ตอนที่ 3 : 2 : Under the moonlight
ชายหนุ่มตาโตเดินถือกระเป๋าเข้ามาในห้องเรียนซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะมีเขาคนเดียวที่มาในตอนนี้ ก็หมายความว่าเขามาถึงเป็นคนแรกของห้อง
จองกุกมองไปที่ที่นั่งที่ตนเองเข้ามานั่งเมื่อวานอย่างชั่งใจว่าเขาควรจะไปนั่งตรงนั้นอีกหรือไม่ แต่ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าที่ที่เขาไปนั่งมันจะเป็นที่ประจำของคนที่ชื่อยูคยอมนั่นนี่นะ
เพราะแบบนั้นก็เลยตัดสินใจไปนั่งที่ข้างๆริมในนั้นแทน ความจริงเขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่สงสัยในตัวเพื่อนใหม่คนนั้นเหลือเกิน มันเป็นความรู้สึกที่ไม่น่าเข้าใกล้ มีความอันตราย ไม่น่าไว้ใจ แต่สิ่งเหล่านั้นก็กลับดึงดูดให้คุณมือปราบหนุ่มสงสัยจนอยากจะพิสูจน์ให้ชัดๆ
เขาทนให้ความรู้สึกคาใจนี้มันก่อกวนตัวเองนานกว่านี้ไม่ได้
“โอ๊ะ มาถึงเร็วจัง”
ชายหนุ่มหันไปตามเสียงร้องทัก ก็พบกับคนที่ตนเองเพิ่งจะคิดถึงไปเมื่อกี้นี้ยืนอยู่ตรงหน้าห้องพอดี รอยยิ้มขี้เล่นถูกส่งมาให้อีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะรีบสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้
“นายจำได้ด้วยว่าตรงนี้ที่ประจำของฉัน น่ารักจริงๆเลย”
จองกุกหันไปยิ้มเฝื่อนให้กับคำหยอดพลางคิดว่าถ้ายังอยู่ที่นี่อีกนานเดี๋ยวคงจะชินไปเอง
ยูคยอมเอากระเป๋าวางบนโต๊ะแล้วนั่งลงข้างๆนั้นเอง อีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลาคลาสแรกแต่พวกเขาก็มากันก่อน เนื่องจากบ้านของจองกุกอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ ปั่นจักรยานมาแป๊บๆก็ถึงแล้ว ส่วนคนตัวสูงข้างๆนี่ก็คงเหมือนกันละมั้ง
“จะว่าไป มีเรื่องจะถามล่ะ”
“หือ ทำไมเหรอ”
มือปราบหนุ่มลอบกลืนน้ำลายนิดหน่อยโดยแอบหวังว่าจะไม่ถูกสงสัยอะไรที่ไม่ควรจะตอบในตอนนี้
“อยู่ในโซลก็ดูจะสะดวกดีอยู่แล้ว ทำไมถึงย้ายมาที่นี่อะ แถมย้ายมากลางคันด้วย”
...อ่า คำถามนี้ก็เข้าข่ายวุ้ย
“อ..เอ่อ ก็ ย้ายตามญาติมา พอดีฉันอยู่กับญาติ แล้วก็ไม่อยากเสียค่าเช่าหอด้วย เลยต้องย้ายตามกันมาน่ะ”
“อ้าวเหรอ ฉันก็อยู่กับญาติเหมือนกัน จริงๆบ้านเก่าฉันน่ะอยู่ไกลมากๆ แต่ว่าฉันย้ายมาก่อนที่จะขึ้นมหาลัยน่ะนะ”
“งั้นนายก็อยู่ที่นี่นานแล้ว?”
