ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : เกมที่เรียกว่าความรัก 2
หลังจากทบทวนจิตใจตัวเองแล้วบดินทร์ได้ตัดสินใจเริ่มติดตามหาเฟื่องฟ้าจากแหล่งข่าวเดียวที่เขาได้รับรู้มา โดยการเดินทางไปจังหวัดน่านตามที่ได้รับรู้มาว่าเฟื่องฟ้าได้ติดต่อกับคนที่นั่นแต่เพียงลำพัง
เพียงแค่ได้เห็นตัวบ้านที่เป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูงจั่วไม้ประดับกาแลตามลักษณะภูมิภาคแล้ว บดินทร์ก็ได้แต่นึกถึงความใจเย็นของเฟื่องฟ้า ตัวบ้านที่แม้เรียบๆ แต่ก็ดูมั่นคงอบอุ่นเหมือนความเข้มงวดของเฟื่องฟ้า และเมื่อได้เห็นฟุ้งเฟื่องที่เขาเคยมองเพียงผาดๆ ในภาพถ่าย ก็ให้เกิดอาการคิดถึง แม้จะรู้แล้วว่าฟุ้งเฟื่องเป็นพี่ชายของเฟื่องฟ้า แต่เขาไม่นึกว่าจะได้มาเห็นดวงตาที่เหมือนกันราวกับพิมพ์เช่นนี้จากผู้ชายที่ตัวโตกว่าเขาตรงหน้า ดวงตาที่ตอบสนองความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาคู่นั้น
ฟุ้งเฟื่องประหลาดใจตั้งแต่กลับมาถึงบ้านแล้วพบรถแลนด์โรเวอร์แปลกตาที่ไม่เคยเห็นจอดนิ่งอยู่หน้าบ้านแต่กลับไม่ได้ยินเสียงเห่าของกาสะลองแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นการผิดวิสัยอย่างมาก ในเมื่อกาสะลองจัดได้ว่าเป็นสุนัขปากเปราะที่สุดเท่าที่เคยเลี้ยงมา ไม่ว่าจะเป็นอะไรเป็นได้เห่าจนกว่าจะพอใจ โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า กาสะลองจะเห่าทุกครั้งที่เห็น แต่นี่บ้านทั้งบ้านกลับเงียบกริบ
‘หรือว่าเจ้ากาสะลองจะเข้าไปเล่นในสวน’
ฟุ้งเฟื่องไม่แน่ใจในความคิดมากนัก เพราะตั้งแต่เอมอรตั้งท้อง กาสะลองก็แทบจะไม่ห่างเธอเลย ยกเว้นเมื่อเฟื่องฟ้านายของมันกลับมาบ้านเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
เมื่อฟุ้งเฟื่องเดินขึ้นเรือน เขาจึงได้รับคำตอบที่สงสัยทั้งหมด
เพราะกาสะลองเจ้าสุนัขแลมบราดอร์สีดำที่โตแต่ตัวและปากเปราะอย่างร้ายกำลังนอนหลับสบายโดยเอาคางวางพาดบนหลังเท้าของแขกผู้มาเยือน แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของฟุ้งเฟื่องมันก็ผงกหัวขึ้นและมองมาที่เขาด้วยสายตาดีใจพร้อมกับแกว่งหางไปมา เพียงแค่กระพริบตาเท่านั้น เจ้าสุนัขสีดำตัวโตก็ยืนสองขากอดเอวเขาและร้องดีใจราวกับเป็นเด็กเล็กๆ
ฟุ้งเฟื่องจับเท้าคู่หน้าไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือก็ลูบหัวเจ้ากาสะลองไปหลายครั้ง ปากก็พูดเหมือนกับทุกวัน
“กาสะลองคนสวย เด็กดีนะ เด็กดี”
หางโบกสะบัดแรงมากขึ้นเมื่อได้รับคำชม ก่อนจะวางขาหน้าทั้งสองลงแล้วแหงนหน้าขึ้นมองใบหน้าฟุ้งเฟื่องด้วยสายตาแสดงความรักอย่างสุดหัวใจ
