ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เรื่องเล่า
    อามายากิ  ไฮกุ  คือชื่อของผม ผมจบมหาลัยมาได้ ปีกว่าแล้วแต่ช่วยไม่ได้นิ ที่ญี่ปุ่นมันก็เงี้ย ทุกคนแข่งกันทำงาน ทำงาน ทำงาน
ทำงาน นี่คือชีวิตของคนที่นี่ ผมหลังจากจบมาก็ไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่หรอกมีแต่ทำงานพิเศษเล็กๆน้อยพอยาใส้ แม่ผมก็บ่บเช้าบ่นเย็นว่า
\"แกจะรอให้ชั้นตายก่อนใช่ไหมแกถึงจะยุรยาทไปทำงาน\"  ไม่รู้ว่าแม่ไม่เบื่อรึไงพูดแต่คำเดิมๆทุกครั้งที่เจอผม แต่ตอนนี้แม่คงหายบ่นแถม
ภูมิใจชั้นไปอีกนาน ก้ทำไมนะเหรอ ก็ผมมีงานเป็นหลักเป็นแหล่งแล้วนะซิ ผมได้ทำงานเป็นนักข่าวของคอลัมแห่งหนึ่งที่รายงาน
เกี่ยวกับเรื่องผีๆๆสางๆๆ บางคนก็ถามผมไม่กลัวเหรอ ผมก็ตอบด้วยความมั่นใจว่าไม่กลัว ก็ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห้นผีเลยนี่นา
(ผมกลัวตกงานมากกว่า) งานนี้แหละที่ทำให้ผมต้องถ่อสังขาลจากเกียวโตมาที่นารา เพราะสายผมมันบอกว่ามีเหตุการณ์แปลกๆมาจากที่นั่น
\"แอ็ด\"  ผมผลักประตูบ้านโบราณ ทรงญี่ปุ่นสมัยโมจิ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันหลงเหลือมาถึงยุคปัจจุบันได้ไง ทั้งที่บ้านข้างนั้นแทบเป็น
ซากป๋ยได้แล้ว แต่บ้านหลังนี้กลับยังดูดี รางกับมีชีวิต
\"มีใครอยู่ไหม ครับ\" ผมพูดตามมารยาทไปงั้นแหละ ก็รุ้ดีว่าไม่มีหมาไหนมันมาอยู่บ้านร้างหลอก
ผมเดินเข้าไป ภายในมีแต่กลิ่นอับ และความมืด ผมส่องไฟฉายไปตามซอกมุมต่างๆ  มันก็มีแค่ข้าวของเครื่องใช้ธรรมดา เช่น โต๊ะ ตู้ เก้าอี้
อะไรเถือกนี้แหละไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน ก่อนมาผมก้ทำใจแล้วแหละว่าบางทีอาจไม่มีก็ได้ เพราะที่ที่ผมไปส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องเล่าข่าว
ลืออะไรเถือกนั้นแหละ ไม่เห็นจะเจอเรื่องจริงซักที แต่เอะก็มีอยู่ที่นึงเหมือนกัน วันนั้นจำได้ว่าผมได้ข่าวมาจากเพื่อนผมคนหนึ่งว่า
มีตึกอยู่หลังหนึ่งใกล้ๆแถวนี้นี่แหละ ชั้นที่สาม แปลกที่จะมีห้องน้ำอยู่ 2 ที่ซึ่งชั้นอื่นมีอยู่แค่ที่เดียวคือสุดบันใดทางด้านขวาผมก็อยู่ตรงกลาง
ของตัวตึกห่างจากห้องพัก 203 เล็กน้อย มีเรื่องเล่าว่าถ้าหากเราสวดมนต์ ด้วยคำพูดว่า kai kakigi ซ้ำไปซ้ำมาเท่าอายุตัวเองหน้าห้อง 203
แล้วเข้าห้องน้ำ ก็จะพบผู้หญิงลึกลับที่มีแต่ตาข้างเดียว ผมเงี้ยเจอเลยแบบจะๆๆ แต่ขอโทษไอ้ผู้หญิงตาเดียวที่มันเล่ากันอะกลับเป็นคนสอง
ตาที่ใส่หน้ากากตาเดียว ผมเงี้ยะเซ็งเลย  แล้วไอ้ที่เห็นผมชอบลองของอยากเจอผีไม่ใช่ผมพิศวาสอยากเจอผีหรอก  แต่ไอ้บ.ก.บ้ามันบอก
