ตอนที่ 90 : สู่...จุดสิ้นสุด
ข่าวใหญ่ในเซ็นโทรในอีกไม่กี่วันต่อมาก็คือ รายงานการใช้อำนาจในทางมิชอบของสมาชิกอาวุโสหลายคนในสภาเมือง
อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ว่าใครก็รู้อยู่แล้วทั้งนั้น เพียงแต่ตลอดมาคนแค่แกล้งทำเป็นไม่สนใจเพราะไม่อยากเดือดร้อน แต่เมื่อมีรายงานข่าวในวงกว้าง แถมยังมีการเปิดเผยให้เห็นถึงรายละเอียดยิบย่อยที่น่าตกใจ ทั้งเรื่องการใช้อำนาจมืดในการบีบบังคับเพื่อสิ่งที่ต้องการ และการหาผลประโยชน์โดยใช้ตำแหน่งหน้าที่
เมื่อสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจเปิดเผยออกมาในสถานการณ์ที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย และการใช้ชีวิตของคนส่วนใหญ่กำลังตกอยู่ในภาวะยากลำบากอย่างที่ไม่เคยได้พบเจอมาก่อน มันก็เลยกลายเป็นชนวนเหตุที่ประทุจนเชื้อไฟแพร่ลามไปอย่างคาดไม่ถึง
มีการออกมาเรียกร้องให้ปลดสมาชิกสภาเมืองเหล่านั้นออกจากตำแหน่ง และตรวจสอบยึดทรัพย์มาเพื่อช่วยบ้านเมืองที่อยู่ในภาวะสงครามกับกลุ่มกบฏที่มีกำลังคนมากมาย
แล้วอีกไม่กี่วันต่อมา ...สภาเมืองเซ็นโทร ก็ต้องมีมติด่วงทำตามข้อเรียกร้อของประชนชนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ด้วยการปลดอำนาจสมาชิกอาวุโสที่ตรวจสอบแล้วว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตเหล่านั้นทั้งหมด
อีธานยืนอยู่ด้านหลังจอภาพแสดงผล โดยมีโทบี้นั่งป้อนข้อมูลอยู่ข้างหน้า นิ้วที่รัวเร็วจนแทบมองไม่ทันนั้นเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของโทบี้ วันนี้อีธานมาฐานลับที่อยู่ในอาคารซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของเลือดสีแดงชนชั้นแรงงานอีกครั้ง โทบี้ทำงานอยู่ที่นี่คนเดียวเป็นหลัก ส่วนคนอื่นๆ จะไม่มารวมตัวกันหากไม่จำเป็นจริงๆ เพื่อลดความเสี่ยงที่ถูกจับได้
“ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องนี้มันเห็นผลได้ง่ายแบบนี้” โทบี้หันมามองอีธาน ทั้งที่มือทั้งสองข้างยังคงทำงานไม่หยุด
วันนี้เจ้าตัวอยู่ในสภาพค่อนข้างโทรมกว่าทุกครั้งที่เคยเจอ เส้นผมปล่อยยาวยุ่งเหยิง หนวดเคราก็ขึ้นรกอย่างไร้การดูแล
“สภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงของประชนชนช่วยกระตุ้นได้ดี อย่างที่นายว่าจริงๆ” โทบี้ว่าอีก
“เรื่องที่ยากน่ะ น่าจะเป็นทางด้านกองกำลังเซ็นโทรมากกว่า” อีธานตอบ
“คนถือปืน คุยด้วยยากเสมอนั่นแหละ”
“ขอดูโครงร่างแผนผังหน่อย”
“ได้เลย” โทบี้ตอบรับ ป้อนคำสั่งลงไปด้วยปลายนิ้วที่รัวเหมือนเครื่องจักร จากนั้นไม่นานจอภาพก็ปรากฏแผนผังแบบสามมิติออกมาตรงหน้า
อีธานมองมันด้วยความรู้สึกเคร่งเครียด
“นายคิดว่าไง”