“พักนึงน่ะ ความจริงฉันก็มาเข้าม.ปลายกลางคันเหมือนกัน ฉันเข้าใจนะเวลาต้องมาเข้าสังคมใหม่ อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย”
ยูคยอมเอื้อมมือไปบีบบ่าอีกฝ่ายพลางยิ้มน้อยๆให้
“ถ้าตอนนี้นายยังไม่ชินกับใครก็มาเป็นเพื่อนกับฉันก่อนก็ได้ ฉันจะเป็นเพื่อนคนแรกของนายเอง”
จองกุกมองใบหน้าที่ตอนนี้มีเค้าของความจริงจังขึ้นมาหน่อยซึ่งมันทำให้ตนเองเริ่มจะสับสนเล็กน้อยว่าจริงๆแล้วเป็นเขาเองที่กังวลมากเกินไปหรือเปล่านะ...บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรจริงๆก็ได้
แต่นั่นล่ะ มันก็ยังคงเป็นประเด็นที่ละความสนใจไม่ได้อยู่ดี
และระหว่างนั้นเพื่อนคนอื่นๆก็ทยอยกันมามากขึ้น ซึ่งดูเหมือนจะมากันเยอะตอนใกล้จะถึงเวลาคลาสเริ่มกันมากกว่าจะมานั่งรอก่อนนานๆแบบเขาสองคน จากนั้นก็ตามมาด้วยอาจารย์ที่เข้ามาตามเวลาพอดีเป๊ะ พวกเขาถึงได้เริ่มเรียนคลาสเช้าในวันนี้กัน
ส่วนสถานการณ์ในคาบเรียนวันนี้ก็ปกติดีไม่มีอะไรผิดสังเกต
จนกระทั่งเลิกคลาสซึ่งเป็นเวลาก่อนเที่ยงประมาณชั่วโมงกว่า ก่อนจะมาเข้าคลาสบ่ายต่อ นักศึกษาทุกคนก็เลยต้องออกไปกินมื้อกลางวันเอาตอนนี้
“จองกุก นายจะไปกินข้าวกับฉันมั้ย” ยูคยอมเอ่ยชวนอย่างเป็นมิตร เขามีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น...หมายถึงว่าเรียบร้อยมากขึ้นไม่ได้หยอดรัวๆแบบตอนแรกที่เจอกันน่ะนะ
คนถูกชวนมีท่าทีลังเลนิดหน่อย เพราะว่าเมื่อวานเขาไม่ได้ไปกินเพราะมีธุระที่ต้องทำแถมยังบังเอิญได้ขับไล่สิ่งชั่วร้ายอีกด้วย ทำให้ยังคิดไม่ตกว่าเขาควรจะไปเดินตรวจรอบๆมหาวิทยาลัยหรือจะไปกินข้าวก่อนดี
แต่เอาจริงตอนนี้เขาก็หิวไม่น้อยเหมือนกัน
“เอ่อ...ไปก็ได้ จะไปกินที่โรงอาหารเหรอ”
“ช่าย นายไม่ชอบคนเยอะๆเหรอไง ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“เปล่าๆ ฉันแค่หิวมากน่ะ คนเยอะไม่ใช่ปัญหาหรอก” เขาตอบปัดกลบเกลื่อนไป
“งั้นรีบไปกันเถอะ ฉันรู้จักร้านอร่อยเยอะแยะเลยนะที่โรงอาหาร เดี๋ยวจะแนะนำให้”
“อื้อ”
สุดท้ายคราวนี้จองกุกก็ต้องไปกับยูคยอมอย่างเสียมิได้ แต่คิดอีกแง่ก็ดีเหมือนกัน เพราะมันมีสิ่งหนึ่งที่เขาสงสัยในตัวอีกฝ่าย ถ้าหากสังเกตพฤติกรรมเล็กๆน้อยๆเพิ่มเติมก็อาจจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มก็ได้
ทั้งคู่ไปโรงอาหารซึ่งเพื่อนใหม่ตัวสูงของตนก็ชี้ร้านนั้นร้านโน้นให้ดู แต่ก็ลงท้ายด้วยยูคยอมจะกินร้านไหนเขาก็กินร้านนั้นตามก็แล้วกัน เพราะไม่ได้เป็นคนกินยากขนาดนั้น โดยที่ขณะนั่งกินอยู่นั้นจองกุกก็แอบมองอีกฝ่ายไปด้วย
ก็พบว่าทุกอย่างปกติ ยูคยอมกินอาหารแบบคนปกติจริงๆ...
แต่ดูเหมือนจะเผลอจ้องมองนานไปหน่อยจนโดนคนตรงหน้าโบกๆมือแล้วก็ทักจนรู้สึกตัวแล้วก็รีบก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อก่อนที่จะไปเข้าคลาสบ่าย
พร้อมกับการที่เขาเริ่มจะสับสนมากกว่าเดิม
ใช่...หรือไม่ใช่...
