ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไม่รักจะเป็นไรไป (มี E-book)

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 หน้าชา

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.พ. 66





     

    ตอนที่ 4 

    หน้าชา




     

           จู่ๆคนที่นั่งเงียบมานานก็พูดขัดขึ้นเสียงเย็นจนทุกคนต้องหันไปให้ความสนใจ


     

    “อะไรของมึงไอ้ภีม เห็นไอ้ธาราโดนชมอยู่คนเดียวแล้วมันยอมไม่ได้รึไง?”


     

    “น้องเหยียบเท้าพี่”


     

    “อุ้ย!… ขอโทษครับ! ผมไม่ได้ตั้งใจ”


     

          ผมยกมือไหว้เค้ารัวๆ ก้มหัวให้อย่างเดียวนาทีนี้ กลัวว่าสบตาแล้วจะโดนต่อยเอา ขนาดมาแต่เสียงยังน่ากลัวเลย


     

    “ไอ้วามันก็ขอโทษแล้ว มึงก็เลิกทำหน้าหงิกเป็นตีนได้แล้ว” 

         

           วินพูดไม่ทันขาดคำ คนโดนว่าให้ก็ลุกหนีไปจากโต๊ะด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์


     

    “เป็นส้นตีนอะไรของมันวะ”


     

    “ปล่อยแม่ง สงสัยเมนส์มา”



     

          ผมพยายามคิดในแง่ดีว่าพี่เค้าไม่ได้โกรธผมแต่อาจจะหงุดหงิดคนในโทรศัพท์ พวกพี่ๆก็ปลอบใจผมว่าอย่างนั้นเหมือนกัน 


     

          พอกลับมาที่โต๊ะแทนที่ทุกคนจะต่อว่าผมที่ไปนานกลับมาคาดคั้นให้พาคนกลุ่มนั้นมาให้รู้จักบ้างซะงั้น นับว่าเป็นโชคดีได้มั้ยนะ


     

    “คือเรารู้จักวินแค่คนเดียวอะ เดี๋ยวถ้ามีโอกาศจะพามาแนะนำนะ”


     

    “แล้วนี่วาเป็นรุ่นพี่พวกเราหรอ ถ้าไม่ติดว่างานรับน้องจบไปแล้วจะคิดว่าเป็นพี่เนียนปลอมตัวมาแล้วนะเนี่ย”


     

    “555ไม่ใช่ เราแค่ดรอปเรียนไปสองปีเลยตามไม่ทันเพื่อนอะ”


     

    “ดรอปทำไมอะ?”


     

    “นี่ๆ ทุกคนไม่ต้องไปสนใจมันหรอก เรามีเรื่องเด็ดกว่านั้น” จีจ้าพยามดึงความสนใจของคนในกลุ่มและมันก็ได้ผล


     

    “อะไรๆๆ”


     

           คบกันได้ไม่นานจีจ้าก็รู้ใจผมขนาดนี้เชียว? เรื่องอาการป่วยที่หายแล้วจริงๆมันก็ไม่ใช่ความลับอะไร แค่เพียงมันเป็นตัวสร้างแผลในใจให้กับผมจนถึงตอนนี้มันก็ยังฝังอยู่ เพราะแบบนั้นเลยไม่อยากจะเอ่ยถึงสักเท่าไร


     

    “รู้มัยว่าวาเป็นน้องรหัสใคร”


     

    “พี่ต้น”


     

    “แล้วเป็นหลานรหัสใคร?”


     

    “พี่ธารา” สาวๆในกลุ่มตอบประสานเสียงกันเป็นเนื้อเดียวจนจีจ้าทำหน้า

    งง


     

    “อ้าว ทำไมรู้อะ”


     

    “ก็วันรับน้องไง ที่กระโดดเชือกคู่กันอะ”


     

    “เออว่ะ จริงด้วย ลืมไปเลย”


     

    “ขนาดไม่ใช่คนคณะเรายังรู้เลยแก มีคนถ่ายคลิปไปลงเพจมหาลัย  สาววายจิ้นพี่ธารากับวากันใหญ่เลยอะ อย่าว่างู้นงี้เลย ชั้นเห็นชั้นยังจิ้นเลยอะแกกกก”


     

    “จริง พี่ธาราก็หล๊ออหล่อ ไอ้วาก็โคตรน่ารัก ดูดิ มีลักยิ้มด้วย เคมีดีไม่ไหววว”


     

    “555 ชมเกินไปมั้ย อีกนิดเราจะลอยติดเพดานละนะ” 


     

          ผมไม่ซีเรียสเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว เห็นเพื่อนๆมีความสุขเพราะผมก็ยิ่งดีใจ เป็นห่วงก็แต่พี่ธารานี่แหละโดนจับจิ้นกับเด็กเมื่อวานซืนที่ไหนก็ไม่รู้ หวังว่าเค้าคงจะไม่ได้สนใจอะไรมันมากและมองข้ามๆมันไปซะแล้วกันนะ






     

    19:32 น.


