ตอนที่ 9 : REPORT 08 : เกียวโต
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของทั้งคู่กับการได้เหยียบผืนแผ่นดินประเทศเกาะข้างเคียง อดีตต่างคนต่างก็มาด้วยเรื่องงานคนละอย่าง คนหนึ่งมาด้วยคำสั่งจากองค์กร คนหนึ่งมาเพื่อปากท้อง ทว่าปัจจุบันพวกเขามาที่นี่ด้วยจุดหมายเดียวกันนั่นคือ ‘งาน’
แม้จะมีเวลาไม่มากสำหรับการเตรียมตัวที่ถือว่าค่อนข้างกะทันหัน มันเป็นเวลาไม่ถึงเดือนดีนักที่ต้องโยกย้ายไปประจำต่างบ้านต่างเมือง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตสายลับ กลับกัน ยิ่งมีประสบการณ์ทำนองนี้ก็ยิ่งทำให้จองกุกและทีมร่วมกันวางแผนได้ถูกทิศทางมากขึ้น รวมทั้งไม่ใช่พื้นที่ที่ไปครั้งแรกจึงค่อนข้างวางใจ ถึงจะคนละส่วนที่คราวก่อนไปอยู่โตเกียวก็ตาม
ส่วนซอกจินเองก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ในเมื่อขึ้นชื่อว่ามิจฉาชีพก็ย่อมอยู่ที่ใดไม่ได้นานหากลงมือสำเร็จ เรื่องย้ายถิ่นสายฟ้าแลบเนี่ยถนัดนัก
แต่ตอนนี้ปัญหาอยู่ที่ว่าพวกเขาได้มาปักหลักที่เกียวโตระยะเวลาหนึ่ง เกียวโตเป็นเมืองเก่าที่อุดมไปด้วยสถานที่แห่งประวัติศาสตร์มากมายอันเป็นสมบัติของชาติ ทำให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออีกแห่งของญี่ปุ่นจนสามารถเป็นแหล่งทำรายได้ให้ประเทศอย่างมากมาย แน่นอนว่ากิจการโรงแรมก็ผุดตามมาเป็นดอกเห็ด ตามแหล่งตามย่านยอดนิยมจะเห็นทั้งโรงแรมสมัยใหม่และแบบเรียวกัง กิจการที่พักนั้นขยับขยายได้ดีขนาดสามารถพักในวัดได้ (ถ้าวัดแห่งนั้นมีส่วนเข้าพักด้านใน ส่วนใหญ่เป็นแบบเรียวกัง) แต่ด้วยความที่การทำงานของพวกตนที่อาจต้องเข้าๆออกๆช่วงกลางคืน การพักในวัดคงไม่สะดวกและรบกวนพระ-เจ้า โรงแรมดีๆเป็นเรื่องเป็นราวอาจจะมีเงื่อนไขที่ยุ่งยากเพื่อความปลอดภัย เพราะฉะนั้น...
ที่หมายที่คู่หูทั้งสองต้องเข้าพักก็คือเรียวกังกึ่งโฮสเทลเล็กๆ ที่เหมือนมีไว้รองรับนักท่องเที่ยวที่จองโรงแรมหรือเรียวกังมีชื่อไม่ทันมากกว่า และพวกเขาได้มาติดต่อล่วงหน้าแล้วว่าจะขอเหมาจ่ายอยู่สักเดือนจนได้ราคาไม่โหดร้ายมากนัก (ซึ่งจองกุกคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นประเด็นสำคัญสุด) พร้อมกับรับรองแน่นอนแล้วว่าไม่มีใครอุตริเข้าไปตาย ดังนั้นอย่างน้อยก็ปลอดภัยจากผีไปได้อย่างหนึ่ง
