ตอนที่ 66 : ดินแดนแห่งผืนทราย
ระบบของเซ็นโทรกลับมาใช้การได้เหมือนเดิมในเวลาสองชั่วโมงต่อมานับจากถูกโจมตี ช่วงเวลานั้นหน่วยกองกำลังป้องกันดินแดนอาวุธครบมือเข้าประจำที่รอบกำแพงแบบพร้อมรบได้ทุกเมื่อ สถานการณ์ตึงเครียดกดดัน แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น การเจาะระบบเป็นแค่การตบหน้าจากฝ่ายตรงข้ามว่าอย่าได้ทระนงตนเกินไปนัก
การประหารวิกเตอร์ต่อหน้าสาธารณชนที่ถูกถ่ายทอดไปทั่ว แทนที่จะทำให้กลุ่มเลือดสีแดงหวาดกลัวไม่กล้าต่อต้านเหมือนเช่นเมื่อก่อน แต่ดูเหมือนกลับเป็นตรงกันข้าม กลุ่มหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ของเลือดสีแดง ซึ่งถือเป็นกลุ่มชนชั้นแรงงานที่มีคุณภาพสูง แสดงชัดถึงความไม่พอใจ จนมีข่าวว่าจะหันไปสนับสนุนกลุ่มกบฏ เพื่อป้องกันกองกำลังของเซ็นโทรจึงต้องแบ่งคนออกไปประจำในจุดต่างๆ ในอันเดอร์กราวซิตี้ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดเรื่องวุ่นวาย
ระบบป้องกันที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดถูกทำลาย สั่นคลอนความเชื่อมั่นของเลือดสีน้ำเงินเบื้องหลังกำแพงสูงไม่น้อย เหมือนก้อนหินเล็กๆ ที่ถูกโยนลงไปบนผิวน้ำที่นิ่งสงบมานาน ก็สามารถสร้างคลื่นระลอกกระจายตัวออกไปเป็นวงกว้างอันน่าเหลือเชื่อได้
วันนี้สภาเมืองจึงเปิดประชุมเร่งด่วน เพื่อหาข้อสรุปในเรื่องที่เกิดขึ้น
อีธานก้าวเท้าผ่านระบบป้องกันแบบอัตโนมัติ เข้าสู่ห้องประชุมขนาดใหญ่เพดานสูงที่แสงไฟสว่างเจิดจ้า บนจอภาพขนาดใหญ่กำลังแสดงแผนผังจุดเสี่ยงที่จะเกิดการจราจลในอันเดอร์กราวซิตี้ทั้งแปดเขต พร้อมกับเสียงพูดถึงมาตรการการป้องกันที่เป็นมติหลักในวันนี้ มีเหล่าสมาชิกสภาเมืองอาวุโสนั่งประจำตำแหน่งที่จัดเอาไว้ ตรงกลางที่มีพื้นยกสูงขึ้นนั้นเป็นผู้นำคนปัจจุบัน... พ่อที่อีธานแทบจะไม่ได้เจอหน้า เยื้องไปทางด้านหลังก็คือชายที่มีท่วงท่าดุดันอย่างผู้บัญชาการวัลโด้
“เดี๋ยวครับ” เจ้าหน้าที่ซึ่งยืนอยู่หน้าประจชตูทำหน้าที่คุ้มกันปราดเข้ามาขวางหน้าอีธาน “เข้าไปไม่ได้นะครับ”
“หลีกไป” อีธานพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เสียงพูดในห้องห้องเงียบลง เกือบทุกสายตาเบนมายังประตูทางเข้า
“คุณอีธานออกไปก่อนเถอะครับ วันนี้เป็นการประชุมเฉพาะสภาเมืองระดับสูงเท่านั้น คุณไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมนะครับ” เจ้าหน้าที่คุ้มกันคนเดิมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ ยื่นท่อนแขนมากันตัวอีธานเอาไว้
อีธานเบนสายตามาหา “นายชื่ออะไร?”
“เอ่อ...”