เขาไม่รู้ข้อมูลในปัจจุบันด้วยว่าป่านนี้ ‘พวกมัน’ เป็นอย่างไร เพราะที่รู้อยู่ในตอนนี้ก็เป็นความรู้พื้นฐานที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ยุคก่อนจนเหมือนแทบจะฝังหัวได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเปลี่ยนไปแค่ไหน จะมีวิวัฒนาการหรือการปรับตัวอะไรเช่นมนุษย์ธรรมดาหรือเปล่า
ทันทีที่คลาสบ่ายเลิกตอนเย็น เขารีบบอกลายูคยอมแล้วขี่จักรยานกลับไปที่บ้าน โดยที่อีกฝ่ายก็มองตามอย่างงุนงงว่าทำไมจองกุกถึงดูรีบขนาดนั้นก็ไม่รู้
ไม่นานนักชายหนุ่มก็ขี่กลับมาถึงบ้านเดี่ยวสองชั้นสีครามอ่อน เขาไขกุญแจเปิดประตูเล็กตรงรั้วบ้านแล้วก็เข็นจักรยานกลับเข้าไป
“กลับมาแล้วเหรอ วันนี้เลิกเย็นสินะ”
“ครับฟาเธอร์ ส่วนพรุ่งนี้ก็มีคลาสบ่ายเลิกเย็นเหมือนเดิมครับ”
“อืม ล้างมือให้เรียบร้อยแล้วมากินมื้อเย็นนะ พ่อเตรียมไว้ให้หมดแล้วล่ะ”
จองกุกยิ้มกว้างออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น จินยองเป็นคนใจดีมากๆ ถึงภายนอกอาจจะดูเจ้าระเบียบและเคร่งครัดไปหน่อยก็ตาม ตอนแรกเขาก็แอบเกรงใจ แต่พออยู่ด้วยกันไปจริงๆก็กลับสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว เพราะอีกฝ่ายนั้นเหมือนเป็นทั้งรุ่นพี่แล้วก็พ่อของตนเอง
ถึงจองกุกจะไม่ได้คิดอะไรเรื่องที่ตนเป็นเด็กกำพร้า แต่การที่มีใครสักคนคอยชี้แนะและดูแลมันก็เป็นเรื่องที่ดีใช่ไหมล่ะ
“วันนี้ที่มหาลัยเป็นไงบ้าง”
“...วันนี้ปกติครับ ไม่มีเรื่องอะไร”
“ดีแล้วล่ะ เมื่อวานพ่อยังตกใจเลยที่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาได้”
“ผมเองก็ไม่ได้คาดคิดเหมือนกันครับ โชคดีที่เอาคัมภีร์ไปด้วย”
จินยองพยักหน้ารับเล็กน้อยก่อนจะคีบอาหารเข้าปาก ตอนนี้ที่โต๊ะอาหารมีเพียงเสียงตะเกียบกระทบชามดังก๊อกแก๊กเบาๆเท่านั้น
“แล้ว...เรื่องที่เธอสงสัยล่ะจองกุก?”
คนเด็กกว่าชะงักมือไป แววตาของเขาเจือความสับสนออกมารวมทั้งสีหน้าด้วย
“ผมยังไม่มั่นใจเท่าไหร่...”
“อืม”
“แต่ยังไงผมจะลองสืบดูให้แน่ใจ แล้วก็คืนนี้ผมจะออกไปนะครับ กลับมาดึกๆหน่อย”
คนเป็นผู้ใหญ่ตอบรับความประสงค์ของเอ็กโซซิสต์ในการดูแลของตน จริงๆมันก็เป็นหน้าที่ปกติของมือปราบอยู่แล้วที่ต้องลงพื้นที่ เขาเองก็เคยเดินช่วงตอนกลางคืน แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาดูแลความเรียบร้อยตอนกลางวันแทน
หลังจากที่อิ่มกับมื้อเย็นและช่วยจินยองเก็บโต๊ะกับล้างจานแล้วก็ค่ำพอดี แต่จองกุกก็รออีกสักพักให้ดึกกว่านี้หน่อยเพื่อที่จะลาดตระเวนได้โดยไม่สะดุดตา