ฟุ้งเฟื่องยังไม่สามารถรับแขกได้ในเวลานี้เพราะเขาจะต้องเอาใจแม่สาวตัวโตตรงหน้าเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเป็นได้งอนกันหลายวัน เขานั่งคุกเข่าลงยื่นมือตรงไประดับอกของกาสะลอง
“สวัสดีกาสะลอง”
กาสะลองนั่งลงอย่างเรียบร้อยแล้วเอาเท้าหน้าวางบนอุ้งมือของฟุ้งเฟื่องซึ่งเขาก็จับโยกไปมาไม่กี่ครั้ง แล้วเจ้ากาสะลองก็เปลี่ยนขาอีกข้างแล้วเดินตรงเข้าหาฟุ้งเฟื่องให้เขากอดแม้จะพยายามเลียแต่ก็ไม่เคยโดยหน้าของฟุ้งเฟื่องสักทีกว่าจะจบการทักทายที่ฟุ้งเฟื่องใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างคลึงใบหน้าของกาสะลองด้วยความมันเขี้ยวเอ็นดูแล้วตบหัวมันเบาๆ ก็ทำให้บดินทร์ได้เห็นลักษณะของพี่ชายเฟื่องฟ้าได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นเมื่อฟุ้งเฟื่องหันมาสบตากับบดินทร์ เขาจึงลุกขึ้นและก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทาย ฟุ้งเฟื่องก็ก้มศีรษะทักทายเช่นเดียวกัน
ฟุ้งเฟื่องเดินยิ้มตรงไปยังบดินทร์โดยมีกาสะลองเดินมาเคียงข้าง
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ เจ้ากาสะลองเป็นแบบนี้เสมอ ถ้าไม่ชมเขาเดี๋ยวงอนแล้วเป็นเรื่อง เจ้านี่เหมือนเจ้าของเขาน่ะครับ ชอบให้คนเอาใจ”
“ครับ”
บดินทร์เพียงแต่รับคำสั้นๆ เท่านั้น แต่ก็พยายามเก็บข้อมูลเท่าที่ทำได้ขณะเดียวกันก็อดมองชายตรงหน้าด้วยสายตาชื่นชมนับถือไม่ได้ เพียงแค่มองชุดข้าราชการสีกากีกลางเก่ากลางใหม่ติดเครื่องหมายประดับยศที่บ่งบอกได้ถึงการทำงานในอาชีพนี้มาอย่างยาวนาน ขณะเดียวกันทั้งรอยยิ้มและความสุขุมในท่าทางและน้ำเสียงบอกถึงความเป็นพ่อครู แบบอย่างอันดีงามของลูกศิษย์ก็เพียงพอที่จะบอกได้ถึงลักษณะนิสัยของชายตรงหน้าได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่ฟุ้งเฟื่องเดินขึ้นเรือนและได้เห็นชายแปลกหน้าที่ดูท่าว่ากาสะลองจะชอบใจมากเสียจนยอมเป็นมิตรด้วยนั้น เพียงแค่มองผาดๆ ถึงลักษณะการแต่งตัวและรสนิยม เขาก็แทบจะนึกถึงแม่น้องน้อยของเขาขึ้นมาทันที ในขณะเดียวกันก็พยายามคาดเดาการปรากฏตัวของชายตรงหน้า
‘หน้าตาอย่างนี้ ท่าทางมั่นใจแบบนี้อย่างไรเล่า แม่เฟื่องจึงต้องหนีไป’
ในเมื่อบดินทร์นั้นจัดได้ว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีแม้ไม่จัดอยู่ในกลุ่มหนุ่มสำอางแต่ก็มีลักษณะของคนเมืองที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี รวมกับการแต่งตัวที่แม้จะดูสบายๆ ด้วยเสื้อทีเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ทับด้วยแจ็คเก็ตหนังพอดีตัวแต่ก็ดูเหมาะสมอยู่ในที
แต่เพียงการพูดคุยกันไม่กี่ประโยค ชายทั้งสองกลับประเมินซึ่งกันและกันไปไม่มากไม่น้อยไปกว่าเวลาที่มี
