ตอนที่ 7 : REPORT 06 : เปิดใจ
ที่ประชุมเคร่งเครียดเหมือนเคย เนื่องจากพวกเขาพยายามทุ่มเทกับงานให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะเกรงว่านี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ทำแล้ว ... ใช่ หัวหน้าจองเริ่มใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในการทำงานนี้กับพวกเขาเมื่อองค์กรกำลังอยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาต้องบอกกับลูกน้องทุกคน ทุกฝ่ายให้รู้เรื่องเพื่อจะได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาและดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งมาตรการที่ว่านั้นก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่โฟกัสกับงานราวกับว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะโดนเด้งออก พร้อมกับหน่วยงานที่ล่มสลาย และถ้าใครไม่ไหวจริงๆที่จะยอมถวายตัวเพื่อความอยู่รอดของพวกพ้องและบ้านหลังที่สองก็สามารถยื่นเรื่องขอลาออกได้ตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อจะได้จัดการเรื่องที่ทางได้อย่างรวดเร็ว
ที่น่ามหัศจรรย์คือไม่มีใครออกแม้แต่คนเดียวหลังจากที่เกิดเหตุการณ์นี้
นับว่ายังเป็นเรื่องราวดีๆที่ยังเหลืออยู่ โฮซอกก็เคยแอบใจเสียเหมือนกันถ้าหากผู้ใต้บังคับบัญชาตนเกิดพร้อมใจกันขอย้ายหมดองค์กรก็คงทำอะไรไม่ได้ ดีที่มันเป็นแค่ฝันร้ายในบางคืน แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นอีกต่อไป
หัวหน้าจองห่วงข้อมูลใหม่ที่ได้จากการดักฟังเมื่อคราวก่อนที่สายลับทั้งสี่ลอบเข้าไปที่โรงแรมมากกว่า
ที่ประชุมกำลังตั้งข้อสังเกตเรื่องประเด็นที่ได้ยินมา ระหว่างนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่และผู้นำตระกูลมินที่กำลังมีธุรกิจอันทรงอิทธิพลอยู่ในขณะนี้
ในขณะที่ฝ่ายตาแก่นั่นพยายามหว่านล้อมและปะเหลาะเต็มที่ แต่ยุนกิกลับตอบหยั่งเชิงและเพลย์เซฟอย่างฉลาด ทำให้เกิดข้อสงสัยที่แอบคิดไม่ตก เพราะหลักฐานที่เคยได้มานั้นมีสิ่งบ่งชี้ว่าการพยายามแฮ็คเครือข่ายองค์กรสำคัญๆเพื่อนำข้อมูลไปข่าย มีแนวโน้มว่าเทคโนโลยีของมิลคอร์ปจะสามารถทำได้มากที่สุด แต่จีซูก็แย้งว่าเธอเคยตรวจสอบการเข้ารหัสและไอพีต่างๆนานาตามเอกสารที่มีอยู่ พบว่าโลเคชั่นที่แท้จริงมันอยู่ในเกาหลีนี่เอง และไอพีพวกนั้นเป็นไอพีปลอม ก็แค่ซ้อนทับด้วยการใช้ VPN เท่านั้นเองไม่มีอะไรซับซ้อนเลย
ถ้าพยายามจะแฮ็คบลูเฮาส์ แต่ดันอยู่ในเกาหลี ถ้าเป็นมิลคอร์ปทำจริงนี่มันเป็นอะไรที่โง่มาก
“เท่าที่ฉันสังเกตนะคะ ระดับมิลคอร์ปต้องมีลูกเล่นที่น่าตื่นเต้นมากกว่านี้ และฉันว่าพวกเขาคงไม่ชอบใจถ้าใช้ลูกไม้ตื้นๆขนาดนั้น”
