ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : หนี
บดินทร์ไม่รู้ตัวสักนิดว่าหลังจากที่เฟื่องฟ้าจากไป แล้วในวันรุ่งขึ้นได้รับจดหมายลาออกจากเธอ เขาได้กลายเป็นผู้ชายที่หงุดหงิดง่ายและดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรดีพอ ความเครียดได้สถิตอยู่ในดวงตา ซึ่งทำให้เหล่าลูกน้องพากันเกรงกลัวเขามากขึ้นกว่าเดิม
แม้ว่าจะมีผู้หญิงใจกล้าหลายคนพาตัวเองเข้ามาพัวพันก็ยังถูกเขาไล่ไปอย่างไม่ไว้หน้า ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้รอดพ้นสายตาของมัลลิกาแม้แต่น้อย
รอยยิ้มพอใจปรากฏบนใบหน้าของมัลลิกาบ่อยครั้งจนพิสุทธิ์สามีอดมองด้วยความประหลาดใจไม่ได้
“ "พักนี้เจ้าลูกชายเป็นอะไรดูมันหงุดหงิดชอบกล”"
“ "คุณพี่ก็ลองถามตาดินดูสิคะ”"
พิสุทธิ์มองใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้มของภรรยาด้วยความไม่เข้าใจ นานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นใบหน้าเช่นนี้ของเธอ
“
"แล้วคุณล่ะ ดูท่าจะมีเรื่องดีๆ หรือไงกัน เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุดเลย"
”
“ "ก็... นิดหน่อยค่ะ”"
"“บอกผมได้ไหม?”"
มัลลิกายิ้ม ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่พิสุทธิ์รู้ดีว่าเธอกำลังสนุกกับสิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่
“น้องคิดว่าเจ้าลูกชายน่าจะเจอคนที่พอจะปราบอยู่แล้วล่ะค่ะ”
“
"ปราบ?"
”
“ "ค่ะ”"
มัลลิกาเล่าเรื่องเฟื่องฟ้าให้พิสุทธิ์ฟังจนจบความ แล้วเขาก็มีอาการไม่ต่างจากเธอนัก
แต่ก็อดมีความกังวลไม่ได้เช่นกัน เพราะเขารู้ดีว่าบดินทร์ไม่ใช่ผู้ชายที่มีความอดทนนักกับเรื่องผู้หญิง แล้วยิ่งเป็นคนที่ไม่เคยมีใครปฏิเสธด้วยทั้งรูปสมบัติ และทรัพย์สมบัติเช่นนี้ เขาอดกลัวไม่ได้ว่า หากเจ้าลูกชายเบื่อกับการติดตาม แล้วไม่เป็นอย่างที่ภรรยาเขาคาดเดา เจ้าลูกชายจะเป็นอย่างไรต่อไป เขาได้แต่ภาวนาว่าความคิดของภรรยาน่าจะถูกต้อง เพื่อประโยชน์กับใครหลายๆ คน
"“แล้วคุณว่าเด็กคนนี้ดีพอหรือ?”"
