ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฉันหรือเธอที่เผลอใจ

    ลำดับตอนที่ #9 : เผชิญหน้า

    • อัปเดตล่าสุด 22 ส.ค. 60


     ในระหว่างการประชุมคัดเลือกนางแบบโฆษณาอันเคร่งเครียด เฟื่องฟ้าเริ่มรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็เริ่มทำให้เธอต้องคิดทบทวนถึงเรื่องที่ผ่านมา

    เริ่มจากอาการวิงเวียนที่จู่โจมอย่างกะทันหันในเวลาเช้ามืด ทั้งๆ ที่เฟื่องฟ้ายังไม่ทันได้ลุกจากเตียงเสียด้วยซ้ำไป เป็นเหตุให้เฟื่องฟ้าต้องนอนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น นานกว่าเวลาปกติที่เธอเคยลุกขึ้นเช่นทุกวันที่ผ่านมา แม้แต่เวลาที่เธอทำธุระส่วนตัวอาการดังกล่าวก็ดูจะติดตามไปตลอดเวลา 

    ‘เอ... ทำไมคราวนี้เวียนหัวนานจัง’

    เฟื่องฟ้าที่เคยรับมือกับภาวะเครียดในที่ทำงานและเคยเกิดอาการเช่นนี้มาก่อน ก็ได้แต่คิดว่าตัวเองอาจจะกลับเข้าสู่ภาวะโรคเก่า (ความดันต่ำ) กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง เธอจึงไม่ตกใจกับอาการที่เป็นนัก และทำใจว่าอาการแบบนี้จะอยู่กับตัวเองอีกอย่างน้อยก็ 3 – 4 วัน

    แต่แล้วระหว่างการประชุมงานนั่นเอง เฟื่องฟ้ากลับรับรู้ได้ถึงอาการมือเท้าเย็นขึ้นมาอย่างกะทันหันไม่นานนักดวงตาทั้งคู่ก็พร่ามัวสิ่งสุดท้ายที่เฟื่องฟ้าพอจะจำได้และมีสติดีอยู่ก็คือความคิดที่ว่า

    ‘อุ๊ย! ฉันกำลังจะเป็นลม’

    นั่นเป็นเพียงความคิดของเฟื่องฟ้าเท่านั้น เพราะเธอไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แม้แต่น้อย ในเมื่อเฟื่องฟ้าที่ยืนคุยงานกับเพื่อนร่วมงานอยู่ดีๆ ก็ทรุดตัวลงไปดื้อๆ เพื่องร่วมงานที่กำลังถกปัญหากับเธอถึงกับตกใจในสิ่งที่เห็น และรีบเข้ารับร่างที่กำลังจะร่วงลงพื้นได้อย่างทันท่วงที

    “เฟื่อง... คุณเฟื่อง เป็นอะไรไป?”

    จ้าวเหมยฮัวเขย่าแขนเฟื่องฟ้าในอ้อมกอดของเพื่อนร่วมงานชายอีกคนด้วยความตกใจผสมกับความเป็นห่วง ก่อนจะสั่งเพื่อนให้อุ้มเฟื่องฟ้าไปนอนที่เก้าอี้นวมหนาหน้าห้องประชุม ซึ่งบรรดาสาวๆ ที่เคยผ่านภาวะเป็นลมมาก่อนต่างช่วยกันห้ามไม่ให้ไปมุงล้อมรอบเฟื่องฟ้า ในขณะที่จ้าวเหมยฮัวและเพื่อนร่วมงานอีกสองคนสาละวนช่วยกันทั้งบีบนวดและกรอยาดมไว้ใต้จมูกเฟื่องฟ้า

    ไม่นานเฟื่องฟ้าก็มีอาการดีขึ้น เธอลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าเพื่อนร่วมงานหลายคนมองเธอด้วยสายตาแสดงความเป็นห่วง และทั้งๆ ที่เธออยากจะลุกขึ้นนั่งแต่ก็เวียนหัวอย่างเหลือเกิน เธอจึงได้แต่ส่งยิ้มซีดเซียวและกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงแหบโหยแก่เพื่อนร่วมงานเบาๆ

    จ้าวเหมยฮัวเป็นอีกคนที่เมื่อแรกพบเฟื่องฟ้าเธอไม่ชอบหน้านัก ด้วยว่าเฟื่องฟ้าดูจะเข้ามามีอิทธิพลกับเจ้านายหนุ่มและลูกสาวตัวน้อยของเขาอย่างมากมาย แต่เมื่อไม่กี่วันที่ได้ยินเฟื่องฟ้าพูดกับหลี่เหมยลี่ เธอก็เริ่มมองเห็นความคับแคบในใจตัวเอง ทำให้เธอรู้สึกละอายใจที่มองเฟื่องฟ้าเป็นเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เข้ามาทำงานและพยายามทอดสะพานให้เจ้านาย ในเวลานี้เธอจึงมีความเป็นห่วงเฟื่องฟ้าอย่างจริงใจ ซึ่งก็เหมือนกับเพื่อนสาวอีกหลายคนที่เวลานี้กำลังช่วยกันทำให้เฟื่องฟ้าได้สติด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