เอเยนต์วันวันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แม้ว่าหลายครั้งที่การประชุมจะผ่อนคลายและพูดคุยตลกโปกฮากันได้บ้าง แต่ยามที่จะต้องโฟกัสก็ต้องไม่วอกแวกและออกความเห็นชวนไขว้เขว
“แต่ก็ไม่แน่ พวกเขาอาจจะใช้วิธีแบบนี้เพื่อไม่ให้เราคิดว่าเป็นมิลคอร์ปนั่นแหละ เป็นการกลบร่องรอยตัวเองน่ะ”
“ไม่อะ ไม่ใช่ มันไม่ใช่การพยายาม มันถูกตรวจสอบได้ในเวลาไม่นานนะ ยกเว้นว่าพวกนั้นอยากจะซ้อมมือแฮ็คบลูเฮาส์ แฮ็คกรมตำรวจ แฮ็คธนาคารแห่งชาติเล่นฆ่าเวลาตอนรอเครื่องซักผ้าอัตโนมัติปั่นเสร็จ”
เธอตอบเพื่อนร่วมทีมอีกคนที่อยู่คนละส่วนกับฝ่ายอุปกรณ์และเทคโนโลยีอย่างฉะฉานชัดเจนเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจมากขึ้น
“อา.. ช่วยไม่ได้ จะกล่าวหาพวกตำรวจก็หลักฐานไม่พอ และถ้าฟังจากคลิปเสียง เหมือนท่าทางนายมินนั่นไม่ค่อยอยากเล่นด้วยเท่าไหร่เลยแฮะ”
“งั้นก็อาจหมายความว่า พวกเขาต้องพยายามเสนอผลประโยชน์บางอย่างหลังจากที่อับจนหนทางแล้ว? แต่มันแปลกมากเลยนะ เมื่อปีก่อนมีรายงานเรื่องพวกลูกน้องของพวกมาเฟียมินโดนจับอยู่บ้างแต่ก็เป็นพวกปลายแถวอะ แล้วทำไมทีงี้ถึงต้องการอะไรซักอย่างจากหมอนั่นกัน แบบนี้ทางนั้นจะไม่อยากจอยก็ไม่แปลกนะ”
“บางทีเผลอๆที่จับไปแต่แรกก็เพราะอยากต่อรองมั้ง”
“ตำรวจข่มขู่มาเฟียงั้นเหรอครับ เป็นโพสิชั่นที่ผิดที่ผิดทางยังไงก็ไม่รู้สิ”
ซอกจินที่นั่งฟังพลางประมวลผลไปด้วยพูดขึ้นมาเรียบๆด้วยใบหน้ายิ้มละไมอย่างที่เคยทำ
“ข่มขู่?.... ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น รู้เหรอว่าพวกเขาคิดจะทำอะไร” จองกุกเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ถ้าจะใช้วิธีจับปลาซิวปลาสร้อยเพื่อต่อรองที่จะคุมพวกตระกูลมินให้อยู่ได้ ผมว่ามันเป็นการลงทุนที่ไม่เข้าท่า”
นายคิมอัลปาก้าดีดนิ้วเปาะอย่างชอบใจ
“หลักแหลมมากคุณซีกอล ทุกคนลองคิดตามดูนะครับว่าตรงไหนต่างจากพวก”
คำพูดของเพื่อนร่วมงานคนใหม่ทำให้คนอื่นๆในที่ประชุมเริ่มเงียบลงและครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ของรูปแบบสถานการณ์นี้จากการอธิบายที่เผยให้เห็นถึงการกระทำขัดแย้งอยู่เนืองๆ
…
“จริงๆเรื่องนี้มันก็สรุปไม่ยากหรอกนะครับ เพราะว่าคนร้ายที่แท้จริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”
คนอื่นๆยังเงียบอยู่แม้ว่าจะเป็นซอกจิน(อีกแล้ว) ที่เป็นคนพูดออกมา บางคนมีสีหน้าที่แสดงออกว่าไม่อยากจะเชื่อ แต่นั่นก็เป็นปฏิกิริยาที่นายอัลปาก้าค่อนข้างพอใจ เพราะหมายถึงว่าคนคนนั้นพอจะจับทิศทางของสถานการณ์ที่แท้จริงออกแล้ว