"“ไม่ใช่แค่ดีพอค่ะ แต่ดีมาก น้องเองก็ไม่คิดว่าเจ้าลูกชายจะสนใจหนูเฟื่องด้วยซ้ำไป แต่เรื่องมาเป็นแบบนี้ จะว่าน้องดีใจก็คงไม่ผิดที่เป็นหนูเฟื่อง แต่เจ้าลูกชายเราสิคะ ไม่รู้ว่าจะละพยศได้เมื่อไร ดีไม่ดี... เกิดแม่หนูเฟื่องท้องขึ้นมา ทีนี้ล่ะ หลานเชียวนะคะ แล้วลองตั้งใจหนีขนาดนี้ น้องว่าถ้าไม่ทำให้รักคงจะยากที่จะมาอยู่กับเรา”"
“ "ดูท่าคุณจะชอบใจเด็กเฟื่องคนนี้มากนะ”"
แม้ว่าพิสุทธิ์จะไม่รู้จักเฟื่องฟ้ามากนัก แต่เท่าที่สังเกตภรรยาดูแล้วเห็นว่าเธอเอ็นดูเด็กคนนี้มากทำให้เขาเองก็ชักอยากจะรู้จักให้มากขึ้นเสียแล้ว
“ "ก็ค่ะ ตลอดการทำงานที่รู้มา หนูเฟื่องทำงานได้ดี ไม่เคยเสียหาย เป็นคนเข้มงวดและดุเสียจนลูกน้องพากันกลัว แต่ก็รักแกทุกคน แล้วนี่พอรู้ข่าวที่แกลาออกแบบไม่ทันตั้งตัว ลูกน้องหลายคนพากันร้องไห้เสียยกใหญ่เชียว คงไม่มีใครซื้อใจคนได้ดีเท่าแกอีกแล้วค่ะ ดูอย่างลูกชายเราสิคะ เห็นทำเป็นไม่สนใจ แต่หน้าน่ะจะดูไม่ได้อยู่แล้ว รับรองเลยค่ะ แค่ได้รู้เถอะว่าแม่หนูเฟื่องอยู่ที่ไหน เจ้าดินได้ตามไปแน่ๆ”"
“ "ถ้าเจ้าดินจะจบลงที่หนูเฟื่อง ผมก็ขอโมทนาด้วย อายุก็ไม่น้อยแล้วยังชอบทำตัวล่องลอย ไม่ลงเอยกับใครสักคน”"
ระหว่างนั้นเองคนที่กำลังถูกพูดถึงเดินหงุดหงิดภายในห้องทำงาน บดินทร์เอาสมบัติของเฟื่องฟ้าที่เธอไม่ได้ติดตัวไป มารื้อดูทีละชิ้น แต่ไม่ว่าชิ้นใดก็ไม่มีร่องรอยที่จะให้เขาตามหาตัวเฟื่องฟ้าได้เลย ด้วยความหงุดหงิดเขาจึงหยิบหนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งปาออกไปเพื่อระบายอารมณ์อัดอั้นที่สุมอยู่ในอก ด้วยหวังว่าจะช่วยบรรเทาอาการที่เป็นอยู่ได้
แต่สิ่งที่บดินทร์ได้เห็นคือรูปถ่ายของเฟื่องฟ้ากับชายอีกคนที่แทรกอยู่ในหนังสือได้ร่วงหล่นเกลื่อนเต็มพื้นห้อง
บดินทร์เดินไปเก็บรูปเหล่านั้น สายตาเพ่งมองด้วยความไม่ชอบใจ เมื่อเห็นว่าเฟื่องฟ้าในรูปมีรอยยิ้มที่มีความสุข เป็นรอยยิ้มที่เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน
แล้วยิ่งเห็นว่าชายหนุ่มที่ถ่ายรูปคู่กับเฟื่องฟ้าก็มีรอยยิ้มที่ไม่แตกต่างกันนัก ก็พาลให้อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ตลอดเวลาปะทุขึ้นจนหูอื้อตาลาย
หลายภาพเป็นการถ่ายเล่นๆ แต่ก็มีหลายภาพที่ทั้งสองกอดกันและหอมแก้มกันและกัน ด้วยลักษณะอ่อนหวานน่ารัก แน่นอนว่ารอยยิ้มและท่าทางเช่นนี้บดินทร์ไม่เคยมีโอกาสได้เห็นเลยสักครั้ง
เมื่อความหงุดหงิดมีมากจนถึงขีดสุด บดินทร์จึงฉีกรูปเสียแหลกคามือ
"“มันเป็นใคร"
”
เสียงที่ไม่ต่างจากการคำรามด้วยคำถามที่ทำให้บดินทร์รับรู้ได้ถึงความริษยาที่ก่อเกิดในใจเขาได้เป็นอย่างดี เขาซึ่งไม่เคยหึงหวงผู้หญิงคนใดมาก่อน หากเกิดเรื่องทำนองนี้ก็มักจะเป็นจังหวะที่จะทำให้เขาสามารถหาข้ออ้างให้ผู้หญิงเหล่านั้นไปจากเขาซะได้อย่างดีมาโดยตลอด