ให้ผมไปพิสูจน์ว่าผีมีจริงรึเปล่า    งืมๆๆเล่ามาตั้งนากลับเข้าเรื่องต่อดีกว่า ผมเก็บรูปตามที่พวกชาวบ้านกล่าวอ้าง
1.โต๊ะเครื่องแป้งที่ห้องที่ติดบันใดใกล้ห้องเก้บของ  มีผู้ดูแลกล่าวอ้างว่า ใครก็ตามที่แตะต้องหวีจะได้รับรู้กับคำสาปที่ไม่มีวันแก้ไข
ผมนึกถึงหน้าลุงคนนั้นแล้วก็นึกขัน ก็ลุงแกพูดอย่างเดียวขอร้องให้อย่าจับหวีท่าเดียวแกบอกว่าเพื่อนแกมันไม่เชื่อจับแล้วยังไม่พอแต่ยังหวี
อีกต่างหากพร้อมกับพูดเชิงท้าทายว่า  \"ผีอะไรผีหวีเหรอ\"เพื่อนแกพูดแล้วหัวเราะ ไม่ทันที่เพื่อนแกจะวางหวีแกบอกว่ามีมือมาจากไหนไม่รู้
ดึงหัวเพื่อนแกไปกระทบกับตู้ แต่ที่เด็ดกว่านั้นตู้ที่แข็งแรงและหนักอึ้งล้มดังโครมทับหัวเพื่อนแกแบะตายคาที่ แกบอกว่าขนาดตอน
จะเอาตู้ออกคน 5 คนยังยกไม่ไหวเลย แกจึงย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าจับ  ผมมองไปที่ตู้ด้วยท่าทางสยดสยอง แล้วก็กดชัตเตอร์
2.ห้องชงชา จากคำบอกเล่าของปู่แก่ๆที่เป็นเจ้าของบ้านที่นี่ แกบอกว่าในห้องชงชาจะมีกระบวยชงชาอันหนึ่งที่เป็นของแม่แกแกบอกว่า
ตอนที่แม่แกตาย แม่แกตายในห้องนี้แหละ  แกกำกระบวยอันนี้แน่น ปู่แกก็บอกว่าไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน
ขนาดตอนจะนำไปฝังยังแกะเอากระบวยอันนี้ไม่ออกเลยจนต้องจำใจเอาฝังไปด้วย แต่ไม่รู้เพราะอะไรอยู่ๆกระบวยอันนี้
ก็มาปรากฎที่บ้านแก  คนในบ้านแกถึงกับหน้าซีดเมื่อพบกระบวยอันนี้ ตอนแรกก็ไม่มีอะไรหรอกแกเล่า แต่นานๆเข้าเหมือนกับกระบอกอันนี้
มีชีวิต มันปรากฎทุกๆที่ภายในบ้าน  ทุกคนเริ่มกลัวกับเหตุการณ์แปลกๆ แต่นั่นยังน้อยไป ในวันที่แม่แกตายไปครบ 1 ปี
กลางคืนของวันนั้นเวลาประมาณ  ตี 1 ทุกคนในบ้านถูกปลุกด้วยเสียงเรียก ทำให้ทุกคนเดินตามหาเสียงประหลาด
ทุกคนถึงกับตาค้างเมื่อเห็นแม่ของปู่กำลังชงชาสีเลือดแล้วเรียกชื่อทุกคนราวก็ทำคำสาป หลังจากเหตูการณ์นั้น
ไม่นานคนในบ้านเริ่มสูญหายไปทีละคนจนเหลือแกกับหลานสาว แกจึงไปหาคนทรงเจ้าให้ทำพิธีแล้วก็ย้ายออกจากบ้านหลังนั้นทันที่ ผมฟัง
เรื่องเล่าแกแล้วดูโม้ๆไงไม่รู้ แต่ก้ถ่ายกระบวยอันนั้น
 
แต่เอะผมตาฝาดรึเปล่ารู้สึกว่ากระบวยมันเปลี่ยนที่นะ คงไม่หลอก ผมปลอบใจตัวเอง
ผมเดินไปกำลังจะออกจากบ้านเพราะทำงานเสร็จแล้ว แต่เอะเหมือนมีใครเดินผ่านนะ ผมเปลี่ยนใจที่จะกลับบ้านเป้นเดินไป
ที่ห้องใต้หลังคาที่ติดกับห้องชงชา ผมเห็นผู้หญิงอายุน่าจะราวๆ30กว่า ผมยาวๆเดินไปที่นั่น
ในขณะที่ผมกำลังให้ความสนใจกับผู้หญิงคนนั้น อยู่ก็มีมือที่ไหนมาแตะที่บ่าผม
