ตอนที่ 63 : พรากจาก
เวลาไหลรินไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความเงียบงันชวนอึดอัด สภาพอากาศร้อนอบอ้าว ก้อนเมฆสีเทากระจายตัวทั่วท้องฟ้า
อีธานเบือนหน้าไปทางอื่น อยู่ๆ เขาคำพูดของจีแอลที่เคยบอกไว้ก็ย้อนเข้ามาในหัว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ใส่ใจมันด้วยซ้ำ ‘มัวแต่ควานหาหนอน มันไม่มีประโยชน์หรอก ยิ่งทำให้ทุกอย่างพังเร็วขึ้น...ฝ่ายที่จะเสียหายก็คือพวกเลือดน้ำเงินอย่างนาย’
ทำแบบนี้จะทำให้ทุกอย่างจะพังทลายเร็วขึ้นงั้นหรือ?
เมื่อวินาทีผ่านเลยไปจนใกล้เวลาที่ประกาศไว้ ริมฝีปากของออสตินมีรอยยิ้มเล็กน้อยขณะมองนาฬิกาที่ข้อมือ
“ตรวจสอบสัญญาณการติดต่อจากภายนอกครับ!” เสียงเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
อีธานและเซทหันมองหน้ากัน ก่อนจะรีบสาวเท้าไปยังจุดบัญชาการที่ติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารและระบบความปลอดภัยเอาไว้ครบถ้วน
“น่าจะมาจากพวกกบฏครับ พยายามจะเชื่อมต่อเข้ามาในระบบของเรา”
“ตรวจเช็คจุดที่ส่งสัญญาณมาได้หรือเปล่า?” เซทจ้องมองหน้าจอแสดงผลขนาดเล็กที่ยังคงมืดสนิท มีเพียงเสียงซ่าๆ ฟังไม่เป็นประโยค
“ตอนนี้ไม่ได้ครับ มีคลื่นรบกวนสูงมาก ทางนั้นน่าจะติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันการแกะรอยขั้นสูงไว้ครับ ต้องใช้เวลาพอสมควรในการเจาะระบบ” เจ้าหน้าที่ที่หน้าแผงควบคุมหันมาบอก
ก่อนหน้านี้ กองกำลังของวัลโด้ ไล่ล่าพวกกบฏไปยังทะเลทราย แต่ก็คลาดกันด้วยสถาพอากาศที่เลวร้ายและไม่ชำนาญพื้นที่ แม้จะรู้จุดมุ่งหมายว่าพวกนั้นมุ่งหน้าไปโอเอซีส แต่ทะเลทรายกินอาณาเขตมหาศาล จนไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่ชัดได้ ดังนั้นการที่ฝ่ายนั้นติดต่อครั้งนี้มานับเป็นโอกาสที่ดี
“พยายามระบุตำแหน่งให้แคบลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” เซทออกคำสั่ง
“ตอนนี้จับสัญญาณได้แล้วครับ จะให้ทำการเชื่อมต่อเลยไหมครับ?” คนที่ง่วงอยู่กับระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ตรงหน้าถามแบบไม่ยอมละสายตา
เซทกัดกรามหันมามองอีธาน ท่าทางเหมือนลังเลอะไรบางอย่าง
“เชื่อมต่อเลย” ออสตินที่เดินมาสมทบกล่าว “ไม่มีความจำเป็นต้องลังเล คุณได้รับคำสั่งมาชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือครับหัวหน้ากองเซท”
ดวงตาคมกล้าเหมือนนกเหยี่ยมจ้องคนที่เอ่ยแทรกด้วยสายตาไร้ซึ่งความเป็นมิตร ก่อนจะหันไปสั่งเจ้าหน้าที่ซึ่งรอฟังคำสั่งอยู่
เพียงไม่นานหน้าจอมอนิเตอร์ที่ยังมืดสนิทก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ ปรากฏภาพ และภาพนี้เองก็ถูกสั่งตรงไปยังจอใหญ่บนกำแพงเพื่อให้ทุกคนรวมถึงวิกเตอร์เองได้เห็นด้วยเช่นกัน
ห้องสี่เหลี่ยมโทนสีขาวปิดทึกขนาดไม่ใหญ่นัก และคนที่อยู่หน้าจอก็คือ ไมก้า ครูส เจ้าตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้กั้นด้วยโต๊ะไม้อย่างง่ายๆ ห่างออกไปก็มีคนรวมตัวอยู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นแม้จะเห็นเพียงแค่ด้านหลังแต่อีธานก็จำได้แม่นว่าเป็นใคร
“ไม่คิดเลยว่าหมอนี่จะติดต่อมาจริงๆ” เซทกล่าวก่อนจะสั่ง “เปิดระบบเสียงได้”
“ยอมที่จะมอบตัวแล้วใช่ไหมครูส แกคงรู้แล้วสินะว่าหนียังไงก็ไม่รอด” ออสตินเอ่ย
ครูสมีสีหน้าราบเรียบ “เสียใจด้วย แต่พวกเราจะไม่มอบตัวแน่”
“อีกเดี๋ยว วิกเตอร์ จะโดนลงโทษ มันเป็นเพื่อนรักแกไม่ใช่เหรอ? อยากให้มันตายไปทั้งอย่างนี้หรือไง?!”
