ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฉันหรือเธอที่เผลอใจ

    ลำดับตอนที่ #4 : เผลอใจ

    • อัปเดตล่าสุด 25 ม.ค. 60


    ฟุ้งเฟื่องนั่งไม่ติดที่เลยนับตั้งแต่กลับมาจากทำงานแล้วพบว่าน้องสาวหายตัวออกไปจากบ้านกับเอกเป็นเวลานานสองนาน ถึงแม้ว่าเขาจะไว้ใจเอกอย่างมาก แต่อย่างไรเสียเอกก็เป็นผู้ชาย และเขาเองก็รู้อยู่เต็มอกว่า เอกคิดอย่างไรกับน้องสาวของตัวเอง เขาจึงเอาแต่เดินวนไปมาราวกับคุณพ่อที่กำลังเป็นห่วงลูกสาววัยรุ่นที่แอบหนีไปเที่ยวกับแฟนหนุ่ม

    ระหว่างที่กำลังผุดลุกผุดนั่งอยู่นั่นเอง เอมอรซึ่งอดรนทนไม่ได้จึงได้เดินถือถาดน้ำชา ทั้งๆ ที่ท้องแก่เต็มทีเข้ามาใกล้ฟุ้งเฟื่อง ซึ่งทำให้เขารู้สึกตัวและรีบยื่นมือออกไปรับทั้งถาดน้ำชาและภรรยาสาวทันที

    “แม่อิ่มไม่เห็นจำเป็นจะต้องถือมาเองเลย เดี๋ยวพี่เข้าไปยกเองก็ได้”

    “ก็เห็นว่าพี่ฟุ้งกำลังทำตัวเป็นคุณพ่อหวงลูกสาวอยู่ก็อยากจะทำให้ใจเย็นๆ ลงน่ะค่ะ”

    ฟุ้งเฟื่องเหลือบตามองภรรยาของตัวเองด้วยแววตาไม่ต่างกับหญิงสาวส่งค้อนทำให้เอมอรหัวเราะออกมาและยกนิ้วขึ้นคลึงหว่างคิ้วที่กำลังผูกเป็นปมน้อยๆ บนใบหน้าของสามีด้วยความมันเขี้ยว

    “ไม่ต้องทำหน้าอย่างนี้เลยค่ะ พี่ฟุ้ง ก็เห็นๆ กันอยู่ แม่เฟื่องเองก็อายุไม่น้อยแล้ว เอกเองพี่ก็เลี้ยงมากับมือ พี่ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกค่ะ อย่างไรเสียเด็กสองคนนี้ไม่มีทางทำให้พี่ฟุ้งต้องผิดหวังอย่างแน่นอน น้องเชื่ออย่างนั้นค่ะ”

    คำพูดที่ยืนยันความรู้สึกรวมกับสีหน้าแสดงความมั่นใจของเอมอรทำให้ฟุ้งเฟื่องสงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ

    จริงอย่างที่เอมอรพูด เด็กสองคนที่เธอพูดถึงล้วนเป็นคนที่เขาเลี้ยงมาเองกับมือ มีหรือจะไม่รู้ว่าทั้งสองเป็นคนอย่างไร ต่อให้ห้ามใจได้ยากเพียงใด ทั้งคู่ก็จะไม่ยอมทำอะไรให้เกิดความเสื่อมเสียอย่างแน่นอน

    ฟุ้งเฟื่องไม่จำเป็นต้องรอนานเลย เพราะทันทีที่เขาวางถ้วยชาใบย่อมลง เสียงรถที่คุ้นเคยก็มาจอดเทียบที่หน้าบันได เขาเดินออกไปดูก็พบว่าเฟื่องฟ้านั้นหลับใหลไม่ได้สติ ขณะที่เอกทำแค่เพียงเดินอ้อมรถเพื่อมาปลุกเฟื่องฟ้าด้วยท่าทางลำบากใจ

    “คุณเฟื่อง คุณเฟื่อง ตื่นเถิดครับถึงบ้านแล้ว”

