ตอนที่ 67 : ดินแดนแห่งผืนทราย
ฐานที่มั่นของกองกำลังเซ็นโทร ที่สร้างขึ้นในเวลาอันรวดเร็วนั้น เรียบง่ายแต่แข็งแรงน่าทึ่ง
กำแพงทึบล้อมรอบแบบป้อมปราการเพื่อการป้องกันพายุทราย ภายในมีลานกว้างใช้จอดรถถังติดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ รวมถึงเพื่อฝึกซ้อมปฏิบัติการของหน่วยกองกำลัง มีอาคารชั่วคราวหลังใหญ่แบ่งส่วนหนึ่งใช้เป็นที่พักอาศัย อีกส่วนเอาไว้เป็นศูนย์ควบคุมสั่งการ ที่สำคัญก็คือที่นี่มีทีมวิจัยทำหน้าที่คอยวิเคราะห์สภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ เพราะการจะดำรงชีวิตในที่ซึ่งมีสภาพอากาศเลวร้ายอย่างสุดแสนนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจธรรมชาติให้มากที่สุด และนั่นเป็นสิ่งที่เหล่าเลือดสีน้ำเงินไม่ถนัด แตกต่างจากเลือดสีขาวที่คุ้นชินเป็นอย่างดี
ฝุ่นผงฟุ้งตลบในอากาศแม้ยานพาหนะจะจอดสนิทดีแล้ว เมื่อก้าวเหยียบลงไปผืนทรายก็ยุบตัวลงจนรองเท้าจมหายไปเกือบครึ่งส่งความร้อนระอุซึมซาบผ่านเข้ามา ซึ่งอีธานจดจำมันได้ดี ...อากาศแห้งแล้ง สายลมร้อนผ่าว แดดจัดจ้าที่แผดเผาผิวกาย ความหนาวเหน็บในยามค่ำคืน รวมถึงผิวสัมผัสของใครอีกคนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา
ถ้าคิดดูแล้วมันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของพวกเขาทั้งคู่ หากแต่ก็เลวร้ายที่สุดเช่นกัน
“มาถึงเร็วจนเหมือนเหาะมาเลยนะ” เสียงหญิงสาวในชุดเครื่องแบบของหน่วยกองกำลัง ปลุกอีธานให้ตื่นจากภวังค์ความคิด
ลูซี่ เป็นหน่วยกองกำลังที่รับหน้าที่ดูแลการสร้างฐานปฏิบัติการในครั้งนี้ เธอมีอายุสามสิบปี รูปร่างสมส่วน ไม่สูงมากนัก ดวงตากลมสีเข้มแฝงแววเฉียบขาด เส้นผมซอยสั้นย้อมด้วยสีเขียวทั้งศีรษะ ดูแล้วเด่นสะดุดตาอย่างยิ่ง ...หาก เซท เปรียบเหมือนแขนขวาที่วัลโด้ใช้งานบ่อยๆ ลูซี่ ก็คงเป็นแขนซ้ายที่ได้รับความไว้ใจไม่ต่างกัน
การพบกันครั้งนี้ทำให้อีธานรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเธอเป็นลูกน้องของวัลโด้ แต่เพราะก่อนนี้เขากับลูซี่มีช่วงที่เกือบจะได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน แม้ว่าจะยังไม่ทันจะเริ่มต้นแบบจริงจัง มันก็จบแบบน่าอึดอัดซะก่อน
“เจอกันครั้งสุดท้าย ตอนที่คุณมาเข้าร่วมฝึกภาคสนามกับหน่วยกองกำลังที่สามสินะ”
อีธานพยักหน้า “หัวข้อ ช่วยเหลือตัวประกัน”
“สงสัยวิธีการฝึกของฉันมันคงไม่ได้เรื่อง เพราะขนาดคนที่เคยเข้าร่วมยังโดนจับไปเป็นตัวประกันซะเอง”
“อ่า...” อีธานทำหน้าปั้นยาก กับมุกจิกกัดตามสไตล์ของหญิงสาว
สาเหตุหลักที่ทำให้เขากับลูซี่ลงเอยไม่สวย ก็คือเรื่องทัศนคติที่แตกต่างกัน กับเรื่องที่ว่ามันออกจะไม่ดีกับหน้าที่การงานของลูซี่ เนื่องจากในเวลานั้นเธออยู่ในฐานะครูฝึก ส่วนเขาเป็นแค่เด็กหนุ่มที่ถูกส่งตัวมาเพื่อฝึกฝนทักษะด้านการต่อสู้เอาตัวรอด
“มีข่าวอะไรบ้างไหม?” อีธานเข้าเรื่อง
“เสียใจด้วย ตอนนี้เรายังไม่ได้อะไรคืบหน้าเลย” ลูซี่กล่าว “อยากให้รู้ว่าเราไม่ได้นิ่งนอนใจกับการหายตัวไปของเอเลียต เพียงแต่มันมีปัญหาใหญ่อยู่อย่างหนึ่ง”
“ปัญหา?”