อีธานพ่นลมหายใจเบาๆ ออกจากปาก “ไม่มีทางอื่นก็คงต้องอย่างนั้น”
“ตอนนี้ทางเซ็นโทรใช้มาตรการนี้ แล้วด้านกองทัพกบฏของครูส นายจะรับมือยังไง”
“ฉันคิดว่าทางนั้นอาจจะใช้การเจรจาได้”
“ไม่มีทาง” โทบี้รีบส่ายหน้า จนเส้นผมพันกันยุ่งกว่าเดิม “นายมองอะไรง่ายไปแล้ว พวกเลือดสีแดงสะสมความแค้นมานานปี จะให้เราไปแบบว่า ‘เฮ้...ขอโทษทีนะ เรามาร่วมมือกันเถอะ’ แล้วเขาจะยิ้มร่ายอมรับมันเป็นไปไม่ได้หรอก”
“มันก็จริง แต่สำหรับครูส ฉันว่าเรายังมีหวังอยู่ อุดมการณ์ของครูสก่อนหน้านี้ก็ยังยึดหลักสันติ...ฉันเชื่อว่าส่วนลึกในใจของเขาย่อมไม่อยากให้ใครได้รับบาดเจ็บเสียหายไปมากกว่านี้หรอก”
โทบี้หรี่ดวงตารีเล็กของตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“นายจะยื่นข้อเสนออะไรให้เขาล่ะ”
“ฉันคิดว่าเราควรจะมอบตำแหน่งผู้นำให้เขาหลังจากนี้”
โทบี้อึ้งไปครู่หนึ่ง “นี่...ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่ไหม?”
“ฉันไม่ได้ล้อเล่น ครูสเป็นคนมีความสามารถ เขาสามารถวางรากฐานที่ดีได้ ยิ่งผ่านจุดที่ยากลำบากมาแล้ว เข้าใจในมุมมองหลายอย่าง ฉันเชื่อว่าเขาจะทำได้”
“นายบ้าไปแล้ว!”
อีธานส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม ส่วนโทบี้ก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เอาเถอะ เรื่องนั้นไว้ค่อยว่ากัน” เจ้าตัวพูด ก่อนจะผลักแป้นพิมพ์ออกห่างจากตัว หมุนเก้าอี้มาหาอีธาน “จะว่าไปงานคราวนี้ต้องขอบคุณ เจ้าหญิง เลยนะ เพราะเขามีส่วนสำคัญในการให้ข้อมูล แถมยังติดต่อกับคนที่อยู่ฝ่ายนั้นได้โดยที่พวกเขาไม่ระวังตัวเลยด้วย ...ฉันชักจะหลงเสน่ห์จริงๆ แล้วสิ”
“อย่าเลย” ร่างสูงตบไหล่คนพูด
“ทำไมล่ะ? นายรังเกียจฉันเหรอ? หรือว่านายไม่ยอมรับพวกรักร่วมเพศ แบบนี้มันเหยียดหยามกันชัดๆ เลยนี่กลุ่มของเราพยายามกำจัดความไม่เท่าเทียมที่น่ารังเกียจออกไป แต่นายกลับไม่ยอมรับความรักอันบริสุทธิ์ของฉัน เพราะว่าฉันเป็นเพศเดียวกับน้องชายนายเนี่ยนะ...”
“ไม่ใช่ๆ” อีธานรีบห้ามเพราะดูท่าจะไปกันใหญ่ “ที่ฉันบอกว่าอย่าเลย เพราะคิดว่าไม่มีหวังมากกว่า”
“ทำไม?!”
“ก็ดูเหมือนจะมีคนที่สนใจอยู่แล้ว” อีธานว่าแบบนั้น
“หา? ใคร?? เท่าที่ฉันสืบมาไม่เห็นมี...” โทบี้รีบยกมืออุดปาก เมื่อรู้ว่าพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปแล้ว
“นี่นาย...” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มกลอกขึ้นอย่างเบื่อหน่าย “ขืนเอเลียตรู้ว่านายตามสืบเรื่องเขาละก็...”
“อย่าบอกนะโว้ย...ขอร้องอย่าพูดไปล่ะ...ฉันก็แค่ค้นอะไรไปเรื่อยไม่ได้ถึงขนาด ติดกล้องตามดู หรือดักฟังอะไรทั้งนั้น”
อีธานยกมือกุมหน้าผาก “ให้ตายเถอะ นายนี่มัน...”
