ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไม่รักจะเป็นไรไป (มี E-book)

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 เริ่มใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.พ. 66


    ลิ้งค์ E-book  - https://www.mebmarket.com/ebook-227037- #meb

    นิยายเรื่องนี้จะติดเหรียญหลังแต่งจบ1อาทิตย์นะคะ



                                   ตอนที่ 1

                           เริ่มใหม่ 



          นักศึกษาชายปีหนึ่งก้าวเท้าไปตามทางเดินของมหาลัย ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่จะได้กลับมาเรียนอีกครั้งหลังจากหยุดไปถึงสองปีด้วยสาเหตุอันเนื่องมาจากอาการป่วย ทำให้ตอนนี้ “วา” อายุมากกว่าเพื่อนๆรุ่นเดียวกันถึงสองปี 

          วาเดินมาหยุดยืนอยู่ ณ หน้าอาคารใหญ่ รอบด้านมีต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกแซมพอสวยทำให้บรรยากาศรอบด้านเย็นสบาย ด้วยความที่วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดการศึกษานักศึกษาเข้าใหม่รวมถึงตัวเขาเองด้วยเลยพากันตื่นเต้น มาก่อนเวลาเข้าเรียนกันเสียส่วนใหญ่ 

          หนุ่มสาววัยรุ่นเดินขวักไขว่กันเต็มลานหน้าตึก บ้างก็เดินเป็นกลุ่มบ้างก็เดินเป็นคู่ แต่ที่สะดุดตาเห็นทีจะเป็นกลุ่มของผู้ชายหน้าตาดีหลายคนที่ไปยืนกระจุกกันอยู่จุดเดียวเรียกสายตาคนรอบข้างให้แอบเหล่มองได้ไม่หยุดหย่อน วาเองก็รู้ตัวว่าชอบผู้ชายมาตั้งแต่มัธยมต้นจึงอดไม่ได้ที่จะมองเช่นกัน อาจมีชอบผู้หญิงบ้างแต่ก็น้อยคนมากๆที่จะเข้ามาอยู่ในใจได้ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายเสียมากกว่า และแน่นอนว่าได้แค่แอบชอบทุกคน ไม่เคยบอกออกไปเลยซักคน เลยเรียกได้เต็มปากเลยว่า ‘โสดแต่เกิด’

          ‘ถ่ายหนังกันอยู่รึเปล่านะ? แต่ไม่เห็นมีตากล้องเลย ไม่น่าจะใช่’

          ละสายตาจากคนหล่อมาได้ โรงอาหารก็เป็นจุดมุ่งหมายแรกของธันวา ท้องน้อยๆร้องประท้วงเมื่อได้เวลาอาหาร ส่งผลให้ขายาวต้องรีบสาวเท้าเข้าไปต่อแถวซื้อข้าวมานั่งทานโดยไว

          ข้าวขาหมูเป็นตัวเลือกแรกของเขาเพราะเป็นร้านเดียวที่ไม่มีคนเข้าแถวเลยแม้แต่คนเดียว คนขี้เกียจรอได้ข้าวมาอยู่ในมือ มองหาโต๊ะนั่งไม่นานก็ได้ที่ว่าง การนั่งกินข้าวคนเดียวเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับเขา แต่ถ้ามีเพื่อนมานั่งทานด้วยก็ย่อมดีกว่า ถ้าไม่ติดว่าวันปฐมนิเทศเขาไม่ได้มา ป่านนี้คงจะมีเพื่อนสักคนสองคนแล้วเพราะด้วยบุคลิกที่ค่อนไปทางอัธยาศัยดีบวกกับหน้าตาเป็นมิตรไม่มีพิษมีภัยคงทำให้มีเพื่อนได้ไม่ยากนัก

          อาหารหมดไปค่อนจานคนโดดเดี่ยวก็ได้เวลาลุกไปซื้อน้ำมาเพิ่มเพื่อให้คล่องคอขึ้น แต่ยังไม่ทันลุกไปไหนโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดันสั่นขึ้นมาเสียก่อน

    “สวัสดีครับคุณแม่”

    “อืม ตกลงได้หอพักรึยัง” 

    “ได้มาอาทิตย์กว่าแล้วครับ” อยากถามต่อเหมือนกันว่าทำไมเพิ่งมาถามเอาตอนนี้ นึกว่าจะไม่สนใจเสียแล้ว
    “แพงรึเปล่า ถ้าแพงแกย้ายออกมาเลยนะ แกจ่ายไม่ไหวหรอก”

    “ไม่แพงครับ ถูกสุดในย่านนี้แล้ว” 