สองหนุ่มยิ้มทักทายให้กับคุณยายผู้ดูแลที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ เธอสูงวัยก็จริงแต่ก็ยังดูกระฉับกระเฉงและเป็นมิตรพอประมาณ จองกุกยื่นเอกสารที่เขียนด้วยภาษาญี่ปุ่นให้เธอไปอ่านจนได้บัตรแข็งคล้ายเป็นบัตรแลกสำหรับผู้มาเข้าพักเนื่องจากว่าประตูบานเลื่อนไม่มีกุญแจจึงไม่สามารถล็อคได้ แต่ก็ทดแทนด้วยกลอนที่พื้นแทน แต่ในเมื่อที่พักมันไม่สะดุดตาเสียขนาดนี้ พวกเขามาในเวลาที่เพิ่งจะพ้นช่วงงานเทศกาลหน้าร้อนไปไม่เท่าไหร่ จำนวนนักท่องเที่ยวเลยไม่ได้ขึ้นถึงจุดพีค แต่ในห้องที่เดินผ่านมาก็พอได้ยินเสียงนักท่องเที่ยวที่มาเข้าพักเหมือนกัน
ข้าวของที่นำมาในกระเป๋าเดินทางมีสัมภาระที่จำเป็นอย่างเสื้อผ้าและเครื่องอาบน้ำ อุปกรณ์สื่อสาร และอุปกรณ์ทางวิชาชีพที่จะขาดไปไม่ได้เลย ทั้งชุดดักฟังที่ออกแบบมาใหม่ให้พกพาสะดวกและสะดุดตาน้อยลง แคปซูลระเบิดแสงใช้แล้วทิ้งหนึ่งแผงที่บีบก่อนขว้างจะให้แสงสว่างเทียบเท่าดวงอาทิตย์ ปืนพกคลื่นไฟฟ้าที่มีไว้เพื่อน็อคคนมากกว่าฆ่า ใช้การชาร์จแทนบรรจุกระสุนทว่ามีเวลานาน และอื่นๆอีกเล็กน้อยเพื่ออำนวยในการหลบหนีมากกว่าโจมตี
เพื่อย้ำว่าสายลับไม่ใช่แนวบู๊นะครับทุกคน จะใช้กำลังก็ต่อเมื่อป้องกันตัวและเพื่อให้หนีได้สะดวกเท่านั้น ออกจะต่างกับในหนัง00*(**เซนเซอร์--)และภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ตั้งแต่ภาคแรกยันล่าสุดอยู่สักหน่อย แต่ก็อย่างว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ใช่ว่าจะไม่ได้มีเค้าลางของสถานการณ์อันตรายจริงอยู่เลย
ห้องที่ทางหน่วยได้ติดต่อขอเช่าเหมาจ่ายล่วงหน้าในระยะสามสิบวันเป็นห้องพักสไตล์ญี่ปุ่นขนาดหกเสื่อทาทามิ ประตูเลื่อนที่ทำขึ้นใหม่เพื่อความปลอดภัยมากขึ้นโดยเพิ่มกลอนประตูด้านล่างรวมทั้งตัวประตูก็ไม่ใช่กระดาษดังเดิม แน่นอนว่าความกว้างขนาดหกเสื่อซึ่งกว้างประมาณสามเมตรกว่าก็ไม่ได้ใหญ่อะไร แต่ก็พอดีสำหรับอยู่กันสองคนแล้ว ฟูกกว้างที่ปูอยู่สุดห้องได้รับการเปลี่ยนผ้าปูและจัดเตรียมหมอนเรียบร้อย จองกุกเดินไปก้มๆเงยๆสำรวจห้องตรงนั้นตรงนี้ เปิดตู้สอดส่องหาสิ่งผิดปกติ ในขณะที่ซอกจินเหมือนจะกวาดมองด้วยความตื่นเต้นเสียมากกว่า
“ถ้าจำไม่ผิดห้องพักแบบนี้ปกติเขานะนอนฟูกกันเนอะครับ” ร่างสูงย่อตัวลงพลิกๆดูฟูกบนพื้นอย่างสนอกสนใจ “ผมอยากนอนกับคุณจะแย่แล้ว”
“ผมว่าผมนอนที่ทำงานดีกว่า” สายลับจอนตอบเสียงกระด้าง นี่มันเหมือนเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงภัยยิ่งกว่าเดิมอีก ไม่เหมือนตอนอยู่ที่ห้องพักที่แม้ว่าพวกเขาจะนอนห้องเดียวกัน แต่เตียงสองชั้นก็ช่วยแบ่งแยกอาณาเขตให้ระดับหนึ่ง อย่างน้อยถ้าหมอนั่นคิดจะทำอะไรก็อาจลุ้นให้ตกเตียงชั้นสองลงมาหัวฟาดตายได้ แต่ถ้านอนฟูกข้างกัน .... รู้สึกจะเห็นทางรอดยากอย่างไรก็ไม่รู้