     

          ตะวันตกดินไปได้ค่อนชั่วโมงส่งผลให้ท้องฟ้าแปลเปลี่ยนเป็นมืดสนิท แต่แน่นอนว่าในย่านที่มีผู้คนชุกชุมโดยเฉพาะในยามราตรีที่ไม่มีแสงแดดมากวนใจแต่ยังมีแสงไฟนีออนอาสาทำหน้าที่แทน ร้านค้าบริเวณใกล้มหาลัยส่วนใหญ่จะเปิดจนถึงเกือบห้าทุ่มเพื่อให้บริการนักศึกษาที่ชอบหิวโหยตอนดึก เช่นเดียวกับร้านที่วาทำงานอยู่  


     

    “เชิญเลือกเมนูได้เลยนะครับ”


     

          วาเอ่ยต้อนรับลูกค้าทั้งที่ไม่ได้เงยขึ้นไปมองหน้าเนื่องจากยังคงง่วนอยู่กับการเช็ดโต๊ะที่เลอะเปรอะเปื้อนอยู่  เห็นดังนั้น ‘นุ่น’พนักงานฝาแฝดผู้พี่จึงอาสาไปยืนรับเมนูที่หน้าเค้าเตอร์แทน



     

    “รับอะไรดีคะลูกค้า” 


     

    “คาปูชิโน่เย็นหวานน้อยครับ”


     

    “คาปูชิโน่เย็น…หวานน้อยนะคะ 55บาทค่ะ” 


     

    “อีกแก้วเอาเป็น สตรอว์เบอรี่ลาเต้แล้วกันค่ะ”


     

    “ได้ค่ะ  สตรอว์เบอร์รี่ลาเต้ 50 บาทค่ะ”


     

          ธันวาที่เช็ดโต๊ะเสร็จพอดีเลยได้ฤกษ์นั่งพักโดยหันหน้าไปทางหน้าร้านทำให้สายตาปะทะเข้ากับดวงตาอีกคู่ที่จ้องกันอยู่ก่อนแล้วพอดี


     

           พี่ภีม? 


     

           เขายืนจ้องหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปคุยกับผู้หญิงที่มาด้วยกัน ผมกำลังจะก้มหัวให้อยู่แล้วเชียวแต่เขาดันหันหน้าหนีไปซะก่อน จะหาว่าผมเป็นเด็กไม่มีมารยาทไม่ได้นะ


     

          แน่นอนว่าสองออเดอร์นั้นผมกับพี่นีช่วยกันทำ อยากจะแกล้งใส่เกลือลงในกาแฟเหมือนกันนะ อยากรู้ว่าพี่ภีมจะมีสีหน้าอื่นนอกจากทำหน้านิ่งๆรึเปล่า แต่คงได้แค่คิด ถ้ายังไม่อยากหน้าช้ำกลับบ้านอยู่เฉยๆไว้จะดีกว่า


     

    “ได้แล้วค่ะคุณลูกค้า…วามาทอนเงิน พี่รับโทรศัพท์แปปนึง”


     

    “ครับพี่”


     

          โอ้ยย อึดอัดโว้ย  วันนี้เพิ่งจะเหยียบตีนกันไปหยกๆ พอตกเย็นดันมาเจอกันอีก ทักไปเลยแล้วกัน เรามันคนอัธยาศัยดีอยู่แล้ว! เอาเว้ย!


     

    “ยังไม่กลับบ้านหรอครับพี่ภีม?”


     

    “…อืม”  โห เย็นชาได้อีก ถอนคำพูดทันมั้ย เสียดายน้ำลายขึ้นมาเลย 


     

    “ภีมรู้จักน้องเค้าหรอคะ”


     

          ร่างสูงดูดน้ำไปด้วยพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ


     

    “เอ่อ……งั้นเราไปกันเถอะค่ะ”


     

    “…” เอ้า!  ผมเพิ่งเคยรับรู้ถึงคำว่า ‘หน้าชา’ ก็วันนี้แหละ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ชาแค่หน้าแต่ชาไปทั้งตัวเลยต่างหาก 


     

    “เป็นอะไรวา ยืนนิ่งเชียว”


     

    “ม…ไม่มีอะไรครับ”


     

    จำไว้เลยนะ ถ้าไม่สนิท วาคนนี้จะไม่ทักใครก่อนอีกแล้ว! 