แต่เวลานี้กับเฟื่องฟ้า ความรู้สึกมันช่างแตกต่างเหลือเกิน ความรู้สึกเป็นเจ้าของ รวมกับความริษยาที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาสักครั้ง ทำให้มันจุก และเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเป็น
เฟื่องฟ้าเวลางานไม่ค่อยมีรอยยิ้ม เธอจะเฉียบขาดเสมอ แต่ในรูปที่เห็นกลับมีแต่รอยยิ้ม และร่องรอยของความสุข
บดินทร์จำรสสัมผัสได้เป็นอย่างดีว่าเฟื่องฟ้าหวานเฉียบขนาดไหน ยามเมื่อเขากอดเธอ ความหวงแหนก่อขึ้นภายในใจอย่างง่ายดาย เพราะสิ่งที่เขาเองก็รับรู้อยู่เต็มอกว่าเขาเป็นคนแรกของเธอ แล้วทำไมเธอจึงจากเขาไปแบบไร้เยื่อใย
ระหว่างนั้นเองบดินทร์พลันได้เห็นข้อความและลายมือเป็นระเบียบไม่คุ้นตาด้านหลังเศษภาพใบหนึ่ง เขาจึงเริ่มเก็บเศษซากภาพถ่ายมาประกอบเข้าด้วยกัน ยิ่งอ่านข้อความก็ยิ่งอยากทำลายซ้ำเป็นครั้งที่สอง
‘สบายดีน่ะแม่เฟื่อง พี่ส่งรูปที่ถ่ายไว้มาให้แล้วนะ ของพี่ก็มีชุดหนึ่งจะได้เก็บไว้ดูเวลาคิดถึง ก็แม่เฟื่องนี่น้า จะ M ก็ไม่เล่น Hi 5 ก็ไม่เอา แล้ว Facebook ก็ไม่มี แถมยังไม่ชอบโทรศัพท์อีกต่างหาก เราเลยต้องส่งจดหมายหากันแบบนี้ โบราณชะมัด แต่ก็นะ พี่ว่ามันก็โรแมนติกดี อยู่ที่นี่พี่อดคิดถึงเฟื่องไม่ได้สักที รักแม่เฟื่องเสมอ พี่ฟุ้ง’
รอยยิ้มหยันเกิดขึ้นบนใบหน้าของบดินทร์ ‘เห็นไม้งามเมื่อขวานบิ่น’ มันเป็นอย่างนี้อย่างไรเล่า ทำงานอยู่ด้วยกันมาร่วม 5 ปี แต่กลับไม่เคยมองเห็น เพียงเพราะพลั้งเผลอไปชั่วคืนกลับกินไม่ได้นอนไม่หลับ แล้วยังมีใครอีกคนรอคอยเฟื่องฟ้าอีก อย่างนี้แล้วมีหรือที่บดินทร์จะยอมทำใจได้ ในเมื่อเธอเป็นของเขา ใครก็อย่ามาแตะ
ตลอดค่ำนั้นบดินทร์เก็บซากรูปถ่ายมาต่อติดเสียใหม่ เพื่ออ่านข้อความด้านหลังภาพ ที่ยิ่งอ่านก็ยิ่งเกิดอาการหึงหวงหงุดหงิดใจ อยากจะกระโจนไปหาคนที่เขียนข้อความหวานชวนเลี่ยนเหล่านี้ แล้วบอกว่าเฟื่องเป็นของเขา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาก็ยังไม่รู้อยู่นั่นเองว่าวิวทิวทัศน์ที่เห็นเขาเป็นลูกๆ กับไอหมอกเหล่านั้นอยู่ส่วนใดของประเทศ กระทั่งภาพหนึ่งเป็นภาพเฟื่องฟ้ากำลังนอนหลับหนุนท้องเจ้าหมาตัวโตสีดำที่ยิ้มสู้กล้อง
'‘แม่เฟื่อง... เจ้ากาสะลองคิดถึงแม่เฟื่องมากเลย มันชอบดูภาพนี้แล้เอาเท้าจิ้มๆ คงว่าเมื่อไรหนา แม่เฟื่องจะแอ่วเมืองน่านอีกน้อ พี่เองก็คิดถึงแม่เฟื่อง เดี๋ยววันสองวันนี้พี่จะไปหาน้องที่คอนโดแล้วจะพากาสะลองไปด้วย เตรียมตัวทำกับข้าวให้พี่ด้วยนะ เฮ่อ! คิดถึงน้ำพริกอ่องฝีมือแม่เฟื่องจัง รัก พี่ฟุ้ง’'
อย่างน้อยเวลานี้บดินทรก็ได้รับรู้แล้วว่าสถานที่ที่เฟื่องฟ้าเคยไปอยู่นั้นอยู่ที่ไหน ถ้าเจ้าของจดหมายเหล่านี้เป็นคนรักของเธอ เฟื่องฟ้าก็น่าจะไปอยู่ที่นั่น
'“กลับไปหาคนรักงั้นหรือ?”'