“โธ่ ห้องพักดีๆมีไม่นอน ที่นี่ก็ไม่ได้แย่เลยนะครับ แค่อาจจะไม่สวยสะอาดเอี่ยมแบบเรียวกังชั้นนำหรือขึ้นเว็บก็เถอะ”
“ไม่แย่หรอกครับ ถ้าไม่มีคุณ”
“แน่ะ ร้ายอีกแล้ว ไม่เคยจะใจดีกับผมอะ” ซอกจินเบ้หน้าทำปากยื่นตะงุ้ยก่อนจะเบนความสนใจไปยังตู้เสื้อผ้าที่มียูคาตะสำหรับใส่นอนพับไว้ข้างใน “มาใส่ไอ้นี่นอนกันเถอะครับ น่าสนใจ”
“ไม่” รู้นะเว้ยว่าคิดอะไรอยู่!!! จองกุกหันไปถลึงตาใส่โดยไม่ได้พ่นคำพูดที่เหลือออกมา
“ทีเป็นยูนิฟอร์มที่บาร์ล่ะใส่ได้”
“ก็นั่นมันยูนิฟอร์ม แล้วผมก็ไม่ได้ใส่แค่ชุดนี่อย่างเดียวด้วย ก่อนจะสนใจเรื่องคนอื่นน่ะเช็กของตัวเองเรียบร้อยแล้วเหรอไงครับ”
“ผมไม่ต้องมีพร็อพอะไรมากนี่” คนโตกว่าหงายฝ่ามือทั้งสองแล้วยักไหล่ “พวกชุดฟอร์มยังไงก็ต้องไปเปลี่ยนที่ทำงานอยู่แล้ว ทำไมเราไม่ดูของที่เราจะต้องใช้ก่อนไปถึงที่นั่นล่ะ”
“...” ตากลมสวยหรี่ลงเล็กน้อยอย่างพินิจ ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าโน้ตบุคของตัวเองที่เป็นตัวไว้ใช้ประกอบภาคสนาม มันจึงไม่ได้มีโปรแกรมใช้งานหนักเครื่องอะไรนอกจากบรรจุไฟล์และติดตั้งชิปพิเศษเพื่อระบุโลเคชั่นในการยืนยันพื้นที่และส่งข้อมูลมาที่เครื่องนี้โดยตรง นิ้วแตะเปิดโฟลเดอร์ที่ถ่ายโอนตัวก็อปปี้จากดาต้าเบสมาอยู่ก่อนแล้วเพื่อเช็กเป้าหมายที่พวกเขาจะต้องจับตามองในภารกิจครั้งนี้
เรื่องที่โรงแรมคราวก่อนก็เรื่องหนึ่งที่เชื่อมโยงกันในขั้นแรก เพื่อจะให้แน่ใจว่าคนใหญ่คนโตมีซัมติงวรองอะไรกับเรื่องไม่ชอบมาพากลกับนักธุรกิจทรงอิทธิพลทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่ ซึ่งตอนนี้ก็แน่ใจแล้วหนึ่งอย่างว่าฝ่ายนั้นอยากมีเอี่ยว ถึงทางนายมินจะยังไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจนก็ตาม พวกเขาเลยเล็งไปยังเป้าหมายต่อไปที่เป็นหนึ่งในคู่ค้า แต่ก็ไม่เชิงว่าใช่เสียทีเดียว เมื่อได้ประวัติที่ลงลึกอีกนิดว่าธุรกิจที่เคยเจรจากันนั้นก็มาจากที่สองฝ่ายเป็นมิตรกันมาก่อนหน้าที่ยุนกิจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำภายในตระกูลด้วยซ้ำ
อีกฝ่ายนั้นจะรู้เรื่องอะไรหรือว่าแอบยื่นมือมารุ่มร่ามในครั้งนี้ด้วยหรือไม่ เป็นหน้าที่ของพวกเขาที่ต้องเก็บข้อมูลเพื่อพิสูจน์ให้ชัด และเผื่อจะสาวไปยังเบาะแสอื่นๆได้อีก
“ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาเพิ่งอายุสามสิบเท่าผม เห็นทีไรก็นึกว่ารุ่นพ่อ”
นายคิมอัลปาก้ามองภาพของนักธุรกิจชั้นแนวหน้าผู้หนึ่ง แต่ภาพที่ว่าไม่ได้ปรากฏในสำนักสื่อให้เป็นที่จับตามอง มันเป็นภาพแอบถ่ายที่สนามบินจากมุมไกลด้วยเลนส์กำลังสูง จนพอจะทราบรายละเอียดใบหน้าและแยกออกว่าใครเป็นใคร
“น้อยๆหน่อยเถอะ คุณก็ไม่ได้ต่างกันเลย .... ตาลุงโรคจิตชัดๆ” ประโยคท้ายสายลับจอนพูดอุบอิบเสียงเบา
“ถ้าผมจะเป็นพ่อ ต้องเรียกผมว่าแด๊ดดี้นะครับที่รัก”
“เข้าเรื่องงานต่อเถอะ!” จองกุกพ่นลมออกจมูกดังพรึ่ด “ย้ำอีกครั้ง กิจการที่ถือครองอยู่เขาเซ็นในนามของผู้บริหารชาวญี่ปุ่น แต่คนที่ควบคุมทั้งหมดอยู่เบื้องหลังจริงๆก็คือหมอนี่ ซึ่งเป็นคนเกาหลี”
จองกุกยื่นนิ้วไปเคาะจอที่บริเวณตำแหน่งใบหน้าในภาพ
“คุณว่าโมเดลนี้มันคุ้นๆมั้ย”
“เอ๋?”
“ยังมีคนญี่ปุ่นที่แอนตี้ชาติอื่นอยู่ไม่น้อย ถึงความจริงเกาหลีเราจะสามารถเข้าถึงประเทศเขาได้แล้วก็เถอะ แต่ถ้ากิจการใหญ่ๆแทบคุมประเทศเนี่ย ให้คนต่างชาติที่เคยเกลียดนักหนามาคุมก็คงยังไงอยู่ ไม่คิดงั้นเหรอ ถึงผมจะคิดว่าเรื่องการเมืองก็ส่วนนึงก็เถอะ”
“แล้วตกลงมันยังไงอะครับจองกุก”
“เอ๊ะ นี่คุณกวนประสาทผมเหรอ”
“เปล่า ก็เห็นคุณยกเรื่องการเมืองระหว่างประเทศมาอธิบาย ผมก็จับประเด็นไม่ได้น่ะสิว่าต้องการให้ผมตอบยังไง”
“เรื่องผู้บริหารเงา” ชายหนุ่มเม้มปากข่มใจ “ไม่คิดว่าเหมือนใครบางคนที่บ้านเหรอไง”
“เนี่ย พูดแค่นี้ก็รู้เรื่องแล้วครับ ซอนแบนิม” ซอกจินป้องปากขำคนข้างกายอย่างเอ็นดู จริงๆตนก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจองกุกหมายความว่าอย่างไร แล้วก็ไม่ได้อยากจะลองภูมิเพราะเทียบชั่วโมงบินในการงานด้านนี้ตัวเขาเทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ
นายจอนทำหน้าที่ปัจจุบันได้ดี แต่ลึกๆคงไม่ได้ Born to be สายนี้ตั้งแต่แรกแน่
“งั้นก็ทวนต่อ นอกจากเป้าหมายแล้วยังมีสิ่งที่ต้องระวัง” เขากดเรียกภาพในโฟลเดอร์เดียวกันขึ้นมา เป็นภาพหญิงสาวผมแดงอมส้มหม่นร่างสูงโปร่งในอิริยาบทต่างๆ ที่เหมือนจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวันธรรมดา ทว่าท่าทีของเธอกลับแฝงนัยแห่งการระแวดระวังเอาไว้ ใบหน้าที่สวยหมดจดอันเคร่งขรึมทั้งมีเสน่ห์ลึกลับ และอันตรายไปพร้อมกัน
“เฮ้อ เห็นทีไรผมก็อยากจะมาเป็นบาร์เทนเดอร์กับคุณซะให้รู้แล้วรู้รอด”
“เพราะงี้ไง ไปส่งบะหมี่น่ะถูกแล้ว”
“ผมแยกแยะเป็นน่า”
