ตอนที่ 34 : ปลายกระบอกปืน
อีธานถูกพาตัวไปยังอาคารศูนย์กลางของชุมชนใต้ดิน ส่วนล่างสุดของอาคารถูกแบ่งเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กคับแคบหลายห้อง ผนังทั้งหมดทำด้วยกระจกใสชนิดพิเศษที่แข็งแรงทนทาน ทำให้สามารถมองผ่านเข้ามาได้ชัดเจนจากภายนอก เขาถูกผลักเข้าไปในห้องหนึ่งที่เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องมีเพียงโต๊ะขนาดเล็กกับเก้าอี้แบบไม่มีพนักพิงสองตัว
ที่นี่น่าอึดอัดยิ่งกว่าคุกใต้ดินที่บ้านของวิกเตอร์เสียอีกในความรู้สึกของอีธาน
“ท่าทางคุณดูไม่สะทกสะท้านเลยนะ” ครูส ที่เดินตามหลังเข้ามาเอ่ยขึ้น เจ้าตัวลากเก้าอี้ออกมาทิ้งตัวนั่ง ก่อนจะผายมือให้อีธานนั่งที่ด้านตรงข้าม ราวกับจะบอกว่าเชิญพักผ่อนตามสบาย
“ลองโดนจับตัวบ่อยๆ มันก็ชินไปเอง” ร่างสูงตอบ ในขณะที่ครูสหัวเราะหึๆ
อีธานเลื่อนเก้าอี้ออกมานั่งตามคำเชิญ เขาไม่ได้ถูกมัด ไม่ได้ถูกใส่กุญแจมือ แต่ถูกให้ฉีดสารเคมีชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า CK3 ชายหนุ่มรู้จักมันดีเพราะในหลายองค์กรของเซ็นโทรก็ใช้สารเคมีตัวนี้ด้วยเช่นกัน ทางการแพทย์ผลของมันช่วยระงับความเจ็บปวดได้ดีไม่ต่างจากยาชาฤทธิ์แรง แต่มีผลค้างเคียงคือการกดประสาทหากใช้ในปริมาณมากเกินไป
อีธานโดนฉีดไปสองโดส ปริมาณขนาดนี้สามารถทำให้บางคนหมดสติได้เลย แต่กับอีธานมันส่งผลแค่ทำให้เขาไม่มีแรง เคลื่อนไหวร่างกายค่อนข้างลำบาก รู้สึกมึนงงเล็กน้อยเท่านั้น
“ออกไปก่อน” ครูสหันไปสั่งลูกน้องที่ยืนออกันอยู่ที่หน้าประตู
เมื่อบานประตูปิดกลับลงมา ก็ได้ยินเสียงสัญญาณล็อคอัตโนมัติจากด้านนอก บ่งบอกว่ามันถูกออกแบบมาให้ไม่สามารถเปิดจากด้านในได้
อีธานจ้องมองคนที่อยู่ตรงหน้า...ครูสเป็นชายผู้มีดวงตาสีเข้มจัดจนออกเป็นสีน้ำตาลคล้ำ นอกจากสีตาที่โดดเด่นแล้วทั่วร่างก็ยังปรากฎร่องรอยแผลเป็นเล็กๆ หลายแห่ง โดยผิวสีแทนเข้มก็ช่วยปกปิดมันเอาไว้
“ทำยังไงถึงได้หลอกว่าตายแล้วได้” ชายหนุ่มถามเสียงเรียบ
“ต้องถามว่า พวกคุณตรวจสอบกันยังไงถึงไม่รู้มากกว่า” ครูสตอบ เจ้าตัววางปลายคางไว้บนหลังมือด้วยท่วงท่าสบายๆ
“นั่นสินะ”
“เข้าเรื่องดีกว่า...เซ็นโทรจะมีการขยายอาณาเขตเมืองจริงหรือเปล่า?”