“พักงานสามวัน มีผลทันที ...ออกจากห้องไปได้แล้ว” อีธานว่า
“อะไร...นะครับ?” ชายคนที่คุ้มกันมีสีหน้าสับสนอย่างชัดเจน เขาหันไปมองด้านหลังเหมือนจะขอคำตอบจากผู้บังคับบัญชา
“นี่มันอะไรกัน” ชายสูงวัยที่อยู่ในตำแหน่งสภาอาวุโสยืนขึ้น เขามีรูปร่างผอมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเครื่องประดับหรูหราอย่างที่ไม่เข้ากับตัว “เธอมีสิทธิอะไรมาออกคำสั่งในห้องประชุมนี่ ต่อให้เป็นลูกของท่านผู้นำก็เถอะ!... เจ้าหน้าที่ยังไม่มาพาตัวออกไปอีก”
อีธานไม่ได้สนใจเสียงพูดนั้น เขาหยิบเครื่องควบคุมขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋า เมื่อกดปุ่มจอภาพขนาดใหญ่ในห้องประชุมที่กำลังแสดงผังการควบคุมเขตต่างๆ ในอันเดอร์กราวซิตี้ก็ดับลง ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยข้อกำหนดพิเศษ ที่ลงนามโดยเหล่าสมาชิกสภาเมืองจำนวนหลายสิบคน
“ผมมาที่นี่ในฐานะผู้แทนพิเศษ ตามข้อกำหนดที่ว่าหากมีการสนับสนุนของสมาชิกสภาหนึ่งในสามของทั้งหมด จะสามารถเลือกตัวแทนเพื่อยื่นข้อเรียกร้อง หารือเร่งด่วน ไปจนกระทั่งเป็นหนึ่งในแกนนำเพื่อบริหารสภาได้”
“ว่าไงนะ...ข้อกำหนดนั้นมัน...”
“ท่านโรเบิร์ต น่าจะทราบกฎข้อนี้ดีนะครับ เพราะมันถูกระบุไว้เมื่อสามปีก่อนแม้ท่านจะคัดค้านอย่างหนักก็ตาม” อีธานก้าวไปตรงกลางห้องประชุม จุดเดียวกับที่เขาเคยโดนซักฟอกครั้งใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ และสายตาของผู้เป็นบิดาที่ส่งมายังตัวเขานั้นเย็นเยียบเสียยิ่งกว่าครั้งก่อน
“แต่ถึงอย่างนั้นจะหารายชื่อสมาชิกสภาถึงหนึ่งในสามนั้น...จะเป็นไปได้ยังไง!”
เสียงอื้ออึงในห้องประชุมทำให้อีธานเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ไม่ใช่ผมที่ไม่มีสิทธิอยู่ที่นี่ แต่เป็นหลายคนในห้องนี้ตังหาก...ท่านโรบิน ท่านเดวิด ท่านไนล์ ท่านเบลน ท่านฟรานซิส รวมถึงท่านด้วยครับท่านโรเบิร์ต ในฐานะที่รับเงินจำนวนมากจากวิกเตอร์แลกกับการเมินเฉยปล่อยให้เขาทำสิ่งผิดกฎหมาย เช่นการเปิดประมูลทาส หลักฐานทั้งหมดถูกตรวจสอบและยืนยันเรียบร้อยแล้ว ผลก็คือจะต้องโดนเพิกถอนชื่อออกจากสมาชิกสภาเมืองในทันที” อีธานผายเมืองไปทางประตู “เชิญออกไปด้วยครับ”
“นี่มันอะไรกัน?!” เสียงอื้ออึงดังขึ้นทั่วห้องประชุม “แล้วรายชื่อสมาชิกหนึ่งในสามที่ลงนามมานั้น มันใครที่ไหนน่ะ?!”
“พวกเขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่ที่เพิ่งจะเข้ามาเป็นสมาชิกเมื่อไม่นานมานี้”
“หมายความว่า นี่เธอวางแผนมาตั้งแต่แรก แอบทำการบรรจุคนของตัวเองเข้ามาเป็นสมาชิกแบบนี้งั้นเหรอ?!”
