ตอนที่ 80 : สงคราม
อีธานยืนมองความเสียหายจากการปะทะกันที่เพิ่งจบลงหลังกองกำลังเซ็นโทรถอนทัพกลับไป
แนวหินธรรมชาติของโอเอซิสแตกหักร่วงกราวลงมาหลายส่วน กำแพงคลื่นไฟฟ้าเสียหายไปเกือบสี่สิบเปอร์เซ็นต์ รูโหว่ขนาดใหญ่เหล่านั้นต้องได้รับการซ่อมแซมนานนับเดือน สิ่งปลูกสร้างที่อยู่เหนือผิวดินพังทลายลงเกือบทั้งหมด พื้นที่หลบภัยอันมั่นคงข้างใต้ก็ยังมีหลายส่วนที่ได้รับความกระทบกระเทือนจนระบบป้องกันเบื้องต้นเสียหาย และที่สำคัญอีกอย่างก็คือแหล่งเสบียงอาหาร ...สัตว์เลี้ยงและแหล่งเพาะปลูกพืชพันธุ์ เป็นส่วนที่เสียหายอย่างหนักที่สุด
ไม่ได้มีเพียงแต่สิ่งรูปสร้างหรือข้าวของเท่านั้น มีอีกหลายสิบคนที่ได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดที่ฝ่าแนวกำแพงที่เสียหายเข้ามาตกด้านใน สถานที่ซึ่งเคยเงียบสงบแห่งนี้ตอนนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงตะโกน และเสียงร้องไห้โอดครวญ
อีธานมองความเสียหายมากมายตรงหน้าด้วยความรู้สึกหดหู่ สิ่งที่น่าเป็นห่วงในตอนนี้ไม่ใช่แค่ที่นี่เท่านั้น แต่ทางด้านมหานครเซ็นโทรที่ซึ่งเขาเติบโตมาก็น่าเป็นห่วงมากเช่นกัน
เพราะดินแดนซึ่งแข็งแกร่งขนาดนั้นกำลังถูกคุกคามบุกยึดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
แม้เซ็นโทรจะไม่ได้สวยงามเหมือนภาพลักษณ์ที่สร้างขึ้น แต่สำหรับเลือดสีน้ำเงินมันก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่แพ้โอเอซิสของชนเผ่าเลือดสีขาวเช่นเดียวกัน
ครอบครัว เพื่อนฝูง และทุกสิ่งทุกอย่าง ที่อีธานทิ้งไว้แล้วจากมาก็ล้วนอยู่ที่นั่น
ร่างสูงมองกระโจมที่พักของตัวเองซึ่งแทบไม่เหลือโครงสร้างเดิม ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของใครหลายๆ คนในโอเอซิส อีธานก้มตัวลงเริ่มต้นเก็บเศษซากความเสียหายเหล่านั้นอย่างเงียบๆ ชิ้นแล้วชิ้นเล่า จนแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันลับจากไป เหลือเพียงแสงจากหลอดไฟฟ้าฉุกเฉินสีเหลืองส้มติดขึ้นแทนที่
ความอุ่นร้อนของช่วงกลางวันถูกพัดพาให้หายไป อุณหภูมิเริ่มลดต่ำลงลงอย่างช้าๆ
“ตั้งใจจะเป็นแค่คนงานขนของจริงๆ หรือยังไง?” เสียงทุ้มไพเราะเอ่ยขึ้นด้านหลัง แต่อีธานไม่ได้สนใจ ยังคงเก็บซากความเสียหายตรงหน้าไปเรื่อยๆ
“พอได้แล้ว” อีกฝ่ายพูดอีกครั้ง พร้อมกับรั้งแขนของอีธานเอาไว้
“แล้วตอนนี้จะให้ฉันทำอะไรได้อีกล่ะ” อีธานทิ้งของในมือลงกับพื้น หันไปสบสายตากับดวงตาสีเงินแวววาวของคนตรงหน้า
“มานี่เถอะ” จีแอลดึงข้อมือเขาให้เดินตามไป