“ตามฉันมาทางนี้” ลูซี่ว่า
อีธานจ้องมองหน้าจอแสดงผลที่อยู่ในห้องปฏิบัติการ มันบ่งบอกว่าพื้นที่แถบนี้กำลังอยู่ในช่วงสภาพอากาศแปรปรวน พายุทรายที่มีกำลังทำลายล้างรุนแรงสามารถก่อตัวได้ทุกเมื่อ และสภาพอากาศเลวร้ายนี้จะคงอยู่ไปอีกอย่างน้อยๆ ก็สี่ถึงห้าวัน
ระหว่างการเดินทางจากเซ็นโทรตรงมาที่นี่ อีธานเจอพายุจนต้องหยุดพักถึงสามหน ทำให้เขาก็พอจะรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายกว่ายิ่งนั้นหลายเท่า
“ฐานของเรายังก่อสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ ยังต้องเร่งเสริมแนวป้องกันพายุให้มากขึ้นอีก ที่สำคัญหากสภาพอากาศย่ำแย่มากๆ การติดต่อสื่อสารไม่ว่าทางไหนก็จะถูกตัดขาดไปด้วย ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเครื่องมือนำทาง มันแทบจะเป็นของไร้ค่าไปเลย”
เมื่อชายหนุ่มไม่พูดอะไร ลูซี่จึงกล่าวต่อ “เข้าใจใช่ไหม ต่อให้อยากจะตามหาเขาแค่ไหน เราก็จะไม่เสี่ยงส่งใครออกไปตอนนี้”
“เข้าใจ”
“แต่ท่าทางคุณไม่เหมือนเลยสักนิดนะ”
“ผมรู้ว่าการขอให้ลูกน้องของคุณออกไปตามหาเอเลียตในตอนนี้ออกจะเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อย ดังนั้นไม่ต้องห่วงผมจะจัดการเรื่องนี้เอง”
“ยังไง?”
“ทีมของผมจะตามมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมง เพราะงั้นเราจะรบกวนขอแค่ข้อมูลพื้นที่ สภาพอากาศ และอุปกรณ์นำทางเท่านั้น”
หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ “ขอโทษนะ แต่ถ้าไม่มีคำสั่งโดยตรงมา ฉันคงจะปล่อยให้คุณไปเสี่ยงไม่ได้หรอก”
“คำสั่งจะมาพร้อมกับทีมของผม คุณมีหน้าที่แค่ส่งข้อมูลทุกอย่างที่มีให้มาก็พอ”
ลูซี่หรี่ดวงตากลมโตของตัวเองลง “ฉันได้ข่าวมาว่า คุณกับน้องชายไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ ขนาดไม่ลงรอยด้วยซ้ำไป สงสัยจะเป็นเรื่องโกหกสินะ เพราะเขาทำให้คุณเต้นได้ขนาดนี้”
อีธานนิ่งเงียบไม่มีข้อโต้แย้ง
...เขากับเอเลียตจัดเป็นพี่น้องที่ห่างเหิน
วัยเด็กของพวกเขาเหมือนจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมานานซะจนความทรงจำเกือบจะรางเลือน แต่สิ่งที่ยังคงติดแน่นอยู่ก็คือ ภาพน้องชายตัวน้อยที่มีดวงตากลมโตสีฟ้าสดใสกับรอยยิ้มสว่างเจิดจ้า
