันด้วยความระแวง
แต่ก็ เอ่อ..นี่ละมั้งครับ ความประทับใจแรกกับเด็กใหม่ที่ชื่อมาร์ค
.
.
.
"แจมปะ?"
"...."
"เห้ย ชื่อแจมใช่ป่าว"
"อ..อ่า"
"เรามาร์คนะ กินข้าวด้วยคนดิ"
นี่มันเรื่องอะไรกันพระเจ้า
ผมพยักหน้าหงึกหงักให้ไอ้หน้าหล่อที่มาขอนั่งกินข้าวด้วยคนในตอนที่ผมกำลังนั่งเล็มข้าวอยู่อย่างโดดเดี่ยว อีกฝ่ายยิ้มรับพอเป็นพิธีแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม ก่อนจะเริ่มเปิดบทสนทนาโดยไม่ปล่อยให้ผมได้แดกข้าวอย่างสงบสุขอีกต่อไป
"ชื่อแจมนี่ใครตั้งให้อ่อ"
มึงจะรู้ไปทำไมวะ ไม่ได้มาขอนั่งกินข้าวด้วยเพราะต้องการจะรู้แค่นี้หรอกนะ ไม่งั้นกูจะตีมึงด้วยช้อนโรงเรียน
"แม่"
"อ๋อ"
จริงๆแล้ว ชื่อแจมก็ไม่ได้มีที่มาที่ไปอะไรหรอกครับ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุจะสิบแปดปีก็ไม่เคยถามสาเหตุว่าคิดยังไงถึงตั้งชื่อนี้ รู้แต่ว่ามันไม่ได้มีความหมายแฝงอะไรลึกลับซับซ้อนขนาดนั้น และก็ใช้มาด้วยความเคยชิน
ก็ปกติไปที่ไหนก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องชื่อหรอกครับ เพิ่งจะมีอีโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนแรก
หลังจากนั้นผมกับไอ้เด็กใหม่ตรงหน้าก็นั่งกินกันไปเงียบๆจนออดขึ้นเรียนคาบบ่าย ก็พากันแยกย้าย คิดว่ามันคงจะมาแค่วันนี้พรุ่งนี้ก็อาจจะไปกับกลุ่มอื่น
แต่ผิดคาดว่ะ เพราะวันถัดมา ไอ้เด็กใหม่หน้าหล่อก็เดินมา ด้วยประโยคเดียวกันกับเมื่อวานว่า 'กินข้าวด้วยคนดิ' พร้อมแนะนำตัวเองเพราะกลัวผมจะจำมันไม่ได้
ใครจะจำมันไม่ได้บ้างวะ ถามที
จากวันแรก ก็มีวันที่สอง ที่สาม ที่สี่ เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน
พอรู้ตัวอีกที อ้าว ปีหนึ่งแล้วนี่หว่า
พิเศษใส่ไข่คือ วันเวลาที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ความสนิทสนมที่มีมากขึ้น ความรู้สึกแปลกใหม่ของผมที่มีต่อมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นๆ และต้องยกความดีความชอบให้กับความฉลาดของผม ที่ทำให้สามารถนิยามไอ้ความรู้สึกต่างๆนั่นได้เป็นคำว่า 'ชอบ'
ครับ ผมชอบไอ้มาร์ค ไอ้คนที่ผมไม่ปฏิเสธว่าสนิทกับมันที่สุด สนิทกายแต่ไม่สนิทใจอะครับผม
แม่ง เศร้า รู้สึกกบฎยังไงก็ไม่รู้
เคยคิดจะตัดใจ แต่ด้วยอานุภาพความหล่อ บ้านรวย ละมุนละไมของมัน และที่สำมะคันแม่งโคตรเปย์ ก็กลายเป็นว่าผมไม่แพลนที่จะเลิกชอบมันเร็วๆนี้อะครับ
บน ถ้าเลิกชอบแม่งได้แบบไม่ได้มีแพลนจะขายบ้าน ให้ป๊ากะม๊าไปเช่าอพาร์ทเม้นต์เอา
เป็นงะ โคตรคูล ภูมิใจสัส
สมกับเป็นจรัลจริงๆ
- 17 years old -
"ป้าครับ เอาผัดกระเพราแล้วก็ไข่ดาวจาน"
ผมบอกป้าที่ประจำร้านอาหารตามสั่ง ด้วยความที่ป้าแกมีใบหน้าที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับใครทำให้คนมาอุดหนุนร้านแกน้อย ถ้าเทียบกับร้านอื่นๆที่แถวยาวจนเกะกะขวางทางเดินไปหมด