แนวหินสูงที่เปรียบเสมือนกำแพงของโอเอซิสในตอนนี้ดูคล้ายกับซากปรักหักพัง ทั้งคู่ยืนอยู่ในจุดที่เคยมาก่อนหน้านี้ ท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดแรงเป็นจังหวะคล้ายกับระลอกคลื่น เพียงแต่แทบจะไม่มีอะไรอยู่ในสภาพเดิม เหยียบพลาดแค่ก้าวเดียวก็อาจจะทำให้ร่วงหล่นลงไปด้านล้างได้
“นื่คือแผนของนายงั้นเหรอ? ใช้กลุ่มชนเลือดสีแดงในอันเดอร์กราวซิตี้ให้เข้ายึดเซ็นโทร” อีธานถาม
“มันก็เป็นแผนการที่ดีไม่ใช่เหรอ? อย่าบอกนะว่าด้วยการปกครองแบบนั้น พวกชนชั้นสูงอย่างนายจะไม่เคยคิดว่าสักวันจะเกิดเรื่องแบบนี้”
“พวกนายเข้าไปรวบรวมกำลังคนได้ยังไง สมาชิกกลุ่มกบฏมีประกาศจับติดเต็มไปหมด ไม่น่าจะเข้าออกอันเดอร์กราวซิตี้ได้สะดวก”
“ก็ไม่จำต้องเป็นคนพวกนี้นี่” จีแอลคลี่ยิ้มที่มุมปาก “คิดว่าเลือดสีแดงพวกนั้น เริ่มคิดว่ามันสุดจะทนกับการข่มเหงไร้เหตุผลนั้นได้เมื่อไหร่ล่ะ?”
“หรือว่า...หลังจากเหตุการณ์ประหารวิกเตอร์งั้นเหรอ?” อีธานถามกลับขณะที่เบิกดวงตากว้างขึ้น
“ต้องขอบคุณคนอย่างหมอนั่นใช่ไหมล่ะ เพราะไหนๆ ก็รู้ว่ายังไงตัวเองก็ไม่รอด สุดท้ายก็ยังอุตส่าห์คิดแผนแบบนี้ออกมาช่วยพวกครูสอีก”
อีธานย้อนความคิดกลับไป ในตอนที่เซทกับลูกน้องบุกเข้าไปจับวิกเตอร์นั้น วิกเตอร์ไม่ได้ขัดขืนอะไรเลย แถมเหลืออยู่เพียงลำพังไม่มีลูกน้องติดตามสักคน ทั้งที่คนระดับนั้นจะหาคนคุ้มกันเป็นร้อยคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก ...ก่อนหน้าที่ตัวเองจะโดนบุกจับวิกเตอร์น่าจะกระจายลูกน้องคนสนิทของตัวเองไปตามอันเดอร์กราวซิตี้ อย่างน้อยก็เพื่อชี้ให้บรรดาเลือดสีแดงส่วนใหญ่ได้เห็นถึงความจริงตรงหน้า
เห็นได้ชัดว่ามันได้ผล เพราะความโหดร้ายที่สะท้อนผ่านการถ่ายทอดไปทั่วในวันนั้น เป็นจุดเปลี่ยนในจิตใจของใครหลายๆ คน รวมทั้งตัวอีธานด้วยเช่นกัน
การตายของวิกเตอร์ก็เหมือนเป็นการประกาศให้โลกได้รู้ถึงความโหดร้ายของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าชนชั้นสูง มันชี้ชัดถึงความเหลื่อมล้ำที่น่ารังเกียจ นอกจากมันจะสร้างความหวาดหวั่นและหวาดกลัวในใจของชนชั้นแรงงานตามเป้าหมายที่ต้องการแล้ว มันยังส่งผลตรงกันข้ามก็คือ ทำให้เลือดสีแดงที่มีจำนวนมากมายเหล่านั้นฉุกคิดถึงหลายสิ่งหลายอย่างขึ้นมาได้
สิ่งที่วิกเตอร์พูดไว้ มันสะกิดใจทุกคน... มหานครอย่างเซ็นโทร นั้นแท้จริงแล้วสร้างจากแรงกายของเลือดสีแดง เป็นพวกเขาต่างหากที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเซ็นโทร ไม่ใช่เลือดสีน้ำเงิน
อีธานถอนหายใจหลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“ฉันอยากติดต่อกลับไปหาน้องชาย...ได้ไหม?”