ครูสจ้องมองนิ่งไปยังร่างที่แทบจะไม่เคลื่อนไหวกลางลานพิจารณคดี ดวงตาทั้งคู่แฝงไว้ซึ่งแววเจ็บปวด
อีธานตัดสินใจก้าวออกมากลางจอที่จับภาพ “ครูส เรายังตกลงกันดีๆ ได้นะ”
“เดี๋ยว...นี่มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณนะ” ออสตินรีบแย้ง “เลือดสีน้ำเงินของเราไม่จำเป็นต้องเจรจากับใคร...เจ้าพวกนั้นจะต้อง...”
“เงียบซะ!” อีธานหันมาจ้องคนพูดด้วยแววตาดุดัน ออสตินจึงชะงักไป
“ตกลงกันดีๆ?” ครูสที่อยู่ในจอภาพประสานมือไว้กลางโต๊ะ น้ำเสียงที่ส่งผ่านมานั้นขาดหายเป็นบางช่วงแต่ก็ยังฟังชัดเจนทุกถ้อยคำ “ถ้าพวกเรามอบตัว ทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้
“เปลี่ยนได้สิ มีกฎหมายที่กำลังผ่านสภาเมืองหลายฉบับ มันออกมาเพื่อความเท่าเทียมที่มากขึ้น ลดการกดขี่...” อีธานกล่าว
“แล้วมันต้องใช้เวลามากแค่ไหนกันล่ะ? ต้องรออีกกี่ปี และเมื่อถึงตอนนี้จะแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะช่วยได้จริงๆ” ครูสปิดเปลือกตาลงครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “วิกเตอร์เคยบอกว่า เพื่อเป้าหมายไม่ว่าวิธีการจะชั่วร้าย หรือต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไปบ้าง ก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้...”
“เมื่อก่อนผมยังไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วย เพราะวิธีการของและระบบความคิดของเราต่างกันเกินไป ผมกับวิกเตอร์ก็เลยจำใจต้องแยกกันเดิน...เขามุ่งไปสู่เส้นทางที่เคยพูดไว้ อดทนต่อความอัปยศอดสู ฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น ชั่วร้ายให้ถึงที่สุด...ส่วนผมก็มุ่งมาทางด้านตรงข้ามกัน” ครูสหัวเราะออกมาครั้งหนึ่ง เหมือนกำลังดูถูกตัวเอง “เมื่อก่อนผมก็เหมือนคุณ...อีธาน ผมเคยมีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ เคยเชื่อมั่นว่าหากมุ่งมั่นตั้งใจไม่ว่าอะไรก็ฝ่าฟันไปได้ เคยเกลียดความไม่ถูกต้อง ไม่ยอมให้มือตัวเองแปดเปื้อน แต่สุดท้ายแล้วผมก็เข้าใจว่ามันช่วยห่าอะไรไม่ได้เลย!”
สีหน้าของครูสเปลี่ยนเป็นโกรธแค้น
“ผมรู้ซึ้งตอนไหนรู้ไหม? ...เมื่อสามปีก่อนตอนที่กองกำลังเซ็นโทรบุกเข้ามายังฐานที่มั่นในหมู่บ้านเล็กๆ ปิดล้อมพวกเราซึ่งแทบไม่มีอาวุธเลย มองยังไงก็เหมือนเอามีดพกทื่อๆ ไปต่อกรกับปืนใหญ่ การโจมตีเริ่มต้นเร็วจนไม่ทันตั้งตัว เพียงแค่แป๊บเดียวเลือดสีแดงก็นองไปหมด...ตอนนั้นรู้ไหมผมทำยังไง ผมสั่งให้พรรคพวกทุกคนถอดเสื้อออกแสดงให้เห็นว่ามีไม่มีอาวุธ บอกให้ยอมยกมือยอมแพ้ บอกให้คุกเข่าขอร้องให้กองกำลังหยุดยิง...”
