ลำดับตอนที่ #14
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : จดหมายจากซินเทียร์
    เมลฟิซดูเหมือนจะงานยุ่งมาก เค้าแทบจะไม่ได้กลับไปที่บ้านเลย บางทีก็ไปฝึกทหารนอนกับพวกทหารเลยก็บ่อย วันนี้ก็เช่นกัน เมลฟิซอยู่ในกระโจมที่พักอีกเช่นเคย
    “ท่านแม่ทัพ มีคนมาหาขอรับ” ทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาบอก เมลฟิซจึงพยักหน้าอนุญาตให้เข้าไปได้ คนชุดดำสวมผ้าคลุมเดินเข้ามาพร้อมกับผู้ติดตามอีกสองคน
    “พวกท่านเป็นใครหรือ” เมลฟิซถามอย่างสุภาพ คนชุดดำที่ดูเหมือนจะมีตำแหน่งสูงสุดถอดหมวกที่คลุมออก เมลฟิซเห็นเป็นหญิงสาวก็ตกใจอย่างยิ่ง ถ้าจำไม่ผิดเธอคือเจ้าหญิงเอลเลน่าคู่หมั้นของเจ้าชายซิลฟีเซ่
    “เรารับฝากของมาจากราชินีแห่งเมริเมล มารดาของซินเทียร์” เจ้าหญิงเอลเลน่ายื่นม้วนแผ่นกระดาษพร้อมกับของสิ่งหนึ่งให้เมลฟิซ เค้ารับมันมาถือไว้
    “ขอบพระทัยพะยะค่ะเจ้าหญิง” เมลฟิซกล่าวขอบคุณ เจ้าหญิงทรงแย้มพระโอษฐ์ และทำท่าจะเดินหันหลังกลับไป “เดี๋ยวพะยะค่ะ เอ่อ! เจ้าหญิงทรงรู้จักหญิงสาวที่หน้าตาคล้ายซินเทียร์รึเปล่า” เมลฟิซถาม เจ้าหญิงหันมามองแล้วพยักหน้า “นางเป็นอย่างไรบ้าง”
    “ก็ร่าเริงดีนี่” เจ้าหญิงทรงตอบ แล้วมองเมลฟิซ เค้าถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วยิ้มให้เจ้าหญิง เธอมองเค้าด้วยแววตาอันเศร้านั้น เมลฟิซสบเข้ากับสายตานั้น เค้าเองก็จ้องมองเธอด้วยความแปลกใจ เจ้าหญิงจึงเป็นฝ่ายที่หลบตาเมลฟิซ ด้วยการเอาผ้าคลุมมาปิดหน้าไว้เช่นเดิม “เราไปแล้วนะท่านแม่ทัพ” เธอพูดจบก็เดินออกไป เมลฟิซโค้งคำนับแล้วมองตามเจ้าหญิงไปจนกระทั่งเธอถึงม้าโดยปลอดภัยแล้วจึงกลับเข้ามาในกระโจม แล้วแกะม้วนกระดาษนั้นออกมาอ่าน
    ถึง...ท่านเมลฟิซที่รัก
    หากท่านได้รับจดหมายฉบับนี้ก็แสดงว่า เราไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว อาจจะเป็นการเห็นแก่ตัวที่เราไม่ได้บอกท่านเสียก่อนเกี่ยวกับเรื่องที่เราป่วย  เรารู้ว่าเราอาจจะไม่ได้อยู่เลี้ยงดูลูกของเรา และในอีกไม่นานจะเกิดภัยพิบัติในแอตแลนติส ในถุงนั้นมีแท่งแก้วเปิดประตูห้วงกาลเวลาอยู่อีกอันหนึ่ง เราอยากให้ท่านใช้มันให้เป็นประโยชน์
    อย่าทำหน้าแบบนั้นสิเมลฟิซที่รัก เรากำลังมองดูท่านอยู่จากเบื้องบนนะ เราไม่อยากเห็นท่านทำหน้าเศร้าเช่นนี้อีก กลับมาเป็นท่านคนเดิมเถอะ กลับมาเป็นเมลฟิซคนที่เรารัก รักยิ่งกว่าสิ่งใดๆ
                                    ซินเทียร์
    เมลฟิซวางกระดาษลงบนโต๊ะด้วยความรู้สึกคิดถึงซินเทียร์ขึ้นมาจับใจเค้าเหมือนกับคนไร้วิญญาณ เค้าก้มหน้าลงกับโต๊ะเอามือกุมหัวราวกับกำลังใช้ความคิด เค้ารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว เจ็บแปลบที่หน้าอกจนหายใจไม่ออก เมลฟิซนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งมีทหารเดินเข้ามาอีก
