ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [อ่านฟรีตามวันที่ระบุ] จางจิ่วหลิน หยกวิเศษพลิกชะตา

    ลำดับตอนที่ #3 : แค่หินนำโชคก้อนหนึ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.ค. 66


    ตอนที่ 3 แค่หินนำโชคก้อนหนึ่ง

    หญิงชรารูปร่างผอมบางกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากตัวบ้านอย่างร้อนรนและรีบเร่ง เด็กชายตัวน้อยเห็นเช่นนั้นจึงรีบตรงเข้าประคองเพราะเกรงว่าหญิงชราจะหกล้มจนบาดเจ็บ "จิ่วหลินเอ๋อร์ หลานย่า... หยุนเต๋อร์บอกว่าเจ้าพูดได้แล้วจริงหรือ?"

    น่าหลันอวี๋หลังจากเดินมาหยุดลงตรงหน้าหลานสาววแล้วจึงรีบดึงนางเข้ามาประคองกอดอย่างยินดีพร้อมทั้งมีน้ำในตารื่นขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ

    จางจิ่วหลินสัมผัสได้ถึงความรู้สึกรักใคร่ท่วมท้นในจิตใจ นางเองก็คิดถึงท่านย่าของตนในชาติก่อนจึงอดไม่ได้ที่จะกอดตอบกลับไปอย่างไม่รู้ตัว "ข้าพูดได้แล้วท่านย่า เพียงแต่ยังเจ็บคออยู่มาก เข้าไปคุยในบ้านได้หรือไม่?" ว่าพลางลุกขึ้นจากแคร่แล้วจูงมือย่าอวี๋เดินตรงเข้าไปในบ้าน เธออยากรู้เหลือเกินว่าตนเองจะต้องมาอาศัยอยู่ในที่แบบใด?

    จางหยุนเต๋อร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลได้ยินพี่สาวพูดขึ้นก็พลันหน้าแดง 'เขาลืมนำน้ำออกมาให้พี่สาว' 

    เมื่อสักครู่เขาตื่นเต้นเกินไปหน่อย ทั้งอีกใจก็ยังกลัวเกรงอยู่ไม่น้อย ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เด็กชายจะคิดเช่นนั้นเพราะตั้งแต่เกิดมาเขาก็ไม่เคยได้ยินพี่สาวพูดคำพูดที่มีความหมายออกมาเลยสักแอะเดียว จนตอนนี้ผ่านมานานถึงสี่ปีแล้ว เด็กชายพึ่งจะได้ยินจางจิ่วหลินพูดประโยคแรก ด้วยเรื่องที่หน้าตื่นตะลึงนี้ ดีแค่ไหนที่เขาไม่ร้องไห้ออกมา

    เห็นพี่สาวและท่านย่าเดินจากไป เด็กชายตัวน้อยลูบใบหน้าของตนเองเพื่อเรียกสติแล้วรีบวิ่งตามคนทั้งคู่เข้าไปในตัวบ้าน...

    บ้านแบบโบราณ เธอเคยเห็นผ่านละครพีเรียดในโทรทัศน์มาก็มาก จางจิ่วหลินหยุดชะงักที่บริเวณห้องโถง หญิงสาวที่จากอีกมิติหนึ่งกวาดตามองไปทั่วบ้านด้วยความประหลาดใจ หลังจากพินิจพิเคราะห์ดูแล้วก็สรุปได้ว่าบ้านของนางนั้นยากจนยิ่งนัก! ดูจากกำแพงรอบด้านที่ถูกก่อขึ้นมาด้วยดินเหนียวสีแดงที่ตากแดดจนซีดและร่องรอยการผุกร่อนของแผ่นผนังดินที่มีอยู่เต็มพื้นที่ทำให้เธอจำต้องกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ 

    หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ สองสามที เมื่อเรียกสติกลับมาได้ก็มองสำรวจไปที่ห้องที่เปิดโล่งบริเวณหลังบ้าน 'นี่คงเป็นห้องครัวสินะ' จางจิ่วหลินคิดแล้วรีบเดินทะลุห้องโถงของบ้านไปที่ครัวซึ่งถูกสร้างยื่นออกไปติดกับสวนผักขนาดกลางทันที หลังจากมองซ้ายขวาแล้วเจอเพียงหม้อเก่าๆหนึ่งใบ หญิงสาวจึงถอนหายใจอย่างปลงตกก่อนเดินออกไปมองแปลงผักที่ถูกขุดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ

