ตอนที่ 42 : ค่ำคืนอันเหน็บหนาว
สภาพอากาศเลวร้ายเหมือนยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น สองวันติดกันมาแล้วที่อีธานกับจีแอลต้องผจญพายุทรายพัดกระหน่ำเข้าใส่ จนเหมือนจะฝังกลบพวกเขาทั้งเป็น มันส่งผลให้แทบจะไม่ได้ย่นระยะการเดินทางให้น้อยลงเลย ราวกับเท้าของทั้งคู่ถูกยึดติดอยู่กับถาดกาวดักหนูขนาดยักษ์
เสื้อผ้าและผิวกายชื้นเหงื่อเต็มไปด้วยฝุ่นและเม็ดทรายระคายผิว อีธานไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองสกปรกขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต เขาอยากอาบน้ำ หรืออย่างน้อยๆ ก็อยากจะล้างหน้าเอาคราบเหงื่อไคลออกไปบ้าง แต่มีโอกาสทำได้แค่เพียงใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดผิว
จีแอลเองก็ไม่ต่างกัน แม้บาดแผลจะเริ่มสมานตัวจนเจ้าตัวเคลื่อนไหวได้คล่องขึ้นแล้ว แต่ด้วยการเดินทางแบบเดินๆ หยุดๆ เพราะสภาพอากาศทำให้ไม่คืบหน้าไปไหนสักเท่าไหร่ ส่งผลให้เจ้าตัวหัวเสียจนต้องสบถอย่างหงุดหงิดครั้งแล้วครั้งเล่า
ค่ำคืนวันที่ห้ามาเยือนพร้อมกับสายลมกรรโชกแรง ทั้งคู่หยุดพักที่ก้อนหินโดดเดี่ยวขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็พอจะช่วยบังลมได้บ้างเล็กน้อย
จีแอลโผล่งขึ้นมาก่อน “พรุ่งนี้เราก็จะเดินทางกันต่อ แล้วนายก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำตามที่ฉันบอก”
อีธานมองหน้าชายหนุ่มผมยาวที่ดูเหมือนจะกลับมาเป็นเผด็จการจอมออกคำสั่งเหมือนเดิมอีกครั้งโดยไม่ได้พูดตอบโต้อะไร ไม่...แม้แต่จะถอนหายใจด้วยซ้ำ ร่างสูงเพียงแค่เขย่าขวดน้ำที่มีสีขุ่นในมือ จากนั้นก็ยกขึ้นจิบอึกหนึ่ง ก่อนจะเอนหลังพิงก้อนหินที่ยังหลงเหลืออุณหภูมิความร้อนจากแสงอาทิตย์เมื่อตอนกลางวัน
“มานั่งนี่เถอะ” อีธานวางมือลงบนผืนทรายว่างเปล่าข้างตัว เพราะอากาศยามค่ำคืนหนาวเหน็บเกินบรรยาย ความอบอุ่นเดียวนั้นจึงมาจากอุณหภูมิจากร่างกายของฝ่ายตรงข้าม
จีแอลถอนหายใจยาว ฝ่ามือเรียวเสยเส้นผม ก่อนจะทรุดตัวลงใกล้กับร่างสูงจนไหล่ของพวกเขาเบียดชิดกัน
ท้องฟ้าที่มืดมิด ดวงดาวจำนวนมากแผ่กระจายเต็มผืนฟ้า มันเป็นคืนเดือนมืดที่ยิ่งดึกก็ยิ่งทำให้แทบจะมองไม่เห็นสิ่งต่างๆ ตรงหน้าได้สักเท่าไหร่ สรรพเสียงรอบตัวเงียบเชียบ จะมีก็เพียงแค่เสียงลมบาดหูที่พัดพาให้ร่างกายสั่นสะท้าน ร่างสูงของอีธานขยับเล็กน้อย เขายกท่อนแขนขึ้นโอบเอวของอีกฝ่ายดึงให้ร่างโปร่งเข้ามาเนียบชิดยิ่งขึ้น
“ชอบเวลากลางคืนจริงๆ” จีแอลกล่าว “ถ้ายังไงมาทำกิจกรรมที่สร้างความอบอุ่นแบบสุดๆ เลยไหม?”