ก่อนที่ชายทั้งสองจะทันได้พูดคุยซักถามในสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างสงสัยก็มีเสียงอ่อนหวานจากเจ้าบ้านอีกคนที่ทำให้กาสะลองรีบวิ่งไปต้องรับทันทีและทำให้ชายทั้งคู่ได้สติและต่างฝ่ายต่างมองตากันด้วยคนที่รู้เท่าทันกันและเสมอกัน
“ปิ๊กมาแล้วหรือเจ้า คุณบดินทร์เปิ้นเดินทางมาจากกรุงเทพ มาหาแม่เฟื่องเจ้า อ้ายปิ๊กมาเหนื่อยๆ ฮับน้ำก่อนนะเจ้า แล้วค่อยคุยกั๋น”
ฟุ้งเฟื่องหันไปเห็นเอมอรเดินอุ้มท้องอุ้ยอ้ายมือหนึ่งถือขันน้ำใบน้อย อีกมือดันช่วงเอวไว้ เพราะท้องแก่และหนักเต็มที ทันทีที่เห็นเขารีบสาวเท้าไปหาภรรยาอย่างรวดเร็วและแย่งขันน้ำในมือมาถืออีกมือก็ประคองเธอไปส่งที่เก้าอี้หวายตัวโตที่บุด้วยนวมหนานุ่มด้านในเรือน แต่บดินทร์ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องถือน้ำเดินมาเองก็ได้ เด็กๆ ก็มีถมไป แค่เดินมารับพี่ก็พอแล้ว”
“โธ่ พี่ฟุ้งล่ะก็ น้องเป็นคนท้องนะคะ ไม่ใช่คนป่วย แล้วขันนี่ก็ใบนิดเดียว ไม่ลำบากหรอกเจ้า อีกอย่างเรามีแขกนะเจ้า แล้วเท่าที่ดูท่าทางไม่เบาเลย พี่ฟุ้งจะเอาอย่างไร”
แม้ต้นเสียงจะมีเสียงหัวเราะเล่นหัวแต่ปลายเสียงของเอมอรกลับเบาเสียจนบดินทร์ไม่สามารถจับความได้
“ต้องฟังเขาดูก่อนล่ะ คนของเราหนีไปขนาดนั้น ถ้าเขาแค่อยากได้ตัวพี่คงไม่ยอม แต่ถ้าเขารักน้องเฟื่องก็คงต้องแล้วแต่เจ้าตัวเขาล่ะ”
“อย่างไรก็อย่าให้ถึงกับเลือดตกยางออกเลยนะคะ”
“แม่อิ่ม”
ฟุ้งเฟื่องพูดด้วยน้ำเสียงหนักๆ และบีบที่ต้นขาภรรยาแรงๆ ด้วยความมันเขี้ยว แม้น้ำเสียงนั้นจะเหมือนกันปรามแต่ก็มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าไม่แตกต่างจากเอมอรนัก
ฟุ้งเฟื่องที่หันหลังให้บดินทร์ไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อยว่าการแสดงความรักของเขาที่มีต่อเอมอรนั้นกระทบใจบดินทร์เข้าอย่างจัง ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงหรือการกระทำแม้แต่เด็กเล็กๆ ก็ยังสามารถบอกได้ว่าชายตรงหน้านี้รักภรรยาของเขาเหลือเกิน ‘รัก’ คำๆ เดียวที่เขาเพิ่งมีโอกาสได้สัมผัส และได้บินจากเขาไปจนทำให้เขาต้องรอนแรมมาจนถึงที่นี่
บดินทร์ไม่เคยจับต้องผู้หญิงคนใดด้วยความอ่อนโยนและนุ่มนวลอย่างที่ฟุ้งเฟื่องปฏิบัติต่อเอมอร ไม่เคยแสดงออกถึงความรักอย่างลึกซึ้ง ที่สามารถสัมผัสได้ด้วยสายตาเช่นนี้ ในเวลานี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเฟื่องฟ้าจึงมั่นใจเหลือเกินว่าเขาจะต้องลืมเธอ ในเมื่อบ้านหลังนี้ไม่มีในสิ่งที่เขาเป็น
ฟุ้งเฟื่องและบดินทร์เลือกที่จะออกเดินเล่นในสวนโดยมีกาสะลองเดินติดตามไม่ห่าง
