ตอนที่ 21 : ชุมชนลับ
ภายในยานพาหนะคันโตที่ถูกเอาเบาะนั่งด้านหลังออกจนหมดนั้น ดูคับแคบด้วยการรวมตัวของกลุ่มคนที่น่าประหลาด
อีธานสูดหายใจลึกยาวหลายครั้ง สารเคมีในร่างกายของเขากำลังปรับสภาพให้กลับมาเป็นปกติ ร่างกายอ่อนล้าเริ่มแสดงความเจ็บปวด รอยแผลหลายแห่งที่มีเลือดแห้งกรังก็เริ่มปวดตุบๆ
ดวงตาสีน้ำเงินกวาดมองไปรอบๆ จัสตินซึ่งกำลังประครองสติของตัวเองมีโจอี้คอยดูแลห้ามเลือดที่ศีรษะ เจสันเริ่มได้สติส่วนใครอีกคนที่ยังไม่รู้จักชื่อก็ยังคงนอนไม่ได้รู้เรื่องอยู่อย่างนั้น นอกจากนี้ยังมี เคธี่ หญิงสาวตาสีแดงผู้เป็นภรรยาของชายที่ชื่ออาเธอร์ เธอนั่งติดอยู่กับจีแอลที่สีหน้าเคร่งขรึม
พวกเขาทั้งคู่พูดคุยกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา มันโดนกลบด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่กำลังแล่นด้วยความเร็วจนอีธานไม่สามารถจับใจความได้เลย
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง!” จีแอลว่าดังกว่าปกติ แล้วลุกขึ้นยืน เดินไปส่วนหน้าตัวรถเพื่อพูดคุยกับคนขับ
ชายรูปร่างปานกลาง ที่อีธานไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน มองจากด้านหลังเห็นเพียงเส้นผมสีเทาอ่อนที่ยาวละต้นคอ และเสี้ยวหน้าที่มีโหนกแก้มสูง
“พอมีอะไรห้ามเลือดได้ไหมครับ?” โจอี้หันไปหาเคธี่
“ตอนนี้ไม่มี รอให้ถึงที่หมายก่อนก็แล้วกัน...นายไหวนะจัสติน?” เธอกล่าว
จัสตินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เหลือบตามามองคนพูด
“เธอ...”
“จำฉันไม่ได้แล้วเหรอ?”
“เคธี่?”
หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย พยักหน้าในขณะที่ดวงตาแฝงแววบางอย่างที่ดูสับสนและโศกเศร้า...
“เคธี่...เธอยัง...”
“ฉันยังอยู่ดี” เคธี่ชิงตอบโดยไม่รอฟังให้จบประโยค
“รู้จักกันหรือครับ?” โจอี้ถามจัสติน ชายหนุ่มร่างสูงพยักหน้าเล็กน้อย
“บางครั้งโชคชะตาก็น่ากลัว” หญิงสาวคนเดียวในรถพึมพำกับตัวเอง
จีแอลเดินย้อนกลับมา ดูเหมือนความโครงเครงของรถทำให้ทรงตัวลำบาก ร่างโปร่งจึงต้องใช้มือข้างหนึ่งยันผนังเอาไว้
“อาเธอร์เห็นด้วยกับฉันใช่ไหม?” เคธี่ถาม
จีแอลท่าทางไม่ค่อยพอใจ เขาเหลือบตาไปทางที่พวกของโจอี้นั่งอยู่
“คนพวกนี้จะทำให้เราวุ่นวายกว่าเดิม”
“แต่เราปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้นะ พวกเขาที่กำลังบาดเจ็บไม่มีทางหนีพวกวิกเตอร์หรือกองกำลังของเซ็นโทรไปได้หรอก ถึงตอนนั้นเขาอาจจะให้ข้อมูลอะไรที่ทำให้เราเดือดร้อนก็ได้เหมือนกัน” หญิงสาวแย้ง
“ก็แค่ฆ่าซะ” จีแอลตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เราจะไม่ฆ่าพวกเดียวกัน!” เคธี่โต้ด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยว
คำพูดทำนองนี้อีธานเคยได้ยินมาก่อนแล้ว แต่เป็นจากปากของจัสติน
จีแอลส่งเสียง “หึ” ครั้งหนึ่งในลำคอ ก่อนจะหมุนตัวกลับไปยังส่วนของตอนหน้า นั่งลงที่ด้านข้างคนขับ
ยานพาหนะแล่นต่อเนื่องไปอีกพักใหญ่ ก่อนจะหยุดนิ่ง ในที่ซึ่งเงียบและห่างไกลผู้คน มันติดกับทะเลทราย สายลมร้อนระอุพัดหอบเอาเม็ดทรายสีดำให้ปลิวไปทั่วแทบจะบดบังทัศนียภาพทุกอย่างให้มืดมัว สภาพอากาศเลวร้ายแห้งแล้งและรกร้าง
...ที่นี่เป็นพื้นที่ริมสุดของเขตการปกครองเช็นโทร ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขต N
เสียงสัญญาณชนิดพิเศษดังขึ้นนอกตัวรถ จอมอนิเตอร์ที่ติดอยู่กับคนขับปรากฏภาพของข้อมูลดิบพรืดเต็มหน้าจอ คนขับทำการกดตั้งค่าอะไรหลายอย่าง ก่อนที่มันจะปรากฎภาพขาวดำของใครคนหนึ่งขึ้นมา คุณภาพของภาพนั้นแย่ขนาดที่ว่าเห็นเส้นแตกเป็นริ้ว
มันเป็นระบบการสื่อสารยุคเก่า ที่ไม่มีใครใช้กันแล้ว ด้วยคลื่นความถี่ต่ำ อีกทั้งช่องส่งสัญญาณอีกแคบทำให้สื่อสารได้ในระยะไม่เกินห้าร้อยเมตรเท่านั้น
อีธานลอบมองมองออกไปนอกตัวรถ ผ่านหน้าต่างที่แง้มอยู่ ...ที่นี่ไม่มีใคร ไม่มีอาคารบ้านเรือนด้วยซ้ำ งั้นคนขับรถกำลังสื่อสารกับใครในบริเวณนี้กันแน่?
“เรามากันแปดคน รับรองว่าเชื่อใจได้” คนขับกระชับไมค์ขึ้นจ่อที่ปาก
“แจกแจงด้วย” เสียงที่ตอบกลับมา ฟังขาดหายเป็นบางช่วง
“ขาวสอง แดงหก และน้ำเงินหนึ่ง”
“น้ำเงิน?” คนภายในจอภาพทวนคำ
“ปลายแถวจากตลาดค้าทาส ไม่ต้องห่วง...เราติดต่อกับ ‘ครูส’ ไว้แล้ว” คนขับตอบกลับไป
ภาพบนหน้าจอหายไปแล้ว หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีเสียงสัญญาณแหลมแสบหูจะดังขึ้นอีกครั้ง พื้นทรายสั่นสะเทือนเบาๆ ขณะที่ฝุ่นฟุ้งตลบในอากาศ และมีอาคารทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ขนาดกว้างยาวประมาณห้าเมตร ยกตัวสูงขึ้นจากพื้น เมื่อถึงจุดสุดบานประตูที่เปิดอ้าออกอย่างช้าๆ
ยานพาหนะเคลื่อนตัวเข้าไปด้านในนั้นทั้งคัน ทำให้รู้ได้ทันทีว่ามันคือลิฟ มีหน้าที่นำทางพวกเขาสู่นครใต้ดินของเขต N
อีธานไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ริมสุดของเขตการปกครองเซ็นโทร จะมีส่วนนี้อยู่ด้วย ที่นี่ซ่อนตัวเอง และมีระบบการเข้าออกที่เข้มงวด ลางสังหรณ์ในแง่ไม่ดีของชายหนุ่มเลือดน้ำเงินเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ
ชนเผ่าเลือดสีน้ำเงิน และเซ็นโทร จะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่คาดไม่ถึงในอีกไม่นานต่อจากนี้อย่างแน่นอน