แม้ไม่อยากยอมรับแต่ความคิดของบดินทร์ก็จินตนาการไปไกลเสียแล้ว เวลานี้เขามีความรู้สึกเป็นทุกข์ดังมีกองไฟสุมในอก แต่จะให้ไปงอนง้อก็มีทิฐิอย่างเหลือเกิน ได้แต่พยายามทำใจข่มความรู้สึก ซึ่งไม่ค่อยจะสำเร็จเท่าใดนัก
เฟื่องฟ้าเดินทางด้วยความคิดที่มีอยู่มากมายในสมอง จนเกิดอาการสับสน แม้ว่าพยายามจะนอนก็นอนไม่หลับ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในอกทำให้เธอหวาดกลัว
เฟื่องฟ้าตั้งใจจะกลับเมืองน่าน เพื่อไปหาฟุ้งเฟื่องพี่ชาย โดยไม่ได้นึกถึงสิ่งใด รู้แต่เพียงว่าทำอย่างไรก็ได้ให้เธอได้กลับไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย
‘
ในความคิดของเฟื่องฟ้า ‘ผู้ชายอย่างบดินทร์มีผู้หญิงดีๆ รอคิวให้เลือกถมไป ถ้ายังอยู่เธอก็ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร ให้ออกมาแบบนี้คงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ถ้ายังดื้อที่จะอยู่ต่อ ก็เกรงว่าจะอดรักเขาไม่ได้ แล้วยิ่งเฟื่องฟ้าเป็นผู้หญิงหัวเก่า ที่ชีวิตจะยอมมีสามีคนเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็จะจงรักภักดีต่อเขาเท่านั้น ทำให้เธอหวาดกลัวไม่น้อย เพราะขยาดความเจ้าชู้ยักษ์ของเขา แม้ว่าเขาไม่เคยทำเจ้าชู้ใส่ลูกน้องในบริษัทให้เสียปกครอง แต่ก็มีเรื่องวุ่นวายกับผู้หญิงมาโดยตลอด
เฟื่องฟ้าทอดถอนใจ อยากจะข่มตาให้หลับ เผื่อว่าสมองจะปลอดโปร่งขึ้นกว่านี้ก็ทำได้ยากเหลือเกิน
เฟื่องฟ้าเผลอหลับไปเมื่อใกล้สว่าง ดังนั้นเมื่อรถไฟจอดเทียบชานชลา เธอจึงเกิดอาการผวาด้วยความตกใจ
'“ถึงแล้วหรือ?'”
เฟื่องฟ้าปรับสายตาและมองภาพเมืองในม่านหมอกที่คุ้นตา เธอขึ้นรถโดยสารเพื่อตรงไปหาฟุ้งเฟื่อง แม้ในใจจะหวาดหวั่นกับคำถามที่อาจจะมีมาของพี่ชาย แต่ที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่เดียวที่เธอรู้สึกปลอดภัยและเป็นสุขที่สุดเสมอมา
ทันทีที่เปิดประตูสุนัขตัวโตพันธุ์แลมบราดอร์รีทีฟเวอร์ สีดำ ก็ควบตรงมาหาเฟื่องฟ้าด้วยท่าทางดีอกดีใจ
"“ว่าไง แม่กาสะลอง คิดถึงเฟื่องฟ้าไหม?”"