จีแอลหันมามองหน้าคนพูด “ขอกันตรงๆ แบบนี้เลยงั้นเหรอ คิดว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไรกัน”
“ฉันจะไม่ทำอะไรที่ส่งผลร้ายต่อกลุ่มของพวกนายแน่นอน ยังไงฉันก็ต้องติดต่อกับคนที่เซ็นโทรให้ได้อยู่ดี แล้วก็ไม่อยากทำโดยปิดบังนาย” อีธานพูดขณะขยับตัวเข้าไปใกล้ร่างโปร่งมากขึ้น ไออุ่นที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่ายช่วยให้รู้สึกได้ว่าสายลมท่ามกลางทะเลทรายก็ไม่ได้เหน็บหนาวเกินไปนัก
“พรุ่งนี้นายไปคุยกับครูสเองก็แล้วกัน” สุดท้ายจีแอลก็ตอบกลับมา
“ขอบใจ” อีธานว่า
เมื่ออีกฝ่ายตอบแบบนี้ก็เท่ากับอนุญาตแล้ว เพราะถึงฉากหน้าจะใช้อาเธอร์กับครูสเป็นคนออกคำสั่ง โดยตัวเองไม่ได้ยุ่งเกี่ยวตรงก็ตาม แต่ทุกอย่างในการตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับคนคนนี้อยู่ดี
จีแอลก้าวเท้าไปทิ้งตัวลงนั่งบนหินก้อนใหญ่ที่ยังอยู่ในสภาพมั่นคง อีธานมองแล้วจึงเดินตามไปซ้อนตัวเองนั่งด้านหลังอีกฝ่าย สองแขนแข็งแรงโอบกอดร่างที่ชวนหลงใหลเอาไว้แบบหลวมๆ
“คืนนี้เราจะนอนที่ไหน?”
จีแอลหัวเราะออกมาครั้งหนึ่ง “อาจจะต้องยัดเข้าไปเบียดกันอยู่ในห้องหลบภัยล่ะมั้ง”
“งั้นนอนที่นี่ได้ไหม?”
“หือ?”
“เหมือนกับตอนที่เราอยู่ในทะเลทรายนั่น...”
“เป็นช่วงเวลาที่ไม่อยากนึกถึงสักนิด” แม้จะพูดอย่างนั้น จีแอลก็เอนตัวเองลงมาซบกับแผ่นอกของอีธาน ดวงตาสีเงินถูกซ่อนลงไปหลังเปลือกตาที่ปิดลงอย่างช้าๆ อีธานจึงเหยียดยิ้มบางๆ พลางโอบกระชับร่างในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น แนบริมฝีปากลงจุมพิตแผ่วเบาบริเวณไรผมอ่อนนุ่ม
ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ช่างน่าสับสนค้างคา มันก่ำกึ่งอยู่ระหว่างความขัดแย้งกับความลึกซึ้งอบอุ่น ใกล้จนร่างกายแนบชิดแต่ก็ยังเหมือนอยู่กันคนละด้าน
อีธานมองใบหน้าได้รูปของอีกฝ่ายอยู่อีกพักใหญ่ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงบ้าง
รุ่งเช้าอีธานก็เข้ามาในห้องควบคุมกับอาเธอร์และครูส หลังค้นหาโดยใช้เครื่องส่งสัญญาณพิเศษที่อีธานพกติดตัวมา ก็สามารถค้นหาช่องทางติดต่อหาเอเลียตผู้เป็นน้องชายโดยตรงได้ เมื่อเชื่อมต่อผ่านระบบป้องกันการบุกทำลายของไวรัสต่างๆ เพื่อการความปลอดภัย การพูดคุยก็เริ่มต้นขึ้น
เส้นผมสีสว่างกับดวงตาสีฟ้าใสดูหมองหม่น เพราะจอภาพขนาดเล็กที่กำลังฉายภาพของเอเลียตนั้นขาดความคมชัดด้วยสัญญาณที่ค่อนข้างอ่อนและระยะทางที่ไกลจนบางครั้งเกิดการขาดหายชวนให้รำคาญตา