“เฮ้ย บอกแล้วไงว่าไม่ได้ทำอย่างนั้น” โทบี้รีบคว้ามืออีธานไว้ “นี่...แลกกับเรื่องนี้ ฉันจะให้นายดูอะไรอย่างหนึ่ง”
ชายหนุ่มเสยเส้นผมยุ่งๆ ของตัวเอง แล้วดึงแป้นพิมพ์ออกมาอีกรอบ ไม่นานนักหน้าจอก็ปรากฏภาพของใครคนหนึ่ง ...คนที่ทำให้อีธานรู้สึกราวกับจะลืมหายใจได้
“ได้มาจากไหน?”
“คิดว่าไงล่ะ?” อีกฝ่ายตอบกลับด้วยประโยคคำถาม
“จากฝ่ายกองกำลังเซ็นโทรเหรอ?”
“ใช่” โทบี้พยักหน้า เพราะรับหน้าที่หลักในการเจาะข้อมูลสำหรับของระบบหลักทั้งหมดในเซ็นโทร จึงต้องพบข้อมูลเรื่องนี้เข้า
เจ้าตัวทำการขยายภาพที่มีอยู่ให้กว้างขึ้น “เพิ่งจะมีคนส่งข้อมูลนี้มาให้วัลโด้ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้เอง”
หัวใจของอีธานเต้นหนักๆ ราวกับจะระเบิดออกมาขณะจ้องคนที่อยู่ในจอภาพนั้น ร่างโปร่งในชุดสีดำสนิทตัดกับเส้นผมยาว และดวงตาสีเงินเรียวสวยไร้ซึ่งสิ่งปกปิด
“ข้อมูลที่ส่งให้วัลโด้มีรายละเอียดว่ายังไง?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม
“เป็นการรายงานว่าเลือดสีเงินคนนี้ อยู่ในเซ็นโทร”
อีธานไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังดีใจหรือหนักใจกับข่าวนี้กันแน่
“พวกเรามัวแต่ยุ่งกับการปราบกบฏและทำสงคราม จนลืมเรื่องสำคัญอย่างการมีอยู่ของเลือดสีเงินนี้ไปเลย” ชายผู้มีดวงตารีเล็กกล่าว ขณะต้องมองอีธาน “เขายังเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้รากฐานของเซ็นโทรสั่นคลอน และท่านผู้นำไม่มีทางปล่อยให้เขารอดไปได้”
“จีแอลไม่อยากยุ่งกับเรื่องนี้ ไม่อยากเข้าร่วมสงครามพวกนี้ด้วยซ้ำ”
โทบี้ถอนหายใจแผ่วเบา “ฉันสงสัยมานานแล้ว...”
ชายหนุ่มจ้องคนพูดกลับไป
“ที่นายไปเข้ากับพวกกบฏก็เพราะเขาใช่ไหม? นายยอมทิ้งพวกเรา ทิ้งแผนการทั้งหมดทั้งวางมา ก็เพื่อไปอยู่กับเขาใช่ไหม?”
อีธานไม่อาจโต้แย้งอะไรกลับไปได้ สิ่งที่เลือกก็มันโน้มเอียงไปตามทิศทางของใครอีกคนจริงๆ
“ฉันเช็คตำแหน่งล่าสุดของหมอนี่ให้ได้ แต่นายต้องตอบคำถามฉันอย่างหนึ่งก่อน” โทบี้ลุกขึ้นแล้วโอบไหล่อีธานเอาไว้ “...ฉันอยากรู้ว่าถ้าถึงจุดที่นายต้องเลือกอีกครั้ง นายจะทิ้งทุกอย่างไปหาหมอนี่อีกหรือเปล่า?”
อีธานจ้องมองคนที่อยู่บนจอภาพ หวนคิดถึงดวงตาคู่สวย ริมฝีปากบางที่มักจะเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ ไออุ่นที่เคยแนบชิด ผิวกายเนียนลื่นอุ่นร้อนที่เคยได้สัมผัส รวมถึงรสจูบแสนหวานที่เคยมี
“ว่าไงอีธาน?”