แม้ว่าอาชีพมือปราบคนทั่วไปจะรู้จักและรับรู้ว่ามันมีอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับว่าเรื่องเหนือธรรมชาตินั้นมีอยู่จริง หลายครั้งอยู่เหมือนกันที่มีคนมองว่าอาชีพนี้ก็เหมือนพวกปาหี่หลอกลวงอะไรเทือกๆนี้ ก็แน่ล่ะ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปมากแล้ว วิทยาการเทคโนโลยีก็ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ผู้คนต่างเชื่อในเหตุและผลกับวิทยาศาสตร์มากกว่า เห็นได้ชัดๆก็คือปรากฏการณ์ลึกลับต่างๆก็ยังพยายามจะหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มารองรับ
แต่ก็นั่นล่ะ ถ้าเกิดว่ามันไม่มีเรื่องพวกนั้นจริงๆ ศาสนจักรที่ดูแลเรื่องนี้อยู่จะอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร
หลังจากที่เคลียร์งานไปจนได้เวลาแล้ว เขาจัดการเปลี่ยนชุดเป็นเครื่องแบบของตนเอง ซึ่งความจริงมันก็เป็นชุดยาวแบบบาทหลวงทั่วไปเพียงแต่เป็นแขนกุด ทำให้เห็นแขนเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวโผล่ออกมา
เขาคาดซองปืนที่มีที่ไว้ใส่คัมภีร์พกพาของตัวเองไว้ที่เอวเมื่อตรวจเช็คกระสุนเงินในรีโวลเวอร์คู่ใจเรียบร้อย
เมื่อเช็คของทุกอย่างว่าพร้อมแล้วก็เดินออกไปจากบ้าน ละแวกที่เขาอยู่นั้นแม้ว่าจะมีบ้านคนอยู่พอประมาณแต่พอดึกแล้วมันก็ย่อมเงียบเป็นธรรมดา เนื่องจากคนส่วนใหญ่ก็เข้านอนกันไปเกือบหมดแล้ว
จองกุกเดินตรวจตราในขอบเขตใกล้ๆเรื่อยๆไม่รีบร้อนมากนัก ความจริงเป็นการยากที่จะเจอมนุษย์ที่มีสิ่งชั่วร้ายสิงสู่แล้วออกมาอาละวาดนอกบ้านกลางดึก ถ้าไม่อยู่ในภาวะคลุ้มคลั่งจนหนีออกมาจากที่พักอาศัยเพื่อจะมาทำร้ายคนอื่น
จริงๆแล้วเขามาเพื่อจะหา ‘อย่างอื่น’ มากกว่า
ปีศาจที่คุ้นชินกับราตรีกาลมากที่สุด
มือปราบหนุ่มเดินอย่างมีสมาธิและเปิดประสาทสัมผัสเต็มที่เพื่อจะจับสิ่งแปลกปลอม เขาเดินมาเรื่อยๆจนถึงบล็อกที่มีซอกซอยเล็กๆเป็นทางเดินเข้าไป
เขาเกือบจะเดินผ่านไปแล้ว ถ้าหางตาไม่ได้รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวในความมืดเสียก่อน
สองขาหยุดแล้วหันมองเข้าไปในซอยที่กำลังจะเดินผ่านไป ดวงตากลมโตหรี่ลงอย่างสงสัยเมื่อรู้สึกว่าเหมือนกับเห็นคนอยู่ตรงนั้น...สองคน?
เพราะว่ายืนอยู่ในจุดที่ห่างจากเสาไฟก็เลยเห็นแค่เพียงสลัวๆจากแสงจันทร์บนฟ้าที่ส่องลงมาอยู่ แต่ก็พอจะมองออกว่าคนตัวสูงน่าจะผู้ชาย และอีกคนที่ตัวเล็กกว่ามากน่าจะเป็นผู้หญิง
แต่ดึกๆแบบนี้ออกมาทำอะไรที่เปลี่ยวๆ มันอันตรายมากๆ
และก็น่าสงสัยสุดๆไปเลยเช่นกัน
ถึงมันอาจจะไม่สมควรก็เถอะถ้าจะไปแอบดูสองคนนั้น เพราะถ้าหากเป็นคู่รักก็อาจจะกำลังแอบนัดพบมาพลอดรักกันอยู่ก็ได้ แต่ในที่แบบนี้และเวลาแบบนี้มันจะดีหรือ
จองกุกจ้องเขม็งเข้าไปด้านในพลางเม้มปากอย่างชั่งใจ มือทั้งสองข้างกำแน่นอย่างกระอักกระอ่วน
อาจจะยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยก็ได้...