ในที่สุดบดินทร์ก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน หลังจากที่เดินตามเจ้าบ้านมาเป็นระยะทางพอสมควร ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็อยู่ในห้วงความคิดของตนเอง
“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่แปลกใจเมื่อพบผม”
ฟุ้งเฟื่องเพียงแต่มองบดินทร์เพียงเล็กน้อยก่อนจะมีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ผมไม่แปลกใจหรอกที่คุณมา แต่ผมสงสัยว่าคุณมาที่นี่เพราะอะไรมากกว่า”
ฟุ้งเฟื่องหยุดยืนเพียงเพื่อจะเผชิญหน้ากับบดินทร์อย่างตรงไปตรงมา สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงคำตอบที่จะเป็นตัวช่วยให้เขาได้ตัดสินใจก่อนจะทำอะไรลงไป
“เฟื่องเล่าอะไรให้คุณฟังบ้างล่ะครับ”
บดินทร์ที่ไม่อาจสู้สายตาฟุ้งเฟื่องทำได้เพียงพูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก ในชั่วขณะหนึ่งฟุ้งเฟื่องแทบสาบานกับตัวเองได้เลยว่าได้เห็นแววตาหวาดหวั่นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจนั้น
บดินทร์ที่เป็นฝ่ายตั้งคำถามและเลือกที่จะนั่งบนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งบริเวณนั้น ที่ริมสระบัว ที่ครั้งหนึ่งสถานที่เดียวกันนี้ที่เฟื่องฟ้าได้เล่าความจริงซึ่งคนเป็นพี่ไม่ชอบใจในการตัดสินใจครั้งนี้นัก
ฟุ้งเฟื่องถอนหายใจและเลือกนั่งที่หินอีกก้อนหนึ่งโดยเว้นระยะห่างจากบดินทร์พอประมาณ โดยมีกาสะลองนอนหมอบอยู่ใกล้ๆ สายตาของเขาทอดมองออกไปไกล คิดถึงแต่เพียงดวงหน้าของแม่น้องสาวที่เวลาได้จากไปอยู่ในที่ห่างไกล
“แม่เฟื่องน่ะเป็นเด็กเก็บอารมณ์เก่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็น แต่ก็ไม่ใช่คนที่หนีปัญหา”
บดินทร์หันมองฟุ้งเฟื่องและตั้งใจจะออกปากค้านในสิ่งที่ได้ยิน แต่ฟุ้งเฟื่องก็ไม่คิดจะเว้นจังหวะให้เขาได้พูดแม้แต่น้อย แล้วยังคงพูดต่อไป
“แต่ที่เฟื่องต้องหนีมาหนนี้มันเป็นเพราะเฟื่องไม่มั่นใจทั้งตัวคุณและทั้งตัวเอง ผมคิดว่า... เฟื่องกลัวว่าจะรักคุณ ไม่สิผมว่าเฟื่องได้รักคุณไปแล้ว ทั้งๆ ที่คุณเป็นแบบนี้”
ฟุ้งเฟื่องถอนหายใจยาวแล้วหันมายิ้มใส่ตาบดินทร์
“แต่ผมคิดว่าเฟื่องในตอนนี้น่ารักกว่าเวลาไหนๆ เสียอีก แต่ก็อดทำให้ผมทุกข์ไม่ได้ ไม่มีพี่คนไหนหรอกนะที่จะไม่โกรธคนที่ทำให้น้องเสียใจ”
ฟุ้งเฟื่องมองตาบดินทร์นิ่งและบดินทร์ก็ไม่ได้คิดจะหลบสายตาแต่อย่างใด เพียงแค่ได้มองดวงตาที่เหมือนกับเฟื่องฟ้าบดินทร์ก็ไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่อยู่ในใจได้
“ผมรักเฟื่อง”
นั่นเป็นคำพูดเพียงคำเดียวที่กินความหมายมากพอที่จะทำให้ฟุ้งเฟื่องที่สังเกตสีหน้าของบดินทร์มาโดยตลอดต้องลอบถอนหายใจอย่างคลายกังวล