“จนกว่างานตรงหน้าจะสำเร็จ ฉันจะไม่ทิ้งพวกนายไปอีก”
อีธานแยกกับโทบี้และตรงกลับที่พักในช่วงค่ำที่อากาศร้อนอบอ้าวกว่าทุกวัน ปริมาณฝุ่นควันในอากาศก็มีมากจนวิสัยทัศน์ค่อนข้างย่ำแย่ รอบตัวเงียบสงัดจนน่าแปลก
เมื่อมาถึงห้องพักก็พบว่าเจ้าของห้องเองก็เพิ่งกลับมาเช่นกัน
“วันนี้ที่หน่วยกองกำลังพิเศษมีการเรียกระดมพล” ลุคเล่ารายละเอียดทันที “ผู้บัญชาการวัลโด้ มีคำสั่งให้เลือกคนที่มีความสามารถจากหน่วยของเราไปกว่าครึ่ง ดูเหมือนจะมีคำสั่งด่วนให้ทำอะไรบางอย่างครับ”
คิ้วเข้มขมวดเป็นปมบนใบหน้า เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวกับข่าวที่มีคนพบจีแอลในเซ็นโทรแน่นอน
ถึงจะรู้ว่าจีแอลไม่ใช่คนที่ใครจะเอาชนะได้ง่ายๆ แต่อีธานก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี
“เธอถูกเลือกไปด้วยหรือเปล่า?”
ลุคพยักหน้าตอบ “ในกลุ่มลูกน้องที่ขึ้นตรงกับอดีตหัวหน้า ถูกเลือกให้เข้าร่วมทีมทั้งหมดเลยครับ”
“ทุกคน?”
“ครับ คนที่เลือกก็คือหัวหน้าลูซี่ ที่เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าแทน น่าแปลกอยู่เหมือนกันที่เธอไม่เลือกคเอาคนสนิทของตัวเองไปเลย”
“ได้รับอะไรมาจากลูซี่หรือเปล่า?”
“เอ่อ...” ชายหนุ่มร่างเล็กหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “มีการ์ดสำหรับใช้เข้าระบบในภารกิจใหม่ครับ”
“แย่ล่ะ!”
“แย่?” ลุคเบิกดวงตากว้างขึ้น
ยังไม่ทันที่อีธานจะได้มองการ์ดแผ่นบางนั้นได้ถนัดตา เสียงกระแทกบานประตูห้องก็ดังก้องขึ้น แสงไฟสีฟ้าสาดเข้ามาด้านในห้องผ่านบานหน้าต่าง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ย้ำหนักๆ อยู่ด้านนอกประตู
ลุคขยับตัวคว้าอาวุธที่อยู่ข้างกายขึ้นมากระชับมือ ยกท่อนแขนขึ้นกันตัวอีธานเอาไว้ตามทักษะการคุ้มกันที่เขาถูกฝึกมา
“ดูเหมือนฝ่ายกองกำลังจะเริ่มสืบรู้เรื่องแล้ว” อีธานบอก
“ไม่มีทาง...ผม...”
“ไม่ใช่เพราะเธอหรอก...แต่วัลโด้ในตอนนี้ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น เขาเป็นคนขี้ระแวงอยู่แล้ว อาจจะเริ่มสืบจากความเคลื่อนไหวของเซท ก็เลยสาวมาถึงนี่ได้ ยิ่งเวลานี้สภาเมืองก็โดนเราเล่นงานจนต้องปลดคนออกมากมายจนน่าสงสัยด้วย”
เสียงกระแทกบานประตูห้องดังต่อเนื่องขึ้นอีกหน พร้อมกับเสียงคนที่ดังตามมา “กองกำลังพิเศษ ลุค ...เปิดประตูห้องเดี๋ยวนี้! ถ้าไม่ทำตามเราจะระเบิดมันทิ้งทันที!”
“เอายังไงดีครับ?”