เกือบทุกคนหันไปมองหน้าบอสใหญ่ที่นั่งขมวดคิ้วอยู่ ซึ่งสายตาของโฮซอกกลับกำลังมองไปที่ลูกทีมคนใหม่
“เอาล่ะ ความจริงก็คือตอนนี้ เป้าหมายที่เราต้องมุ่งความสนใจเป็นอันดับแรกก็คือพวกตำรวจกลุ่มนี้ ที่กำลังหาเรื่องอะไรซักอย่างกับเราอยู่ ซึ่งเราๆก็รู้ว่ามันมีปัญหากันมานานแล้ว”
คำพูดของบิ๊กบอสได้เน้นย้ำ ซึ่งเรียกสติให้หลายคนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับคนที่คอยนั่งสรุปรายงานการประชุมด้วย
“ที่นายพูดมาน่าสนใจดีซอกจิน ดีเหมือนกัน พวกฉันจะได้จัดกำลังและวางแผนต่อไปได้ชัดเจนมากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าฉันจะละทิ้งหลักฐานแวดล้อมอื่นในตอนนี้หรอกนะ”
โฮซอกปรายตามองด้วยความจริงจังก่อนกล่าวสรุปและจบการประชุมของวันนี้ ที่เหลือเป็นหน้าที่ของหน่วยคลังข้อมูลเรื่องหลักฐานหรือข่าวสารเพิ่ม ส่วนหน่วยอื่นที่ยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีงานอะไรโดยเฉพาะพวกลงพื้นที่ก็จะได้พักผ่อนต่อไป
.
.
...จบซะที ภารกิจตรงนั้น
สายลับจอนนอนมองพื้นเตียงชั้นบนในความมืดที่ไม่สนิทดี แสงสว่างจางๆยิ่งกลับทำให้ทั้งห้องดูมัวหมองแต่ก็เป็นเรื่องปกติของกลางคืน
นี่เป็นมิชชั่นลงพื้นที่ครั้งแรกสำหรับเคสที่ต้องตาม ซึ่งมันจะเป็นเคสสุดท้ายที่ได้ทำหรือเปล่าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าทุกอย่างมันรอไม่ได้ ความจริงพวกเขาก็เหมือนทำทุกเคสให้เหมือนเป็นงานสุดท้ายที่จะได้ทำ จึงต้องทุ่มเทกับมันให้เต็มที่ พวกเขาคิดเกือบตลอดเวลาเหมือนโดนสะกดจิตอย่างไรก็ไม่รู้ นี่เขาเองก็ยังไม่เคยบอกที่บ้านเลยว่าทำงานอะไรอยู่ ถ้าเกิดรู้เข้าโดยเฉพาะแม่ต้องคร่ำครวญปานจะขาดใจและพยายามทุกวิถีทางให้ตนเปลี่ยนงานให้จงได้แน่ๆ ...ถึงจะไม่ค่อยอยากคิดเรื่องบุพการีตอนนี้แล้วก็เถอะ
มีสิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่า สิ่งที่รบกวนจิตใจเกินจะเป็นเรื่องของแผนการต่อไปที่ยังมาไม่ถึง หรือคู่หูเดิมที่ยังหาตัวไม่พบ แต่มันคือสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดในตอนนี้ เหนือขึ้นไปที่เตียงชั้นบน ...นายคิมอัลปาก้านั่นเอง
ใช่ว่าเรื่องในรถตู้จะหลุดออกไปจากสมองหลังจากที่ภารกิจเสร็จสิ้นสมบูรณ์ หนำซ้ำทำให้เขายิ่งมองอีกฝ่ายอย่างเคลือบแคลงเข้าไปอีก คล้ายกับว่าสัญชาตญาณแห่งการระแวดระวังภัยมันถูกปลุกให้ตื่นเข้าแล้ว
...นายเป็นใคร ก่อนหน้านายเคยทำอะไรมากันแน่
ประวัติอาชญากรรมไม่อาจปลอมแปลงได้อยู่แล้วถ้าลงมือทำงานคนเดียว มันก็เลยเป็นจุดที่รู้สึกติดค้างอย่างยิ่งใหญ่
ในที่สุดเรื่องนี้ก็มาถึงช่วงเวลาจริงจังแล้วสินะ
“เฮ้ จองกุกซอนแบนิมครับ”
“เว้ย!!!”
นายจอนผงะตกใจจนเกือบเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงเมื่อเห็นคู่หูใหม่ห้อยหัวลงมาจากเตียงชั้นบน จีซัส! มืดๆแล้วมีแต่หัวโผล่ลงมามันน่ากลัวนะโว้ย
ไม่น่าเผลอคิดเลยว่ามันเป็นช่วงเวลาจริงจัง
“ยังไม่หลับจริงด้วย แต่ผมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าคุณยังไม่หลับ”
“นั่นมันใช่เรื่องมั้ยคุณ! ชะโงกลงมาแบบนี้ไม่กลัวตกรึไง” แม้ว่าอันที่จริงจองกุกก็แอบคิดอยู่ว่าขอให้แม่งตกลงมาคอย่น
“แหะ ไม่คิดว่ามันน่าอนาถเหรอครับ ทีโรยตัวจากตึกสูงเป็นสิบๆชั้นไม่ตก แต่มาตกเตียงสองชั้นในห้องพักแบบเนี้ย” น้ำเสียงหยอกล้อที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่พอจะจับสีหน้าได้ในความมืดทำให้คนอ่อนกว่าพ่นลมหายใจดังพรืด “แต่ก็ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง ดีใจจัง นานๆทีคุณจะเป็นห่วงผม”
“เปล่า ผมกลัวหัวหน้าลำบากหาคู่หูใหม่ให้ผม”
ซอกจินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะถามอีกคำถาม
“คืนนี้ผมอยากนอนข้างคุณน่ะ ได้มั้ย”
“ไม่ได้”
“ก่อนปฏิเสธเนี่ยคุณคิดแป๊บนึงก่อนก็ได้”
“คิดแล้ว” คิดมาดีตั้งนานแล้วด้วยเฟ้ย
“คิดใหม่ตอนนี้ก็ยังทันนะครับ” ซอกจินยกตัวกลับขึ้นไปข้างบนเตียงอย่างเดิม ก่อนจะค่อยๆปีนบันไดปลายเตียงลงมาที่ชั้นล่าง
“ก็ผมบอกว่าไม่ได้ไง จะลงมาทำไมเนี่ย”
“น่า ก็คืนนี้ผมรู้สึกเหงานี่ เห็นคุณนอนไม่หลับเหมือนกันก็เผื่อว่าจะชวนคุยซักนิดจะได้เพลินๆไง”
“ผมไม่ได้เหงาแล้วก็ไม่ต้องการนอนคุยให้หลับด้วย” จองกุกตอบด้วยเสียงขุ่นเคืองแต่ก็ยังไม่ละสายตาจากทางนั้นที่ดันเข้ามาหย่อนก้นนั่งลงบนเตียงชั้นล่างที่ตนนอนอยู่เฉยเลย!
“แต่ผมอยากคุยนี่ ผมมีเรื่องที่ต้องคุยน่ะ”
“....เรื่องอะไร”
คิมอัลปาก้าหันหน้าไปมองใบหน้าฉาบแสงมืดมัวแต่ก็คงเดาได้ไม่ยากว่าคู่หูรุ่นพี่กำลังแสดงท่าทีอย่างไร
“เรื่องของผม ที่ท่าทางจะทำให้คุณยังนอนไม่หลับไง”
“ยังไง...”