“ผมก็แค่ทำเพื่องานเหมือนกัน” จองกุกหันมากดใบหน้าลง เสียงที่เคยแหบๆเบาๆฮัสกี้วอยซ์ก็ลงเข้มขึงขัง ถึงจะเป็นภาพที่ชวนใจเต้นสำหรับซอกจินก็ตาม แต่ก็คิดว่าหยอกมากเกินไปภัยจะมาถึงตัวเข้าจริงๆ แล้วจะมัวแต่ทะเลาะเถียงกันจนเสียงานเสียการเข้า
“เราต้องเข้าถึงเป้าหมายอันดับสองนี่ก่อนไม่ว่าจะจากระยะไหน เพราะเธอจะอยู่ใกล้กับคนที่เราจับตามองอันดับแรกซะส่วนใหญ่”
“แบบนี้เอง .. จองกุกคิดว่าเขาเป็นอะไรกันเหรอครับ”
“ผมไม่แน่ใจ เราไม่มีข้อมูลเบื้องลึกกว่านั้น เอาจริงเรามีประวัติเธอน้อยมาก แทบจะแน่ใจได้อย่างเดียวคือเป็นคนเกาหลีเหมือนหมอนี่ ผมว่านี่อาจจะเป็นส่วนนึงด้วยที่เขาไว้ใจให้ทำงานใกล้ชิด”
ซอกจินลูบคางมองภาพสาวสวย จากที่สืบได้มา ผู้หญิงคนนี้ไม่ปรากฏชื่อนามสกุลที่แน่ชัด มีเพียงชื่อที่ในวงการดำๆเทาๆจะเรียกกันว่าจอย จึงได้แต่สงสัยว่าจะเป็นการปกปิดตัวตนของตัวเองหรือมีเหตุอื่นใดกันแน่ แต่ก็ยังไม่สำคัญเท่าเธอเหมือนใบเบิกทางไปสู่หัวหน้าใหญ่ถึงจะไม่ได้รู้สึกว่าง่ายขนาดนั้นก็ตาม
พวกเขาจะเริ่มงานทั้งหมดในวันพรุ่งนี้ ซอกจินต้องออกไปก่อนเนื่องจากที่ทำงานที่ตกลงสมัครไว้นั้นทำงานในเวลากลางวัน ส่วนจองกุกจะสลับไปทำงานกลางคืน แม้ว่าอาจจะไกลจากที่พักสักหน่อยแต่ก็เรียกแท็กซี่มาลงใกล้ๆเรียวกังแล้วเดินกลับไม่ยากเย็น ดูแล้วก็คล้ายกับต่างชาติเข้ามาทำงานเป็นปกติแต่ก็ไม่ได้ปกติ ถ้าพวกเขามาในฐานะปุถุชนธรรมดาที่ไม่ใช้แม้แต่นักศึกษาทุนหรืออยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิดก็คงไม่ได้งานง่ายขนาดนี้
ภายในเรียวกังมีทั้งห้องอาบน้ำรวมที่แบบรวมจริงๆแต่แยกชายหญิง และห้องอาบน้ำสมัยใหม่ที่ทำแยกเอาไว้สำหรับแขกที่ไม่สะดวกกับวัฒนธรรมแบบนี้ ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าจองกุกจะเลือกอาบที่ไหน แต่ทั้งหมดก็เป็นหลังจากที่ออกไปหาข้าวเย็นกินและกลับเข้ามาใหม่ แต่จะเรียกว่าเรียวกังแห่งนี้มีผู้ดูแลยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ไม่ได้ เพราะคนที่เข้าใจว่าเป็นหลานคุณยายจะมาเฝ้าช่วงดึกถึงประมาณตีสองเท่านั้น ถ้าดึกกว่านี้ต้องรอยันหกโมงเช้า
น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้ดื่มด่ำกับกลิ่นอายแห่งวัฒนธรรมยามเย็นได้อย่างเต็มที่ ไม่ได้เพียงแค่เพราะต้องรีบกลับมาอย่างเดียว มันเป็นเพราะเรื่องงานที่จำเป็นเพราะการออกไปข้างนอกก็คือได้สำรวจพื้นที่ไปในตัว เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้หาทางหนีทีไล่กลับมาได้อย่างติดขัดน้อยที่สุด จะนับว่าโชคดีก็อาจได้เนื่องจากด้วยสายงานของจองกุก และความเคยชินในการสอดส่องพื้นที่ของซอกจินทำให้ขั้นตอนนี้เป็นไปได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทั้งตอนกลางวันและตอนค่ำก่อนจะกลับ