“ "โฮ่ง"
”
เสียงขานรับพร้อมเสียงครางในลำคอด้วยความดีอกดีใจ ยังแสดงให้เห็นถึงความดีใจไม่มากพอ เจ้าสี่เท้าจึงพยายามเอาหัวอันใหญ่โตซุกซบกับสะโพกของเฟื่องฟ้าก่อนจะเลียมือเลียหน้าด้วยความคิดถึง
เฟื่องฟ้าหัวเราะเสียงดัง ความกังวลใจต่างๆ ค่อยๆ เลือนหาย มีแต่ความสุขจากการได้รับความรักที่เต็มไปด้วยความสัตย์ซื่อของเจ้าหมาตัวโต ที่เลี้ยงมาแต่น้อย
เฟื่องฟ้าสวมกอดกาสะลองเต็มอ้อมแขน ปากก็กล่าวชม มือก็สาละวนไล้เส้นขนเรียงสวยเป็นมันขลับ
"“กาสะลองคนสวย แม่กลับมาแล้ว”"
กาสะลองดีใจที่ได้เห็นนายสาว จึงส่งเสียงดัง กระทั่งฟุ้งเฟื่องต้องเดินเข้ามาสมทบ
“
"อะไรกัน กาสะลองดีใจอะไรเสียงดังเชียว”"
ฟุ้งเฟื่องยังไม่เห็นน้องสาวเต็มตานัก เพราะเพิ่งตื่นนอน ผมยังชี้ฟู และอยู่ในชุดนอนผ้าป่านเนื้อหนาอยู่เลย
"“ตื่นสายจังค่ะ พี่ฟุ้ง”"
เสียงเฟื่องฟ้าทำให้ฟุ้งเฟื่องเกือบสะดุดเท้าตัวเอง เพราะเฟื่องฟ้าไม่ใช่คนที่จะมาโดยไม่บอกกล่าว ดังนั้นการที่เขาได้มาเห็นน้องแบบนี้จึงทำให้เขาเกิดทั้งความประหลาดใจและกังวลใจไปพร้อมๆ กัน ด้วยรู้นิสัยของน้องดี
"“แม่เฟื่อง มายังไงล่ะ ทำไมไม่บอกพี่ก่อน จะได้ไปรับ”"
เฟื่องฟ้ามองหน้าพี่ชายที่หวังกลับมาพึ่งพิง แต่มาเห็นท่าทางร้อนใจของพี่ก็ต้องแสร้งแสดงความขบขัน เพื่อหวังว่าสีหน้าเดือดร้อนใจของพี่ชายที่รู้จักเธอจะได้คลายลง
ฟุ้งเฟื่องไม่เคยเปลี่ยนไปสักนิด ยังคงเป็นผู้ชายเรียบๆ ที่เฉียบคมและเอาใจใส่ต่อเธอเสมอมา
“
"น้องมาปุบปับเองค่ะ นึกอยากมา คิดถึงพี่ฟุ้ง คิดถึงกาสะลอง”"
ใบหน้าแม้จะยิ้ม แต่ดวงตาของเฟื่องฟ้ากลับไม่แจ่มใสอย่างเคย และฟุ้งเฟื่องรู้ดีว่าต่อให้เค้นให้ตายน้องสาวของเขาก็ไม่มีวันบอก ถ้าเจ้าตัวไม่พร้อมที่จะบอกให้ใครรับรู้
“เอาเถอะขึ้นบ้านกัน แม่อิ่มเองก็บ่นคิดถึงเฟื่องเหมือนกัน”
ฟุ้งเฟื่องคว้าเอากระเป๋าใบโตของน้องสาวมาถือแทนแล้วเดินนำขึ้นบ้านพอดีกับเอมอรเดินออกมารับ
เอมอรหรือแม่อิ่มของฟุ้งเฟื่องเดินอุ้มท้องอุ้ยอ้ายออกมา พบเฟื่องฟ้าเข้าก็ออกอาการดีใจจริงอย่างที่ฟุ้งเฟื่องบอก ทำให้เฟื่องฟ้าคลายความทุกข์ในใจลงไปได้มากโข
“
"อุ๊ย! แม่เฟื่องมา มายังไงคะนี่ ทำไมไม่บอกก่อนล่ะคะ จะได้ให้พี่ฟุ้งไปรับ”"
“ "แหม... พูดเหมือนกันเชียว เฟื่องแค่นึกอยากมาก็มาเลยค่ะ แล้วพี่อิ่มล่ะคะ เฟื่องทำพี่อิ่มตื่นหรือเปล่า?”"