“ไม่ล่ะ” อีธานปฏิเสธเรียบๆ
อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอเมื่อได้ยิน ช่วงศีรษะได้รูปเอนซบลงมาที่ลาดไหล่ของอีธาน
“นายดูไม่เดือนร้อนที่จะหาทางกลับเซ็นโทรเลยนะ”
อีธานนิ่งเงียบ
“หรือเพราะรู้ว่าดิ้นรนไปก็เสียแรงเปล่า?...นายพลาดที่ไม่ทิ้งฉันไว้แล้วหนีไปตั้งแต่แรก”
“ฉันคงพลาดมาตลอดนั่นแหละ”
“นั่นสิ... นายต้องใช้เวลาเรียนรู้อีกเยอะเลย” ร่างโปร่งใช้ปลายนิ้วไล้ต้นแขนของอีธาน “แต่ฉันดีใจที่ได้เจอนายตั้งแต่ตอนนี้ ในตอนที่นายยังเป็น...เลือดสีน้ำเงินที่แสนดี”
“นายคิดว่าต่อไปฉันก็จะไม่ใช่คนดีงั้นเหรอ?”
“ใช่” จีแอลตอบแทบจะทันทีที่ถูกถาม “นายจะกลายเป็นเหมือนพวกพ้องของนาย ถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นผู้นำที่พวกเขาต้องการ...หรือนายคิดว่าไม่ว่ายังไงตัวเองก็ไม่มีวันเปลี่ยน?”
อีธานคิดว่าตัวเองจะไม่เปลี่ยน แต่เขาก็ไม่อาจจะพูดยืนยันออกมาได้
เวลาและสิ่งที่พบเจอเปลี่ยนแปลงคนได้เสมอ เช่นเดียวกับที่ตอนนี้อีธานก็ไม่ใช่คนเดียวกับที่ก่อนหน้าเคยเป็น ช่วงเวลาสั้นๆ นี้เปลี่ยนระบบความคิดของเขาไปหลายอย่าง ดังนั้นต่อไปในอนาคตเขาย่อมไม่มีทางรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และสิ่งเหล่านั้นจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปอีกอย่างไร
“เป้าหมายของนายคืออะไรบอกฉันได้หรือเปล่า?” อีธานถาม
ร่างโปร่งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดตอบออกมา “ฉันจะต้องสืบทอดเผ่าพันธุ์ มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่แม่ของฉันต้องการก่อนที่จะตาย”
“เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม? ฉันอยากรู้เรื่องของนาย...มากกว่านี้”
เวลาผ่านไปนานจนอีธานคิดว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว กว่าที่เสียงทุ้มชวนฟังจะเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“ความทรงจำแรกของฉันก็คือ ...เมืองเล็กๆ ที่รกร้าง อาคารสีน้ำตาลรูปทรงสี่เหลี่ยม สามหลังตั้งหันหน้าเข้าหากัน พวกเรามีกันประมาณสิบกว่าคน มีกันแต่ผู้หญิง ...ยกเว้นฉัน” จีแอลเริ่มเล่า “ฉันเป็นผู้ชายคนเดียว และเป็นเด็กคนเดียวในกลุ่ม”
อีธานฟังอย่างตั้งใจ พยายามบังคับตัวเองให้สงบนิ่งไม่ปล่อยอารมณ์ให้ไหลตามไป
“พอฉันเริ่มโตขึ้นอีกหน่อย ฉันถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วโลกมันใหญ่กว่าแค่ตึกสามหลัง มีผู้คนอีกมากมาย มีชนเผ่าอื่น มีกลุ่มคนที่แตกต่างจากเรา ...และได้รู้พวกนั้นโหดร้ายกับเรายังไง” น้ำเสียงที่กล่าวออกมาปกติซะจนอีธานไม่รู้ว่าแท้จริงเจ้าตัวรู้สึกอย่างไรกันแน่