     

    .

    .

    .




     

         วันถัดมาผมไม่ได้มีเรียนในคาบบ่ายแต่เพื่อนๆกลุ่มเดิมนัดให้อยู่ต่อและมาทำงานกันที่ชั้นห้าของอาคารเพื่อสานต่อรายงานกลุ่มให้เสร็จนับว่าเพื่อนๆกลุ่มนี้ทุกคนค่อนข้างมีความรับผิดชอบกันมากพอสมควร คนที่เหมาะจะเป็นตัวภาระที่สุดก็น่าจะเป็นผมนี่แหละที่หัวดีไม่เท่าคนอื่น


     

    “เมื่อไหร่แกจะพาพี่วินมาให้พวกชั้นรู้จักอะ รอนานแล้วเนี่ยยย” ฟ้าโวยวายแต่ใช้น้ำเสียงออดอ้อนเพื่อขอความเมตตา


     

    “โทษทีนะ เราเองก็ไม่ค่อยได้ติดต่อมันเหมือนกัน ไว้เจอจะรีบไปลากตัวมาเลย”


     

    “ดีมากก”


     

    “เฮ้ย ชั้นลืมข้อมูลที่ปริ๊นมาไว้ข้างล่างอะ…โห่ คนยิ่งขี้เกียจๆอยู่ ” จีจ้าทำหน้าบูดบึ้งขัดใจกับนิสัยขี้ลืมของตัวเอง


     

    “เดี๋ยวเราไปเอาให้ก็ได้ เมื่อยๆอยู่พอดี”


     

    “จริงหรออ แกเนี่ยเป็นเพื่อนที่น่ารักตลอดเลยย”จีจ้าส่งสายตาเป็นประกายมาให้พร้อมกับคำยกยอปอปั้น ซึ่งวาก็รู้ถึงพฤติกรรมปลอมๆของเพื่อนรักตัวแสบคนนี้ดี


     

    “รู้ตัวครับ”


     

    “รีบไปรีบมาน้า”


     

    “เออ”


     

         ผมเดินมาหยุดอยู่ที่ลิฟต์เพื่อจะลงไปชั้นล่างแต่แล้วคนที่ผมไม่อยากเจอที่สุดกลับมายืนอยู่ด้านหลัง รังสีความหล่อของเขาบดบังผมจนมิด ผมกำลังจะเอ่ยสวัสดีแต่พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานก็ต้องพับเก็บมารยาทเข้าไปดังเดิม อยู่เงียบๆไว้น่าจะดีกว่าสำหรับรุ่นพี่คนนี้


     

         พอลิฟต์เปิดผมชิงเดินเข้าไปก่อนเพราะผมมายืนก่อนแต่เขาดันเบียดเข้ามาจังหวะเดียวกันซะงั้นยังดีที่ประตูกว้างพอไม่งั้นผมคงโดนว่าเอาได้ว่าหาเรื่องรุ่นพี่


     

         ผมจ้องไปที่หมายเลขที่โชว์ตำแหน่งชั้นที่เราอยู่ กับอีแค่ชั้นห้าถึงชั้นหนึ่งทำไมมันนานแบบนี้


     

    ตึง!!


     

    “เฮ้ย!”


     

          อย่าบอกนะว่า…


     

    “ลิฟต์ค้าง” ภีมพูดสิ่งที่วาคิดออกมาแทนเจ้าตัวเป็นที่เรียบร้อย


     

          ผมกดไปที่ปุ่มฉุกเฉิน ไม่แน่ใจว่าต้องกดแช่ค้างหรือว่ากดทีเดียวแต่ผมก็เลือกที่จะกดแช่ไว้ กันไว้ดีกว่าแก้ ถ้าไม่มีคนได้ยินนั่นคงจะแย่ยิ่งกว่า


     

    “พอแล้ว เอามือออกมา”


     

        มือหนาจับข้อมือที่ไม่ยอมห่างจากปุ่มฉุกเฉินให้กลับมาอยู่ข้างกายเจ้าของๆมันแล้วถึงปล่อยให้เป็นอิสระ


     

          ถ้าติดลิฟต์กับคนอื่นผมคงโวยวายลั่นลิฟต์ไปแล้ว แต่ติดกับพี่ภีมมันยิ่งกว่าติดกับครูฝ่ายปกครองซะอีก คนอะไรมนุษย์สัมพันธ์ไม่ดีเหมือนหน้าตาเลย


     

    “เดี๋ยวก็คงมีคนมาช่วย” ร่างสูงเอ่ยขึ้นขัดขึ้นท่ามกลางความเงียบแต่หลังจากนั้นอีกหลายนาทีก็ยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิมเมื่อวาไม่คิดจะปริปากคุยกับคนที่เมินเขาเป็นครั้งที่สอง


     

    “…”

     

         


     

    “โกรธพี่หรอ?”