“พวกเขาถูกคัดเลือกและบรรจุเข้ามาตามระบบที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว แค่ช่วงนี้อาจจะเพิ่มมากกว่าเดิมก็เพราะ เหล่าสมาชิกเก่าถูกปลดออกไปเยอะก็เท่านั้น”
ตั้งแต่กลับมาที่เซ็นโทรอีกครั้งหลังโดนลักพาตัวไป อีธานคิดอะไรหลายอย่างและเริ่มรวบรวมกลุ่มคนที่เป็นคนรุ่นใหม่ของเลือดสีน้ำเงินที่มีความคิดก้าวหน้าเอาไว้ เพื่อที่ในอนาคตจะเป็นกลุ่มฝ่ายบริหารที่สามารถทัดทานกับเหล่าผู้ทรงอิทธิพลเดิมๆ ได้
แต่...ไม่คาดว่าจะต้องแสดงตัวเป็นปฏิปักษ์กันรวดเร็วแบบนี้
อีธานรู้ดีว่ากลุ่มของเขายังแสนจะเปราะบาง ทุกคนล้วนมีความคิดเห็นเป็นของตัวเองตามหลักคนรุ่นใหม่ ดังนั้นหากมีข้อขัดแย้งก็อาจจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่น
“นี่ไงล่ะ!” เสียงดังก้องของวัลโด้ ทำให้ทั้งห้องเงียบเสียงลง “อย่างที่ฉันเคยบอกไงเล่าเลนเนิร์ด ไอ้ลูกชายของนายคนนี้ มันไม่ได้เชื่องอย่างที่คิดหรอก”
อีธานไม่ตอบโต้ เพียงแค่ส่งสายตาแน่วแน่ไปยังผู้เป็นบิดาที่กำลังจับจ้องตัวเขาอยู่เงียบๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ชั่วพริบตาหนึ่ง อีธานรู้สึกถึงแววตาที่ฉายแววเปล่งประกาย ที่ต่างจากปกติที่มักเงียบขรึมอยู่เสมอ
“ในเมื่อมันเป็นไปตามกฎ ก็ทำตามนั้น” เลนเนิร์ดกล่าว “เจ้าหน้าที่ช่วยนำสมาชิกอาวุโสที่ถูกปลดจากตำแหน่งออกไปจากห้องประชุมได้แล้ว เราจะได้เริ่มเข้าเรื่องกันซะที”
คำสั่งเด็ดขาดนั้นทำให้ความวุ่นวายสงบลง พร้อมๆ กับคลื่นใต้น้ำที่เกิดขึ้น การประชุมจึงดำเนินต่อไปด้วยความตึงเครียด
มาตรการหลายอย่างถูกเสนอขึ้นมา ทั้งการปราบปรามด้วยความรุนแรง การเพิ่มหน่วยกองอารักขาส่วนสำคัญต่างๆ ไปจนกระทั่งการแต่งตั้งผู้แทนของเซ็นโทรไปควบคุมเขตทั้งแปดของอันเดอร์กราวซิตี้ อีธานที่เวลานี้นับว่าถือเสียงส่วนหนึ่งที่มีน้ำหนักไม่น้อย เสียงคัดค้านของเขาทำให้มติเหล่านั้นถูกปัดตกไปหลายประเด็น
“มาตรการรุนแรงที่เสนอมา ยังไม่จำเป็นในตอนนี้ เผ่าเลือดสีแดงถือว่าเป็นแรงงานที่สำคัญสำหรับเรา แค่การเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดทุกวันนี้ก็สร้างความกดดันมากพอแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราควรหันมาสนใจพัฒนาระบบป้องกันที่บกพร่องของเซ็นโทรเป็นอันดับแรกจะดีกว่า” อีธานเสนอ
“นั่นสิ ระบบรักษาความปลอดภัยของเราถูกโจมตีมาสองหนแล้วนะ”
เมื่อยกเรื่องระบบกำแพงเมืองขึ้นมาพูด หลายคนในที่ประชุมก็เริ่มคล้อยตาม อีธานอยากเลี่ยงการประทะออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วในตอนนี้หากต้องใช้มติสภาเมืองจัดการจริง เสียงโหวตของเขาก็ยังสู้ไม่ได้อยู่ดี
“เรื่องสุดท้าย” เจ้าหน้าที่สภา พูดถึงประเด็นต่อไป “การสร้างฐานที่มั่นในทะเลทรายใกล้กับโอเอซีส เพื่อเป็นค่ายหลักสำหรับปฏิบัติการกวาดล้าง เนื่องจากก่อนหน้านี้กองกำลังของเราส่วนหนึ่งที่ออกตามไล่ล่ากลุ่มกบฏ ถูกเล่นงานด้วยสถาพอากาศ ความไม่คุ้นชินในพื้นที่ ทำให้ต้องล่าถอยออกมา หากมีฐานปฏิบัติการจะช่วยในเรื่องนี้ได้มาก”
“เรื่องนี้ไม่คิดจะคัดค้านด้วยหรือไง?” วัลโด้หันมาถามอีธานคล้ายยั่วโมโห