เมื่อลิฟขนส่งหยุดสนิท บานประตูก็เปิดออกอีกครั้ง จากนั้นยานพาหนะของพวกเขาเคลื่อนตัวออกอย่างช้าๆ ก่อนจะจอดและดับเครื่องยนต์ เมื่อก้าวออกมาจากตัวรถก็ถูกอาบย้อมด้วยแสงสว่างจากดวงไฟโทนสีเหลืองส้มที่ให้ความรู้สึกสลัวเล็กน้อย
“ที่นี่คือ?” โจอี้ถาม เขาหันมองรอบด้านอย่างใคร่รู้
“ไว้ค่อยคุยกัน พวกเธอช่วยพยุงคนเจ็บมาทางนี้นะ ฉันจะหายาให้” เคธี่บอก
อีธานขมวดคิ้วขณะมองไปรอบๆ ที่นี่แตกต่างจากอันเดอร์กราวซิตี้ทุกแห่ง มันไม่มีเสียงอึกทึก ไม่มีบรรยากาศชวนมอมเมา อาคารสร้างแบบง่ายๆ เป็นระเบียบ และตอนนี้ยังไม่เห็นผู้คนอยู่เลย
“ฉันชื่ออาเธอร์ ยินดีต้อนรับสู่รัง...เจ้าชาย” ชายที่เป็นคนขับรถลงมายืนเบื้องหน้าของอีธาน เขาสูงแค่ไหล่ของอีธานเท่านั้น ใบหน้าเป็นเอกลักษณ์ คิ้วเป็นเส้นตรงทื่อ และมีดวงตาสีขาวจาง บ่งบอกว่าเป็นชนเผ่าเลือดสีขาวที่ไม่ค่อยได้พบบ่อยนัก
หมอนี่คือ อาเธอร์ ลูกชายของตาแก่ที่จีแอลให้ความสำคัญ และสามีของเคธี่ การแต่งงานข้ามชนเผ่าไม่ผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้รับการยอมรับ และที่สำคัญก็คือพวกเขาจะไม่มีทางให้กำเนิดทายาทได้
สายตาของอาเธอร์เพ่งมองร่างที่สูงกว่าตัวเองอย่างวิเคราะห์ จากนั้นก็หันไปทางจีแอลที่ก้าวลงมาจากรถคนสุดท้าย
“มันเปล่งแสงออกมาจริงๆ น่ะเหรอ?”
“ถ้าอุปกรณ์ทดสอบของนายไม่เจ๊งล่ะก็ใช่” จีแอลตอบ
“ของที่ฉันทำ ไม่เจ๊งหรอกน่า! แต่ยังไงก็ต้องตรวจสอบทุกอย่างอีกที” อีกฝ่ายโต้กลับ
“ฉันถึงได้มาหานายไงล่ะ”
“ขอเวลาฉันเตรียมตัวหน่อย...อ่อ...นายเองก็เตรียมตัวด้วยล่ะ” ชายร่างเตี้ยตบไหล่จีแอลเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป
จุดที่ยืนอยู่จึงเหลือเพียงแค่จีแอลกับอีธานสองคน
จีแอลหันกลับมากดท่อนแขนที่ลำคอของอีธานแน่นจนอึดอัด
“รู้หรือยังล่ะว่านายไม่มีวันหนีฉันพ้น...นายเป็นของฉัน!”
“ก็เคยบอกแล้วไงว่า...ไม่มีใครเป็นเจ้าของใครได้!” อีธานเค้นเสียงตอบ “นายก็จะโดนจับในไม่ช้านี้แหละ”
“เหอะ!...ยิ่งใหญ่ซะจริง” น้ำเสียงที่ได้ยินแผ่วเบาลง
อยู่ๆ แรงกดที่คอผ่อนคลายออก พร้อมร่างของจีแอลที่แนบชิดอยู่เอนมาซบกับอีธานและทำท่าจะไถลลงพื้น ...ด้วยสัญชาติญาณชายหนุ่มคว้าร่างนั้นไว้ในอ้อมแขน แต่ร่างสูงของจีแอลก็ยังคงทรุดลงไปกับพื้น เส้นผมสีทองสยายไปกับใบหน้าที่ดวงตาสีเงินปิดสนิท
“นี่...นาย” อีธานขมวดคิ้ว ได้กลิ่นเย้ายวนแปลกประหลาด กลิ่นที่ให้ความรู้สึกคล้ายยาพิษแต่ก็หอมหวานล่อลวง ...เขาเคยได้สัมผัสมันมาก่อนครั้งหนึ่ง และสมองของเขาก็สลักความทรงจำไว้อย่างเหนียวแน่น
กลิ่นเลือดของจีแอล
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อยากให้จบเร็วๆ เราต้องสู้!