    “ไม่เป็นไรแล้วนะเฟื่อง”

    จ้าวเหมยฮัวถามด้วยสีหน้าและแววตาอย่างไรตัวเองก็ไม่แน่ใจ แต่ปฏิกิริยาที่เฟื่องฟ้าตอบสนองมาทำให้เธอเกิดความรู้สึกประหลาดใจและสงสัย เพราะเฟื่องฟ้าที่มีใบหน้าซีดเซียวค่อยๆ มีสีหน้าที่ระเรื่อขึ้นและปรากฏรอยยิ้มอ่อนหวานน่ารัก ก่อนจะยิ้มกว้างและหัวเราะออกมาแม้ไม่ดังนัก แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีบอกกับเพื่อนร่วมงานว่าเวลานี้เธอสบายดีขึ้นมากแล้ว

    “ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ขอบคุณมาก”

    “เฟื่องหัวเราะอะไร ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า?”

    เฟื่องฟ้าส่ายศีรษะเป็นการตอบปฏิเสธแล้วค่อยๆ พยุงตัวเองลุกนั่ง ระหว่างนั้นเธอก็จับมือของจ้าวเหมยฮัวไว้ในอุ้งมือของตัวเอง

    “เธอเหมือนพี่สะใภ้ฉันมากเลย”

    “พี่สะใภ้?”

    จ้าวเหมยฮัวไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าเพราะอะไรเฟื่องฟ้าจึงพูดออกมาเช่นนี้

    “ฮื่อ... ก็เวลาที่ฉันไม่สบายแค่นิดๆ หน่อยๆ พี่เขามักจะทำเป็นเรื่องใหญ่ สีหน้าตื่นตกใจและเป็นกังวลเหมือนสีหน้าของเธอเมื่อกี๊เปี๊ยบเลยเชียว”

    “ฮะ? อย่างนั้นหรือ?”

    จ้าวเหมยฮัวไม่รู้ว่าควรจะขำไปตามคำพูดของเฟื่องฟ้าหรือไม่ แต่ในเวลานี้เธอเองก็มีสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอายกับคำพูดของเฟื่องฟ้าไม่น้อย เพราะเธอเป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอมักจะแสดงออกทางสีหน้าอย่างตรงไปตรงมาเสมอ

    “ขอบคุณนะ”

    เฟื่องฟ้าพูดด้วยสีหน้าและดวงตาที่จริงใจ ที่จ้าวเหมยฮัวสามารถรับความรู้สึกนั้นได้โดยง่าย

    “เอ่อ... ไม่เป็นไร ก็เราเป็นเพื่อนร่วมงานกันนี่นา”

    นับเป็นครั้งแรกที่เฟื่องฟ้าได้ยินคำว่าเพื่อนร่วมงานจากคนที่นี่ทำให้เธอรู้สึกดีใจไม่น้อย และไม่ว่าจะหันมองไปทางไหน เฟื่องฟ้าก็สามารถรับรู้ได้ว่ากำแพงบางๆ ที่เคยขวางกั้นเธอกับเพื่อนร่วมงานนั้นมันได้สลายหายไปแล้ว แต่จะเพราะอะไรนั้น เธอเลือกที่จะไม่สนใจที่จะหาคำตอบ

    ตลอดบ่ายนั้นทุกคนจึงได้มีโอกาสเห็นรอยยิ้มบางๆ ประดับบนใบหน้าแทนที่ใบหน้าหลุบต่ำลงกับงานอยู่เป็นนิจของเฟื่องฟ้า ทำให้หลายคนสามารถรับรู้ได้ทันทีว่ารอยยิ้มนั้นมันเกิดจากอะไร จนต่างต้องพากันครุ่นคิดว่าสิ่งที่ตัวเองได้ตัดสินผู้หญิงตรงหน้าที่เข้ามาทำงานด้วยความสามารถเช่นนี้มันน่าละอายเพียงใด ทั้งๆ ที่คนตรงหน้านี้จัดได้ว่ามีฝีมือในการทำงานอย่างเหลือเกิน ซึ่งได้เห็นกันมาแล้วจากงานของเธอ