บดินทร์อาจไม่รู้สึกตัวว่ายามที่เขาพูดถึงเฟื่องฟ้าสายตาของเขาจะทอดอ่อนโยนลง และในเวลานี้เพียงแค่พูดถึงเฟื่องฟ้า ชายที่ได้ชื่อว่าเจ้าชู้และมั่นใจในเสน่ห์ของตนกลับประสบกับภาวะขาดความมั่นใจและแสดงความหวั่นไหวออกมาอย่างชัดเจน
เพียงเท่านี้ฟุ้งเฟื่องก็เบาใจไปได้ว่าชายตรงหน้าคงจะพยายามทำทุกวิถีทางที่จะสามารถผูกใจเฟื่องฟ้าไว้ได้ แม้ว่าสิ่งที่เขาจะต้องทำขัดกับความคุ้นเคยหลายอย่างในชีวิตก็ตาม
“ผมรักเฟื่อง แต่ดูเหมือนเฟื่องจะไม่เชื่อผมสักนิด แต่ถ้าผมเป็นเฟื่องก็คงทำใจเชื่อได้ยากเหมือนกัน ในเมื่อผมเคยเจ้าชู้มาตลอดทั้งชีวิต อยู่ๆ มาบอกว่าเลิกกับทุกคนเพื่อเฟื่อง ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ ที่ผมเคยควง เคยคบหามา หรือจะบอกว่าเธอไม่เคยอยู่ในสายตาของผมก็คงไม่แปลก”
บดินทร์ถอนหายใจยาว และเสมองฟุ้งเฟื่องตรงๆ
“ผมสารภาพตามตรง ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์คืนนั้น ผมก็คงจะยังไม่รู้ใจตัวเองอีกนาน ผมเผลอมองแต่เฟื่อง และคิดถึงแต่เฟื่องมานานเท่าไรผมเองก็ไม่รู้ แต่ผมรู้ว่าเวลาที่ผมทำงานและมีปากเสียงกับเธอบางครั้งมันทำให้ผมสนุกและมีไฟในการทำงาน อาจจะมีความสุขเล็กๆ ปะปนอยู่บ้าง แต่แล้วเวลานี้เวลาที่ไม่มีเฟื่อง ผมเหมือนจะทนไม่ได้ มันทุรนทุราย ขอเพียงได้เห็นหน้า ได้ยินเสียงก็ช่วยบรรเทาได้ แต่ก็อย่างที่คุณพอจะคาดเดาได้ ผมอยากเริ่มใหม่กับเฟื่อง เราเริ่มต้นมาไม่ดีเลย”
ฟุ้งเฟื่องเองเมื่อมาได้ยินคำสารภาพที่ออกจากปากคนตรงหน้าก็ได้แต่หนักใจ เขาเองใช่ว่าจะไม่เข้าใจ เมื่อก่อนเขาก็เคยพบกับความรู้สึกเช่นนี้เพียงแต่ไม่หนักหนาเท่า เพราะการมีความรัก มันไม่ได้มีแต่ความสุขเสมอไป ไม่ทางใดก็ย่อมมีอุปสรรคและความทุกข์เข้ามาแทรกเสมอกว่าจะได้มาซึ่งความรักและคนรักเพียงคนเดียว
“ผมมองตาคุณผมก็พอจะเข้าใจ เราเองก็ผู้ชายเหมือนกัน แต่สำหรับคุณคงยากสักหน่อย แม่เฟื่องเขารู้เห็นมาโดยตลอดถึงความเจ้าชู้ของคุณ ถ้าจะให้เชื่อว่าคุณจะหยุดที่แม่เฟื่องก็ดูจะเชื่อได้ยากเหลือเกิน”
“ครับ”
บดินทร์ยอมรับโดยจำนน เขาเพียงแต่ถอนใจยาวอย่างคนที่ตัดสินใจดีแล้ว เขาลุกขึ้นแล้วหันมองฟุ้งเฟื่องด้วยใบหน้าที่พยายามเรียกร้องความมั่นใจกลับคืนมา แม้ฟุ้งเฟื้องจะยังมองไม่เห็นว่าชายตรงหน้าตัดสินใจอย่างไร แต่บดินทร์ก็เป็นตัวของตัวเองที่จะไม่ยอมจมอยู่กับความทุกข์ เพราะท่าทางของเขาแสดงออกถึงความไม่ยอมแพ้
“อย่างไรเสียผมก็ต้องขอขอบคุณคุณที่เข้าใจผม อย่างน้อยคุณก็ไม่เข้ามาชกผมก่อนที่ผมจะได้มีโอกาสอธิบาย แต่หลังจากนี้ผมคงต้องใช้ความพยายามอีกมากเพื่อให้เฟื่องเชื่อใจ แต่ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตผมก็ยอม”