          ผมว่าผมพอจะรู้เหตุผลที่แม่โทรมาแล้วล่ะ

    “ให้มันแน่ อย่าให้มาเดือดร้อนเงินฉันแล้วกัน แกทำบ้านเราเดือนร้อนมามากพอแล้ว”

    “ครับ” 


           ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่ถึงห่วงเงินมากกว่าความสุขสบายของลูก ทั้งๆที่’เงินฉัน’ที่แม่พูดถึงส่วนหนึ่งก็เป็นเงินที่ผมหาได้และให้เขากับน้องใช้ และอีกส่วนก็เป็นเงินที่พ่อทำงานหามาได้สมัยที่ท่านยังอยู่ ผมยอมรับผิดที่เป็นตัวซวยของบ้าน แต่โรคร้ายใครจะอยากให้มันมาเกิดกับตัวเองถ้ามีสิทธิได้เลือกกันจริงมั้ย? ถ้าผมรู้อนาคตว่ารักษาจนหายแล้วจะถูกเกลียดชังอย่างนี้ผมยอมตายไปเลยเสียยังดีกว่า

    “แล้วงานใหม่ล่ะหาได้รึยัง?”

    “ได้แล้วครับ”

    “ทำอะไรล่ะ ได้เงินเยอะมั้ย?” 

    “ก็พอได้อยู่ครับ ทำงานที่คาเฟ่ข้างหน้าม.เค้าเปิดรับเด็กนักศึกษาให้มาทำได้”

    “อืม เอาตัวเองให้รอดก็พอ ฉันโทรมาแค่นี้แหละ”

    “ครับ สวัสดีครับ”

          เท่าที่ฟังมาอาจจะดูเหมือนเด็กยากจนข้นแค้นแต่จริงๆแล้วไม่เลย ธันวาเป็นเด็กค่อนข้างมีฐานะพอสมควรจนกระทั่งเกิดโรคร้ายขึ้นกับตัวเขาทำให้ต้องเสียค่ารักษามากมาย แต่ก็ยังพอมีเงินจ่าย แต่วิกฤตจริงๆนั้นเกิดจากวันที่หัวหน้าครอบครัวอย่างคนเป็นพ่อได้จากไปด้วยอุบัติเหตุ ทำให้ธุรกิจถูกสานต่อโดยคนเป็นแม่ ผลคือล้มพังไม่เป็นท่า หนี้สินเริ่มเข้ามาพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ และคนซวยก็คือพี่คนโตที่ต้องมาแบกรับความผิดฐานไม่เคยไปเรียนรู้งานกับพ่อ และใช้เงินในการรักษาตัวไปเยอะเกินเหตุ

           ถ้าให้นึกสภาพบ้านที่เคยเกือบล้มละลายหลายคนคงจินตนาการว่าคงเหลือแต่เปลือกเฟอร์นิเจอร์ด้านในไม่เหลือหรือเลวร้ายที่สุดก็คือย้ายไปอยู่ห้องเช่า แต่ผิดถนัด แม่และน้องสาวยังคงอยู่บ้านหลังใหญ่เฟอร์นิเจอร์ครบครัน น้องเรียนโรงเรียนอินเตอร์ที่ค่าเทอมแพงหูฉีกโดยใช้เงินกู้ที่ไปกู้นอกระบบมาใหม่บวกกับเงินของครอบครัวที่ยังเหลืออย่างสุรุ่ยสุร่าย เพียงเพราะคิดแค่ว่าไม่ใช่ความผิดตนเองที่ทำให้ครอบครัวแย่ลง และคนที่ต้องรับผิดชอบคือลูกคนโตอย่างธันวา

          อาจฟังดูแย่แต่คนที่เจอเข้ากับสภาพนี้มานานจนเริ่มชินมองมันเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว

         หลังจากจัดการกับอาหารเสร็จวาก็ได้ไปเข้าเรียนตามตารางระบุไว้ คาบแรกหลายๆคนก็เริ่มมีเพื่อนจับกลุ่มนั่งคุยกันบ้างแล้ว เว้นก็แต่เขาที่ยังนั่งโดดเดี่ยว ยังดีที่ผู้หญิงคนข้างๆหันมายืมของเป็นครั้งคราวพอให้ได้บริหารปาก ไม่เช่นนั้นน้ำลายคงบูดจนถึงคาบถัดไปเป็นแน่