“ไม่ต้องมาบ่ายเบี่ยงหรอก ผมรู้นะว่าคุณเอาแต่คิดถึงผมตลอดเวลาเลย”
“พูดให้มันชัดๆหน่อย นี่คุณทำให้ผมไม่อยากพูดด้วยมากกว่าเดิมอีก”
“โอเคๆ ผมไม่เล่นละ” ชายหนุ่มโบกมือไปมา “ผมเองก็คิดว่า ถ้าเราได้นอนคุยเปิดใจกันซักครั้ง บางทีเราน่าจะสนิทใจมากขึ้นก็ได้ มันสำคัญกับการทำงานเป็นทีมอย่างพวกเรานะครับ”
“...” จองกุกขมวดคิ้วมองในความมืด แต่ก็เลือกที่จะไม่โต้เถียงอะไรออกไป
“ผมรู้ว่าคุณไม่ไว้ใจผม อย่างน้อยก็ตอนนี้”
ก็แน่สิวะ ใครจะไปไว้ใจโจรกันเล่า – นายซีกอลตอบอยู่ในใจ
“เอาเป็นว่าถ้าคุณยังลำบากใจ แต่ผมก็อยากให้โยนเรื่องนั้นทิ้งไปก่อน คิดซะว่าตอนนี้ยังไงเราก็ทำงานร่วมกันแล้ว คุณเองที่ให้ความสำคัญกับหน้าที่อันดับหนึ่งก็หวังว่าจะเข้าใจดีนะ”
“...ผมเข้าใจอยู่แล้ว” เขาทอดเสียงตอบทั้งที่ยังเจือความลังเล “เอาล่ะ คุณมีอะไรก็ว่ามา จะได้จบๆแล้วก็แยกย้ายกันนอนซะที”
ซอกจินยิ้มหยีพลางกระเถิบคลานเข้ามาเบียดนอนอยู่ข้างๆโดยไม่ฟังเสียงทักท้วง โชคดีที่ไม่มีกิริยาคุกคามหรือยั่วโมโหอะไรไปมากกว่านี้ไม่อย่างนั้นบทสนทนาก็คงล่มไม่เป็นท่าแน่นอน
“เข้าเรื่องเลยละกันนะครับ ผมคิดว่า... เรื่องในรถตู้ตอนที่เรากลับมาจากโรงแรมน่าจะกวนใจคุณพอตัวเลยสินะ”
ดวงตาโตเหลือบมองไปข้างกายก่อนจะขยับแขนขึ้นมากอดอก “ใช่ คุณพูดถูก”
มันไม่มีประโยชน์จะโกหกอะไรในเมื่อถ้ายกความสำคัญให้กับเรื่องงานมาเป็นอันดับแรก การแยกความรู้สึกส่วนตัวกับหน้าที่นั้นเป็นสิ่งที่มืออาชีพพึงทำ และจองกุกก็ไม่ต้องการจะเป็นเด็กในสายตาใคร
“ความจริงผมก็ไม่น่าพูดกับคุณแบบนั้นด้วยแหละ แต่ตอนนั้นผมก็ไม่รู้จะหยุดคุณยังไง”
“...ไม่รู้จะหยุดยังไง? ใช่เหรอ ผมว่าอย่างคุณน่าจะมีศิลปะการพูดที่ดีกว่านี้นะ ไม่งั้นคงไม่หลอกเอาเงินใครต่อใครเขามาได้ขนาดนี้หรอก”
“แหม ตอนนั้นผมทำก่อนที่พวกเขาจะโกรธนี่ รู้ตัวอีกทีผมก็หนีไปไหนๆแล้ว แต่พอต้องมายืนโดนพายุซัดเข้าจังๆแบบนี้ผมก็กลัวตายเป็นนะ”
“ห๊ะ กลัวตาย ตลกละ ผมจะไปทำอะไรคุณได้กัน”
“ทำได้สิครับแหม อย่างน้อยผมก็รู้ว่าเวลาคุณโมโหจริงจังแล้วระเบิดตูมตามไม่หยุด”
“...”