    ระหว่างที่เฟื่องฟ้ากำลังประชุมย่อยกับเพื่อนร่วมงานในการจัดหาสถานที่ถ่ายแบบตามคอนเซ็ปต์ เธอไม่รู้ตัวสักนิดว่าใบหน้ายุ่งๆ และบรรยากาศเคร่งเครียดที่รายล้อมรอบตัวเธอได้ทำให้คนที่เดินผ่านไปมาได้แต่ส่ายหน้า เพราะไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้าสู่สายตาและการรับรู้ของเธอได้ มีเพียงเพื่อนร่วมงานที่กำลังถกปัญหาอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้นที่อยู่ในโลกของเธอขณะนั้น

    “เอาล่ะ ตกลงตามนี้”

    นั่นเป็นคำพูดที่ทำให้คนที่นั่งอยู่รอบตัวเฟื่องฟ้าพากันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ ด้วยว่าเพิ่งได้เห็นโหมดการทำงานของเฟื่องฟ้าอย่างจริงจังก็เวลานี้เอง ซึ่งทุกคนต่างก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้ทำงานเก่ง ที่สำคัญเธอไม่คิดจะเอาไอเดียของใครเป็นของตัวเองเธอใส่ชื่อทุกคนที่อยู่โครงการกับเธอ ซึ่งผิดกับหัวหน้าอีกคนที่มักจะเอาไอเดียของลูกน้องเป็นของตัวเอง ทำให้ทุกคนยิ่งมองเฟื่องฟ้าในทางที่ดีมากยิ่งขึ้น

    “ขอโทษนะ เลยเวลามานานเชียว”

    เฟื่องฟ้ากล่าวขอโทษเพื่อนร่วมงานอย่างจริงใจและทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงความจริงใจนั้น เฟื่องฟ้าจึงได้เห็นรอยยิ้มขบขันจากเพื่อนร่วมงานมาแทนที่

    “เอาเถอะค่ะอย่างน้อยๆ งานของเราก็เดินไปมากกว่าที่คิดกันไว้ แล้ววันนี้ก็เย็นอย่างเฟื่องว่าเพราะฉะนั้นเราแยกย้ายกันกลับไปเตรียมตัวทำงานต่อพรุ่งนี้กันดีกว่า”

    จ้าวเหมยฮัวเป็นคนพูดขึ้นซึ่งทำให้หลายคนพากันพยักหน้ารับ ขณะที่เฟื่องฟ้ากำลังจะพูดชวนทุกคนไปหามื้อเย็นทานด้วยกันนั้นปรากฏว่ามีร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงที่เวลานี้น่ารักราวกับเป็นเจ้าหญิงน้อยๆ วิ่งถลาเข้าหาเฟื่องฟ้า สร้างรอยยิ้มให้เพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดี

    “คุณคงมีคนทานข้าวด้วยแล้วล่ะค่ะ พวกเราขอตัวกันก่อนดีกว่า”

    จ้าวเหมยฮัวพูดด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ทำให้หลี่เหมยลี่ได้แต่มองว่าพี่สาวคนนี้ยิ้มสวย ทั้งๆ ที่เธอก็เห็นจ้าวเหมยฮัวมาหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้พูดจากันเลย มีแค่ครั้งนี้เองเท่านั้นที่ได้เห็นเต็มตา หลี่เหมยลี่จึงส่งยิ้มแต้ให้จ้าวเหมยฮัว และจ้าวเหมยฮัวเองก็ยิ้มตอบกลับมา

    “อะไรจะหนีกลับแล้วเหรอ ผมกำลังคิดจะพาพวกคุณไปเลี้ยงข้าวเย็นอยู่เชียว”

    หลี่คังที่เดินเข้ามาสมทบกล่าวขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ เหมือนเช่นเคย ทุกคนเคยไปรับประทานอาหารเย็นร่วมกับหลี่คังกันมาแล้วจึงไม่มีใครปฏิเสธเพราะพวกเขาจะได้อาศัยช่วงเวลานี้คุยเรื่องที่ได้ประชุมและตกลงกันไปในตัว

    ในช่วงเวลารับประทานอาหารเย็นหลี่เหมยลี่ที่ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดกันได้แต่มองคนโน้นทีคนนี้ทีแต่กลับพบว่าตัวเองกำลังสนใจพี่สาวยิ้มสวยที่นั่งไม่ไกลออกไป และเมื่อจ้าวเหมยฮัวหันมาพบหลี่เหมยลี่เธอก็จะได้รับรอยยิ้มสวยนั้นเสมอ