         คาบบ่ายดีขึ้นมาหน่อยที่เขาดันไปเลือกนั่งใกล้กลุ่มเด็กช่างจ้อกลุ่มหนึ่ง ช่วงพักเล่นเอาพูดไม่ได้หยุดกันเลยทีเดียว ถามถิ่นฐานบ้านเกิด ถามแหล่งโรงเรียนที่จบมา ขอแลกโซเชี่ยลไอดีกันไปเรื่อยเปื่อยจนอาจารย์กลับเข้ามาถึงได้ฤกษ์สงบปากสงบคำ



          ตกเย็นของช่วงเปิดเทอมใหม่ๆแน่นอนว่าต้องหนีไม่พ้นช่วงกิจกรรมรับน้อง ส่วนตัววาคิดว่าเข้าก็ได้ ไม่ได้เกลียดอะไร แต่ไม่เข้าก็ดีจะได้มีเวลาพักเยอะๆเพราะเสร็จจากตรงนี้ก็ต้องไปทำพาร์ทไทม์ที่ร้านน้ำอีกต่อหนึ่งจึงจะได้กลับหอ

    “แกๆ แกชื่ออะไรอะ เราชื่อจีจ้านะ” หญิงสาวที่นั่งทางซ้ายเอ่ยทักทายเขา

    “เราหรอ เราชื่อธันวา เรียกวาเฉยๆก็ได้”

    “เราไม่มีเพื่อนอะพอดีวันปฐมนิเทศไม่ได้มา ขอคุยด้วยนะ”

    “เหมือนกันเลย คุยได้ๆ ไม่กัด555”

    “โอเคเลย ทักคนไม่ผิดจริงๆ ว่าแต่แกเป็นเด็กต่างจังหวัดหรือเด็กที่นี่อะ”

    “ต่างจังหวัด ปริมณฑลแถวนี้แหละ”

    “อ๋อ เราเด็กเหนือนู่น”

    “งั้นก็อู้เหนือได้อะดิ”

    “บะดั้ยเลยจ้า ฟังออกอย่างเดียว555”

    “อ้าวทำไมงั้นอะ555”

    “แม่กับพ่อพูดกลางกันหมดเลย พูดไม่ได้กันทั้งบ้าน ดีนะที่แถวบ้านอู้เหนือกันหมด ไปตลาดเค้าก็พูดเหนือกันเลยฟังออก แต่เวลาขึ้นรถแดงต้องอู้กำเมืองนะไม่งั้นเค้าไม่ลดให้555”

    “เฮ้ย!! น้องสองคนนั้นอะครับ คุยอะไรกัน”
    รุ่นพี่หน้าเหี้ยมตะโกนฝ่าแถวเด็กปีหนึ่งด้านหน้าจนทะลุมาถึงเด็กช่างจ้อสองคนที่ด้านหลังสุดจนสะดุ้งไปตามๆกัน

    “โถ่เอ๊ย นึกว่านั่งหลังสุดจะรอด” จีจ้าบ่นอุบอิบก่อนจะตะโกนกล่าวขอโทษกลับไปแต่เหมือนจะไม่ได้รับการอภัย

    “ลุกขึ้นออกมานี่ครับ ทั้งคู่เลย” 

    “เอาแล้วไง” ทั้งวาทั้งจีจ้าหน้าซีดไปตามๆกันเมื่อรุ่นพี่ไม่ยอมลดลาวาศอกให้ 

    “ลุกนั่งไปด้วยคุยกันไปด้วยสิบที ปฏิบัติ!!”

    “ฮะ?” จีจ้าหันไปทำหน้าสงสัยใส่รุ่นพี่คนเดิมแต่พอเจอสีหน้าโหดๆของเขาทำเอาหดคอกลับมาแทบไม่ทัน

    “ก็ชอบพูดนักไม่ใช่หรอ ทำ!! อย่าหยุดคุยนะ ไม่งั้นจะให้ไปนับหนึ่งใหม่”

    “ครับ/ค่ะ”

    “เอ้าเพื่อนๆช่วยกันนับ”

          หนึ่งถึงสิบเปรียบเสมือนหนึ่งถึงร้อยในเวลานี้ ทั้งอายทั้งเหนื่อยอีกทั้งต้องคิดหาหัวข้อเอามาคุยตีกันอยู่ในสมอง

    “1!!” 