“แม่อธิบายว่า เพราะเราเก่งกาจเกินไป ทระนงตัวเกินไป และที่สำคัญดีงามเกินไป จนไม่ได้ระวังตัวถึงภัยที่มาจากชนเผ่าอื่น พวกนั้นรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่วางแผนนานหลายปีเพื่อยึดครองอำนาจแทนเรา บ่อนทำลาย โจมตีจากภายใน เลือดสีเงินแม้จะได้ชื่อว่าแข็งแกร่งแค่ไหนแต่ก็มีจำนวนไม่มาก ยิ่งในจำนวนนั้นมีผู้หญิงอยู่ถึงสองในสามส่วน ผู้หญิงเลือดสีเงินไม่ได้แข็งแกร่งเท่าผู้ชาย พวกเธอถูกจับเป็นตัวประกัน และนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนทุกอย่าง ...สงครามเริ่มต้นและจบลงโดยที่ชนเผ่าของเราถูกไล่ต้อนกวาดล้างชนิดขุดรากถอนโคน...มีเพียงกลุ่มของแม่ฉันเท่านั้นที่หนีรอดมาได้ แต่หลังจากแม่คลอดฉันไม่นานเราก็ถูกตามจนพบ...”
อีธานขบกราม เขากระชับอ้อมแขนของตัวเองแน่นขึ้น
“นายเชื่อที่ฉันพูดหรือเปล่า?” จีแอลถาม
“ฉัน...” อีธานพูดตอบไม่ออก สิ่งที่อยู่ในใจกำลังร่ำร้อง
“สำหรับฉันเรื่องนี้ไม่ควรโทษชนเผ่าเลือดสีน้ำเงินหรือใครทั้งนั้น ...เพราะฉันคิดว่าพวกเราเลือดสีเงินผิดเอง ผิดเองที่เหี้ยมโหดไม่เท่ากับคนพวกนั้น ผิดที่อ่อนแอ
ฉันเป็นความหวังเดียว ยังไงก็ต้องรอด ฉันจะต้องมีชีวิตเผื่อในส่วนของคนอื่นๆ จะอยู่เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์” ร่างโปร่งกำหมัดแน่น “และฉันจะไม่มีวันทำผิดพลาดซ้ำรอยเดิม”
อีธานปิดเปลือกตาลงครู่หนึ่ง เขารู้สึกราวกับว่าบางอย่างที่เอ่อท้นออกมาจากร่างของจีแอลกำลังไหลบ่าเข้ามาในร่างเขา มันทำให้เขารู้สึกหนักอึ้งซะจนอึดอัด หายใจลำบาก
“นายจะสืบทอดเผ่าพันธุ์ยังไง?”
“ก็มีลูกน่ะสิ” จีแอลตอบ
“นั่นมัน...”
“มันอาจจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนแต่มีวิวัฒนาการเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดด้วยกันทั้งนั้น”
“กับฉัน?” อีธานถาม
“ใช่...กับนาย”
อีธานนิ่งเงียบไปอีกครั้ง ถ้าปาฏิหาริย์สามารถเกิดขึ้นได้จริง ครึ่งหนึ่งในใจของอีธานก็อยากจะช่วยให้จีแอลสมหวัง แต่ถ้าสร้างชนเผ่าเลือดสีเงินที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้อีกหน จะมีใครรับประกันได้ว่าสงครามอันน่าสะพรึ่งกลัวจะไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง ...สงครามใหญ่ครั้งนั้นทำลายทุกอย่างจนเกือบหมดสิ้น คร่าชีวิตไปเป็นจำนวนมากเกินกว่าจะนับได้ เมืองล่มสบาย สายน้ำมีแต่สารพิษ กว่าจะฟื้นคืนกลับมาได้ก็ใช้เวลาแสนยาวนาน
“เคยได้ยินว่านายมีเป้าหมายสองอย่าง...อีกอย่างคืออะไร?”
จีแอลหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะกล่าว “ถ้าบอกว่าเป็นการแก้แค้น นายคงไม่แปลกใจใช่ไหม?”
“ถ้าสิ่งที่นายพูดมาเป็นความจริงทั้งหมดล่ะก็ ...ใช่ ฉันคงไม่แปลกใจถ้านายจะเคียดแค้นพวกเราเลือดสีน้ำเงิน...”
“ผิดแล้วที่รัก” จีแอลพูดแทรกขึ้น “ฉันไม่ได้เคืองแค้นอะไรพวกเลือดสีน้ำเงิน แม้จะคิดว่าเป็นชนเผ่าที่น่ารังเกียจก็เถอะ แต่อย่างที่บอก ฉันคิดว่าสิ่งที่ทำให้เราล่มสลายไม่ใช่เพราะการปฏิวัติจากชนเผ่าอื่น แต่เป็นเพราะพวกเลือดสีเงินอย่างเราไม่แข็งแกร่งพอ ดังนั้นเรื่องนี้ฉันไม่โทษใคร”
“งั้นแก้แค้น ที่นายว่าหมายถึงอะไร?”
“แค่คนคนเดียว... ฉันจะฆ่ามัน และจะต้องทำให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม!”
อีธานหลับตาลงผ่อนลมหายใจยาวเหยียดขณะที่กอดร่างของอีกฝ่ายแน่นขึ้น
“ขอโทษนะ”
“นายจะขอโทษเรื่องอะไร?” จีแอลถามกลับ
“ขอโทษ” ชายหนุ่มกล่าวอีกหน
ดวงตาเรียวสวยสีเงินเบิกกว้างขึ้น ร่างโปร่งเกร็งตัวขึ้นผลักร่างของอีธานออกห่าง โสตประสาทพลันได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มที่เริ่มเข้ามาใกล้จากทุกทิศทาง พื้นทรายเริ่มสั่นสะเทือนเล็กน้อย เพียงไม่นานก็เห็นแสงสว่างเจิดจ้าที่สาดส่องมาจากที่ไกลๆ
“นี่นาย...!?” จีแอลผุดลุกขึ้น จ้องมองอีธานด้วยดวงตาที่โกรธจัดราวกับจะแผดเผาเขาให้มอดไหม้ลงตรงนั้น
===+++===+++===+++===
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์นะคะ ยังไงก็รบกวนแนะนำ มือใหม่อย่างเราต่อไปด้วยยยยย หรือถ้าช่วยชักชวนเพื่อนๆ มาอ่านกันก็จะดีใจมากค่า ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หนีไปจีแอลลูกหนีไป!!! หนีไปหาผัวใหม่ แค่ก!!!//โดนอีธานถีบ
ขอบคุณที่ให้กำลังใจนะคะ สู้ๆ จ้า!
ถ้านายคิดว่าการที่จีแอลมีใจให้นาย และเชื่อใจนายมากขนาดนี้เป็นแค่เรื่องตลกขบขัน ฉันคิดว่านายคงได้เสียใจทีหลังแน่ๆ แต่ฉันเชื่อเนื้อเรื่องไรท์เตอร์ได้ไม่มากหรอก 55555+
เพราะคำขอโทษของอีธาน อาจไม่ใช่การหักหลังจีแอล เสียงเครื่องยนต์อาจไม่ใช่ทหารเซ็นโทรก็ได้ เรื่องนี้ชอบพลิกแพลง อะไรก็เกิดขึ้นได้ คุๆ
ขอบคุณที่ติดตามนะค้า
เฮอ....สงสารจีแอลT^T
รอออออนะค่ะไรท์ >\\<