แต่ด้วยความสัจจริง ร้านนี้อร่อยครับ แม้จะเป็นเมนูสิ้นคิดอย่างผัดกระเพราและไข่ดาวน่ะ
ผมมองป้าแกตักอาหารด้วยความไวแสง ก่อนจะยื่นมือไปรับจ่ายตังค์แล้วแจกยิ้มแถมให้อีกหนึ่งดอก แต่วืดครับ เพราะป้าแกไม่ยอมมอง
พอได้ข้าวผมก็พาด้วยเองมานั่งที่โต๊ะตรงกลางโรงอาหารที่มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว อีกฝ่ายยังนั่งก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือโดยที่ยังไม่แตะข้าวในจาน พอผมนั่งลงฝั่งตรงข้ามนั่นแหละมันถึงเงยหน้ามอง
"ผัดกระเพราอีกละ ไม่เบื่อบ้างไงวะ"
นี่สามารถนับว่าเป็นคำทักทายประจำทุกเที่ยงของไอ้มาร์ค มันทำหน้าแหยแล้วชะโงกมามองข้าวผัดกระเพราในจานผม ก่อนจะกลับไปนั่งปกติเหมือนเดิม
"ทำไมวะ ผัดกระเพรามันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ"
"ไม่ได้แย่ แต่กูเห็นมึงกินเกือบจะทุกวัน เห็นแล้วเบื่อแทน"
แหน่ะ มีความเบื่อแทน เขินดีมั้ยกู
"ก็ไม่รู้จะกินไร ป้าเขาก็ทำอร่อยนะพูดจริง"
ไอ้คนที่นั่งเหมือนจะไม่รับฟัง ซ้ำมันทำสิ่งที่ทำให้ผมต้องงงงวย เมื่อมันลากจานข้าวของผมไปฝั่งมัน แล้วสลับดันจานข้าวของมันมาฝั่งผม ผมขมวดคิ้วแล้วก้มมองข้าวหมูแดงตรงหน้า ก่อนจะเงยหน้าถามมันใหม่
"ทำไรของมึงมาร์ค"
"ก็อยากรู้ว่าอร่อยจริงป่าว"
"...."
อะไรวะ คืออยากรู้แล้วมึงจะสลับจานคนอื่นเขากันง่ายๆงี้เลย ไอ้บ้าเขินนะ
แม้ส่วนลึกกำลังเขินเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ก็ตาม แต่ในความเป็นจริงผมก็ทำเป็นตีหน้าขรึมแล้วพูดกลับไปว่า
"แล้วกูจะกินไรอ่ะ?"
"ของกูไง อร่อยเหมือนกัน"
ง่ายเนอะ แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมันกลับไปพร้อมค่อยๆจับช้อนที่ไอ้มาร์คมันจับก่อนหน้านี้ด้วยความเขินเล็กๆ นี่เค้าเรียกว่าจับมือกันทางอ้อมผ่านเชื้อโรคที่ติดอยู่บนช้อนแน่ๆ
เขินว่ะ ไอ้มาร์ค ไอ้บ้า
มันยากมากนะครับ สำหรับการกลั้นยิ้มกับมโนแลนด์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา พร้อมจะตักข้าวเข้าปาก แต่ยังไม่ทันที่จะได้กินคำแรก สายตาผมก็ดันเหลือบมองเลยหลังไอ้มาร์คไปแล้วก็พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังมัน
ผมจำได้ว่าเธอชื่อพี่แตง อยู่มอหก แล้วก็รู้ด้วยครับว่าเธอจ้องไอ้มาร์คมาเป็นแรมปี ตั้งแต่ที่มันเข้ามอสี่ใหม่จนจะขึ้นมอหกอยู่แล้วพี่แกก็ยังไม่เลิกชอบ ทุกคนนอกจากผมก็รู้เพราะข่าวออกจะครึกโครม ก็พี่แกเล่นเปิดเผยซะขนาดนี้ เหลือรอให้ไอ้มาร์คใจอ่อนอย่างเดียวก็สมหวังละ
ซึ่งถ้าถึงวันนั้นจริงผมจะไม่มาเรียน จะนอนร้องไห้อยู่บ้าน
ดูเหมือนว่าผมจะมองพี่เขานานเกินจนพี่แตงหันมาทางผม พี่เขาเอานิ้วจรดปากแล้วออกเสียงชู่วว่าให้ผมเงียบ ผมก็พยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเธอจะย่องเข้ามาด้านหลังไอ้มาร์คแล้วก็..