    “แกชอบกินไอติมมั้ย” จีจ้าเปิดบทสนธนาให้ก่อนที่ทั้งคู่จะย่อตัวลงไปแล้วยืดขึ้นมาเป็นจังหวะ

    “ชอบนะ แกล่ะ”

    “ชอบเหมือนกัน ชอบกินรสช็อกโกแลต”

    “เออ เราชอบรสมะม่วง แกเหนื่อยมั้ย”

    “ไม่เหนื…เหนื่อยมากเลยแก ต่อไปนี้เราจะไม่คุยกันแล้ว ใช่มั้ยแก”

    “ใช่ๆ” 

         ภาพที่ทั้งคู่ลุกนั่งพร้อมกับตะโกนคุยกันมันน่าตลกเกินกว่าที่จะทำหน้านิ่งๆได้ แต่เมื่อรุ่นพี่สุดโหดคอยจับจ้องอยู่ไม่วางตาทำให้คนในแถวที่เหลือกลั้นหัวเราะกันจนตัวสั่นเพราะไม่อยากให้ถึงคราวตัวเอง

    “กลับไปนั่งที่!! [พี่ขอโทษนะ แต่ขอเชือดไก่ให้ลิงดูหน่อย]”รุ่นพี่คนต้นเรื่องแอบกระซิบเบาๆให้จีจ้ากับวาได้ยินเพียงสองคน ทำเอาทั้งสองถอนหายใจโล่งอกที่รุ่นพี่แค่สวมบทโหดเท่านั้น คิดว่าจะถูกรุ่นพี่หมายหัวเอาจริงๆเสียแล้ว

    “จุ๊ๆนะ” วาเอามือมาจ่อที่ปากให้จีจ้าดูขณะกลั้นขำไปด้วย

    “เคๆ”

          หลังจากนั้นสองเพื่อนใหม่สงบปากสงบคำไปอีกนานเนื่องจากไม่อยากรับบทเด่นอีกรอบ 

    “ลุกขึ้น พี่จะพาไปดูที่จัดกิจกรรม ตั้งแถวตอนเรียง1เกาะแขนเพื่อนข้างหน้าไว้”

          พูดจบรุ่นพี่กว่าสิบชีวิตที่เหลือก็นำผ้ามาพันรอบดวงตาน้องๆจนแน่นมองอะไรไม่เห็น
    เสียงซุบซิบดังขึ้นด้วยความสงสัยในการกระทำนั้นแต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถามรุ่นพี่สักคนว่าทำไมจะต้องปิดตาด้วย

    “ปิดตาไว้นะ ห้ามเปิด เกาะไหล่เพื่อนข้างหน้าไว้แน่นๆห้ามหลุดนะ” 

          แถวสิบแถวถูกรวมกันเหลือแถวยาวๆแถวเดียวเหมือนตะขาบ บางคนเริ่มกลัวว่าจะถูกพาไปที่แปลกๆแต่บางคนกลับเริ่มสนุกและตื่นเต้นปะปนกันไป
      
          จีจ้าที่อยู่ข้างหน้าวาดูเป็นประเภทที่สองเสียมากกว่า เด็กกิจกรรมอย่างเธอไม่กลัวอะไรแบบนี้อยู่แล้ว

    “จีจ้าช้าๆหน่อย”

    “ช้าไม่ได้เดี๋ยวหลุดจากคนข้างหน้า”

    “แต่เราจะหลุดจากแกแล้วเนี่ย” ส่วนที่ยึดติดกับไหล่หญิงสาวเหลือเพียงปลายนิ้วเกร็งๆของเขาที่จวนจะหลุดอยู่รอมร่อ จนสุดท้ายมันก็หลุดจนได้

    “เฮ้ย!”

    “ห้ามเปิดผ้า!” มือที่กำลังแก้ผ้าปมด้านหลังเพื่อแกะออกมาดูทางต้องหยุดชะงักลงเมื่อโดนเสียงเข้มๆด้านข้างดุเข้า 

          มือหนาของใครก็ไม่ทราบจับมือเขาให้ไปแตะที่ไหล่ตัวเอง 

          ผมไม่รู้ว่าที่จับอยู่นี่เป็นไหล่ใครแต่ที่รู้ๆคือไม่ใช่จีจ้าแน่ๆเพราะสูงเลยไปเยอะ ถ้าเป็นจีจ้าจริงเธอคงต้องใส่เสริมส้นสักสิบนิ้วแล้วล่ะเธอถึงจะสูงได้เท่านี้

    “เดิน” ผมคาดว่าน่าจะเป็นรุ่นพี่สักคนที่มานำแถวแทนเพราะแถวหน้านำไปไกลมากแล้วฟังจากเสียง 

    “ถึงแล้ว เปิดตาได้”

          นักศึกษาปีหนึ่งทุกคนไม่รอช้ารีบแกะผ้าออกด้วยความสงสัยที่เปี่ยมล้นออกมาจนเก็บไม่มิด ภาพตรงหน้าของทุกคนเป็นห้องเก็บของมืดๆเก่าๆ ฝุ่นจับทั่วทุกพื้นที่ แต่ภาพตรงหน้าของวากลับเป็นแผ่นหลังกว้างของคนที่ให้เขาอาศัยจับไหล่มาตลอดทาง