"“ไม่หรอกค่ะ พี่ตื่นนานแล้ว กำลังเตรียมของเช้าน่ะ”"
"“อะไรกันคะ พี่อิ่มท้องโตขนาดนี้พี่ฟุ้งยังให้พี่ทำงานอีกหรือคะ ไม่ไหวเลย มาค่ะ เฟื่องช่วย พี่ฟุ้งนะพี่ฟุ้ง แย่จริงเชียว”"
เฟื่องฟ้าแกล้งทำตาเขียวใส่พี่ชาย แล้วเข้าประครองเอมอรไปนั่ง จากนั้นเธอจึงเดินไปเตรียมของเช้าต่อในครัว แต่ก็ยังได้ยินเสียหยอกล้อกันของคนข้างนอก
“
"ดูสิ พี่บอกแล้วว่าเลิกทำงานได้แล้วก็ไม่เชื่อ เห็นไหม แม่เฟื่องเลยดุพี่อีกคน”"
"“แหมพี่ฟุ้ง น้องเป็นคนท้องนะคะ ไม่ใช่คนป่วย แล้วน้องก็ไม่ได้ยกอะไรสักอย่าง แค่ปรุงรสเท่านั้นเอง ที่เหลือเจ้าเอกก็จัดการเสียหมด”"
“ "จ๊า”"
จริงอย่างที่เอมอรพูดเพราะในครัวมีชายหนุ่มร่างสูงโย่งชื่อเอก นั่งเตรียมของในครัว และทันทีที่ได้เห็นเฟื่องฟ้าก็รีบยกมือไหว้
"“คุณเฟื่อง มาเมื่อไรครับนี่”"
“ "ก็มาเมื่อเห็นสิจ๊ะ ทำอะไรอยู่หอมเชียว”"
“ "ข้าวต้มฮะ”"
เอกมองเฟื่องฟ้าด้วยความดีใจ เขาเป็นเด็กที่รับการอุปการะจากฟุ้งเฟื่องมาตั้งแต่ยังเล็ก เพราะฐานะทางบ้านยากจน พ่อแม่ก็มีลูกมาก บังเอิญฟุ้งเฟื่องซึ่งเป็นครูในเวลานั้นทราบเรื่องจึงขอเอกมาอุปการะ
เอกรู้จักเฟื่องฟ้ามาตั้งแต่เวลานั้น แม้ว่าเฟื่องฟ้าจะเป็นน้องสาวของผู้มีพระคุณ แต่เฟื่องฟ้าไม่เคยมองเอกเป็นแค่เด็กในบ้าน แต่กลับมองว่าเอกเป็นน้องชายและคอยอบรมสั่งสอน จนเวลานี้เขาจะจบปริญญาในอีกไม่กี่วัน เฟื่องฟ้าก็ยังมองเขาราวกับเป็นเด็กชายเล็กๆ อยู่นั่นเอง
ผิดกับเอกที่หลงรักพี่สาวคนนี้มานาน แต่ไม่กล้าเอื้อมมือคว้า
คุณเฟื่องของเอกมักจะยิ้มน้อยๆ เวลาเห็นเขาเล่นกับเจ้ากาสะลอง และไว้วางใจที่จะฝากกาสะลองให้เขาดูแล เมื่อเธอจากไปทำงานในเมือง
ทุกครั้งที่มีข่าวว่าเฟื่องฟ้ามีชายหนุ่มมาติดพัน เอกก็ได้แต่ทำใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคอยกันท่าตั้งแต่ยังเล็ก จนใครๆ เห็นเป็นเรื่องปกติ แม้แต่เฟื่องฟ้าเองก็อดหัวเราะชอบใจไม่ได้
‘
'ดีจังเลยที่มีเอก พี่ฟุ้งไม่ต้องเป็นห่วงเฟื่องแล้ว เฟื่องมีบอดี้การ์ดส่วนตัวด้วยเห็นไหมคะ'’
นั่นเป็นคำพูดที่ทำให้เอกได้แต่ยิ้ม ไม่กล้าบอกออกไปว่า เขารู้สึกเช่นไรกับเฟื่องฟ้า
"“เอกมากินข้าวกัน”"