"จ๊ะเอ๋!"
"...."
พี่แกเล่นตะปปหลังไอ้มาร์ค คนที่นั่งกินข้าวผัดกระเพราไม่รู้อิโหน่อิเหน่สะดุ้งเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ ด้วยความที่มันก็ตกใจ ไอ้มาร์คก็เลยขมวดคิ้วหันไปหาคนด้านหลัง ประจวบเหมาะกับที่พี่แตงเอียงหน้าเข้าไปใกล้มันพอดี เลยทำให้จมูกไอ้มาร์คเฉียดจมูกพี่แกอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เคร้ง!
"...."
แต่คนที่ตกใจกว่าทั้งไอ้มาร์คทั้งพี่แตงก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากผมที่กำลังอ้าปากหวอนั่งมองภาพตรงหน้าเป็นภาพสโลว์โมชั่นแล้วเผลอปล่อยช้อนในมืออย่างไม่รู้ตัว
พูดสิว่าไม่ได้ตั้งใจ จะร้องไห้แล้วนะว้อย!
"อ้าว พี่แตง มาทำไรอ่ะ?"
ยังโชคดีที่ไอ้มาร์คดูเหมือนจะมีภูมิต้านทานมากกว่า มันเลยผงะถอยหลังเหมือนโดนสีกาไม่ได้ แล้วเอ่ยทักคนอายุมากกว่าที่ตอนนี้กำลังยืนหน้าดำหน้าแดงอยู่ด้วยความเขินระดับล้าน
"เมื่อเช้าอ..เอ่อ พ..พี่ทำขนมมาให้...อ่ะ"
"โห ไม่น่าลำบากเลยพี่"
"ไม่เป็นไร น้องมาร์คกินนะ"
พี่เธอพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะหยิบถุงกระดาษที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นคุกกี้หรืออะไรสักอย่างมาให้ไอ้มาร์ค ซึ่งมันก็รับมาแบบเกรงๆใจ หลังจากนั้นพี่แตงก็ยืนเก้ๆกังๆเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรต่อเพราะโดนอานุภาพความหล่อแอคแทคเข้าไปหนึ่งดอกก็ไปไม่เป็น
"เอ่อ..งั้นพี่ไปแล้วนะบาย...บายน้องแจม"
เธอพูดเร็วๆไม่วายหันมาบอกลาผมแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ผมมองตามไปจนเห็นว่าพี่เขานั่งลงโต๊ะที่มีเพื่อนของพี่เขามองด้วยความลุ้น เชื่อไหมครับ ว่าพอตูดพี่เขาแตะเก้าอี้ เสียงพี่แกก็แหลมปรี้ดลบภาพเด็กสาวขี้อายเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ได้อย่างหมดจด
'อีด๊อกกกก!พวกมึงเห็นมั้ยเมื่อกี้ อิเหี้ยย กรี้ดดดด จะเป็นลม'
ไหนความขี้อายที่พี่แสดงเมื่อกี้ว่ะ คุณหลอกดาว
"แจม"
"หา"
เสียงเรียกทำให้ผมเสตากลับมาทางตรงหน้าตัวเอง แล้วก็พบคนหล่อเรี่ยราดนั่งมองหน้าอยู่1อัตรา
แต่ยังฟินได้ไม่สุด ไอ้มาร์คจัดการเลื่อนถุงกระดาษที่ผมจำได้ว่าเป็นถุงที่พี่แตงให้มันมาตรงหน้าผม ผมก็เลยเลิกคิ้วถาม
"อะไรวะ"
"เอาไปดิ"
"...."