มือหนาเชยคางให้ใบหน้าของหญิงสาวต้องแสงจันทร์เล็กน้อย ดวงตาฉ่ำปรือของเธอนั้นราวกับตอนนี้กำลังอยู่ในภวังค์และไม่ได้รู้สึกตัวใดๆ
และมือนั้นก็ค่อยๆไล้ลงมาตามลำคอระหงขาวนวล ในขณะที่มืออีกข้างของชายคนหนึ่งก็ลูบอยู่บริเวณไหปลาร้า ก่อนที่จะปลดกระดุมเสื้อของหญิงสาวตรงหน้าออกและร่นเสื้อของเธอลงข้างหนึ่งจนเห็นไหล่มน
ดวงตาสีเทาเป็นประกายอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นผิวเนื้อตรงหน้าที่กำลังเชิญชวนอยู่
ไม่สิ...จริงๆแล้ว สิ่งที่กระตุ้นความกระหายของเขามันไม่ใช่สิ่งนั้น
ชายหนุ่มก้มหน้าซุกไซ้ที่ซอกคอหอมหวาน จมูกโด่งที่คลอเคลียอยู่ข้างลำคอนั้นยิ่งทำให้เขายิ่งได้กลิ่นกรุ่นเชื้อเชิญ
เขาเลียริมฝีปากของตัวเองด้วยความตื่นเต้น
ก่อนจะอ้าปากเผยให้เห็นคมเขี้ยวแหลมซึ่งพร้อมจะฝังลงไปที่ต้นคอของหญิงสาวแล้ว
ถ้าไม่ติดที่ว่า...
“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้”
เสียงหวานแต่เคร่งเครียดที่ดังอยู่ด้านหลังไม่ทำให้รู้สึกเสียววูบได้เท่าการสัมผัสได้ถึงของแข็งที่จ่ออยู่ตรงท้ายทอยตัวเอง
เขายิ้มมุมปากก่อนจะค่อยๆหันกลับไป จนสบเข้ากับดวงตากลมโตที่แสนจะคุ้นเคย
จะไม่ให้คุ้นได้อย่างไรล่ะ ก็เพิ่งเจอกันมาตั้งแต่เช้านี่นา
“อย่างที่คิดจริงๆ...คิมยูคยอม”
จอนจองกุกในชุดเครื่องแบบเอ็กโซซิสต์พร้อมปฏิบัติงานกำลังจ่อปากกระบอกปืนอยู่ตรงหน้าของเขา
“...นายก็ไม่ได้ผิดคาดฉันเท่าไหร่เหมือนกัน”
“เหอะ”
ดวงตาคู่สวยของมือปราบหนุ่มยังคงมองมาอย่างไม่เป็นมิตร แน่นอนว่ารีโวลเวอร์ตรงหน้าเขาก็ยิ่งไม่เป็นมิตรเข้าไปใหญ่
“แต่ว่านะจองกุก ขอฉันกินอาหารซักแป๊บได้มั้ย คือมันหิวอะ”
--ปัง—
“...”
ยูคยอมที่ตอนนี้เก็บปากเก็บคำอย่างรวดเร็วเพราะว่าเจ้ากระสุนเงินที่เกือบเฉี่ยวหน้าของเขาไปแล้วฝังที่กำแพงด้านหลังตนเองนั้นมันมาแบบไม่ได้ทันตั้งตัวเลย
ให้ตายเถอะ ถึงเขาจะเป็น ‘แวมไพร์’ แต่ก็ไม่ได้ล่วงรู้อนาคตไหม
แถมเขาเพิ่งจะรู้ว่าพ่อมือปราบคนนี้จะโหดไม่สมกับหน้าตา
“ฉันบอกให้ปล่อย ไม่งั้นหัวนายกระจุยแน่”
แวมไพร์หนุ่มจิ๊ปากอย่างขัดใจก่อนจะจับร่างผู้หญิงคนนั้นให้นั่งพิงกำแพงเอาไว้ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับจองกุกเต็มตัว
“เอ้า จะเอายังไงดี จะฆ่าฉันเลยมั้ย”
“ไม่น่าถาม”
สิ้นเสียงของคุณเอ็กโซซิสต์ เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ภาพตรงหน้าเห็นเพียงเงาดำเป็นภาพติดตา ซึ่งในชั่วพริบตานั้นร่างสูงก็ปรากฏกายอยู่ด้านหลัง แต่ประสาทสัมผัสที่ตื่นตัวเต็มที่ของจองกุกก็ตอบสนองได้ดีเช่นกัน เขาพลิกแขนไปด้านหลังแล้วลั่นไกอีกครั้ง แต่แน่นอนว่าต้องเพียงอากาศธาตุ
ชายหนุ่มวาดแขนกลับมาอีกครั้ง เขายิงออกไปทันทีที่เห็นเงาดำ แต่เงานั้นก็กลับหลบได้ทุกครั้งไปทำให้อดจะเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา แต่ก็พยายามจะควบคุมสติของตัวเองเอาไว้
“นี่ เก็บปืนเถอะฉันว่า เสียดายกระสุนแทนอะ”
“งั้นไม่ยิงก็ได้!”