“ผมไม่รู้ว่าคุณได้ข่าวมาจากไหน” อีธานพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่มันไม่ใช่เรื่องจริง”
“อย่าโกหกดีกว่า”
“ผมก็ไม่รู้จะโกหกเรื่องแบบนี้ไปทำไม” อีธานตอบ
“มีเหตุผลเป็นร้อย ทั้งผมทั้งคุณก็ต่างรู้ดี”
ในเมื่อพูดไปอีกฝ่ายก็ไม่พร้อมจะเชื่ออีธานเลยเลือกที่จะไม่เปิดปากอีก ครูสที่ถามเรื่องเกี่ยวกับเซ็นโทรอีกหลายอย่างจึงได้รับคำตอบกลับไปแต่เพียงความเงียบเท่านั้น
ชายหนุ่มผมยาวประสานสายตากับอีธานอยู่นิ่งๆ ครู่หนึ่งถึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปที่ประตูพลางส่งสัญญาณมือให้คนข้างนอกเปิดมันออก
“เดี๋ยวผมก็ทำให้คุณพูดจนได้นั้นแหละ อาจจะยินดีพูดเองโดยไม่ต้องถามด้วยซ้ำ” ครูสทิ้งท้ายก่อนจะออกจากห้องไป
อีธานถอนหายใจยาวเหยียดออกมา
เขาได้แต่นั่งนิ่งเงียบแทบไม่เคลื่อนไหวร่างกายจนรู้สึกว่าตัวเองต่างจากรูปปั้นแค่เพียงยังหายใจอยู่ ทั้งที่ผ่านไปหลายชั่วโมงนับแต่โดนพาตัวมา แต่ร่างกายของเขายังรู้สึกหนักราวกับถูกถ่วงด้วยลูกเหล็กทั้งแขนขา
สมองที่สับสนมึนงง อันเป็นผลพวงที่ได้รับจาก CK3 มันทำให้การทำงานช้าลงมาก แต่อีธานก็ยังพยายามขบคิดหาทางออก
เขาไม่อยากจะทำร้ายพวกเลือดสีแดง แต่ก็คงยอมให้ใครมาทำร้ายเผ่าพันธุ์ตัวเองไม่ได้เช่นกัน เลือดสีน้ำเงินอาจจะมีการปกครองที่โหดร้ายกดขี่ไปบ้าง แต่ยังไงซะก็สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เทคโนโลยีก้าวกระโดดขึ้นมามากจากครั้งอดีต ความสงบสุขที่แม้จะไม่ได้เกิดจากความเต็มใจ แต่ต้องยอมรับว่ามันนี่แหละก็ทำให้ทุกอย่างอยู่ในระบบระเบียบ
ขณะที่กำลังจมอยู่กับความคิด บานประตูห้องพักก็เลื่อนเปิดออก ร่างเล็กของอาเธอร์ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดอาหารซึ่งน้ำผลไม้ กับขนมปังก้อนที่ท่าทางแข็งกระด้างขนาดทำให้คิดว่ามันอาจจะใช้แทนอาวุธได้เลย
ชายหนุ่มเลือดสีขาวมีใบหน้าที่ดูหมองหม่น ท่าทางกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด
“ขอบใจ...ฉันอยู่ไม่นานหรอก เดี๋ยวจะเรียก” อาเธอร์หันไปบอกชายสองคนที่เดินตามมาด้านหลัง ทั้งคู่ดูลังเลเล็กน้อยที่จะปล่อยให้เจ้าตัวอยู่กับอีธานตามลำพัง แต่สุดท้ายก็ยอมทำตามคำขอ
อาเธอร์หันมาส่งยิ้มจางๆ วางของในมือลงบนโต๊ะ “คิดว่าคงหิว”
อีธานพยักหน้าคว้าน้ำผลไม้มายกขึ้นดื่มโดยไม่ลังเล อันที่จริงเขาไม่ได้หิวนัก เพราะสามารถอดอาหารได้ครั้งละนานๆ เป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่คิดว่าควรจะหาอะไรรองท้องไว้ในตอนที่มีโอกาสน่าจะดีกว่า และการกินอาหารก็จะช่วยให้ร่างกายได้เผาผลาญฤทธิ์ของยาที่โดนฉีดจะได้หมดเร็วขึ้นด้วย
“คิดว่าจะไม่ยอมกินอาหารจากฉันแล้ว” อาเธอร์กล่าวขณะที่ดูผ่อนคลายลง
“ทำไมล่ะ?” อีธานถาม พลางพยายามบดกรามกับขนมปังที่แข็งและเหนียว
“ก็...เคธี่ พาคนไปจับนาย” ชายร่างเล็กพูด “จีแอลออกจากที่นี่ไปแค่ชั่วโมงเดียวแท้ๆ ...หมอนั้นไม่ชอบอะไรผิดแผน ไม่รู้ว่าถ้ากลับมาแล้วรู้เรื่องนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“เขาไปไหน?”