แม้ชายหนุ่มคนพี่จะแอบเสียดาย เขาก็อยากเข้าชมการแสดงดนตรีของสาวๆเกอิชาให้บันเทิงใจบ้าง หรือทำอะไรก็ได้ที่เหมือนมาเที่ยว แต่คุณรุ่นพี่ข้างตัวมักกระซิบบอกจนเสียงดังก้องสะท้อนอยู่ในหัวไม่หยุดหย่อนว่า ‘เรามาทำงาน’ ดับฝันหมดเลย น่าเศร้าเสียจริง
และตั้งแต่นี้ต่อไปห้องที่พวกเขาอยู่ ทั้งสองหนุ่มจะเป็นคนทำความสะอาดเอง เพราะไหนๆก็จะเป็นห้องที่เช่าไว้เพื่อใช้เป็นของตนในชั่วระยะหนึ่ง ทั้งยังมีพวกอุปกรณ์ที่ไม่ไว้ใจให้คนนอกแตะต้องด้วย
คู่หูสายลับคิมจอนนั่งทวนภารกิจกันอีกทีก่อนนอนบนฟูกหนานุ่ม แม่จะเริ่มเข้าสู่ปลายฤดูร้อนแล้วแต่อากาศก็ยังคงอบอ้าว ต้องขอบคุณที่มีเครื่องปรับอากาศติดไว้บนเพดาน ด้วยความที่ห้องไม่ได้กว้างอะไร เปิดให้อากาศมันเย็นลงสักสี่ห้าองศาก็ชื่นใจแล้ว
“จองกุก พรุ่งนี้ให้ผมไปส่งมั้ย?”
“..หือ ตอนไหน? คุณหมายถึงที่ทำงานเหรอ”
“อื้อ”
“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอกครับ ผมจำทางไปที่บาร์ได้”
“ผมกลัวคุณโดนแท็กซี่หลอกอะ”
“คุณซอกจิน นี่ผมยี่สิบหกแล้วนะ ยุโรป อเมริกาผมก็ไปมาแล้ว ไม่ต้องห่วงผมเกินความจำเป็นก็ได้ ไว้เกิดเรื่องอะไรผมจะติดต่อมาเอง เตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลาก็พอ”
ว่าแล้วชายหนุ่มคนน้องก็พลิกตัวหันหลังให้แต่ก็ไม่ลืมที่จะพยายามรักษาระยะห่างระหว่างกันอย่างเต็มที่ แต่ด้วยความที่ทั้งห้องก็เงียบ(ยกเว้นเสียงเครื่องปรับอากาศ) ไม่นานซอกจินก็แอบได้ยินจองกุกพึมพำๆอะไรสักอย่างเบาๆ พอตั้งใจฟังดีๆแล้วก็พบว่านายจอนกำลังท่องทวนประโยคเวลาขึ้นแท็กซี่เป็นภาษาญี่ปุ่นอยู่นั่นเอง
...โถ – คนพี่แอบอมยิ้มในความมืดอย่างเอ็นดู
ดีว่าคนที่นี่น่าจะใช้ภาษาอังกฤษได้อยู่บ้าง ก็เมืองท่องเที่ยวทั้งที แต่จะหัดภาษาบ้านไว้ก็ไม่เสียหายอะไร
นี่ไม่ใช่การไปต่างประเทศครั้งแรกของทั้งคู่แน่นอนอยู่แล้ว แต่สำหรับซอกจิน การมีคู่หูหรือเพื่อนร่วมทางตลอดทริปนั่นเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ทีเดียว เพราะที่ผ่านมาเขาท่องเที่ยวคนเดียวมานานเหลือเกิน
ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสิ่งแปลกหน้าตลอดเวลา ...ไม่มีใครที่สามารถจะเชื่อใจได้ เขาได้รับบทเรียนที่ว่ามามากเกินพอแล้ว