    “ขอบคุณครับ”

          วารีบเอ่ยขอบคุณแล้วก้มหน้าก้มตาเจียมตัวต่อเพราะคนตรงหน้าหล่อเกินไปจนไม่กล้ามองนานกลัวเขาจะหาว่าคิดอะไรแปลกๆ ผู้หวังดีไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เพียงแค่เดินกลับไปรวมกลุ่มกับรุ่นพี่คนอื่นๆ

    ‘หล่อมาก หล่อชิบหาย ชีวิตปีหนึ่งแค่นี้ก็คุ้มแล้ว’


    “วาาา พี่ภีมๆๆ”

           จีจ้าหันมาเขย่าแขนเขาไม่หยุดหลังจากรุ่นพี่เดินจากไป มองตาก็รู้ว่าหัวข้อถัดมาเธอจะพูดว่าอะไรเพราะเขาเองก็คิดแบบเดียวกัน

    “หล่อเนอะ คนอะไรหล่อได้ขนาดนี้วะ”

    “อืม หล่อยังกับดารา หยุดคุยก่อนจีจ้าเดี๋ยวโดนอีก” วาพูดปนหัวเราะพร้อมกับจับตัวหญิงสาวให้หันกลับไปทางเดิม


    “รู้มั้ยครับว่าเรามาทำอะไรกันที่นี่”? น้ำเสียงแข็งกร้าวเปล่งผ่านทรโข่งส่งผ่านไปยังเด็กปีหนึ่งที่นั่งตาปริบๆ บางคนก็จามจนจมูกจะหลุดด้วยความที่ฝุ่นเยอะจนแทบไม่มีที่ว่างคำตอบที่ได้จึงว่างเปล่าทำให้รุ่นพี่ต้องกล่าวเฉลยออกมาเองในภายหลัง

    “ตลอด1อาทิตย์เราจะทำกิจกรรมกันตรงนี้”

          ฮะ!! สภาพนี้เนี่ยนะ ผมว่าคนแพ้ฝุ่นน่าจะตายก่อนกิจกรรมจบต้องหามส่งโรงพยาบาลกันวุ่นวายแน่

    “เราไม่มีทางเลือก หัวหน้าภาคเค้าอนุญาตให้เราจัดแค่ตรงนี้ ถ้ามีอะไรก็ไปเขียนจดหมายร้องเรียนเองนะครับพี่ไม่เกี่ยว แต่ก่อนอื่นเลยวันนี้พี่ขอแรงพวกเราช่วยกันเก็บกวาดเช็ดถูซะก่อน”

         จบประโยครุ่นพี่ก็ได้รับเสียงโห่ฮึมฮัมเป็นคำตอบ

    “เอาล่ะๆ ไม่ต้องโห่ ไม่ต้องเกี่ยงกันด้วย เดี๋ยวพี่ๆจะแบ่งกลุ่มตามแถวให้ สี่แถวนี้ไปรับไม้กวาดมากวาดนะครับ มีไม้กวาดหยากไย่กับไม้กวาดดอกหญ้าแบ่งๆกันเอา ส่วนสองแถวนี้ไปรับผ้าชุบน้ำมาเช็ดโต๊ะเช็ดกำแพงให้สะอาด สองแถวนี้ไปรับไม้ถูพื้นมาถูต่อกลุ่มที่กวาด สองแถวสุดท้ายเอาขยะไปทิ้งกับเอาน้ำให้เพื่อนกิน ตามนี้นะครับ ห้ามอู้ห้ามบ่น เสร็จเร็วก็ได้กลับบ้านเร็ว พี่จะคอยจับตาดูให้ว่าใครกินแรงเพื่อน”

          สีหน้าทุกคนหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่นึกไม่ฝันว่าการเข้าเรียนที่นี่จะได้ฝึกเป็นแม่บ้านก่อนเป็นนักศึกษา

    “เราได้ถูพื้นอะ มันดีหรือไม่ดีวะ?” วาหันมาขอความคิดเห็นจากเพื่อนใหม่คนสนิท

    “ไม่รู้ดิ ดูไม่มีอันไหนเบาเลยนะเราว่า”

    “ก็จริง” 