จองกุกกระชับรีโวลเวอร์แน่นกว่าเดิมและสะบัดแขนออกไปหวังจะตบด้วยด้ามปืนแทน แต่ก็ถูกคว้าแขนเอาไว้แล้วจับบิดตรงข้อมือ แรงที่ส่งมาทำให้ร่างของชายหนุ่มหมุนคว้างกลางอากาศจนเจ้าตัวถึงกับตกใจว่าตัวเขาก็ไม่ใช่เบาๆ ทำไมถึงโดนเหวี่ยงลอยได้
แต่ก่อนที่หลังจะกระแทกพื้นเต็มๆ จองกุกก็จัดการขยับร่างตัวเองเอาแขนตบพื้นลงไปก่อนที่จะลงทั้งร่าง
คุณมือปราบรีบเหวี่ยงขาดีดตัวลุกขึ้นมาทันที เขาเก็บปืนเข้าซองอย่างรวดเร็วและหันมาตั้งสมาธิร่ายเวทเพื่อหวังจะหยุดการเคลื่อนไหวของแวมไพร์ตนนี้ให้ได้ แต่ก็ยากเหลือเกิน
เร็วเกินไป
เร็วจนมองตามแทบไม่ทัน
จนจังหวะที่จองกุกมัวแต่พยายามเพ่งมองอยู่นั้นก็เผลอลดการ์ดตัวเองลงจนร่างเขาถูกยึกเอาไว้ได้อีกครั้ง วงแขนแกร่งโอบรัดรอบคอในขณะที่แขนอีกข้างก็จับศีรษะของเขาอยู่จนเหมือนแทบจะขยุ้มหัวได้อยู่แล้ว
“จองกุก...นายอายุเท่าไหร่”
แม้ว่าตรงนี้จะไม่มีคนและอยู่กันเพียงสองคนแทบร่างยังแนบชิดกันขนาดนี้ แต่ยูคยอมกลับพูดเสียงกดต่ำเยือกเย็นและเบาจนแทบกระซิบ แต่กลับได้ยินชัดเจนราวกับมันก้องอยู่ในหัว
“...ยี่สิบสาม” จองกุกตอบออกไปอย่างใจเย็น
“ฉันยี่สิบ”
คนพี่พ่นลมหายใจออกมานิดหน่อย เขารู้อยู่แล้วว่ายูคยอมน่ะต้องเป็นน้องเขาแน่ๆเพราะยังเรียนอยู่เลยนี่
“แต่ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว ไม่ต้องเรียกพี่หรอกเนอะ”
“แล้วจะถามไปทำไม”
“ฉันก็แค่อยากรู้ ว่านายถูกส่งมาจริงๆใช่มั้ย”
“ตอนนี้ก็น่าจะรู้แล้วนะถ้าฉลาดพอ”
ยูคยอมหัวเราะออกมานิดหน่อย แต่เขาก็ยังคงล็อคคออีกฝ่ายอยู่แบบนั้น
“แต่ฉันยังไม่ได้ฆ่าใครซักหน่อย ไม่เห็นต้องมารุนแรงกันขนาดนี้เลย”
“ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอไงว่าการมีอยู่ของพวกนาย มนุษย์คนอื่นถึงเดือดร้อน”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ฆ่า ดื้อจริง”
“ถ้าไม่ได้ฆ่า แล้วนายตอบฉันได้รึเปล่าเรื่องของเอ็กโซซิสต์ที่หายตัวไปเมื่อสองปีที่แล้วเพราะฝีมือของแวมไพร์ตระกูลคิม”
พอจองกุกถามถึงเรื่องนี้ แวมไพร์หนุ่มก็เงียบไปพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติอีกครั้ง
“นายคิดว่าสายตระกูลคิมมีตระกูลเดียวเหรอ ฉันญาติเยอะนะ”
“คิมซอกจิน”
“...”