    “ท่านแม่ทัพ มีคนฝากจดหมายมาให้ท่านขอรับ” ทหารเอาจดหมายยื่นมาให้เมลฟิซแล้วเดินออกไป
    “จดหมายอีกแล้วหรือ” เมลฟิซพึมพำอย่างเจ็บปวด เค้าจึงแก้โบว์สีครีมที่พันจดหมายนั้นออกอ่าน พอเห็นข้อความเมลฟิซก็ถึงกับยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ข้อความภายในเป็นภาษาอังกฤษ คงจะเป็นจดหมายจากกาเบรียลสินะ
    ถึง...เมลฟิซ
    เป็นยังไงบ้างคะ ฉันได้ข่าวมาว่าเมลฟิซไม่ค่อยได้กลับบ้านเลย งานหนักเหรอ พักผ่อนบ้างนะ ฉันอยู่ที่นี่สบายดี เมลฟิซไม่ต้องเป็นห่วงนะ เจ้าชายฟีเรนเซ่ก็คอยอยู่กับฉันทำให้ฉันหายเหงาไปได้บ้าง นี่! วันก่อนฉันได้คุยกับเจ้าหญิงเอลเลน่าด้วยนะ เจ้าหญิงใจดีมากๆ เลย แต่ทำไมนะ ฉันถึงรู้สึกว่าเจ้าหญิงดูจะไม่ดีใจเลย ที่อีกไม่นานก็จะมีการอภิเษกแล้วระหว่างเจ้าชายซิลฟีเซ่กับเจ้าหญิงเอลเลน่า แต่ดูเหมือนว่าเจ้าชายจะดีใจน่าดูเลยล่ะ ที่สำคัญฉันก็คงได้กลับไปอยู่กับเมลฟิซอีก อยากให้ถึงวันนั้นไวๆ จังเลย
    ดูแลตัวเองด้วยนะ อย่าหักโหมทำงานให้มากนักเดี๋ยวจะไม่สบายเอา แล้วก็ต้องขอโทษด้วยนะที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ เพราะฉันเขียนเป็นภาษาคุณไม่เป็น หวังว่าคุณคงจะอ่านมันออกนะเมลฟิซ
                                    คิดถึงเมลฟิซที่สุดเล้ย
                                            กาเบรียล
    เมลฟิซเก็บจดหมายทั้งสองฉบับไว้ในกล่องอย่างดี ก่อนจะออกไปตรวจการณ์ที่นอกค่ายทหาร ด้วยอารมณ์ที่กลับมาเป็นปกติ
   
    “กาเบรียล กาเบรียล” เสียงของเจ้าชายฟีเรนเซ่ดังมาจากหน้าประตูห้องนอนของกาเบรียล ตอนรุ่งเช้า เธอตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย แล้วเปิดประตูโดยที่ยังไม่ได้หวีผม เจ้าชายฟีเรนเซ่และเจ้าชายซิลฟีเซ่เห็นสภาพนั้นก็หัวเราะอย่างขบขัน กาเบรียลจึงรู้สึกตัวและเอามือสางผมที่ยุ่งเหยิงนั้น
    “เจ้าชายมีอะไรหรือเพคะ ตั้งแต่เช้าแบบนี้ ทำไมไม่ให้คนมาตามล่ะเพคะ” กาเบรียลถาม
    “ถ้าให้คนมาตามเจ้าจะยอมไปหรือ” เจ้าชายซิลฟีเซ่พูด
    “เราจะไปเข้าป่ากัน จะชวนเจ้าไปด้วย” เจ้าชายฟีเรนเซ่บอก
    “ไม่เอาหรอก ถ้าเป็นไปนั่งเรือก็ว่าไปอย่าง” กาเบรียลพูดอย่างงัวเงีย
   
    “อะไรนะ ไปแต่งตัวเดี๋ยวนี้” เจ้าชายซิลฟีเซ่เสียงเข้มขึ้น กาเบรียลจึงพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องแต่งตัวแล้วปิดประตู ไม่นานนักเธอก็ออกมา
    “จะไปป่าทำไมหรือเพคะ” กาบรียลนั่งลงที่พื้นข้างๆ เบาะขนจามรีที่มีเจ้าชายทั้งสองนั่งอยู่ เธอเอาศีรษะอิงกับที่วางแขนอย่างเกียจคร้าน ราวกับยังไม่ตื่นดี
    “ไปล่าสัตว์” เจ้าชายฟีเรนเซ่ตอบ
    “ล่าทำไมสงสารมัน” เธอถาม เจ้าชายซิลฟีเซ่ขมวดคิ้วทันที