“เราต้องรีบก่อนจะช่องสัญญาณจะถูกตรวจสอบ เพราะงั้นเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน ที่นั่นเป็นไงบ้าง ทุกคนปลอดภัยดีหรือเปล่า?” อีธานกล่าวขึ้นก่อน
“ทุกคนปลอดภัยดี วัลโด้กลับมาทันก่อนที่สภาเมืองของเราจะโดนยึด เซ็นโทรเลยยังอยู่ในการปกครองของเลือดสีน้ำเงิน แต่เราก็เสีย เขตS เขตA และเขตN ...สองเขตใหญ่กับอีกหนึ่งเขตชายแดนไปให้กับกลุ่มเลือดสีแดงแล้ว” เอเลียตตอบ “พวกเลือดสีแทบจะไม่มีอาวุธร้ายแรงอะไรเลย แต่มีจำนวนคนที่เข้าร่วมมากมายจนเราคาดไม่ถึง แถมยังมีบรรดาคนงานในเซ็นโทรร่วมมือด้วย พวกนั้นสู้แบบไม่กลัวตายแถมจับตัวประกันชนชั้นสูงเอาไว้ไม่น้อย เพราะอย่างนั้นเราก็เลยยังคงประชุมกันอยู่ว่าจะโจมตีเพื่อยึดคืนเขตพวกนั้นมายังไงดี”
อีธานพยักหน้า
“เรื่องที่ฉันขอร้องล่ะ ได้ฟังจากโจเซฟแล้วใช่ไหม?”
“ผมไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องของพี่เลยนะ ทำไมพี่ถึงเลือกจะอยู่ที่นั่นไม่กลับมาจัดการมันด้วยตัวเองล่ะ?! พี่ไม่รู้หรอกว่าการที่พี่ไม่กลับมามันทำให้หลายคนแคลงใจแค่ไหน โจเซฟเองก็เป็นห่วงมากจนอยู่ไม่เป็นสุขแล้ว”
“ฉันรู้” อีธานส่งยิ้มจางๆ กลับไป
เอเลียตชักสีหน้าใส่ กลับมาพูดเข้าเรื่องอีกหน “เรื่องเซท ผมไปหาเขาแล้ว แต่คนอย่างหัวหน้ากองเซท ไม่มีทางคล้อยตามในข้อเสนอแบบนั้นหรอก เขายึดมั่นในหน้าที่ขนาดไหนพี่น่าจะรู้ดี”
“แต่เขาเป็นคนเดียวที่น่าจะฝากความหวังไว้ได้”
เอเลียตยังคงส่ายหน้า “ผมว่าพี่คิดผิดแล้วที่ล่ะ เขาเป็นมือขวาของวัลโด้ ตอนนี้เองก็น่าจะกำลังปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งอยู่ ไม่มีทางที่เขาจะทำผิดต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแน่นอน”
อีธานรู้อยู่แล้วว่าการขอให้เซทมาเป็นพวกคงเป็นเรื่องยาก แต่กลับไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะในใจของเขาเชื่อมั่นว่าเซทเป็นคนที่มีเหตุผลมากพอ ไม่ใช่ประเภทที่แค่ก้มหน้าก้มตารับคำสั่งเท่านั้น
...ผู้ชายอย่างเซทจะต้องเลือกทำสิ่งที่เห็นว่าเป็นสิ่งถูกต้องอย่างแน่นอน
“แล้วมีข่าวของรอนด้าบ้างหรือเปล่า รู้ไหมว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ตอนนี้เธอถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว แต่อยู่ในการควบคุมของหน่วยกองกำลังอย่างเข้มงวด เข้าถึงตัวไม่ได้เลย”
ถูกปล่อยตัวออกมาแสดงว่าฝ่ายนั้นได้ข้อมูลทั้งหมดตามที่ต้องการไปแล้ว ใช่หรือเปล่า? อีธานคิด