     

    “…ครับ?” ผมถึงกับต้องหันไปดูว่าเขาคุยโทรศัพท์อยู่รึเปล่า จู่ๆคำถามไม่คาดคิดก็ผุดขึ้นมาทำเอาผมไปไม่เป็น


     

    “ทำไมถึงไม่พูดด้วย?”


     

    “เปล่าครับ…ผมแค่คิดว่าพี่ไม่อยากคุยกับผม”


     

    “เพราะเรื่องเมื่อวาน?”


     

    “ครับ”


     

    “หึ…พอดีเพิ่งนึกออกทีหลังน่ะ ว่าเป็นเพื่อนไอ้วิน”


     

    “อ่อไม่เป็นไรครับ” รู้สึกเหมือนได้เก็บเศษหน้าที่เคยแตกขึ้นมาประกอบกลับให้เข้าที่เลย 


     

    “อืม”



     

          เอาแล้วไง พอเป็นแบบนี้ผมต้องหาเรื่องมาคุยต่อไหม?  แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้แง้มปากก็ได้ยินเสียงพี่รปภจากด้านนอกใกล้ๆนี้


     

    “ช่วยด้วยครับ!”


     

          พอประตูถูกงัดออกผมถึงรู้ว่าเราค้างอยู่ที่กึ่งกลางระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสอง โถ่เอ๊ยจะถึงอยู่แล้วยังจะค้างอีกนะ


     

    “น้อง!…ค่อยๆปีนออกมาทีละคนนะ”


     

    “…ไปก่อนเลย” 


     

          อ้าว ชิบหายล่ะสิ แค่ผมจินตนาการภาพที่ตัวเองกำลังปีนออกแล้วลิฟต์เกิดหล่นลงจนร่างตัวเองขาดท่อนก็เหงื่อแตกแล้ว สยองชะมัด


     

    “กลัวหรอ?”


     

    “เปล่าครับ” ผมทำใจเฮือกใหญ่ก่อนจะก้าวไปยืนอยู่ตรงรูทางออกแต่แขนกลับโดนเค้าดึงไปยืนด้านหลังเหมือนเดิมแล้วกลายเป็นเค้าก้าวไปยืนที่ผมแทน


     

         พี่ภีมทำการปีนออกไปก่อนอย่างรวดเร็วเสมือนเคยติดลิฟต์มาแล้วสิบครั้ง ทีนี้ก็ตาผมแล้วสินะ พ่อครับช่วยผมด้วยนะครับ 


     

    “ฮึบ…”


     

         แขนทั้งสองข้างขอผมถูกดึงพร้อมกันจนตัวผมแทบจะลอยออกไปในทีเดียว ข้างนึงเป็นพี่ภีมส่วนอีกข้างเป็นพี่ที่มาช่วย


     

    “กลัวแย่เลยสิ ปกติลิฟต์ตัวนี้มันไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ ไม่รู้เป็นอะไรกันแน่ของต้องรอคนเชี่ยวชาญกว่านี้มาตรวจดูละ” 


     

    “ขอบคุณลุงมากนะครับ” 


     

    “อืม ไม่เป็นไรกันก็ดีแล้ว”


     

    “วา!! เป็นอะไรมั้ย” เสียงเพื่อนสาวดังลั่นมาแต่ไกลตั้งแต่ตัวยังไม่โผล่จนวาต้องหันไปดู


     

    “555วิ่งมาเลยหรอ เราไม่เป็นไร”


     

    “เห็นแกหายไปนาน พอเดินมาตามเห็นมีคนบอกว่าลิฟต์กำลังค้างชั้นก็รีบเดินหาเลยแล้วก็เป็นแกจริงๆด้วย”


     

    “โอ๋ๆ เราไม่เป็นไร พี่เค้ามาช่วยแล้ว”


     

    “ขอบคุณนะคะที่ช่วยเพื่อนหนู อุ๊ย…” จีจ้าที่หันไปขอบคุณพี่ที่มาช่วยแต่ดันหันไปเจอภีมแบบไม่ทันตั้งตัวถึงกับหลุดอุทานออกมา

     

    “ผมไปก่อนนะครับ” ผมหันไปบอกเค้าเป็นมารยาทแล้วพาจีจ้าที่ยังเขินบิดไม่เลิกให้เดินตามกันออกมา




     

    “แกติดลิฟต์กับพี่เค้าหรอ?”