เฟื่องฟ้ายังคงเป็นเฟื่องฟ้าอยู่นั่นเอง เธอเรียกให้เอกเดินตามออกมาและช่วยกันลำเลียงอาหารจัดโต๊ะ โดยมีสายตาของฟุ้งเฟื่องและเอมอรคอยติดตาม
"“ดูเจ้าเอกดีใจใหญ่ พอเฟื่องกลับมาล่ะยิ้มเป็นเชียวนะ พ่อเสือยิ้มยาก”"
"“ฮะ"”
เอกตอบเขินๆ เขาเองก็เป็นแบบนี้เก็บอาการไม่เคยสำเร็จสักครั้ง ทั้งๆ ที่ปกติเขาออกจะเป็นคนสำรวมและสงวนท่าทีอยู่มาก แต่พอเฟื่องฟ้ามาอยู่ตรงหน้าทีไร เขาก็กลายเป็นคนยิ้มง่าย อารมณ์ดีไปเสียทุกครั้งไป
“
"พี่ฟุ้งก็ไปแซวเอก นานๆ พี่น้องจะเจอกันสักที เอกก็ต้องดีใจสิเนอะ”"
เฟื่องฟ้าพูดยิ้มๆ และพยักพเยิดให้เอกเออออไปด้วย ซึ่งเอกก็รีบสมอ้างทันที แม้จะเจ็บแปลบปลาบในอกอยู่บ้างก็ตาม
ตลอดช่วงสายทั้งความเหนื่อยและความเพลีย ทำให้เฟื่องฟ้าหลับสนิท โดยคลายความกังวลลงไปได้มาก จากการที่ได้กลับมาอยู่ในที่ๆ ปลอดภัย
เมื่อเฟื่องฟ้าตื่นอีกครั้ง เพราะได้ยินเสียงเห่าของกาสะลองจึงเดินไปมองที่ริมหน้าต่าง
ที่นั่นเฟื่องฟ้าได้เห็นกาสะลองกำลังอาบน้ำ โดยมีเอกคอยจัดการ แต่ดูอย่างไรก็เหมือนเล่นมวยปล้ำกันมากกว่า เพราะกาสะลองไม่ได้อยู่เฉยๆ ให้เอกอาบน้ำได้ง่ายๆ เลย
เสียงหัวเราะของเฟื่องฟ้าทำให้ทั้งคนทั้งหมาที่มอมแมมด้วยกันทั้งคู่พากันหยุดชะงักและหันขึ้นมองตามเสียง
“
"อาบน้ำหรือเล่นน้ำกันน่ะ เปียกเป็นลูกหมาทั้งคู่เลย”"
น้ำเสียงและแววตาแบบนั้นทำให้เอกอดเขินไม่ได้ ผิดกับกาสะลองที่เอาแต่เห่าและกระดิกหางอย่างชวนให้เฟื่องฟ้าลงมาเล่นด้วยกัน ทำให้เธอต้องส่ายหน้าและหัวเราะออกมา
“
"ไม่เอาหรอกกาสะลอง เดี๋ยวเฟื่องเปียก อาบน้ำกันไวๆ เดี๋ยวจะพาไปสวน”"
เฟื่องฟ้าผลุบหายเข้าไปในห้องแล้ว แต่เอกยังยืนมองอยู่กระทั่งกาสะลองต้องงับชายเสื้อดึงรั้งให้เขามาอาบน้ำให้
“
"โอเค ก็ได้ ก็ได้ ห่วงเที่ยวเหมือนกันนี่เรา”"
“ "โฮ่ง!”"
กาสะลองขานรับ พร้อมกับยิงฟันเหมือนกับกำลังยิ้ม
******************************************************************************************************************************
ยัง งงๆ กับระบบอยู่ อ่านยากนิดนึงนะคะ จะค่อยๆ ปรับปรุงค่ะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น