“เดี๋ยวเราต้องตัดการเชื่อมต่อแล้วนะ ไม่อย่างนั้นจะเสี่ยงอันตรายเกินไป” อาเธอร์ส่งเสียงเตือนมา
“โอเค” อีธานหันไปตอบ ก่อนจะมองหน้าจออีกครั้ง “เซท ยังเป็นความหวังของเราอยู่ นายลองไปคุยกับเขาอีกสักครั้งเถอะ”
“ของเราเหรอ? ใช่คำผิดแล้วเรื่องทั้งหมดนี่เป็นความหวังของพี่ตังหาก ไม่ใช่ของผม ...ที่ผมยอมช่วยก็เพื่อตอบแทนเรื่องตอนที่ผมโดนจับไปก็เท่านั้นไม่ได้จะรวมขบวนการอะไรด้วย” เอเลียตกลอกตา ในขณะที่อีธานที่ได้ฟังคำพูดตรงๆ จากปากของน้องชายนั้น กลับยิ่งรู้สึกเชื่อใจมากขึ้นกว่าเดิมซะอีก
“อีกอย่าง ผมไปคุยกับเซทตอนนี้คงไม่ได้ เพราะเขายังไม่ได้กลับเซ็นโทรเลย”
“เซท ยังไม่ได้กลับไปงั้นเหรอ?”
“ใช่ โจเซฟให้คนไปสืบมาแล้ว กลุ่มของเซทยังอยู่นอกเซ็นโทร”
หลังจากนั้นการติดต่อก็ถูกตัดไป
อีธานกำลังสงสัยว่าวัลโด้ต้องการอะไรถึงไม่ดึงตัวเซทกลับ ในสถานการณ์ที่ต้องการกำลังคนในการปราบปรามความวุ่นวายทั้งหลายนั้น เซทเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่ง นอกเสียจากว่าวัลโด้จะมอบหมายงานที่สำคัญกว่านั้นให้ทำ
“คุณวางแผนอะไรไว้?” ครูสเอ่ยขึ้นด้านหลัง อีธานลุกขึ้นอย่างช้าๆ หันไปเผชิญหน้าด้วย “ผมสงสัยมานานแล้วว่าทำไมคุณถึงยอมมาอยู่นี่ ไม่น่าจะเพื่อแค่ช่วยน้องชายให้กลับไปแน่ๆ”
อีธานเล่าถึงกลุ่มของเขาที่อยู่ในสภาเมือง และเรื่องมาตรการต่างๆ ที่จะสร้างความสงบสุขได้ เพียงแต่ก็ไม่ได้บอกถึงการรอเก็บกวาดความเสียหายจากสงครามออกไปให้รู้
ครูส เสยเส้นผมที่ถูกหั่นจนสั้นของตัวเอง จ้องหน้าอีกธาน “ยังจะยึดติดกับอุดมการณ์แบบนั้น แม้จะในสถานการณ์อย่างนี้งั้นเหรอ?”
“อย่างที่เคยบอกนั่นแหละ ผมไม่เชื่อว่าการจัดการทุกอย่างด้วยความรุนแรงมันจะได้ผลที่ดี สิ่งที่ผมทำแม้มันจะยากแต่ผมเชื่อมั่นว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน”
ครูสชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงวางมือลงบนบ่าของอีธาน
“มันอาจจะดีก็ได้ ที่ยังมีคนอย่างคุณอยู่”
===+++===+++===+++
สวัสดีค่ะ ช่วงนี้ สั้นสั้น กำลังตั้งอกตั้งใจเขียนเรื่องนี้ให้จบนะคะ ดังนั้นอาจจะไม่ค่อยได้มาอัพ (เพราะว่าจะเขียนไปแก้ไปด้วย) คาดว่าไม่เกินเดือนนี้น่าจะคืบหน้าไปหลายๆ อย่าง แล้วมารอดูกันเนอะ ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเมนต์นะคะ ดีใจมากๆ เวลาอ่านก็มีกำลังใจขึ้นเยอะเลยค่ะ
เย้!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ถ้ามีโอกาสเขียนตอนพิเศษ จะมีฉากหวานๆ แน่นอนจ้า