\"ว๊ากกกกกกกกกกกก  \"ผมแหกปากตะโกนสุดเสียงแล้วก็เป็นลมสลบไป
ทำงาน นี่คือชีวิตของคนที่นี่ ผมหลังจากจบมาก็ไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่หรอกมีแต่ทำงานพิเศษเล็กๆน้อยพอยาใส้ แม่ผมก็บ่บเช้าบ่นเย็นว่า
\"แกจะรอให้ชั้นตายก่อนใช่ไหมแกถึงจะยุรยาทไปทำงาน\"  ไม่รู้ว่าแม่ไม่เบื่อรึไงพูดแต่คำเดิมๆทุกครั้งที่เจอผม แต่ตอนนี้แม่คงหายบ่นแถม
ภูมิใจชั้นไปอีกนาน ก้ทำไมนะเหรอ ก็ผมมีงานเป็นหลักเป็นแหล่งแล้วนะซิ ผมได้ทำงานเป็นนักข่าวของคอลัมแห่งหนึ่งที่รายงาน
เกี่ยวกับเรื่องผีๆๆสางๆๆ บางคนก็ถามผมไม่กลัวเหรอ ผมก็ตอบด้วยความมั่นใจว่าไม่กลัว ก็ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห้นผีเลยนี่นา
(ผมกลัวตกงานมากกว่า) งานนี้แหละที่ทำให้ผมต้องถ่อสังขาลจากเกียวโตมาที่นารา เพราะสายผมมันบอกว่ามีเหตุการณ์แปลกๆมาจากที่นั่น
\"แอ็ด\"  ผมผลักประตูบ้านโบราณ ทรงญี่ปุ่นสมัยโมจิ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันหลงเหลือมาถึงยุคปัจจุบันได้ไง ทั้งที่บ้านข้างนั้นแทบเป็น
ซากป๋ยได้แล้ว แต่บ้านหลังนี้กลับยังดูดี รางกับมีชีวิต
\"มีใครอยู่ไหม ครับ\" ผมพูดตามมารยาทไปงั้นแหละ ก็รุ้ดีว่าไม่มีหมาไหนมันมาอยู่บ้านร้างหลอก
ผมเดินเข้าไป ภายในมีแต่กลิ่นอับ และความมืด ผมส่องไฟฉายไปตามซอกมุมต่างๆ  มันก็มีแค่ข้าวของเครื่องใช้ธรรมดา เช่น โต๊ะ ตู้ เก้าอี้
อะไรเถือกนี้แหละไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน ก่อนมาผมก้ทำใจแล้วแหละว่าบางทีอาจไม่มีก็ได้ เพราะที่ที่ผมไปส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องเล่าข่าว
ลืออะไรเถือกนั้นแหละ ไม่เห็นจะเจอเรื่องจริงซักที แต่เอะก็มีอยู่ที่นึงเหมือนกัน วันนั้นจำได้ว่าผมได้ข่าวมาจากเพื่อนผมคนหนึ่งว่า
มีตึกอยู่หลังหนึ่งใกล้ๆแถวนี้นี่แหละ ชั้นที่สาม แปลกที่จะมีห้องน้ำอยู่ 2 ที่ซึ่งชั้นอื่นมีอยู่แค่ที่เดียวคือสุดบันใดทางด้านขวาผมก็อยู่ตรงกลาง
ของตัวตึกห่างจากห้องพัก 203 เล็กน้อย มีเรื่องเล่าว่าถ้าหากเราสวดมนต์ ด้วยคำพูดว่า kai kakigi ซ้ำไปซ้ำมาเท่าอายุตัวเองหน้าห้อง 203
แล้วเข้าห้องน้ำ ก็จะพบผู้หญิงลึกลับที่มีแต่ตาข้างเดียว ผมเงี้ยเจอเลยแบบจะๆๆ แต่ขอโทษไอ้ผู้หญิงตาเดียวที่มันเล่ากันอะกลับเป็นคนสอง
ตาที่ใส่หน้ากากตาเดียว ผมเงี้ยะเซ็งเลย  แล้วไอ้ที่เห็นผมชอบลองของอยากเจอผีไม่ใช่ผมพิศวาสอยากเจอผีหรอก  แต่ไอ้บ.ก.บ้ามันบอก
ให้ผมไปพิสูจน์ว่าผีมีจริงรึเปล่า    งืมๆๆเล่ามาตั้งนากลับเข้าเรื่องต่อดีกว่า ผมเก็บรูปตามที่พวกชาวบ้านกล่าวอ้าง