อีธานพูดอะไรไม่ออก
“คงไม่ต้องให้ผมบอกนะว่า พวกนั้นหยุดยิงหรือเปล่า... ไม่ใช่แค่พวกเรา แต่คนบริสุทธิ์ที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็โดนกวาดล้างปูพรมแบบไม่เลือกหน้ากระทั่งเด็กตัวเล็กๆ ก็ไม่เว้น ผู้คนล้มตายเป็นเบือ กองกำลังเซ็นโทรเข่นฆ่าพวกเราเลือดสีแดง ราวกับเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ไร้ค่า เหมือนกับกำลังบดขยี้มดปลวก...”
น้ำตาไหลรินลงมาจากดวงตาสีเข้มคล้ำของครูสอย่างเงียบงัน
“ฉันเสียใจกับเรื่องนั้น...แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วมันเปลี่ยนไม่ได้” อีธานเอ่ยขึ้น เขาเจ็บปวดในอกขณะเอ่ยคำพูดออกมา “ฉันรู้ว่าแนวทางที่บอกไปมันไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ แต่เพราะมันยากฉันจึงอยากให้นายร่วมมือไงล่ะ”
ครูสส่ายหน้าเบาๆ “มันสายไปแล้ว”
“ในเมื่อกลุ่มกบฏจะไม่ยอมมอบตัว งั้นการลงโทษนักโทษวิกเตอร์จะเป็นไปตามกำหนดเดิม เตรียมพร้อมได้!” ออสตินพูดขึ้น
สิ้นเสียงของเขากลุ่มกองกำลังเซ็นโทรที่ยืนอยู่โดยรอบก็กรูกันเข้ามากันตัวอีธานออกไป ฝ่ายที่เตรียมพร้อมอยู่ขยับเข้าใกล้มากขึ้น อาวุธถูกประทับบ่าเตรียมพร้อมลงมือสำเร็จโทษในทันที
ร่างของวิกเตอร์ที่เวลานี้เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ศรีษะที่เส้นผมยุ่งเหยิงและมีหยดเลือดสีแดงไหลอาบ เห็นได้ชัดเจนยามที่เข้าตัวเงยหน้าขึ้นช้าๆ
“ไมก้า...”
“วิกเตอร์...” ครูสกล่าว น้ำเสียงเศร้าสร้อยที่แฝงมานั้นชัดเจนอย่างยิ่ง “ฉันอยากขอโทษนาย ขอโทษที่ช่วยนายไม่ได้ ขอโทษที่ตลอดมานายต้องลำบากทำเพื่อฉันมาตลอด นายเสียสละทุกอย่าง...”
รอยยิ้มบางเบาปรากฏที่บนริมฝีปากของวิกเตอร์ ดวงตาสีเข้มที่หรี่จนแทบปิดนั้นดูไม่เหมือนคนที่กำลังจะต้องรับโทษประหารเลย
“ก็...นายเป็น ‘หัวใจ’ ของฉันนี่”
ครูสยิ้มด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ ขยับปากเอ่ยคำพูดโดยไม่ส่งเสียง ‘ฉันรักนาย’
วิกเตอร์ยิ้มตอบ ขยับมือที่ถูกมัดชี้นิ้วไปเบื้องหน้า “...ฉันจะไปรอนาย ในโลกที่ดีกว่านี้ ฉันสัญญา...”
..... “สักวัน เราจะต้องได้อยู่ในที่ที่ดีกว่านี้” เสียงพูดที่ชัดเจนเปี่ยมไปด้วยพลัง ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจของเด็กหนุ่มอย่างไมก้าอย่างชัดเจน รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้านั้นฉายชัด ส่องสว่างราวกับแสงอาทิตย์ แม้ว่าตั้งแต่จำความได้ไมก้าจะอยู่แต่ในชุมชนใต้ดินไม่เคยได้สัมผัสความอุ่นร้อนจากแสงแดดจริงๆ เลยก็ตาม...
===+++===+++===+++
(ตอนหน้ามาย้อนอดีตกันสักนิด เรื่องระหว่าง ไมก้า ครูส กะ วิกเตอร์ อัลวาเรซ ค่ะ)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น้ำตาไหลเลยฮืออออออ