อาเธอร์ขมวดคิ้ว “ฉันคิดว่านายรู้ซะอีก ...เขาไม่ได้บอกอะไรฉันเลย”
อาจจะออกไปดูลู่ทางเพื่อพาอีธานกลับเซ็นโทรอย่างที่สัญญาไว้ แต่ถ้าจีแอลสามารถออกไปจากที่นี่ได้ง่ายๆ ทำไมไม่พาอีธานออกไปพร้อมกันเลยล่ะ? ไม่เข้าใจเลย
“ถามอย่างหนึ่งได้ไหม? ทำไมนายถึงยอมช่วยจีแอลในทุกเรื่อง ถูกหมอนั่นบังคับอะไรใช่หรือเปล่า?”
“เขาเป็นเพื่อนฉัน” อาเธอร์ตอบทันที “เป็นเหมือนน้องชาย เหมือนคนในครอบครัว และเขาก็คือเลือดสีเงินคนสุดท้าย”
“นายคิดว่าหมอนั่นจะคิดอย่างเดียวกันนี้เหรอ?”
“ฉันไม่สนหรอกว่าจีแอลจะคิดเหมือนกันหรือเปล่า ...แต่ยังไงหมอนั่นสำคัญที่สุด เขาเป็นคนที่สำคัญกว่าใคร”
จริงอย่างที่จีแอลเคยพูด อีธานจำสิ่งที่จีแอลเคยพูดใส่หน้าเคธี่ได้แม่นยำ ‘เธอก็รู้ดีนี่ว่า สามีของเธอเห็นฉันสำคัญกว่า...เสมอ’
“กับฉัน...จะสามารถให้กำเนิดได้จริงเหรอ?”
อาเธอร์ยิ้มบางเบาพลางส่ายหน้า “ไม่มีใครรู้หรอก แต่อะไรก็อาจจะเกิดขึ้นได้ใช่ไหมล่ะ...จีแอลมีสายเลือดบริสุทธิ์จากพระเจ้า มันอาจจะทำให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นก็ได้”
“โลกนี้ไม่มีปาฏิหาริย์หรอก มีแต่เหตุและผล”
“จีแอลน่ะ มีร่างกายที่พิเศษ เลือดของเขา ยีนและโครโมโซม ล้วนแตกต่างจากคนในชนเผ่าอื่น” อีกฝ่ายกล่าว “และหนึ่งในยีนชนิดพิเศษนั้นก็มีตัวหนึ่งที่จีแอลอาจจะได้รับมาจากแม่ของเขา”
“หมายความว่ายังไง?” อีธานขมวดคิ้ว
จะบอกว่าจีแอล... ไม่มีทางหรอกหมอนั่นไม่มีอะไรในตัวที่เป็นผู้หญิงสักนิด ไม่มีเลยสักอย่าง ไม่แม้แต่จะใกล้เคียง อีธานพูดได้แบบเต็มปาก เพราะเขาสำรวจมาหมดแทบจะทุกซอกทุกมุมแล้ว
อยู่ๆ หูได้ยินเสียงเอะอะที่ดังขึ้นจากภายนอก ห้องกระจกที่อยู่เก็บเสียงอยู่แล้ว แสดงว่ามันต้องเป็นสิ่งที่ดังมากในระดับหนึ่งทีเดียว
อีธานและอาเธอร์หันไปที่บานประตูเกือบจะพร้อมกัน มองเห็นหนุ่มเลือดสีแดงสองคนก่อนหน้านี้วิ่งตรงเข้ามาหา
“ช่วยออกมาจากห้องคุมตัวก่อน” พวกเขาพูดทันทีที่บานประตูกระจกเปิดออก
“เกิดอะไรขึ้น?” อาเธอร์ถาม
“มีเรียกระดมพล เพราะดูเหมือนเราจะจับผู้บุกรุกได้”
“กองกำลังเซ็นโทรเหรอ?” อาเธอร์เบิกตากว้าง
“ไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คนของเซ็นโทร”
ชายหนุ่มเลือดสีขาวพยักหน้า จากนั้นก็หันมาทางอีธาน “ผมคงต้องไปก่อน”
“เดี๋ยว...อาเธอร์” ชายหนุ่มเรียก แต่อีกฝ่ายก็โดนพาตัวออกไปก่อนแล้ว
อีธานทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินไปรอบๆ ห้องเหมือนหนูที่วิ่งวนไปมาอยู่ในวงล้อ สุดท้ายก็ไปไปยืนที่บานประตูกระจก จ้องมองไปที่ทางเข้าออก พยายามเงี่ยหูฟังเสียงที่อาจจะเล็ดลอดเข้ามา
เสียงสัญญาณเตือนภัยก็เงียบลง ไม่มีเสียงปืนหรือระเบิด ไม่มีการสั่นสะเทือนจากแรงประทะ ดูเหมือนไม่ใช่การโจมตีร้ายแรงอะไร
อีธานเบาใจขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ทางเข้าออกจะปรากฎร่างของใครคนหนึ่งถูกจับหมัดอย่างแน่นหนา และถูกคุมผ่านเข้ามาในห้องขัง
ชายที่ถูกมัดมีรูปร่างผอมสูง เส้นผมสีน้ำตาลหยักโศกดูยุ่งเหยิง และสิ่งที่โดดเด่นก็คือบนใบหน้ามีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ ลากยาวผ่านดวงตาข้างซ้าย
อีธานเบิกตากว้าง ขณะเดียวกับที่ชายคนนั้นก็หันมาเห็นเขาที่อยู่ในห้องขังกระจก ดวงตาสีแดงคล้ำที่เหลือเพียงข้างเดียวจับจ้องอีธานอย่างตกใจไม่แพ้กัน
ดูเหมือนฝ่ายนั้นก็จะจำอีธานได้ในทันทีเช่นเดียวกัน
สเวน เป็นคนของอีเลียตน้องชายของอีธาน เลือดสีแดงที่เริ่มมาทำงานรับใช้ส่วนตัวเมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้ แม้จะเป็นคนที่ไม่รู้ที่มาแน่ชัด แต่ท่าทางเป็นคนไว้ใจได้ อีธานเคยเจอและพูดคุยกันสองสามหน เขาชอบนิสัยซื่อตรงของสเวนมากทีเดียว อยากให้น้องชายมีคนใกล้ชิดที่มีลักษณะนิสัยเช่นนี้มากกว่าจะรายล้อมไปด้วยพวกประจบเอาใจ
สเวนที่มองอีธานจนเลี้ยวหลังเหมือนไม่อยากจะเชื่อสายตาถูกพาหายไปยังอีกด้านหนึ่งของห้องขัง และลับสายตาไปในที่สุด
สเวนมาทำอะไรที่นี่ แล้วทำไมถึงโดนจับมาได้
อีธานขบกรามแน่น
ถ้าสเวนรู้ว่าที่นี่มีชุมชนลับ และสามารถเข้ามาข้างในได้แม้ว่าจะในฐานะนักโทษก็ตามที นั่นหมายความว่า เซ็นโทร ก็เข้ามาใกล้ชุมชนแห่งนี้มากแล้ว
มากจนน่ากลัว!
===+++===+++
ช่วงนี้มีเรื่องยุ่งมาก เดือนนี้ทั้งเดือนอาจจะไม่ได้มาอัพนิยายนะคะ แต่จะพยายามเร่งเขียนสต็อคเอาไว้ จะได้ไม่เขียนขาดๆเกินๆมึนๆงงๆ กับตัวเองอย่างตอนนี้ T.T ยังไงก็รออ่านกันต่อด้วยนะคะ แม้จะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็จะพยายามค่ะ เรื่องนี้เราพล็อตเรื่องรายละเอียดต่างๆไว้จนจบแล้ว จะพยายามเข็นไปให้จบภายในปีนี้!
ขอบคุณคนอ่านและทุกความคิดเห็นด้วยค่ะ ^.^
+++===+++===
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ละจีเอลของเก๊าไปทำอะไรอยู่ไหนอะ T.T