    แต่แล้วในระหว่างที่ผู้ใหญ่กำลังพูดถึงงานโดยลืมนึกถึงเด็กหญิงตัวน้อย หลี่เหมยลี่ได้ลุกออกจากเก้าอี้และพยายามจะสั่งขนมที่อยู่สูงเกินไป แต่ไม่มีใครแถวนั้นมองเห็นเธอ เหตุการณ์ทั้งหมดได้อยู่ในสายตาของเฟื่องฟ้า ขณะที่เธอคิดจะลุกไปช่วยเหลือ ก็พลันได้เห็นว่าจ้าวเหมยฮัวได้ลุกขึ้นก่อนแล้ว เฟื่องฟ้าจึงหันไปสนใจงานตรงหน้าต่อโดยใช้สายตาแอบลอบมองจ้าวเหมยฮัวที่เข้าให้การช่วยเหลือหลี่เหมยลี่ และเฟื่องฟ้าสามารถมองเห็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดของหญิงสาวและเด็กหญิง ทำให้เฟื่องฟ้าต้องยิ้มออกมาเช่นกัน

    เมื่อทุกคนแยกย้ายกันกลับ เฟื่องฟ้าที่กลับทางเดียวกับหลี่คังจึงเดินไปด้วยกันสามคน โดยที่หลี่เหมยลี่ยืนตรงกลางให้บิดาและเฟื่องฟ้าจับจูง

    สองเท้าน้อยๆ นั้นกระโดดโลดเต้นด้วยความสุข หลี่เหมยลี่ชอบเฟื่องฟ้ามาก แต่ก็รู้ว่าเฟื่องฟ้าไม่อาจมาแทนที่แม่ได้ และในวันนี้เธอก็ได้พบกับผู้หญิงที่อ่อนโยนไม่แพ้กัน เธอจึงมีความสุขเป็นพิเศษและได้แต่คิดว่าไปหาบิดาครั้งหน้าเธอจะต้องไปเล่นกับพี่สาวยิ้มสวยคนนั้นให้ได้

    เฟื่องฟ้ามองหลี่เหมยลี่ด้วยสายตาเอ็นดู ขณะที่หลี่คังเองก็กำลังมองดูลูกสาวที่ดูท่าทางวันนี้มีความสุขเหลือเกิน ด้วยความกังวลถึงสิ่งที่ลูกสาวต้องการ เขาไม่ปฏิเสธที่รู้สึกดีกับเฟื่องฟ้า แต่เขาไม่ได้รัก เฟื่องฟ้าเป็นผู้หญิงที่ดี เขาไม่ปฏิเสธ แต่จะให้เขาเลือกเธอเพื่อลูกก็ดูจะเลือดเย็นเหลือเกิน ลูกต้องการแม่ก็จริง แต่เขาก็ต้องการภรรยาเช่นกัน
    ระหว่างที่ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในความคิดของตัวเอง สายตาของชายอีกคนที่พยายามติดตามหาเฟื่องฟ้ากลับเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ เขาโกรธที่เฟื่องฟ้ามีรอยยิ้มที่เขาไม่ค่อยได้เห็น เขาโกรธที่คนที่ยืนเคียงเธอไม่ใช่เขา และเขาโกรธที่พบว่าตัวเองต้องการแม่สาวแว่นตาแมวแสนดุคนนี้เพียงใด

    เมื่อทั้งสามคนเดินมาถึงตำแหน่งที่บดินทร์ยืนอยู่ก่อนและแปลกใจที่คนตรงหน้าไม่หลีกทางเมื่อเห็นพวกเขาเดินมา ทั้งหมดจึงเงยหน้าขึ้นมองคนที่ขวางทางไว้ และด้วยเป็นเวลาเย็นย่ำเต็มทีและบดินทร์ยืนหันหลังให้กับแสงอาทิตย์ยามเย็น จึงไม่มีใครสังเกตเห็นสีหน้าของเขาได้ถนัดนัก มีเพียงเฟื่องฟ้าเท่านั้นที่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปากตัวเองที่กำลังจะกรีดเสียงร้องออกมาให้เหลือเพียงเสียงกระซิบแผ่วเบา

    “คุณดิน”

    ใบหน้าที่หลี่คังเห็นคือใบหน้าของชายคนหนึ่งที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีความสัมพันธ์เช่นไรกับเฟื่องฟ้า ดวงตาคมที่มีแววดุเข้ม แต่เว้าวอน มองตรงไปที่เฟื่องฟ้าเพียงคนเดียวไม่ได้เผื่อแผ่ให้ใคร แม้แต่หลี่เหมยลี่ที่เวลานี้มือที่เคยจับเฟื่องฟ้าไว้จะเป็นอิสระเธอก็เลือกที่จะจับต้นขาของบิดาไว้แทน

    แล้วทั้งหมดก็ได้แต่ยืนนิ่งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำในภาษาที่เข้าใจเพียงสองคน แต่ทำให้อีกสองคนเข้าใจด้วยภาษากาย ที่ดวงตาของบดินทร์ได้บอกเสียหมดสิ้น

    “เที่ยวเล่นพอหรือยังเฟื่อง กลับบ้านเราเสียทีนะเฟื่อง”

    **************************************************************************************************************************
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×