    เฟื่องฟ้าลืมตามองชายหนุ่ม เธอส่งยิ้มอ่อนหวานให้เอก แล้วจึงพยุงตัวเองที่ไม่ค่อยมั่นคงนักออกจากรถ หลังจากหลับตาและลืมขึ้นอีกครั้งเธอก็สามารถก้าวเดินได้อย่างมั่นคงเข้าสู่ตัวบ้านที่มีพี่ชายยืนมองด้วยสายตาห่วงใย

    “รอน้องนานไหมเจ้า กินข้าวยังก๋า”

    “นึกจะได๋จึงมาอู้กำเมืองกับปี้ ฮ้อยวั๋นพันปี๋บ่เคย”

    “ก็เห็นพี่ฟุ้งทำหน้ายุ่งอยู่นี่ไงคะ เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้น”

    ฟุ้งเฟื่องหัวเราะขึ้นในทันทีเช่นกัน แม่น้องสาวของเขาก็เป็นอย่างนี้เอง ไม่เคยพูดภาษาถิ่นได้นานกับเขาเพราะจากไปนานแต่ก็มักจะพูดเมื่อเห็นเขามีสีหน้าไม่สู้ดี เพื่อเรียกรอยยิ้มจากเขา ซึ่งทำได้สำเร็จทุกครั้งเสียด้วย

    “แล้วนี่ไปไหนมา หายไปกันเป็นนานสองนาน”

    “ก็พาเอกไปปัดกวาดที่บ้านท้ายสวนน่ะค่ะ ว่าจะไปนอนเล่นที่โน่นสักวันสองวันเผื่อหัวแล่นจะได้มีไอเดียดีๆ ไปเขียนงานต่อ”

    “พูดถึงเรื่องงาน เราหยุดมาอย่างนี้น่ะดีแล้วหรือ เห็นปกติไม่ค่อยอยากจะหยุดนี่”

    เฟื่องฟ้าเพียงแต่เหลือบตามองพี่ชายเท่านั้น ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรที่ทำให้พี่ชายได้จับพิรุธอะไรได้ ระหว่างนั้นเธอก็ตักข้าวแจกจ่ายให้พี่ชาย พี่สะใภ้ เอกและตัวเธอเอง

    “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ น้องแค่ลาออกจากที่เก่าแล้วกำลังจะหางานใหม่ก็เท่านั้นเอง”

    “เคร๊ง”

    กลายเป็นฟุ้งเฟื่องเสียอีกที่มือไม้อ่อนกระทันหัน เขารู้ดีว่าน้องรักงานที่ทำมากขนาดไหน แล้วนี่มันมีเหตุอะไรจึงทำให้เฟื่องฟ้าลาออกมาง่ายๆ เสียอย่างนี้

    “อะไรกัน แค่น้องลาออกเท่านี้ทำเป็นช้อนหล่น น้องไม่ได้กลับมาให้พี่ฟุ้งเลี้ยงหรอก นี่ก็กำลังดูๆ ไว้หลายบริษัทอยู่ อย่างเฟื่องน่ะ ตกงานไม่นานหรอก”

    “เรื่องนั้นพี่ไม่ห่วงหรอก น้องคนเดียวพี่เลี้ยงได้สบายมาก แต่อย่างเฟื่องเนี่ยนะลาออกจากงาน พี่ไม่เชื่อหรอก”

    “เชื่อเถอะค่ะ ตอนนี้น้องลาออกแล้วจริงๆ แล้วก็กำลังหางานใหม่อยู่ ไม่แน่นะ คราวนี้น้องจะบินไปไกลจากบ้านกว่าที่เคยก็ได้”

    “เฟื่องพูดอย่างกับวางแผนหนีอะไรอย่างนั้นล่ะ”