    10 นาทีถัดมา

    “แล้วเมื่อไหร่เราจะได้ถูอะ” จีจ้าบ่นอุบ

          เวลานี้ไม้ถูพื้นมาอยู่ในมือคนทั้งคู่แล้วก็จริงแต่ยังเริ่มถูไม่ได้ ต้องรอกลุ่มที่กวาดพื้นทำงานจนเสร็จเสียก่อน วาเริ่มกังวลว่าจะเลิกช้ากว่าเวลากำหนดเพราะมีงานที่ค่าเฟ่ต้องไปทำต่อ แถมวันนี้ก็เป็นวันแรก ถ้าไปสายมีหวังอาจโดนไล่ออกตั้งแต่ยังไม่เริ่มก็เป็นได้

    “นั่นดิ”

    “เฮ้ย!! มีคนเป็นลมว่ะ” เด็กสาวสะกิดเพื่อนตัวเองยิกๆให้ดูภาพตรงหน้า

    “เค้าจะเป็นไรมั้ยวะ?” 

    “ไม่รู้ดิ คอพับไปเลย แต่ชั้นว่าแปลกๆ”

    “อะไรแปลก?” วาเอียงคอไปทางเพื่อนด้วยความงุนงง

    “แกดูคนที่นางล้มใส่ดิ”

    “รุ่นพี่?”

    “ใช่ พี่ภีมไง แหม ล้มใส่ถูกคนซะด้วย”

    “เค้าอาจไม่ตั้งใจก็ได้”

    “แกดูเอาเหอะ…เป็นลมแต่ยังมีแรงเกาะคอพี่เค้าซะแน่น” 

    “เอามั่งมั้ยล่ะ เดี๋ยวเราช่วย” ธันวาพูดกลั้วหัวเราะให้กับท่าทีหงุดหงิดของเพื่อนสาว

    “แผนมันตื้นเกินไปอะ อย่างกูมีแผนที่เนียนกว่านี้เยอะ”

    “หรอ ว่าแต่แกชอบพี่เค้าหรอถึงมายืนหึงอยู่เนี่ย”

    “ก็ชอบทุกคนที่หล่อแหละค่ะ” 

          ระหว่างที่สองคนคุยกันเหมือนมีรังสีอำมหิตเปล่งออกมาจากทางด้านหลัง วารู้สึกได้ว่าเพื่อนคนหนึ่งมองมาทางพวกเขาแปลกๆแต่ก็เลือกที่จะไม่ได้สนใจอะไร

    “เห้อ~”

    “เฮ้ยย เค้าอุ้มกันไปแล้วอะ ชั้นอยากกรี๊ดดด นี่ถ้าวันถัดมามีข่าวว่าเค้าคบกันขึ้นมาชั้นคงช้ำใจแย่”

    “แล้วแกชอบคนหล่อทุกคนขนาดนี้ถ้าเค้ามีแฟนกันทุกคนแกไม่ช้ำใจทุกวันเลยหรอ”

    “ชั้นก็ดราม่าได้ทุกวันแหละ แต่วันละสิบวิพอนะเปลืองเวลาชีวิต”

    “เออ5555 ดีๆ อกหักปุ๊ปมูฟออนปั๊ป”


          เอาเข้าจริงผมก็เป็นโรคแพ้คนหน้าตาดีเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรก็แค่มองเป็นอาหารตาไปอย่างนั้น คนหล่อมักมาคู่กับความเจ้าชู้ จะให้ปักใจชอบจริงจังคงต้องชั่งน้ำหนักกับนิสัยดูอีกที 

          ใช้เวลายืนคุยกันมานานจนกลุ่มกวาดพื้นทำงานจนเสร็จลุล่วง ทุกคนรีบเอาของไปเก็บโดยพร้อมเพรียงพร้อมกับหายตัวไปทีละคนจนเหลือแค่กลุ่มถัดไปที่ต้องมาสานต่อให้เสร็จ

    “กวาดเสร็จกันสักที ไปแก…ตาเราละ”

    “ไปดิ แต่ไปชุบน้ำกันใหม่อีกรอบเหอะ เรายืนกันนานจนไม้ถูพื้นแห้งหมดแล้ว”

    “จริง ไม่รู้จะชุบรอบแรกไปเพื่อออ”

           ต่อให้บ่นอย่างไรสองเพื่อนซี้ก็ต้องมุ่งหน้าไปทางห้องน้ำอยู่ดี ถึงจุดมุ่งหมายก็ยังทำไปบ่นไปเหมือนเดิมจนกระทั่งสายตาเฉียบคมของจีจ้าไปสะดุดเข้ากับภาพสุดจะล่อแหลมตรงหน้า

    “เชี่ย!!ไอ้วาหลบๆๆ” จีจ้าดันเพื่อนให้เข้าหลบตรงมุมห้องน้ำทันที

    “อะไรจีจ้า? หลบอะไร”