จนกระทั่งวันหนึ่ง ความน่ารักสดใสนั้นก็ถูกพรากจากไป ...เพราะอีธาน
หากวันนั้นอีธานไม่ทำตามใจตัวเองด้วยการหนีออกไปเที่ยวเล่นตามลำพัง ไม่โดดเรียนเสริมทักษะด้านการคำนวญที่แสนน่าเบื่อ ไม่หาวิธีการบ้าบอด้วยการหลอกล่อน้องชายให้อยู่ที่นั่นแทน ...คนที่โดนจับตัวไปคงเป็นเขาไม่ใช่เอเลียต
อีธานที่ยังเด็ก ไม่รู้ถึงภาวะทางการเมืองในเซ็นโทรตึงเครียดอย่างมากในตอนนั้น การแก่งแย่งแบ่งขั้วอำนาจที่มีมาตลอดถูกจัดการขั้นเด็ดขาด ส่งผลทำให้กลุ่มอดีตผู้มีอิทธิพลที่ถูดตัดแข้งตัดขาเกิดความแค้นกับตัวผู้นำ คนพวกนั้นได้วางแผนให้ความช่วยเลือกกลุ่มก่อการร้ายเลือดสีแดงเพื่อจับตัว อีธาน บุตรชายคนสำคัญของเลนเนิร์ดเป็นข้อต่อรอง
เนื่องจากชีวิตครอบครัวของท่านผู้นำไม่ได้รับการเปิดเผยมากนัก ส่วนหนึ่งก็เพื่อความปลอดภัย คนทั่วไปแทบจะไม่รู้จักหน้าค่าตาของภรรยาท่านผู้นำ กระทั่งทายาทคนส่วนใหญ่ยังคิดว่ามีบุตรชายเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
ในเย็นวันที่เงียบสงบไม่ต่างจากปกติ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นภายในเซ็นโทรอันสงบสุขเหมือนสวรรค์... อีธานในวัยสิบเอ็ดปี แสนจะเบื่อหน่าย เพื่อนในวัยเดียวกันกับเขาล้วนแต่กลับบ้านไปเล่นสนุกกันหมดแล้ว แต่อีธานยังต้องอยู่ที่โรงเรียน เขาไม่เคยรังเกียจการเรียนรู้ แต่การเรียนเสริมแบบตัวต่อตัวกับอาจารย์วัยชรานั้นมันน่าเบื่อและชวนง่วงนอนเหลือเกิน
ขณะที่กำลังจะย่องออกจากห้องเรียน แบบที่นานๆ ครั้งจะทำ เสียงเล็กๆ ก็ดังขึ้น
“พี่จะไปไหน?”
“วันนี้ไม่มีเรียน”
“โกหก”
“โอเค มีเรียนแต่ไม่เรียน”
“ไม่ได้นะ เดี๋ยวก็ถูกดุหรอก” ดวงตาสีฟ้าใสจ้องเขม็ง เอเลียตเองก็มีเรียนเช่นกัน แต่ไม่ได้จริงจังนักแค่นั่งเล่นให้ถึงเวลามีคนมารับกลับบ้านพร้อมอีธาน
“เถอะน่า” อีธานพยายามเดินหนี “นี่อย่าเดินตามมาสิ”
อีธานหันไปมองเอเลียตที่อายุน้อยกว่าสองปี รูปร่างเล็กและเตี้ยกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าไม่ได้ยืนเทียบกันก็อยากที่จะบอกได้ชัดเจน
“จริงสิ...เอาแบบนี้ดีกว่า เอเลียตเรามาเล่นเปลี่ยนตัวกัน นายเอาคลุมพี่ไปใส่สิ แล้วไปนั่งรออยู่ในห้องนี่นะ พี่ทำธุระเสร็จจะรีบมารับ”
“ผมอยากไปด้วย”
“ไม่ได้...นายไปไม่ได้ ต้องรออยู่ในห้องนี้”
“แต่ว่า...”