    “งั้นไปเที่ยวเฉยๆ ก็ได้” เจ้าชายฟีเรนเซ่พูดแทรกขึ้นมาก่อนที่เจ้าชายซิลฟีเซ่จะพูดว่าอะไรขึ้นมาอีก กาเบรียลเองก็คงจะรู้สึกตัวแล้วเหมือนกันเธอจึงไม่ถามอะไรให้มากความอีก ทั้งสองพาเธอเดินไปยังคอกม้าที่มีจูเลียสคอยอยู่ก่อนแล้ว
    “ช้าจริงๆ ดวงอาทิตย์จะขึ้นแล้วนะ” จูเลียสบ่น
    “ขอโทษนะคะ” กาเบรียลขอโทษเนื่องจากเธอเป็นคนทำให้ช้าเอง จูเลียสจึงหยุดพูดทันที กาเบรียลเหลือบตาขึ้นไปมองจูเลียส ทำให้เธอคิดถึงเรื่องเมื่อคราวนี่อยู่ในอุทยานนั้นขึ้นมาอีก เธอจึงหลบตาเค้าไปอีกทาง ดูเหมือนจูเลียสเองก็คงจะรู้ถึงปฏิกิริยานั้นเช่นกัน
    “ไปกันได้แล้ว” เจ้าชายซิลฟีเซ่ตัดบท แต่ดูเหมือนกาเบรียลจะยังคงช้ากว่าเพื่อนอยู่ดี เธอยืนหันรีหันขวางอยู่ “เป็นอะไรไป ขึ้นม้าสิ” เจ้าชายซิลฟีเซ่สั่ง
    “ขี่ไม่เป็น” กาเบรียลตอบสั้นๆ ดูเหมือนคนอื่นๆ ทำท่าจะหัวเราะ กาเบรียลจึงมองตาเขียว สงสัยจะมีแผนอะไรมาแกล้งเธออีกแหงๆ
    “งั้นเจ้าก็หัดได้แล้วสาวน้อย” เจ้าชายซิลฟีเซ่พูดอีก
    “งั้นมานั่งกับข้ามั้ย” จูเลียสอาสา แต่ด้วยความอยากเอาชนะเจ้าชายซิลฟีเซ่เธอจึงส่ายหน้าแล้วพยายามขึ้นม้า ดูเหมือนคนอื่นๆ จะมองเธอเหมือนกับเธอเป็นตัวตลก
    “จะขี่ม้าใครเค้าใส่กระโปรงยาวแบบนั้นกัน” เจ้าชายซิลฟีเซ่พูดแหย่ขึ้นมาอีก กาเบรียลด้วยความที่โมโหม้าที่ไม่ยอมให้เธอขึ้นอยู่แล้ว เธอจึงจัดการฉีกกระโปรงให้สั้นลงด้วยความโมโหดูเหมือนมันจะสั้นเกินไปด้วย เจ้าชายทั้งสามมองเธอด้วยอาการอึ้ง
    “กาเบรียล เจ้าต้องปลอบให้ม้าหายกลัวก่อนนะ” เจ้าชายฟีเรนเซ่พูด กาเบรียลพยักหน้าแล้วลูบศีรษะมัน แล้วเธอจึงพยายามขึ้นไปบนหลังมัน แต่มันตัวสูงมากเธอไม่กล้ากระโดดขึ้นไปบนหลังมันหรอก ถ้าหากพลาดขึ้นมาละก็เจ็บแน่ เจ้าชายซิลฟีเซ่เห็นว่าดวงอาทิตย์ใกล้จะขึ้นเต็มทีแล้ว เค้าจึงอุ้มกาเบรียลขึ้นมานั่งกับตนเสียเลย เจ้าชายทั้งสองมองซิลฟีเซ่ด้วยความอิจฉา กาเบรียลนั่งทำหน้าบูดด้วยความไม่พอใจ เธอเกลียดเจ้าชายซิลฟีเซ่ที่เอาแต่ใจตัวเองนี้จะตาย แล้วทำไมเธอจะต้องขี่ม้ากับเค้าด้วยล่ะ
    “เป็นอะไรหน้าบูดเชียว” เสียงหวานๆ ดังขึ้นข้างๆ หูกาเบรียล เธอจึงหันไปมอง
    “เจ้าหญิงเอลเลน่า” กาเบรียลพูดด้วยความตกใจที่เห็นเจ้าหญิงเอลเลน่าทรงม้าอยู่กับทหารองครักษ์ ทำให้ม้าของเจ้าชายซิลฟีเซ่เซไป เจ้าชายจึงจัดการเขกหัวกาเบรียลเข้าให้ทีหนึ่ง เธอหันมามองเจ้าชายตาเขียวก่อนจะหันกลับไปพูดกับเจ้าหญิงเอลเลน่า“มะ ไม่ใช่นะเพคะ” กาเบรียลแก้ตัวทันที แต่เจ้าหญิงกลับหัวเราะเบาๆ
    “รู้แล้วล่ะจ๊ะ” เจ้าหญิงพูดเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไร ดูเหมือนทั้งคู่จะเห็นเธอเป็นแค่เด็กขนาดเจ้าชายฟีเรนเซ่ซะกระมัง เธอจึงนั่งหน้าบูดกว่าเดิมอีก
   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น