    ผักที่บ้านรองจางปลูกนั้นมีไม่มากนัก มีเพียงกะหล่ำปลีหัวเล็กๆ ไม่กี่สิบหัว แถมใกล้ๆ กันยังปลูกต้นหอมผอมๆ ไว้เพียงสองถึงสามกอเท่านั้น ไม่มีผักอื่นๆให้เห็นอีก จางจิ่วหลินหมดความสนใจอย่างรวดเร็ว เธอตักน้ำในโอ่งด้วยกระบวยขึ้นมาดื่มช้าๆ ก่อนจะหันหน้ากลับเข้าไปในตัวบ้านแล้วพบเข้ากับสายตาที่มองตรงมาอย่างสงสัยของย่าหลานตระกูลจาง

    เนื่องจากยังทำตัวไม่ถูก หญิงสาวเลือกที่จะมองเลยพวกเขาไปก่อนแล้วทำการสำรวจข้าวของในบ้านต่อเพื่อวิเคราะห์หาหนทางปรับปรุงชีวิตของตนเองที่นี่ในอนาคต จางจิ่วหลินลูบไล้เครื่องเรือนด้วยความสนใจ

    หลังจากเดินรอบบ้านสองสามรอบอย่างรวดเร็ว เธอก็พบว่าบ้านหลังนี้มีห้องนอนอยู่เพียงสองห้องด้วยกัน ไม่รวมกับโถงกลางบ้านที่มีโต๊ะตัวเตี้ยตั้งอยู่บนฟางแห้งๆ กองหนึ่งแม้แต่เก้าอี้สักตัวก็ไม่มีให้เห็น นอกจากนี้ห้องครัวโล่งๆ นั้นมีเพียงหม้อและธัญพืชหยาบในกระสอบเล็กน้อย

    'นี่ออกจะยากจนเกินไปสักหน่อยรึเปล่านะ?' จางจิ่วหลินคิดในใจ คิ้วทั้งสองของเธอค่อยๆ ขมวดจนยับย่นอย่างเห็นได้ชัด ชาติที่แล้วหญิงสาวเป็นลูกหลานคนรวยเสียด้วยซ้ำ เธอไม่เคยลำบาก เพียงแต่ป่วยหนักวันๆ จึงได้นอนแต่บนเตียงไหนเลยจะเคยนั่งกินข้าวบนกองฟาง!

    น่าหลันอวี๋เห็นหลานสาวของนางมีใบหน้าที่บิดเบี้ยว นางคิดว่าจิ่วเอ๋อร์คงจะหิวแล้วจึงกล่าวออกมาอย่างประหม่า "มาๆ หลานย่ามานั่งตรงนี้ก่อน หิวแล้วใช่ไหม ย่าจะไปทำอะไรอร่อยๆ ให้กินนะ" หญิงชรากึ่งลากกึ่งจูงหลานสาวคนโตไปที่โต๊ะกลางบ้านพร้อมทั้งรีบนำเศษผ้าเก่าๆที่พับไว้ไม่ไกลออกมากางคลุมทับพื้นที่เต็มไปด้วยฟางเอาไว้

    จางจิ่วหลินถูกดึงให้นั่งลงเบาๆ เมื่อเห็นหญิงชรากำลังเตรียมตัวจะไปทำอาหาร เธอรีบคว้าตัวน่าหลันอวี๋เอาไว้ก่อนจะกล่าวรั้ง "ท่านย่าท่านนั่งลงก่อนเถอะ ข้ายังไม่หิว ยังมีเวลาให้ท่านทำกับข้าวเลี้ยงข้าอีกมาก ว่าแต่... ท่านพ่อท่านแม่ออกไปทำงานที่ทุ่งนาหรือเจ้าคะ?" 