“เอาฮู๊ดคลุมหัวไว้ ตอนนี้นายเป็นพี่ไง ห้ามให้ใครจับได้ล่ะ”
“ก็ได้...แล้วเมื่อไหร่พี่จะมา”
“เดี๋ยวก็มาน่า”
อีธานแทบจะไม่เคยเกเร การโดดเรียนของเขาจึงน่าตื่นเต้นเป็นพิเศษ แค่เดินวนไปวนมาดูผู้คนที่สวนสาธารณะก็ผ่านไปนานแล้ว กว่าจะกลับมาที่โรงเรียนอีกครั้งก็เกือบสองชั่วโมง ภายในโรงเรียนก็เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่เดินกันขวักไขว่ พอมีคนหนึ่งหันมาเห็นเขาเสียงตะโกนโหวกเหวกก็ดังขึ้น อีธานเห็นผู้เป็นแม่วิ่งหน้าตาตื่นตรงเข้ามาหา พลางดึงตัวเข้าไปกอดแน่น
“เกิดอะไรขึ้นครับ?”
“มีการแจ้งเข้ามาว่า ผู้ก่อการร้ายลักพาตัวลูกไป ทุกคนตกใจกันมาก นี่ลูกหายไปไหนมา?!”
“ผม...”
“มันวุ่นวายกันไปหมดเลยรู้ไหม เรานึกว่าลูกถูกจับตัวไปจริงๆ ซะอีก ที่แท้ก็เป็นแค่การขู่!”
อีธานสับสนจนพูดอะไรไม่ออกอยู่หลายนาที
“พวกเขาเห็นเด็กที่สวมเสื้อเหมือนกันกับลูกในระบบกล้องวงจรปิด...เราเข้าใจว่าลูกถูกลักพาตัวไปจริงๆ ซะอีก โชคดีจริงๆ ที่มันเป็นแค่การเข้าใจผิด”
“นั่น...นั่นๆ...มัน...” อีธานเริ่มปากคอสั่นไปหมด “เอเลียต!”
“เอเลียตทำไม?” แม่ขมวดคิ้วถาม
“นั่นเอเลียต ผม...ผมให้เขาใส่เสื้อผม!”
ผู้เป็นแม่ยืดตัวขึ้นใช้สองมือปิดปาก จากนั้นก็รีบวิ่งไปดึงตัวเจ้าหน้าที่คนหนึ่งมา ในขณะที่อีธานนั้นยืนตัวสั่นน้ำตาคลอทำอะไรไม่ถูก
เอเลียต ถูกจับตัวไปสิบเก้าวันกว่าที่หน่วยค้นหาจะตามตัวเจอ ภาพน้องชายที่ได้พบอีกครั้งนั้นทำให้อีธานตัวแข็งทื่อ เขาทำไม่ได้แม้กระทั่งจะยื่นมือออกสัมผัสร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ น้องชายที่เคยสมบูรณ์แข็งแรงนั้นเวลานี้ดูผอมแห้ง ใบหน้าขาวซีดราวกับไร้ชีวิต ทั่วตัวเต็มไปด้วยร่องรอยการถูกทรมาน รอยแผลเป็นที่ยังสดใหม่ปรากฏทั่วตัวแทบนับไม่ถ้วน กระทั่งอวัยวะภายในก็บอบช้ำทั้งจากการถูกทารุณและกระทำชำเรา
บาดแผลรักษาหายได้ด้วยวิทยาการทางการแพทย์ แต่สภาพจิตใจนั้นยากจะเยียวยา
เอเลียตต้องเข้ารับการรักษาโดยจิตแพทย์อยู่นานเกือบปี ถึงจะได้ออกมาใช้ชีวิตปกติได้ แต่ก็นั่นแหละ อีธานรู้ดีว่าน้องชายที่น่ารักสดใสของเขานั้นไม่อาจห้วนกลับมาได้อีกแล้ว ...และเขา เป็นส่วนสำคัญในการทำให้มันเป็นอย่างนั้น
ตั้งแต่นั้นอีธานสัญญากับตัวเองว่าจะชดเชยให้น้องชาย จะไม่ทำให้เขาต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรหากเอเลียตต้องการ เขายอมทุกอย่าง ...นับจากวันนั้นอีธานเลิกเที่ยวเล่น ทุกวันเอาแต่มุ่งมั่นกับการเรียนรู้อย่างหนัก พยายามทำทุกอย่างสุดกำลังไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มันจะเหมือนการทำเพื่อให้ความรู้สึกผิดของตัวเองลดน้อยลงมากกว่า