แค่ครั้งนั้นครั้งเดียว
หมาป่าก็ไม่หวนกลับคืนสู่ฝูงอีกตลอดกาล
--
“คอนเฟิร์มสถานที่เรียบร้อย ซีกอลกับอัลปาก้าเข้าพักที่เกียวโตแล้ว และก็ต่อจากนี้ไป พวกเขาจะใช้โค้ดเนมใหม่ชั่วคราว ขอให้อย่าสับสนเวลาพวกเขารายงานความคืบหน้ากลับมาละกันนะ”
โฮซอกเช็กlog บันทึกที่ส่งมาช่วงห้าทุ่มของเมื่อคืนในตอนรุ่งเช้าวันถัดมาอีกครั้งกับเจ้าหน้าที่ที่เข้าเวรในช่วงดึกเพื่อรับคำสั่ง แล้วก็ย้ำภารกิจในช่วงนี้กับคนอื่นในที่ประชุม พวกเขาจึงได้จัดทีมเข้าไปสมทบในห้องควบคุมเพื่อเฝ้าดูความคืบหน้าหรือสถานการณ์ว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่
หน้าที่ส่วนนี้ก็จบไปอีกขั้น แต่อีกอย่างหนึ่งก็คือ โฮซอกก็ยังคงพยายามค้นหาเอเยนต์ชิมมี่ที่หายตัวไปหลายเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่พบเบาะแสหรือร่องรอยอะไรที่แน่ชัดเลย บางทีเขาก็อดที่จะกังวลหรือคิดไปในแง่ร้ายอย่างที่สุดไม่ได้ จุดจบของสายลับระหว่างทำภารกิจไม่เคยสวยงาม และการหายสาบสูญก็เป็นหนึ่งในจุดจบนั้น
ไม่.. ไม่น่า เป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องมีอะไรที่เขายังไม่รู้แน่ - บอสจองครุ่นคิดอย่างเคร่งขรึม ถ้าหลักฐานยังไม่ชี้ชัดว่านายปาร์คเป็นอะไรไป เขาก็ไม่ปักใจเชื่อว่าจะเกิดเหตุร้ายขนาดนั้นกับลูกน้องคนนี้ และถ้าพบว่ายังมีชีวิต จะได้รีบนำตัวกลับมาสอบสวนโดยเร็วที่สุดว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะมันมีบางสิ่งสะกิดใจตนและรู้สึกค้างคาตลอดเวลา
อะไรกันนะ .. ไอ้บางสิ่งที่ว่า
และแน่นอนว่าคนที่จะตอบได้ก็มีเพียงแค่ปาร์คจีมินเท่านั้น
“ไง เจอกันอีกแล้ว ยินดีต้อนรับกลับมานะแทฮยอง”
ชายหนุ่มร่างเล็กเอ่ยทักขณะส่งยิ้มตาหยีอย่างดีอกดีใจให้คนตรงหน้าที่ยืนถือชามอาหารด้วยใบหน้าถมึงทึงตรงกันข้าม
...เอาข้าวราดหัวแม่งซะดีมั้ย!!!! คิมแทฮยองได้แค่คิดยามสบสายตาแพรวพราวที่มองมาอย่างไม่น่าไว้ใจ
“กินซะ แล้วก็ไม่ต้องเอาแต่ใจให้มันมาก เป็นเชลยมีสิทธิ์เรียกร้องอะไรด้วยเหรอไง”
“ก็ไม่ได้เรียกร้องมากซะหน่อย แค่อยากให้นายกลับมาเท่านั้นเอง”
“ทำไม”
จีมินลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงมาหา ซึ่งแทฮยองก็ทำท่าจะก้าวถอยหลังหนีโดยอัตโนมัติ และก็หยุดเมื่อเห็นอีกฝ่ายยกมือเป็นเชิงห้าม
“...เพราะว่า ... อืม.. ฉันจะขอโทษนายเรื่องตอนนั้นน่ะ”
“หา? ขอโทษ?” ชายหนุ่มคิมคนเล็กทำหน้างุนงงกับคำพูดนั้น แต่ก็สงวนท่าทีได้อย่างรวดเร็ว พวกสายลับน่ะมันไว้ใจได้เสียที่ไหน