ฟุ้งเฟื่องยิ้มได้เต็มที่ก็เมื่อได้ยินคำพูดสุดท้ายนี่เอง ผู้ชายอย่างบดินทร์ไม่ใช่คนที่จะพูดจาเล่นๆ เพียงเพื่อจะให้ใครพอใจ เขามีความหยิ่งและทะนงมากกว่านั้น แต่คำพูดที่แสดงถึงการเดิมพันทั้งหมดเพื่อน้องสาวเขาก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาพอใจ ฟุ้งเฟื่องจึงถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะกลับไป
“ยังไงผมก็ยังไม่รู้จุดประสงค์ที่คุณมาที่นี่อยู่ดีคุณบดินทร์”
บดินทร์ยิ้มให้ฟุ้งเฟื่องก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองหลังคากาแลและเลยขึ้นมองท้องฟ้าที่ใสกระจ่างอย่างที่สุด
“ไม่ได้เห็นหน้า แค่ได้เห็นหลังคาบ้านก็ยังดีล่ะมังครับ”
ฟุ้งเฟื่องยิ้มกว้างมากขึ้นและหัวเราะออกมาในที่สุด
“แล้วถ้ารู้ที่ๆ เฟื่องไปล่ะ”
บดินทร์หันมองฟุ้งเฟื่องเต็มตา ฟุ้งเฟื่องที่มีใบหน้าอ่อนโยนมีรอยยิ้มที่เขาเห็นว่าเจ้าเล่ห์ที่สุดเท่าที่เขาได้เห็นมาตลอด ทำให้บดินทร์เกิดความประหลาดใจ แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความหวัง
“ผมคาดหวังได้ใช่ไหมครับ?”
ฟุ้งเฟื่องแทบจะหัวเราะออกมาทันที เมื่อได้เห็นสีหน้าที่ค่อยๆ มีความหวังผสานกับความประหลาดใจของบดินทร์
“อย่ามองผมแบบนั้น ผมยังไม่อยากยกโทษให้คุณหรอกนะ แต่ผมก็พอดูออกว่าคุณพูดจริง ผมบอกได้แค่ว่าตอนนี้เฟื่องไม่ได้อยู่ที่ประเทศไทย”
“แล้ว?”
เสียงของบดินทร์เบาหวิวด้วยความรู้สึกใจหาย แค่ประเทศไทยก็ยังหาตัวได้ยาก แล้วนี้โลกทั้งโลกไม่ใช่เล็กๆ เขาจะหาเฟื่องฟ้าพบได้อย่างไร
“สิงคโปร์”
“ครับ?”
“เฟื่องอยู่ที่สิงคโปร์ ผมบอกคุณได้เท่านี้”
ใบหน้าที่ถอดสีและแทบจะหมดหนทางพลันมีความหวังขึ้นมาในทันที บดินทร์จับมือฟุ้งเฟื่องเขย่าหลายครั้งด้วยความดีใจ
“เท่านี้ก็เพียงพอแล้วครับ ขอบคุณคุณมากที่ให้โอกาสผม”
ก่อนที่บดินทร์จะลากลับ ฟุ้งเฟื่องได้พูดขึ้นลอยๆ แต่สายตาที่ทอดมองกลับจริงจังบอกเป็นนัยแก่บดินทร์
“คุณบดินทร์ ผมมีน้องสาวอยู่คนเดียว ถ้าคุณทำให้แม่เฟื่องเป็นทุกข์ ผมจะไม่อยู่เฉย ผมจะให้โอกาสคุณครั้งนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าในอนาคต แม่เฟื่องต้องเจ็บช้ำน้ำใจจากคุณอีก ผมจะไม่ให้คุณได้มีโอกาสพบแม่เฟื่องอีกเลย”
“ครับ ผมสัญญา”
บดินทร์รับปากและกล่าวลาครอบครัวทิฆัมพร พร้อมกับรอยยิ้มเต็มที่ครั้งแรกในรอบกว่าเดือนที่ผ่านมา
“เฟื่อง เหลือแค่เราแล้วสินะ ผมจะทำให้คุณใจอ่อนให้ได้ ผมสัญญา”
******************************************************************************************************************************
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น