“ก็ต้องลองเสี่ยงฝ่าออกไป” อีธานหันมองรอบๆ ตัว
“ผมจะคุ้มกันให้เองครับ” ลุคว่า
“ตัวเธอเองก็ต้องระวังตัวด้วย ถ้าออกไปได้แล้วแยกกันไป จากนั้นก็พยายามหาทางติดต่อเซทให้ได้ แล้วค่อยว่ากันจากตรงนั้น”
เสียงกระแทกประตูหยุดลงครู่หนึ่ง ก่อนที่จะมีเสียงระเบิดตามติดในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา
บานประตูห้องหลุดกระเด็นออกจากบานพับปลิวมาตกลงด้านในห้อง กองกำลังเซ็นโทรในชุดป้องกันกระสุนสีดำกรูเข้ามาด้านใน
“จับทุกคนที่นี่ให้ได้ ถ้าขัดขืนสามารถใช้กำลังขั้นเด็ดขาดได้ทันที”
ทันทีที่ได้ยินคำสั่งทำให้อีธานก็ลุกพรวดขึ้นจากพื้น วิ่งตรงเข้าไปรวบตัวหน่วยกองกำลังคนหนึ่งที่ก้าวนำอยู่ด้านหน้า พลิกท่อนแขนนั้นออกแล้วแย่งเอาอาวุธของฝ่านนั้นมา หูได้ยินเสียงกระสุนที่พุ่งมาจากด้านหลังทำให้อีธานสไลด์ตัวไปกับพื้น พร้อมกับยิงสวนกลับไป และจัดการกับคนที่พุ่งเข้ามาตรงหน้าด้วยหลังมือที่กระแทกหนักหน่วงเข้าที่บริเวณลำคอ
ทุกอย่างกินเวลาไม่ถึงห้านาที กองกำลังเกือบสิบคนที่กรูเข้ามาในห้องล้มลงกองกับพื้น
ดวงตาสีน้ำเงินของอีธานเบิกกว้างขึ้น ร่างกายกำลังตื่นตระหนกหลั่งสารเคมีบางอย่างออกมาทำให้ภาพตรงหน้าซีดจางไร้สีสันไปชั่วขณะ
“คุณอีธาน!” ลุคตรงเข้ามาหา “ต่อสู้แบบประชิดตัว เก่งขนาดนี้เลยหรือครับ?”
“...ฉัน” ร่างสูงหอบหายใจจนร่างสั่นสะท้าน ขณะค่อยๆ ยกมือทั้งสองข้างที่สั่นไหวของตัวเองขึ้นมอง
ทั้งหมดที่อีธานใช้เป็นทักษะที่เขาได้เรียนรู้มาตลอดในช่วงที่เข้าฝีกฝนกับหน่วยกองกำลัง...แต่อีธานไม่เคยว่องไวเท่านี้ ไม่เคยใช้กำลังได้หนักหน่วงเท่านี้
โสตประสาทของอีธานได้ยินเสียงคลิกแผ่วเบาดังมาจากทางด้านหนึ่ง ในวินาทีนั้นอีธานชักปืนเล็งไปทางนั้นและเหนี่ยวไกในทันที...กองกำลังที่แอบซ่อนอาวุธอยู่ที่มุมด้านหนึ่งถูกกระสุนของเขาล้มลงแน่นิ่งไปกับพื้น
ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติราวกับไม่ต้องผ่านกาสั่งการหรือคำนวญใดๆ จากสมองเลย
รวดเร็วขึ้น ทรงพลังขึ้น ประสาทสัมผัสทั้งหมดก็เพิ่มประสิทธิภาพขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ...มันดูราวกับว่าเลือดในกายของเขาไม่ใช่ของตัวเองอย่างนั้น
“หนีก่อนเถอะครับ!” ลุครีบกระชากแขนของอีธาน “อีกเดี๋ยวกำลังเสริมต้องแห่กันมาแน่”
ชายหนุ่มทำได้แค่พยักหน้า และวิ่งตามลุคออกไปทางด้านหลัง
ในใจของอีธานตอนนี้สับสนไปหมด รู้สึกเสียวแปลบที่แผ่นอกซึ่งมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่หลงเหลืออยู่ ...รอยแผลที่น่าจะทำให้เขาตายไปแล้ว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ว้าวววววววว