     

    “อืม”


     

    “โห ทำบุญวัดไหนอะ พาชั้นไปทำมั่งดิ”


     

    “วัดข้างๆนี่แหละ ไปมั้ยล่ะ”


     

    “ล้อเล่นน่า ใครจะไปอยากติดลิฟต์ ถึงจะติดกับมาริโอ้ชั้นก็ไม่เอาด้วยหรอก เกิดติดจนไม่ได้ออกกลายเป็นผีเฝ้าลิฟต์ขึ้นมาทำไง”


     

    “55555”





     

          








     

    วันเลี้ยงรุ่น



     

          วันนี้พี่ต้นบอกให้ผมรออยู่ที่หน้าตึกเรียนเดี๋ยวจะมารับไปงานเลี้ยงรุ่นด้วยกันเพราะผมบอกเค้าไปว่าไม่มีรถส่วนตัว นั่นเลยส่งผลให้ผมที่เลิกเรียนมาสามชั่วโมงแล้วแต่ยังนั่งอยู่ที่เดิมให้ยุงกัดเล่นๆ เรื่องของเรื่องก็แค่ขี้เกียจเดินเท้ากลับไปกลับมาระหว่างหอกับม.ก็เท่านั้น จริงๆแท็กซี่กับวินมอเตอร์ไซก็มีแต่ผมไม่อยากเสียเงินหรือเรียกง่ายๆว่า’งก’นั่นเองครับ  ระหว่างรอผมเลยอาศัยทำการบ้านของวันนี้ไปพลางๆแก้เหงา



     

    “วา!”


     

    “อ้าวพี่ต้น มาแล้วหรอครับ”


     

    “เออ นี่มึงรอพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย อย่าบอกนะว่าตั้งแต่เลิกเรียน”


     

    “ไม่ใช่ครับ ผมกลับหอไปแล้วเพิ่งออกมารอพี่เมื่อกี๊เองครับ”


     

    “อ่อ แล้วไป นึกว่ารอตั้งแต่บ่าย ยุงกัดตายเลย ยุงคณะเรายิ่งดุๆอยู่ด้วย” 


     

          จริงๆก็โดนไปหลายทีแล้วล่ะ ผมโกหกไปก่อนพี่ต้นจะได้สบายใจ 


     

    “แล้วนี่ไม่เปลี่ยนชุดหรอ?”


     

    “เอ่อ..ไม่ครับ ผมแต่งตัวไม่เก่งไปชุดนักศึกษาเลยดีกว่า”


     

    “อ่อ ปะ ขึ้นรถกัน”


     

    “ครับพี่”


     

           พาหนะสี่ล้อจอดเทียบที่ลานจอดรถในสถานบันเทิง ปลายทางของทั้งคู่คืองานเลี้ยงรุ่นที่จัดในส่วนของห้องอาหารส่วนตัว 


     

          ต้นที่รู้ตำแหน่งอย่างดีเป็นคนนำรุ่นน้องที่อายุเท่ากันเข้าไปด้านใน กว่าจะถึงส่วนที่เป็นห้องอาหารต้องผ่านส่วนที่เป็นผับและบาร์ไปก่อน ธันวาที่เคยมาที่แบบนี้เป็นครั้งแรกหูตาพองตื่นตาตื่นใจกับเสียงเพลงและแสงสีรอบด้านจนเกือบหลง ยังดีที่คนเดินนำหันมาเรียกเอาไว้ก่อน


     

    “ดูมึงตื่นเต้นจังนะ เพิ่งเคยมาหรอ?”


     

    “ครับ ครั้งแรกเลย”


     

    “ปีหนึ่งอย่างงี้แหละ ลองปีสองปีสามดิ สิงจนเจ้าของร้านจะให้เป็นหุ้นส่วน”


     

    “5555ครับ”


     

          เดินคุยกันไม่นานก็ถึงห้องที่จองเอาไว้ ภาพที่ผมคิดคือเปิดเข้าไปแล้วต้องเจอคนมากหน้าหลายตานั่งกันอยู่เต็มโต๊ะ แต่ผิดคาด……


     

    “ห…ห้องนี้หรอครับ? ทำไมไม่มีคนเลย”


     

    “ใช่ ห้องนี้แหละถูกแล้ว เราสองคนเด็กสุดก็ต้องมาเอาห้องก่อนแบบนี้แหละ มันเป็นธรรมเนียม”


     

    “อ่อครับ”




     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×