"ขนมอ่ะ ทำงงอีก"
มันว่าอย่างนั้นก่อนจะก้มลงไปจัดการข้าวตัวเองต่อ ทิ้งให้ผมที่ยังนั่งประมวลคำพูดของมันอยู่เกือบหลายวินาที พอจับความรวมๆได้ว่า ให้ผมเอาขนมพี่แตงไปกิน หรือแกะแล้วแบ่งกินกับมัน
งงครับ แต่ไม่ได้แปลว่าโง่
"กูไม่ชอบกินขนม"
ดูเหมือนมันจะล่วงรู้ความคิดผ่านสีหน้างงๆของผม มันก็เลยบอกเหตุผลด้วยประโยคสั้นๆที่ถ้าผมเป็นพี่แตงมาได้ยินอาจจะกระโดดถีบยอดหน้ามันแล้วพูดให้หายแสบประมาณว่า 'ไม่ชอบแดกทำไมไม่บอก เสียเวลาเสียเงิน!' แต่พี่เขาดีเกินไปครับ ผมมั่นใจว่าพี่เขาจะไม่มีทางใช้วาจาแบบนั้นกับไอ้มาร์คแน่ๆ
แต่ขอโทษเถอะ ถึงผมจะไม่ได้เต็มใจที่พี่แตงเข้าหามันนัก แต่ผมก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดจะทำลายความตั้งใจของใครโดนการไปแย่งของเขามากินหน้าด้านๆหรอกนะ
"บ้า พี่เขาอุตส่าห์ทำมาให้" ผมว่าพลางเลื่อนถุงกลับไป "มึงไม่ชอบทำไมไม่บอกพี่เขาไปละวะ เสียของ"
"ก็เพราะกลัวเสียของไงถึงให้มึงกิน เอ้า"
"ไม่ว้อย มึงรู้ปะถ้าพี่แตงเขารู้เขาจะเสียใจนะสัส"
จู่ๆก็รู้สึกเหมือนองค์พระเอกจะเข้าสิง แต่มันก็ไร้ความรู้สึกรู้สากับคำพูดผม ทำไมเป็นคนเย็นชางี้ ถ้าเป็นผมทำมาให้มันกินบ้างแม่งไม่เอาไปโยนทิ้งเลยหรอวะนั่น
พูดแล้วก็กลัว เมมไว้ในสมองแล้วว่าแม่งไม่ชอบกินขนม
จากนั้นก็เกิดสงครามเล็กๆบนโต๊ะ ไอ้มาร์คมันพยายามยัดเยียดขนมที่เพิ่งรู้ว่าเป็นคุกกี้รสนมจริงๆเพราะไอ้มาร์คมันแกะออกมา ซ้ำยังยื่นมาตรงหน้าผม จนเริ่มเอะใจละว่าม้นมีปมอะไรกับขนมนักถึงได้ขู่เข็ญกันแบบนี้
"อะไรของมึงเนี่ยเชี่ยมาร์ค"
"จะแดกดีๆหรือจะให้กูป้อน"
ป้อน!!
เวร เกือบ จะลั่นแล้ว จะลั่น ดีนะยั้งปากไว้ทัน
"วุ่นวายว่ะ"
ผมด่ามันกลบเกลื่อน ก่อนจะรับคุกกี้สีขาวมากินอย่างจำยอม
เอ้อ! หร่อยว่ะ พลาดแล้วไอ้มาร์ค ไม่น่าเชื่อว่าพี่แตงทำขนมอร่อยขนาดนี้
"ดีครับดี ถือไปด้วย กูไปละ"
"อ้าว เดี๋ยว-"
ไอ้มาร์คมันไม่รอให้ผมพูดให้จบก็ยกจานเดินลิ่วๆนำหน้าไป ส่วนผมก้มมองในจานก็พบว่าข้าวยังไม่พร่องไปสักนิด แต่จำใจต้องลุกตามมันไปทั้งที่ยังไม่ได้ชิมข้าวหมูแดงของมันสักคำ
รู้ยังว่าอะไรสำคัญกว่า
ถ้ายังไม่รู้ก็จะตอบให้เอาบุญครับว่า ไอ้มาร์ค /บิด
.
.
.
แกร๊ก..