“แต่ช่างเถอะ ผมคิดว่ายังไงคุณก็รู้จักตัวเองดีพออยู่แล้ว ก็แค่อยากบอกว่าผมไม่ได้มีเจตนาจะให้คุณกังวลหรือคิดมากกับคำพูดพวกนั้นขนาดนี้เลยนะ”
“นั่นเพราะคุณไม่รู้หรอกว่าการทำงานเป็นทีมภายใต้ความเสี่ยงเพราะต้องร่วมกันแบกรับองค์กรมันต้องรู้สึกยังไง”
จองกุกเริ่มพูดขึ้นบ้าง ทั้งน้ำเสียงและการหายใจของชายหนุ่มเริ่มสงบลงแล้ว
“อา.. ใช่ ผมไม่รู้หรอก เพราะผมทำงานคนเดียว แผนการที่วางไว้ก็เพื่อตัวผมเองคนเดียว”
“...คุณแน่ใจนะว่าทำงานคนเดียว”
“แน่สิ เช็กประวัติก็ได้น่าว่าผมหัวเดียวกระเทียมลีบแค่ไหน”
สายลับจอนถอนหายใจออกมาสั้นๆ “ตอนนี้เราทำงานด้วยกันแล้ว และพวกเราก็ไม่ได้เป็นโจร เราไม่ได้เสี่ยงชีวิตในรูปแบบอาชญากร เพราะงั้นตอนนี้ก็ช่วยรับรู้และเข้าใจด้วย ถ้าลำบากใจก็อดทนจนกว่างานจะจบแล้วกัน ผมเองก็ไม่ได้อยากระแวงคุณนักหรอก แค่เรื่องจะโดนลวนลามเมื่อไหร่ก็ไม่รู้มันก็มากพอแล้ว รู้มั้ยเนี่ย”
“ฮ่าๆ อันนั้นผมรู้แล้ว ก็ผมชอบคุณนี่นา”
“หา?”
“ไม่รู้สิ ก็ผมชอบที่คุณเป็นคู่หูผมอะ บรรยายไม่ถูก”
“ปากบอกชอบผม แต่การแสดงออกคุณเนี่ยมันไม่เห็นจะส่งเสริมให้ผมรู้สึกดีด้วยเท่าไหร่เลยนะ”
“คุณไม่คิดว่า....” ซอกจินทิ้งเสียงพลางสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วลูบแขนอีกฝ่ายจนจองกุกรีบชักแขนหนีเพราะขนลุก ปฏิกิริยาแบบนั้นทำให้เขาขำคิกคักอยู่ในลำคอ “ภาษากายเองก็เป็นการสื่อสารที่ยอดเยี่ยมอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่! ถ้าคุณเป็นคนเริ่ม” ร่างของคนเด็กกว่าเขยิบถอยหนีแถมยังรวบผ้าห่มไว้กับตัวจนเป็นก้อน
“อ๋ออออ ชอบเริ่มก่อนหรอกเหรอครับ โธ่ แล้วก็ไม่บอก”
“ไม่! ไม่ใช่แบบนั้น หมายถึงถ้าเป็นคุณต่างหาก!”
“.... งั้นถ้าเป็นคู่หูเก่าคุณก็จะไม่ว่าสินะ..”