    เมื่อถามจบ หญิงสาวก็ต้องตกใจทันทีเมื่อพบว่าเธอได้คว้าจับท่อนแขนที่ผอมแห้งของหญิงชราเอาไว้ สัมผัสที่ได้รับมีเพียงหนังและกระดูก ก่อนหน้านี้เธอเคยคิดว่ามือของตนเองนั้นผอมแห้งเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับแขนของย่าอวี๋แล้ว หญิงชรากลับทั้งผอมและแห้งมากยิ่งกว่าเธอเป็นเท่าตัว

    จางจิ่วหลินสูดลมหายใจอย่างตะลึงงัน ความรู้สึกเศร้าหมองโจมตีใบหน้างดงามอย่างหนัก

    ยามเมื่อเธอมองไปที่ร่างกายของหญิงชราก็พลันเห็นอย่างได้ชัดเจนว่านางทั้งซูบเซียวและผอมบางจนคล้ายว่าทั้งร่างกายมีเพียงหนังหุ้มกระดูก แม้แต่ขอทานในชาติก่อนของเธอยังไม่ซูบเซียวถึงเพียงนี้...

    น่าหลันอวี๋ไม่ได้รู้เลยว่านางทำให้หญิงสาวในโลกอนาคตตกใจ หญิงชราปาดน้ำตาของตนเองเบาๆ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ หลานสาวอย่างว่าง่าย "อาเหวินต้องไปถอนวัชพืชที่นาของตระกูล ส่วนสะใภ้หลีออกไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำ อีกสักพักแม่ของเจ้าก็คงจะกลับมาเอาอาหารไปกินกับพ่อเจ้าที่ไร่นา"

    จางจิ่วหลินเหลือบมองทั้งคนแก่และเด็กของบ้านนี้อย่างไม่รู้ตัว จางหยุนเต๋อร์เองก็มีลำตัวที่ผ่ายผอม เด็กชายมีเพียงหัวที่โตเท่านั้นจึงทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าตนเองมีน้องเป็นถั่วงอกต้นหนึ่ง ว่าไปแล้วยามคิดถึงแวบแรกที่ตนเองเรียกเด็กชายตรงหน้าว่ากุ้งตากแห้งก็พลันนึกเสียใจ ครอบครัวนี้มีความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่จนเกินรับไหว

    เรื่องนี้จะต้องมีสาเหตุ... 

    หญิงสาวยังไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมมากนัก เธอจึงลองพูดคุยกับท่านย่าและน้องชายถึงเรื่องราวต่างๆ คาดไม่ถึงแท้จริงแล้วอาหารในแต่ละมื้อของบ้านรองจางมีเพียงน้ำต้มธัญพืชเท่านั้น แม้แต่ธัญพืชหยาบก็ถูกต้มจนละลายกลายเป็นน้ำ ได้ฟังแล้วก็สะท้อนใจ ดูแลพ่อแม่ของตนในชาตินี้คงมีรูปร่างไม่ต่างไปจากสองย่าหลานตรงหน้านี้มากนัก 

    เมื่อนึกขึ้นได้นางจึงเหลือบมองร่างกายของตนเองที่แม้จะผอมบางแต่กลับมีเนื้อมีหนังมากกว่าคนแก่และเด็กชายสองชีวิตเบื้องหน้าเสียอีก หญิงสาวหลุบตาต่ำด้วยความรู้สึกผิด คงเป็นนางที่ทำให้ครอบครัวของตนเองต้องลำบากอีกเช่นเคยสินะ 

    ทั้งชาตินี้และชาติที่ผ่านมาไม่ได้แตกต่างกันเลยสักนิด

    ไม่ใช่สิ มันแตกต่างกันเล็กน้อย...