    เฟื่องฟ้าสะดุดกับความคิดของพี่ชายเข้าอย่างจัง เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอคิดจริงๆ เธอต้องการหนีไปรักษาใจตัวเอง ไม่ว่าก่อนหน้านี้เธอจะเรียกความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเองที่มีต่อเจ้านายหนุ่มอย่างไรก็ตาม เวลานี้ความรู้สึกนั้นกำลังทำให้เธอทรมานด้วยความคิดถึงเสียแล้ว เธอต้องการไปอยู่กับตัวเองเพื่อว่าเธอจะได้ลืมเขาผู้ชายเจ้าชู้คนนั้น ซึ่งเธอไม่แน่ใจแม้แต่น้อยว่าเขากำลังดีใจหรือเสียใจที่เวลานี้ไม่มีเธออยู่ แต่เธอไม่อยากเป็นตัวเลือกสำหรับเขา แม้ว่าเธอจะเพิ่งรู้ใจตัวเองว่าได้เผลอมีเขาอยู่ในหัวใจตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

    เฟื่องฟ้าพยายามปรับสีหน้าอย่างเต็มที่และส่งยิ้มยั่วเย้าให้พี่ชาย

    “น้องไม่ได้หนีนะคะ น้องแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ ถ้าลองทำแล้วพลาดน้องจะกลับมาซบอกพี่ฟุ้ง”

    “ให้มันจริง กลับมาไม่กลัว กลัวไม่กลับมากกว่า”

    “กลับสิคะ บ้านน้องอยู่ที่นี่ ยังไงน้องก็ไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ”

    ฟุ้งเฟื่องรู้ดีว่าเฟื่องฟ้ากำลังมีความลับกับเขา แต่เขาจะรอจนกว่าน้องจะพร้อมที่จะบอกเขาเอง เพราะเวลานี้ต่อให้ง้างปากหรือขู่เข็ญเฟื่องฟ้าก็คงยังไม่คายสิ่งที่เขาต้องการออกมาอย่างแน่นอน เขาจึงทำได้เพียงส่ายศรีษะด้วยความอ่อนใจ และเมื่อเหลือบไปมองเอมอรก็พบแต่สายตาแสดงความเข้าอกเข้าใจ ซึ่งเฟื่องฟ้าไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย

    ผิดกับเอกที่มองดูเฟื่องฟ้าราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน เขาไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้ มันดูร้อนรนภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างทำให้เธอต้องจากไป แต่ไม่อาจบอกกล่าวในสิ่งเหล่านั้นได้

    “เอาน่าพี่ๆ ก็ อย่ากังวลกับเรื่องของเฟื่องเลยมันไม่ดีกับเจ้าหนูในท้องพี่อิ่มนะคะ เฟื่องไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ถ้าเฟื่องเป็นเฟื่องจะบอกพวกพี่ๆ เอง ไม่ต้องเป็นกังวลกันไปก่อนหรอกค่ะ แค่เฟื่องลาออกเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย”

    เฟื่องฟ้าตัดบทขึ้นมาเสียดื้อๆ อย่างนั้นเอง เธอกินข้าวด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยอย่างเคย แต่คนเป็นพี่มีหรือจะดูไม่ออกว่าสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่นั้นเป็นเพียงเพราะต้องการให้พวกเขาสบายใจ ซึ่งก็พอช่วยได้บ้าง แต่เฟื่องฟ้าคงจะไม่รู้ตัวว่าดวงตาของเธอมันบอกความกังวลออกมาจนหมด ดวงตาคู่นี้คู่ที่ไม่เคยโกหกใครได้สำเร็จสักครั้ง


    บดินทร์  บริรักษ์กลายเป็นยิ่งกว่าปีศาจบ้างานในสายตาของลูกน้องขึ้นมาทันทีในช่วงหลัง ทั้งหนวดเคราที่ปล่อยปละละเลยเสียจนจากที่เคยเป็นหนุ่มสำอางกลับกลายเป็นดิบเถื่อนได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่กลายเป็นว่าได้เพิ่มความดึงดูดให้กับคนรอบข้างมากขึ้นไปอีก

    แม้ว่าจะมีเสียงจากลูกน้องขึ้นมาว่า เจ้านายของเขาดุขึ้นจากแต่เดิมมากเหลือเกิน และก็ยิ่งทำให้ต้องทำงานให้เนี๊ยบยิ่งขึ้น ซึ่งเสียงต่างๆ เหล่านี้ก็ไม่อาจรอดพ้นเส้นสายของมัลลิกาไปได้