“เขาไม่เคยทำ(โว้ย)” จองกุกกัดฟันกรอดจนใบหน้าเริ่มแดงเพราะอารมณ์ฉุนเฉียว “มีคนปกติที่ไหนเขาชอบให้คนอื่นจับโน่นจับนี่ตามใจชอบห๊ะ! ถามจริง นอกจากต้มตุ๋นแล้วเคยมีประวัติทำอนาจารมั้ยเนี่ย”
“ผมเคยทำซะที่ไหนกัน อยากเป็นเจ้าทุกข์คดีผมคนแรกมั้ยล่ะครับ”
“ถ้าผมจะเป็น ผมขอโดนข้อหาฆาตกรรมเพื่อนร่วมงานดีกว่า”
“โหด”
“บอกโหดแล้วก็ช่วยกลัวด้วย อย่าเข้ามาใกล้ผม” เขายื่นแขนออกมายกฝ่ามือเป็นเชิงห้าม แต่ให้ตายเถอะ สำหรับซอกจินนี่มันตลกมาก แล้วก็น่าเอ็นดูมากๆด้วย
คนโตกว่ายื่นมือเข้าไปทาบกับฝ่ามืออีกฝ่าย และงอนิ้วสอดเข้าไปประสานกับนิ้วทั้งห้าที่เจ้าของมันยังอยู่ในความตกใจจนทำอะไรไม่ถูกอยู่หน่อยๆ
สัมผัสนั้นไม่ได้บีบเค้นจนเจ็บมือ แต่ก็ไม่ได้หลวมเสียจนแผ่วเบาเกินรู้สึก แต่มันเป็นความแนบแน่นที่พอดี
“ลองจับมือผมสิ จองกุก”
“...”
เจ้าตัวยังคงนิ่งอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เหนือความคาดหมายที่ไม่ใช่เรื่องงาน ยอมรับเลยว่าเขาแอบไปไม่เป็นเข้าจริงๆ
“จับอย่างที่ผมจับมือคุณแบบนี้ แค่งอนิ้วลงเอง”
“...”
“ผมไม่เข้าใกล้คุณมากกว่านี้ก็ได้ แค่คุณจับมือผมไว้ โอเคมั้ย”
ดวงตากลมใสหรี่ลงอย่างเคลือบแคลง แต่ก็ลองทำตามที่ซอกจินพูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจเช่นกัน นิ้วทั้งห้าของชายหนุ่มค่อยๆงุ้มลงประสาน ปลายนิ้วแตะที่ด้านหลังมือราวหยั่งเชิง
มันเป็นความรู้สึกที่แสนประหลาดที่ยากจะบรรยาย เหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกนอกเหนือเวลางานที่จองกุกยอมรับฟังและทำตามคนพี่ในเรื่องที่ดูอย่างไรก็ไม่อาจไว้ใจได้ แต่ในขณะเดียวกันพอได้จับมือไว้แบบนี้แม้ว่ามันจะเป็นสถานการณ์ที่สรุปที่มาที่ไปไม่ได้ ก็ราวกับว่ามีกลิ่นอายของความสงบระหว่างพวกเขาอย่างแท้จริงที่ไม่เคยมีมาก่อน
“รู้สึกดีใช่มั้ย แบบนี้แหละที่ผมชอบ”
“...ถ้าแค่มือผมก็พอเข้าใจได้” เพราะถ้าเป็นนมกับก้นจองกุกก็ไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละ! (ไม่อยากเข้าใจด้วยเถอะ)
“แหะๆ งั้นคราวหน้าเราลองกอดกันดูบ้า.......อะ โอ๊ย!!” ซอกจินร้องโอดโอยขึ้นมาทันใดเมื่ออีกฝ่ายงอนิ้วเข้าบีบกดที่หลังมือจนปวดจี๊ด จะชักมือกลับก็ไม่ได้เนื่องจากโดนนิ้วของสายลับจอนล็อคไว้อย่างแน่นหนา
ยอมรับเลยว่าประมาทไปนิด ลืมไปว่ากล้ามแขนตลอดท่อนแขนแข็งแรงอันน่าหลงใหลเป็นสิ่งที่ใช้งานได้จริง และใช้งานได้ดีด้วย ...อา พ่อแม่ของเจ้าหนูนี่น่าจะภูมิใจแน่ๆที่ลูกชายของเขาเติบโตได้ดีแถมแข็งแรงขนาดนี้
“อย่าลืมว่าผมก็มีสิทธิ์ตอบโต้คุณได้เหมือนกัน ยิ่งนอกเวลางานแล้ว และโดยเฉพาะตอนผมจะนอน!”