“ถึงจะคัดค้านตอนนี้ก็คงไม่มีผลอะไรไม่ใช่หรือครับ เพราะฐานปฏิบัติการนั้น ถูกสร้างไปโดยไม่ได้ขอมติของสถาเมือง จนตอนนี้มันเกือบจะเสร็จเรียบร้อยอยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินวัลโด้หัวเราะออกมา “รู้ดีนี่”
“อีกอย่าง ผมไม่คิดจะค้านเรื่องนี้หรอก การมีฐานที่มั่นสำหรับกองกำลังเซ็นโทรถือเป็นส่วนที่ดีมากกว่า” ชายหนุ่มก้าวเท้าไปจนใกล้กับจุดที่ผู้นำสูงสุดนั่งอยู่ “เพียงแต่ ขอให้ต่อจากนี้ท่านผู้บัญชาการจะไม่แหกกฎโดยใช้คำสั่งลับในการทำงานอีก”
“นี่แก จะมากไปแล้ว!” วัลโด้จ้องอีธานเขม็ง สายตาที่เกรี้ยวกราดฉายชัดบนใบหน้า
“พอที นี่ไม่ใช่เวลามาใช้อารมณ์เถียงกัน” เลนเนิร์ดลุกขึ้นจากเก้าอี้ “วันนี้ปิดประชุม แยกย้ายกันไปทำงานตามมติที่เสนอไปได้แล้ว ...ส่วนแก อีธานไปเตรียมรายงานเรื่องทั้งหมดนี่มาให้ฉันโดยด่วน”
“ครับ” ชายหนุ่มหยุดยืนรอให้คนอื่นๆ ออกจากห้องประชุมไปจนหมดก่อนแล้วจึงถอนหายใจออกมา การเผชิญหน้ากับพ่อของตัวเองสร้างความกดดันให้มากกว่าการประทะกับวัลโด้หลายเท่านัก
เสียงฝีเท้าที่วิ่งมาตามทางเดินเงียบสงัด ทำให้คิ้วเข้มขมวด ก่อนจะหันไปมอง
โจเซฟ ที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เข้ามาหยุดตรงเบื้องหน้า ไม่มีอาการเหนื่อยหอบให้เห็นแต่เหงื่อที่ไหลชุ่มหน้าผากก็ทำให้รู้ว่าเจ้าตัวรีบร้อนอย่างยิ่ง
“แย่แล้วครับ”
“มีเรื่องอะไร?”
“คุณเอเลียตซึ่งอาสาไปทำงานที่ค่ายปฏิบัติการในทะเลทราย...” โจเซฟกลั้นหายใจก่อนจะเอ่ยต่อ “หายตัวไปครับ!”
“อะไรนะ?!” อีธานร้องถาม
“ตอนนี้ได้ส่งคนออกตามหาอย่างเร่งด่วนแล้ว ยังไม่มีข้อมูลอะไรแน่ชัด แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกกลุ่มกบฏจับตัวไประหว่างออกไปลาดตะเวนกับทีมสำรวจพื้นที่ครับ”
“นั่นมันหน้าที่ของหน่วยกองกำลังไม่ใช่หรือไง เอเลียตไม่น่าจะมีหน้าที่ลงภาคสนาม แล้วทำไมเขาถึงได้กลายเป็นกลุ่มที่ออกไปลาดตะเวนได้ ...แล้วคนอื่นๆ ในทีมล่ะ หายไปทั้งทีมงั้นเหรอ?”
อีธานรู้สึกร้อนใจจนไม่สามารถรักษาทางทีสงบเยือกเย็นเอาไว้ได้อีกต่อไป หัวใจเต้นแรง และในหัวก็ผุดประสบการณ์เอาแสนเลวร้ายที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ออกมาเต็มไปหมด จนภาพตรงหน้าแทบจะกลายเป็นสีมืดมัว
“ทีมกลับมาที่ค่ายครบครับ ที่หายไปมีแค่คุณเอเลียตคนเดียว”
“คนเดียว?” อีธานขมวดคิ้วแน่น “แบบนั้นก็มีสิทธิเป็นไปได้ว่าอาจจะพลัดหลงกับทีมระหว่างพายุทรายนี่นา ทำไมถึงมุ่งไปที่การโดนจับตัวไปล่ะ”
โจเซฟพ่นลมหายใจน่าอึดอัด “เราพบเลือดของคุณเอเลียตครับ”
พายุทรายที่นั่นรุนแรงมากอีธานรู้ดี ร่องรอยต่างๆ จะถูกกลบหรือพัดหายไปได้โดยใช้เวลาไม่นาน ดังนั้นการพบเลือดของเอเลียตได้ หมายถึงว่าต้องมีคนจงใจทิ้งร่องรอยให้เห็น
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มปิดลงช้าๆ พร้อมกับคำพูดประโยคหนึ่งที่ดังก้องขึ้นในหัว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

1,183 ความคิดเห็น
-
#990 makotomikorin (จากตอนที่ 66)วันที่ 30 ธันวาคม 2562 / 16:34ง้อเมียด่วน#9900
-
#290 mini_mickey (จากตอนที่ 66)วันที่ 7 เมษายน 2560 / 22:47อีธานจะไปหาน้องหรือหาเมียจ๊ะ จีแอลคิดถึงแย่เลย#2901
-
#290-1 สั้น สั้น(จากตอนที่ 66)8 เมษายน 2560 / 20:44น่าจะไปหาศรีภรรยาค่ะ ...เอาน้องมาเป็นข้ออ้างไปงั้น 55#290-1
-