    “พี่ภีมกับยัยคนเมื่อกี๊ไง ยืนจูบกันอยู่ในห้องพยาบาลอะ

    “ห๊ะ?” ได้ยินดังนั้นวาก็รีบชะโงกไปดูบ้างก็เห็นตรงกันกับที่จีจ้าว่ามาไม่มีผิด

    “ชั้นล่ะอยากเดินไปเคาะกระจกบอกเค้าจริงๆว่าผ้าม่านมันปิดไม่มิด ประเจิดประเจ้อได้อีกกก”

    “โห ขนาดห้องพยาบาลนะ” 

    “นั่นอะดิ สุดจัดเลยพี่ภีม เห็นหน้าหล่อๆไม่นึกเลยจะเป็นคนแบบนี้”

    “ก็เพราะหล่อเลือกได้แหละมั้งเค้าเลยเป็นงี้ เราอย่าไปยุ่งกะเค้าเลยไปกันเถอะ”

    “เชอะ รีบถูรีบกลับดีกว่า ไปแก”



    20นาทีถัดมา 

    “เห้อ~ เสร็จสักที เหงื่อท่วมยิ่งกว่าวิ่งมาราธอนอีกมั้ง”

    “เออจริง เดี๋ยวเราต้องรีบกลับก่อนนะจีจ้า ต้องไปทำงานต่อ”

    “งานไร พาร์ทไทม์หรอ?”

    “ใช่ๆ ร้านน้ำหน้าม.อะ หิวๆก็ไปอุดหนุนได้นะจะชงอร่อยๆให้เลย”

    “เฮ้ย ไปเดี๋ยวนี้เลย กำลังน้ำตาลตกอยู่พอดี ไหนขอชิมฝีมือเพื่อนหน่อยซิว่าจะอร่อยมั้ยยย” 

          สาวเจ้ากระโดดกอดคอเพื่อนพากันมุ่งหน้าไปทางหน้ามหาลัยที่มีจุดมุ่งหมายอันแสนหอมหวานรออยู่แต่ก็ต้องสะดุดด้วยเสียงเรียกจากบุคคลปริศนา

    “ธันวา!”

          แวบแรกผมก็สงสัยนะว่าใครเรียกแถมรู้ชื่อจริงซะด้วย แต่พอหันไปก็ถึงบางอ้อเลย ไอ้วินเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของผมนี่เอง

    “เห้ย วิน ว่าไง!”

          ชายหนุ่มวิ่งมาหาเพื่อนเก่าด้วยท่าทางดีใจ มาถึงก็กอดคอหมับแสดงความสนิทสนมจนจีจ้าที่เป็นเพื่อนใหม่ได้แต่ยืนงงแบบใส่ฟิลเตอร์ตาเป็นรูปหัวใจเพราะคนมาใหม่คงจะไปถูกสเปคเธอเข้า

    “มึงไปไงมาไงเนี่ย หายแล้วหรอไม่เห็นบอกกันบ้างเลย”

    “อื้ม หายแล้ว มึงเรียนคณะนี้หรอกูไม่รู้เลย”

    “เออดิ นี่มึงมาเป็นรุ่นน้องกูหรอเนี่ย555”

    “เออ แต่กูไม่เรียกมึงพี่หรอกนะ555 นี่เพื่อนใหม่กูชื่อจีจ้า จีจ้าไอ้นี่ชื่อวินเพื่อนเราเอง”

    “สวัสดีครับ”

    “สวัสดีค่ะ เป็นรุ่นพี่หรอคะ” 

    “ใช่ครับ…เดี๋ยวขอตัวก่อนนะเพื่อนรอเล่นบาสอยู่ ว่างๆก็ไปเล่นกับพวกกูได้นะ” ประโยคหลังวินหันมาพูดกับเพื่อนเก่า ก่อนจะโบกมือร่ำรากันแล้วเดินจากไป




    “นี่ ตกลงยังไง นี่มแกเป็นพี่ชั้นหรอ? เล่ามาเลยนะ”

    “อืม เราป่วยเลยหยุดไปรักษาสองปีเลยเพิ่งเข้าปีนี้ เพื่อนๆก็อยู่ปีสามกันหมดแล้ว”

    “โห แล้วงี้ตอนโดนรุ่นพี่ดุไม่รู้สึกเสียศักดิ์ศรีแย่เลยหรอ”

    “ไม่หรอก ชิล รีบเดินเหอะเดี๋ยวจะสาย”