1.โต๊ะเครื่องแป้งที่ห้องที่ติดบันใดใกล้ห้องเก้บของ  มีผู้ดูแลกล่าวอ้างว่า ใครก็ตามที่แตะต้องหวีจะได้รับรู้กับคำสาปที่ไม่มีวันแก้ไข
ผมนึกถึงหน้าลุงคนนั้นแล้วก็นึกขัน ก็ลุงแกพูดอย่างเดียวขอร้องให้อย่าจับหวีท่าเดียวแกบอกว่าเพื่อนแกมันไม่เชื่อจับแล้วยังไม่พอแต่ยังหวี
อีกต่างหากพร้อมกับพูดเชิงท้าทายว่า  \"ผีอะไรผีหวีเหรอ\"เพื่อนแกพูดแล้วหัวเราะ ไม่ทันที่เพื่อนแกจะวางหวีแกบอกว่ามีมือมาจากไหนไม่รู้
ดึงหัวเพื่อนแกไปกระทบกับตู้ แต่ที่เด็ดกว่านั้นตู้ที่แข็งแรงและหนักอึ้งล้มดังโครมทับหัวเพื่อนแกแบะตายคาที่ แกบอกว่าขนาดตอน
จะเอาตู้ออกคน 5 คนยังยกไม่ไหวเลย แกจึงย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าจับ  ผมมองไปที่ตู้ด้วยท่าทางสยดสยอง แล้วก็กดชัตเตอร์
2.ห้องชงชา จากคำบอกเล่าของปู่แก่ๆที่เป็นเจ้าของบ้านที่นี่ แกบอกว่าในห้องชงชาจะมีกระบวยชงชาอันหนึ่งที่เป็นของแม่แกแกบอกว่า
ตอนที่แม่แกตาย แม่แกตายในห้องนี้แหละ  แกกำกระบวยอันนี้แน่น ปู่แกก็บอกว่าไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน
ขนาดตอนจะนำไปฝังยังแกะเอากระบวยอันนี้ไม่ออกเลยจนต้องจำใจเอาฝังไปด้วย แต่ไม่รู้เพราะอะไรอยู่ๆกระบวยอันนี้
ก็มาปรากฎที่บ้านแก  คนในบ้านแกถึงกับหน้าซีดเมื่อพบกระบวยอันนี้ ตอนแรกก็ไม่มีอะไรหรอกแกเล่า แต่นานๆเข้าเหมือนกับกระบอกอันนี้
มีชีวิต มันปรากฎทุกๆที่ภายในบ้าน  ทุกคนเริ่มกลัวกับเหตุการณ์แปลกๆ แต่นั่นยังน้อยไป ในวันที่แม่แกตายไปครบ 1 ปี
กลางคืนของวันนั้นเวลาประมาณ  ตี 1 ทุกคนในบ้านถูกปลุกด้วยเสียงเรียก ทำให้ทุกคนเดินตามหาเสียงประหลาด
ทุกคนถึงกับตาค้างเมื่อเห็นแม่ของปู่กำลังชงชาสีเลือดแล้วเรียกชื่อทุกคนราวก็ทำคำสาป หลังจากเหตูการณ์นั้น
ไม่นานคนในบ้านเริ่มสูญหายไปทีละคนจนเหลือแกกับหลานสาว แกจึงไปหาคนทรงเจ้าให้ทำพิธีแล้วก็ย้ายออกจากบ้านหลังนั้นทันที่ ผมฟัง
เรื่องเล่าแกแล้วดูโม้ๆไงไม่รู้ แต่ก้ถ่ายกระบวยอันนั้น
 
แต่เอะผมตาฝาดรึเปล่ารู้สึกว่ากระบวยมันเปลี่ยนที่นะ คงไม่หลอก ผมปลอบใจตัวเอง
ผมเดินไปกำลังจะออกจากบ้านเพราะทำงานเสร็จแล้ว แต่เอะเหมือนมีใครเดินผ่านนะ ผมเปลี่ยนใจที่จะกลับบ้านเป้นเดินไป
ที่ห้องใต้หลังคาที่ติดกับห้องชงชา ผมเห็นผู้หญิงอายุน่าจะราวๆ30กว่า ผมยาวๆเดินไปที่นั่น
ในขณะที่ผมกำลังให้ความสนใจกับผู้หญิงคนนั้น อยู่ก็มีมือที่ไหนมาแตะที่บ่าผม
\"ว๊ากกกกกกกกกกกก  \"ผมแหกปากตะโกนสุดเสียงแล้วก็เป็นลมสลบไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น