“รู้จักมั้ย คิมซอกจินน่ะ”
ยูคยอมเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะยิ้มมุมปากออกมาอย่างมีนัยยะบางอย่าง
“บอกแล้วว่าญาติฉันเยอะ คงจะรู้จักไม่หมดทุกคิมหรอกนะคุณมือปราบ”
จองกุกเม้มปากแล้วเหลือบมองไปด้านหลังเล็กน้อย ตอนนี้เขาสุ่มเสี่ยงอันตรายอยู่ทีเดียวเพราะอาจจะถูกหักคอได้ทุกเมื่อ
“แต่ว่า...ถ้าอยากจะหา ก็ตามสบายนะ”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายเจือความขี้เล่นร่าเริงเอาไว้เช่นเดิมพร้อมกับผละออกจากร่างของเอ็กโซซิสต์หนุ่มอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่จองกุกนั้นหยิบปืนขึ้นมาจากซองอีกครั้งพร้อมกับหันไปจ่อเล็ง แต่บริเวณนั้นก็กลับว่างเปล่าไม่มีใครอีกแล้ว
เขาพยายามจะจับสัมผัสหรือกลิ่นอายของอมนุษย์ที่รุนแรงแต่ก็ไม่พบอะไร
“ชิ หนีไปงั้นเหรอ”
ยอมรับว่าตอนนี้จองกุกหงุดหงิดมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากหันไปอุ้มร่างไร้สติของหญิงสาวที่นั่งพิงกำแพงอยู่ ตอนนี้เธอหลับไปแล้วเพราะมนตร์สะกดน่าจะกำลังคลาย เขาจึงเดินพาเธอไปส่งที่สถานีตำรวจเล็กๆที่ใกล้ที่สุดพร้อมกับบอกตำรวจว่าเจอเธอหมดสติอยู่ โดยขอให้เธอได้พักที่นี่ก่อนค่อยให้กลับ
และสุดท้ายเขาเองก็ต้องกลับบ้านไปมือเปล่า แต่อย่างน้อยก็คุ้มค่าแล้วที่รู้ว่ามีแวมไพร์อยู่ที่นี่จริงๆ และฝีมือค่อนข้างจะประมาทไม่ได้ จึงไม่ค่อยจะสงสัยแล้วว่าคนที่ถูกส่งมาก่อนหน้านี้จะเจออะไรบ้าง
แต่โดนแค่บิดเบือนความทรงจำก็นับว่าเบาแล้ว
ส่วนเขาแค่น่าจะมีรอยช้ำนิดหน่อยกลับบ้านไปให้จินยองช่วยดูให้
และมันคงจะไม่จบแค่นี้อย่างแน่นอน
--ปึ้ง!—
เสียงประตูกระแทกเสียงดังเรียกความสนใจจากชายหนุ่มตาเรียวให้ละจากหนังสือที่อ่านอยู่ เขามองไปยังอีกฝ่ายที่เดินหน้ายุ่งกลับเข้ามาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“พี่แจบอม ขอเลือดหน่อย”
อีกฝ่ายถอนหายใจวางหนังสือไว้บนโต๊ะก่อนจะลุกเดินไปที่ครัวซึ่งมีตู้เก็บของขนาดเท่าตู้เย็นเล็กวางอยู่ใกล้ๆตู้เย็น เขาก้มหยิบเอาถุงที่รูปร่างคล้ายกับถุงที่บรรจุเลือดตามโรงพยาบาล ซึ่งต่างกันนิดหน่อยที่ถุงนี้เป็นสีเงินและมีฝาหมุนเปิดได้คล้ายๆกับพวกเยลลี่ที่ขายกันในร้านสะดวกซื้อ
เพียงแต่ของเหลวในถุงนี้เป็นเลือดเท่านั้นเอง
แจบอมโยนเลือดถุงให้กับคนเด็กกว่าซึ่งรับมาแล้วดูดอึกๆด้วยสีหน้าบ่งบอกความเซ็งสุดๆ
“เกิดอะไรขึ้น วันนี้ไม่มีเหยื่อรึไง”
“มี แต่กินไม่ได้”
ยูคยอมเล่าเรื่องทั้งหมดที่เจอมาเมื่อครู่นี้ให้กับอิมแจบอมซึ่งมีสถานะเป็นผู้ปกครองของตนเองในตอนนี้ฟัง ซึ่งคนโตกว่าก็พยักหน้ารับอย่างแกนๆก่อนจะถามกลับไปด้วยทีท่าที่ยังดูสงบกว่า
“แล้วนายจะเอายังไงต่อ”
“ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น เพราะยังไงผมก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ ไม่ได้ฆ่าคน แค่ขอเลือดนิดๆหน่อยๆ ไม่ถึงกับเป็นเหตุผลที่โดนเป่าหัวง่ายๆหรอก”