“ใช่ นี่พูดจริงนะ ฉันรู้สึกผิดที่ทำให้นายไม่ยอมมาหาอีกเลย”
“เหอะ มีแผนอะไรละสิท่า นายกะจะตีสนิทฉันแล้วก็ล้วงความลับของเราใช่มั้ยล่ะ”
“อยากให้ทำรึเปล่าล่ะ” จีมินหัวเราะ “พูดมาขนาดนี้ขืนฉันทำตามนั้นยังไงนายก็ดูออกอยู่แล้ว”
“งั้นมีเหตุผลอะไร ทำไมต้องเป็นฉัน”
“เพราะนายช่วยชีวิตฉันไว้”
น้ำเสียงอันมั่นคงกับสายตาที่แน่วแน่สะกดแทฮยองให้ประหลาดใจ และรู้สึกตื้นตันจนใจเต้นเร็วขึ้นชั่วขณะหนึ่ง
“ฉ-ฉันไม่เข้าใจ”
“หือ? ไม่เข้าใจ? ชัดขนาดนี้ยังไม่เข้าใจอะไรอีกเหรอ หรือว่านายยังไม่เก็ทไอ้ที่ฉันสอนเมื่อคราวก่อน” สายลับหนุ่มหรี่ตายิ้มพลางทาบนิ้วชี้ที่ริมฝีปากตัวเอง “จูบกับผายปอดน่ะมันต่างกันนะ”
“ปาร์คจีมิน!!!” แทฮยองคำรามชื่อคนตรงหน้าออกมาอย่างเหลืออดด้วยใบหน้าขึ้นสีประหลาด แต่ก็รู้ว่าแดง “ตกลงอยากจะให้ฉันยกโทษให้มั้ย!!!!”
“แน่อยู่แล้วสิ ไม่งั้นจะขอโทษเหรอ ฉันรู้สึกผิดจริงๆนะ ที่พูดก็เพราะว่าจะไม่ทำอีกแล้วไง สัญญา”
“จะเชื่อได้ไง”
“เกี่ยวก้อยสิ อย่างน้อยฉันก็รักษาคำพูดนะ” ร่างเล็กพูดตอบหน้าตาเฉย ใช่สิ ตัวเองไม่สะท้านอะไรนี่ – นายคิมยังคงคิดขุ่นเคืองมองการกระทำที่ดูเด็กๆผิดกับไอ้ที่ผ่านมาอันแสนสะพรึง เขาแค่ไม่ชอบการโจมตีที่ตัวเองไม่มีโอกาสได้ตั้งรับและสวนกลับ ไม่ชอบการเพลี่ยงพล้ำอย่างหมดท่า...
“ถ้าผิดสัญญาละก็ ชื่อของนายหายไปจากทะเบียนราษฎร์ของเกาหลีใต้แน่”
“จ้ะ ดุขนาดนี้ใครจะเสี่ยงเนอะ”
จีมินยิ้มขำ ขณะที่นิ้วก้อยของทั้งสองเกี่ยวกัน
เขาน่ะไม่ผิดคำพูดหรอก จะมีที่เหลือก็คือความจริงที่บอกไม่หมดเฉยๆเท่านั้นเอง
TBC. (3/1/62)
>>Talk
แฮพพินิวเยียร์! สวัสดีปีใหม่ค่าาาาา
ประเดิมเรื่องแรกรับปีด้วยอัพพิเศษเนาะ แต่บอกไว้ก่อนว่าแผนรอบนี้ไม่มีเรื่องนี้ค่ะ แง 5555555 กะว่าอัพแค่ตอนนี้ ก็จะยกไปแผนอัพรอบหน้าเลย เนื่องจากมีเรื่องอื่นที่เราต้องการจะนำกลับมาอัพจริงๆ ไหนๆก็พยายามที่จะให้มันต่อเนื่องแล้ว ไม่อยากจะให้อะไรมาแทรกอีกแล้วค่ะ
ขอบคุณสำหรับเมนท์ เฟฟ วิว แท็ก ทั้งก่อนหน้าแล้วก็อนาคตนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

นายป๊าคคือเข้าใจนะว่าเจ้าแทเคยผายปอดช่วยชีวิต แต่จูบน้องตอนไหนฟะ!! ป๊าคะ!!!
ถ้าถามว่าป๊าคจูบตอนไหน ... มีตอนเดียวนะคะที่แกล้งจนน้งหนีหน้า------------------
กี๊ดใจเย็นค่า เดะมิชชั่นเฟล ฆ่ากันเองก่อน 5555555555555555555555555
เอานอนร่วมที่นอนไปก่อนค่ะ เพราะสถานการณ์บังคับแท้ๆ ฮ่า