บรรยากาศในเวลาเกือบทุ่มกว่าๆนั้นเงียบสงบ ร่างโปร่งของเจ้าของห้องเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูพาดที่ไหล่ ก่อนเจ้าตัวจะกระโดดลงเตียงอย่างเมื่อยล้าไปทั้งตัว
ลำพังแค่เรียนเขาก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรขนาดนั้น แต่เพราะสองคาบสุดท้ายมันดันเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ติดกันเนี่ยสิ
ดีแล้วที่รอดตาย
จรัลพ่นลมหายใจออกมาหนักๆแล้วค่อยๆปิดเปลือกตาลง แต่เพราะร่างโปร่งเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก เขาจึงผุดลุกขึ้นก่อนจะเดินดุ่มๆลงบันไดแล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้าตู้เย็น
เชี่ย..หายไปไหนวะ
จรัลนึกในใจในขณะที่กำลังสอดส่ายสายตาหาถุงกระดาษที่เขาถือมันมาจากที่โรงเรียนและจำได้ว่าวางมันไว้บนตู้เย็นก่อนจะขึ้นห้องไปอาบน้ำ แต่มองดูจนดีแล้วก็เห็นแต่เพียงน้ำพริกแมงดาสองกระปุกวางไว้แค่นั้น จนบิดาที่เดินผ่านมาเห็นท่าทีลูกชายตัวเองต้องหยุดถามด้วยความสงสัย
"หาไรลูก?"
"ถุงขนมอ่ะ แจมวางไว้-"
ร่างโปร่งหันกลับไปตอบอย่างร้อนใจแล้วหันกลับมาเพื่อจะเปิดดูในตู้เย็นเผื่อใครหวังดีเอาไปแช่ให้
แต่เดี๋ยวนะ
ตะกี้เหมือนเห็นป๊าถือถุงอะไรไว้อยู่วะ???
นึกไปก็เท่านั้น จรัลเลยตัดสินใจหันไปมองอีกครั้งเพื่อย้ำความแน่ใจว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง แล้วก็ต้องอุดปากกรี้ดเพราะสิ่งที่เขากำลังหาอยู่ในมืออีกฝ่ายพร้อมหลักฐานที่กำลังคาปาก
"ถุงนี้ปะ เอออร่อยดีนะซื้อร้านไหนมา วันหลังจะฝากซื้อ"
"ป๊า!!!!"
.
.
.
เพิ่งจะรู้ว่าถุงขนมนั้นมีคุณค่ามากแค่ไหนก็ตอนที่รู้ว่ามันหมดไปแล้ว
เด็กชายนั่งมองถุงขนมเปล่าๆด้วยความอาลัยอาวรณ์ที่พอถลาไปแย่งมันมาจากบิดาตัวเองได้ก็สายไปเสียแล้ว คว่ำถุงออกมาก็เหลือแต่ผงคุกกี้ให้เป็นมีดทิ่มแทงใจเล่น
ป๊านะป๊า หิวทำไมไม่บอกกันดีๆวะ มาหยิบของคนอื่นมั่วซั่วแบบนี้ได้ไง ลงไปตีดีไหมเนี่ย
เฮ้อ บาปอีกแล้วกู
จรัลส่ายหัวไล่ความคิดตัวเองก่อนเดินไปนั่งตรงโต๊ะอ่านหนังสือแล้วหยิบปากกาเมจิกขึ้นมา พร้อมเขียนมันลงบนถุงกระดาษอันฟีบเหี่ยวเป็นลายลักษณ์อักษรตัวเบอเร่อว่า
'ไอ้มาร์คให้'
พร้อมหัวใจดวงเล็กเท่าขี้แมลงวันอีกหนึ่งดวง
และจรัลก็เพิ่งรู้ว่าชื่อของคนๆหนึ่งมีอิทธิพลต่อหัวใจขนาดไหนก็ตอนที่จ้องมองชื่อคนที่เขาเพิ่งจะเขียนลงไปแล้วก็ทำได้แต่นั่งยิ้มเพียงลำพัง ซบหน้าลงกับถุงกระดาษราวกับคนบ้า
ก่อนจะจมสู่ห้วงนิทราพร้อมเรื่องราวดีๆที่ทำให้เขานอนหลับฝันดีไปอีกหนึ่งคืน
#สวัสดีจรัล
Tbc
แก้ไขเนื้อหานิดหน่อยค่ะ แหะ
ชอบก็มาเม้ามอยหอยกาบกันได้ที่ #สวัสดีจรัล นะคะ
1 เม้น = 1 กำลังใจ ขอบคุณฮับ!!!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น