“แต่พวกนั้นเขาไม่คิดเหมือนนาย”
“ช่างมันสิ แต่ผมว่านะ” ดวงตาสีนิลของแวมไพร์หนุ่มทอประกายวูบเป็นสีเทาก่อนจะกลับเป็นสีเข้มเช่นเดิม
“ชักอยากอยู่เป็นเพื่อนเล่นคุณเอ็กโซซิสต์แล้วสิ”
ถึงจะอารมณ์เสียที่ถูกขัดจังหวะกินอาหารกลางคันก็จริง แต่พอนึกๆไปแล้วใบหน้าที่ดูดุดันเอาจริงเอาจังแบบนั้นมันทำให้รู้สึกอยากจะก่อกวนอีกเยอะๆ แม้ว่ามันอาจจะเป็นอันตรายกับตัวเองได้ก็เถอะ เพราะจอนจองกุกฝีมือก็ดูจะไม่ธรรมดา
ส่วนฝ่ายผู้ปกครองหรือคุณพี่เลี้ยงนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างอ่อนใจ เขารู้นิสัยยูคยอมดีว่าเป็นคนอย่างไร และก็พอจะไว้ใจได้อยู่ว่าเด็กนี่จะไม่พลาดท่าง่ายๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องดีถ้าเกิดว่าทำเรื่องแล้วสุดท้ายคนที่โดนด่าก็คือเขา
แล้วยิ่งการที่เอ็กโซซิสต์คนนั้นมาเพื่อจะถามหาคนในตระกูลคิมอีก แล้วมาถามหาใครไม่ถาม มาถามถึงคนคนนั้น
เพราะงั้นการที่ยูคยอมออกตัวว่าจะคอยดูให้ก็อาจจะยังคงเป็นโชคดี
โชคดีที่เจ้าหนุ่มมือปราบคนนั้นจะมีชีวิตอยู่ต่อได้นานขึ้นน่ะนะ
--------------------------
>>Talk
เอาล่ะค่ะ เอาล่ะค่ะ ในที่สุดภารกิจที่แท้จริงของจอนจกุกก็เฉลยแล้วนะคะ เฉลยพร้อมๆกับเพื่อนใหม่ที่ไม่ธรรมดา
อย่างที่บอกไว้แต่แรกค่ะว่าเนื้อหาจริงๆของเรื่องจะเกี่ยวข้องกับปีศาจชนิดหนึ่ง นั้นก็คือชนิดนี้นั่นเอง 5555555 ท้ายสุดคุณมือปราบจะได้ฝังกระสุนเงินไว้เป็นที่ระลึกในหัวของคุณแวมไพร์หรือไม----
และแน่นอนว่าอนาคตยังมีเรื่องตามมาเป็นพรวน จะหนักหน่วงขนาดไหนโปรดติดตามตอนต่อไปไอไอไอไอ
แล้วก็ขอโทษที่มาช้ามากๆเลยนะคะ จริงๆตอนแรกกะจะไปอัพอีกเรื่อง แต่พอเห็นวันที่อัพล่าสุดของเรื่องนี้ละก็... แฮ่ๆ อัพดีกว่า 5555 แต่ก็คงหายไปพักนึงเช่นเคยนะคะเพราะช่วงนี้ไรต์ติดสอบด้วยค่ะ ง่อก O]=[
ขอบคุณทุกวิวที่ยังอุตส่าห์เข้ามาดู ทุกเฟฟที่มาจิ้ม แล้วก็คอมเมนท์อื่นๆในอนาคตด้วยนะคะ 5555 เจอกันตอนหน้าค่ะ อาดิโอส
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แวมไพรส์ตัวนี้นี่ดื้อจริงๆ555555
จองกุกต้องปราบเเวมไพรส์ตัวนี้ให้ได้นะ
ซอกจินเป็นอะไรกับยูคยอมอ่ะ ญาติหรอ ?
ยังไงก็ขอซีนพี่เลี้ยงแวมไพรส์ดื้อกับฟาเธอร์ของจองกุกหน่อยน้า เรือเรา55555555555
สู้! เป็นกำลังใจให้คนสู้งาน!
ส่วนพี่จินจะเป็นอะไรกับน้องคยอมเดี๋ยวจะได้เฉลยในอนาคตค่ะ แฮร่
ส่วนคุณพี่เลี้ยงกับฟาเธอร์นั้น อิ_____อิ หึหึฮิฮิฮะฮุ-- #อะไร้
ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะะะ เรื่องนี้คงอัพช้ามากค่ะโฮววว ใช้หลังเยอะมาก 5555555
จบมบอกห้ามจนเบื่อละ(....)
ความเท่นี้ขอยกให้คุณจอนจริงๆค่ะ 5555555555 โฮววว ดีใจที่ชอบนะคะะ