    มัลลิกานั่งยิ้มอารมณ์ดีเพียงลำพังในสวนของตัวเอง สายตาจับจ้องไปเบื้องหน้าพร้อมกับรอยยิ้มพอใจในข่าวที่ได้รับฟังมา

    ในสายตาของมัลลิกา เฟื่องฟ้าดูเหมาะสมและคู่ควรกับลูกชายของเธอทุกประการ เธอไม่สนใจว่าเฟื่องฟ้าจะเป็นใคร ฐานะเป็นอย่างไร เพียงแค่เด็กคนนี้สามารถทำให้ลูกชายที่เธอไม่สามารถจัดการได้ กลับมาเป็นผู้เป็นคนได้เท่านั้นเธอก็พอใจมากแล้ว

    ในฐานะของคนเป็นแม่ มัลลิกาอยากให้ลูกชายได้คนที่ดีมาเป็นคู่ชีวิต แต่ด้วยพฤติกรรมของเขา ทำให้เธอไม่กล้าคาดหวัง เพราะความเจ้าชู้ เพราะความมั่นใจในตัวเอง จนบางครั้งก็ทำให้มัลลิการู้สึกว่าลูกชายของเธอไม่เหมาะสมที่จะเป็นสามีหรือพ่อของใครทั้งนั้น แต่สำหรับเฟื่องฟ้า มันยิ่งกว่าเหนือความคาดหมาย

    เฟื่องฟ้าในสายตาของมัลลิกาเป็นหญิงสาวที่เต็มไปด้วยพลังและความซื่อตรงแน่วแน่ อยู่ในแบบแผนและปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งไม่ว่าจะมองอย่างไรคนทั้งสองก็ไม่น่าจะมาลงเอยดังเช่นที่เป็นอยู่นี้ได้เลย แต่มันก็เป็นไปแล้ว และดูเหมือนว่าเฟื่องฟ้าจะไม่อาจทำใจยอมรับได้จึงได้หนีไป

    แต่มัลลิกาซึ่งเลี้ยงบดินทร์มากับมือ มีหรือที่เธอจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการ เขาก็จะใช้ความพยายามจนกว่าจะได้มา สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเฟื่องฟ้าและบดินทร์จึงกลายเป็นเรื่องบรรเทิงใจสำหรับเธอไปเสียแล้ว

    “เฟื่องฟ้า ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าหนูจะหนีเจ้าดินได้นานเท่าไร ฉันเองก็อยากได้หนูมาเป็นสะใภ้เหมือนกัน”

    มัลลิกานั่งจิบน้ำชายามบ่าย ด้วยสีหน้าที่คลายกังวลเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี


    หลังจากที่พยายามทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะได้ไม่คิดฟุ้งซ่านในเรื่องของเฟื่องฟ้ามากนัก บดินทร์กลับพบว่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเขาได้รับการช่วยเหลือจากเธอมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว

    ในเวลานี้ เวลาที่บดินทร์ไม่มีเฟื่องฟ้า เขาจึงได้รู้ว่าตลอดมาเขาเป็นเจ้านายที่เอาแต่ใจขนาดไหน ไม่ว่าจะงานอะไร เพียงแค่ออกปากบอก เฟื่องฟ้าจะสามารถเตรียมคนและเตรียมงานรอคอยให้เขาเป็นคนตัดสินใจในขั้นสุดท้ายได้อย่างเหมาะสม จนเหมือนกับว่าเธอได้กลายเป็นมือขวาของเขา และเมื่อไม่มีเธอซึ่งเป็นดังเงาผู้คอยขับเคลื่อนก็ทำให้งานที่เคยง่ายกลับยากขึ้น แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาหมกมุ่นกับงานมากกว่าจะนั่งคิดถึงเธออยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อมีเวลาอยู่กับตัวเองอย่างเวลานี้เขาก็คอยแต่จะคิดถึงเธออยู่ร่ำไป

    “ตั้งแต่เมื่อไรกัน ที่เธอแอบมาอยู่ในใจฉันอย่างนี้ เฟื่องฟ้า”
    *****************************************************************************************************************************************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×