    “เออเดินไปคุยไปก็ได้ แต่ชั้นไม่เรียกแกพี่ได้มั้ยอะ มันติดไปแล้วอะ”

    “เรียกไรก็เรียกเถอะ ตามสบายครับ”

    “เยี่ยม!ว่าแต่เพื่อนแกคนนั้นนี่ใช่กลุ่มเดียวกับพี่ภีมรึเปล่านะหน้าคุ้นๆ เค้าอยู่ปี3ใช่ปะ”

    “ใช่ ปีสาม”

    “เฮ้ย งี้กูก็เป็นเพื่อน ของเพื่อน ของเพื่อนแก๊งเดือนอะดิ”

    “555 มึงนี่มันจริงๆเลยนะ”

    “คณะเรานี่มันดีงามจริงๆเลยอะ เลือกไม่ผิดเลยย”

    “อืมดีทุกคนเลย ยดเว้นเราสองคนนะ555”

    “บ้าหรอ แกก็น่ารักจะตาย ไอ้ต้าววว” ไม่ว่าเปล่ามือเล็กเอื้อมไปหยิกแก้มเพื่อนจนแทบยืดติดมือกลับมา

    “พอๆ เราเจ็บ แกก็สวย เราพูดเอาฮาเฉยๆหรอก”

    “ก็รู้…สวยขนาดนี้ แต่เอ๊ะ แกแอบคิดไรปะเนี่ยย” จีจ้าชี้หน้าหรี่ตาแกล้งทำเป็นจับผิด

    “เลิกเพ้อเจ้อ”

    “ไรอ่า เขินหรอตัวเองง” 





          สุดท้ายการเดินไปคุยไปก็ทำให้ธันวามาสายจนได้ แต่ก็ยังดีที่สายไปเพียง5นาทีเท่านั้น พี่ที่ร้านจึงไม่ได้กล่าวโทษอะไรเขามากนัก ตกดึกได้เวลาเลิกงานเขาก็เดินทางกลับโดยการเดินเท้าเพราะได้เลือกหอพักที่ใกล้ๆเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ประหยัดค่าน้ำมันไปได้หนึ่งอย่าง




          วันรุ่งขึ้นการมามหาลัยก็ยังคงน่าตื่นเต้นอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นชุดนักศึกษาชายที่ยังใส่ไม่ชิน ข้าวโรงอาหารที่เพิ่งได้ลองทานไปแค่สองร้าน หรือห้องเรียนที่ยังไม่เคยไปอีกหลายห้อง 

         เป็นเรื่องดีที่วันนี้ไม่ต้องนั่งทานอาหารเช้าคนเดียว จี้จ้าส่งข้อความมานัดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เขาจะคอยดูว่าเพื่อนใหม่คนนี้จะเป็นคนตรงต่อเวลารึเปล่า


    “หวัดดีมายเฟรนนน”

    “หวัดดี มาตรงเวลาเป๊ะเลยนะ”

    “แกก็เหมือนกัน มาก่อนนานปะเนี่ย?”

    “นาน เรามานั่งรอตั้งแต่เมื่อคืน”

    “เวอร์มาก แกมานั่งคุยกับผีหรอ5555”

    “555 ล้อเล่น ไปซื้อข้าวซื้อน้ำกัน”



         หลังเดินแยกกันไปวันนี้วาเลือกที่จะยืนต่อแถวให้กับก๋วยเตี๋ยวเรือร้านที่ฮอทที่สุดในโรงอาหารแห่งนี้ ถึงแม้เขาจะไม่ชอบต่อแถวแต่โอกาสที่ร้านนี้จะมีคนยืนก่อนหน้าแค่สามคนมันหายากมากๆปกติจะหกเจ็ดคนขึ้นไปตลอด เวลานี้จึงเหมาะแก่การลิ้มลองร้านนี้ที่สุดแล้ว

          รอไม่นานก๋วยเตี๋ยวเรือเส้นเล็กลูกชิ้นหมูก็มาอยู่ในมือคู่สวยเป็นที่เรียบร้อย เขาคาดว่าจีจ้าน่าจะได้ข้าวก่อนแล้วเพราะร้านที่เธอเลือกไม่ต้องต่อแถว ตาเรียวรีมองหาเพื่อนจนเจอเธอยืนอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง แต่ว่าเธอไม่ได้ยืนอยู่เพียงคนเดียว แวบแรกก็คิดว่าคงเป็นเพื่อนๆที่เข้ามาทักทายแต่พอเดินไปใกล้ๆถึงรู้ว่าทั้งสองฝั่งเริ่มมีปากเสียงกัน



























     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×