“เข้าใจแล้วครับ ปล่อยก่อน ไม่งั้นผมจะไม่ไปไหนนะ จะนอนกับคุณท่านี้นี่แหละ หรือไม่ก็...ท่าอื่น”
ซอกจินลดเสียงลงพร้อมกับขยับตัวให้เห็นว่า ต่อให้ทางนั้นจะพยายามโจมตี แต่จากตรงนี้แล้วอย่างไรมืออีกข้างของตนก็ยังเป็นอิสระ รวมทั้งร่างกายเกือบทั้งหมดด้วย
แน่นอนว่าจองกุกไหวตัวทันเช่นเคย เขาปล่อยมือคู่หูป้าย(ยัง)แดงของตนทันทีเพราะสัญญาณคุกคามที่จับได้จากความเจนสนาม และไม่อยากเสี่ยงด้วยประการทั้งปวง อย่างไรเขาก็ตระหนักดีถึงฝีมือของซอกจินอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้
“หวังว่าตอนนี้คุณน่าจะหลับได้เร็วขึ้นแล้วล่ะนะ ผมว่า”
“ครับ ผมก็หวังว่าคุณก็จะนอนซะทีจะได้ไม่ต้องมากวนใคร”
“ฮะๆ ถ้างั้นราตรีสวัสดิ์อีกรอบนะครับ” ร่างสูงกล่าวลาก่อนจะถอยลุกออกจากเตียงแล้วทำท่าจะปีนขึ้นไปชั้นบน “แล้วก็... ขอบคุณนะที่อย่างน้อยเราก็ได้คุยกันบ้าง หมายถึงคุยกันอย่างจริงจังซักครั้งน่ะ”
“ครับ ขอบคุณที่อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องทะเลาะกับคุณทุกเวลาไม่นับตอนนอน”
“แหม จองกุกก็พูดเกินไปน่า” ซอกจินหัวเราะก่อนจะปีนบันไดกลับขึ้นไปเหมือนเดิม ปล่อยให้นายจอนกระเถิบตัวเข้ามานอนเตียงตัวเองได้อย่างเต็มพื้นที่อีกครั้งหนึ่ง
แม้ว่าความสงสัยจะเจือจางลงไปบ้าง แต่ก็ยังคงพยายามบอกตัวเองเอาไว้ว่าต้องมีสติให้มากกว่านี้ ไม่ว่าจะตอนไหนๆก็ตาม
นี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ที่สำคัญ ตอนนี้มันหมดเวลาวอร์มอัพหรือโหมด Tutorial สำหรับพวกเขาทั้งคู่แล้ว
TBC
>>Talk
แอ่ กลับมาแล้วค่า มาอัพหลังจากฟื้นฟูสมองตัวเองจากการสอบแล้ว (55555) ขออภัยที่หายไปนานนะคะ!
แต่หลังจากตอนหน้าก็จะหายไปอีกแล้วค่ะเพราะครบตามเป้าหมายที่วางไว้ในช่วงนี้ OTL แต่ตอนนี้เนื้อเรื่องก็เดินหน้าแล้วเหมือนกันค่ะ ภารกิจที่ผ่านมาก็แค่น้ำจิ้ม //เอ๋--
เขาทั้งสองจะดีกันแบบนี้ได้ตลอดรอดฝั่งไปอีกหรือไม่ หรือจะมีอะไรมาเป็นจุดหักเหอีกหรือเปล่า ไว้เจอกันตอนต่อๆไปค่า
ขอบคุณสำหรับเฟฟ เมนท์ วิว และแท็กนะคะ จุ๊บ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พี่จินนี่ขนาดจะเปิดใจกับน้องยังต้องมีน้ำตา อยากให้ดูคูมป๊าคเป็นตัวอย่าง เราต้องไม่เจ็บตัวฟรี 5555555
55555555555 คืนกำไรให้จกุกนิสนึงค่ะ พี่เขาดอยไปเยอะแร้ว จะมาเลเวลคูมป๊าคเลยก็สงสารน้องเขานะคะ :'D (หรือจะสงสารพระเอกหลักดี อาจตายก่อนจบ /แค่ก)