    จริงๆแล้วชาตินี้เธอมีร่างกายที่แข็งแรง ถึงแม้จะถูกกล่าวหาว่าเป็นหญิงใบ้แต่กลับมีประโยชน์กว่าตนเองในทั้งชาติที่แล้วมากนัก หลังจากขบคิดครู่หนึ่ง จางจิ่วหลินจึงเหยียดยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ 

    ชาติที่แล้วเธอมีเวลาว่างมากมายนัก ทั้งยังชอบดูรายการเอาชีวิตรอดบนเกาะร้างอยู่เป็นประจำ เธอรู้ตัวดีว่าจะต้องมีความรู้บางอย่างเคยผ่านตามาสามารถนำมาปรับใช้ที่นี่ได้แน่ ดวงตาที่เคยหมองหม่นพลันสดใสขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง

    จางจิ่วหลินก็รู้สึกราวกับมีคนจุดประกายความหวังในการมีชีวิตรอดของเธอขึ้นมา และไม่ใช่แค่เธอที่จะมีชีวิตรอดเพียงคนเดียวเท่านั้น ในเมื่อสวรรค์ส่งครอบครัวแซ่เดียวกันกับเธอมาให้ ความรู้ของเธอจะต้องช่วยพวกเขาให้ผ่านพ้นวิกฤตขาดแคลนอาหารนี้ไปได้แน่!!

    ...

    เวลาผ่านไป ทั้งท่านย่าและจางหยุนเต๋อร์ดูเหมือนจะเริ่มมองเธอด้วยความสงสัย อาจเพราะปกติแล้วจางจิ่วหลินเป็นคนพูดมาก ยามนี้เนื่องจากพึ่งทะลุมิติมาเธอเลยตั้งคำถามถามท่านย่าและน้องชายอยู่หลายต่อหลายอย่าง อีกทั้งแต่ละอย่างยังเป็นคำถามแปลกๆเช่น 'ยุคนี้มีสิ่งที่เรียกว่าปูนไหม?' หรือ 'ย่าท่านรู้จักมันฝรั่งหรือเปล่า?' 

    ทำให้ย่าหลานที่ไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้เริ่มส่งสายตามองหลานสาวอย่างแปลกๆ รอยยิ้มของหญิงชราค่อยๆหุบลงตามจำนวนคำถามที่มากขึ้นของหญิงสาวเบื้องหน้า

    อันที่จริง... เรื่องดีๆเช่นนี้กลับน่ากลัวอย่างแปลกประหลาด

    น่าหลันอวี๋เกิดคำถามขึ้นในจิตใจครั้งแล้วครั้งเล่า นางไม่กล้าเอ่ยถามออกไปว่าเหตุใดก่อนหน้านี้จิ่วเอ๋อร์จึงไม่สามารถพูดคุยได้อย่างเช่นตอนนี้? เป็นเรื่องที่เชื่อได้ยากจริงๆ ที่คนใบ้ผู้หนึ่งอยู่ๆ บทจะพูดก็พูดได้คล่องมากเสียจนคล้ายกับคนปกติที่พูดคุยอยู่เป็นประจำ 

    เมื่อมีเวลาให้คิดและทบทวนดูดีๆ แล้วหญิงชราใจหนึ่งก็ยินดีส่วนอีกใจกลับเกรงกลัวไม่น้อย 

    คงไม่ใช่วิญญาณร้ายที่ผู้คนในหมู่บ้านมักจะกล่าวถึงใช่ไหม? คิดแล้วหญิงชราก็ร่างกายสั่นสะท้าน นางดีใจมากที่หลานสาวสามารถพูดได้ แต่ต้องไม่ใช่เพราะเป็นวิญญาณร้ายสิ่งสู่ร่างคน เช่นนั้นจิ่วเอ๋อร์ยังจะเป็นจิ่วเอ๋อร์หลานของนางอยู่อีกหรือ?

    คำตอบก็คือ ไม่ใช่!

    ทางด้านเด็กชายที่นั่งเงียบอยู่นาน จางหยุนเต๋อร์เองนั้นก็เกรงกลัวพี่สาวที่อยู่ๆ ก็พูดได้ขึ้นมาอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นเด็กชายจึงแทบจะไม่พูดตอบคำถามออกมาเลยสักคำ เขาเบียดตัวเข้าหาผู้เป็นย่าแล้วก้มหน้าลงมองพื้นตลอดการสนทนา 

    บทสนทนาหยุดชะงัก ย่าอวี๋เงียบ จางหยุนเต๋อร์ก็เงียบ บรรยากาศความเงียบเกิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน

    จางจิ่วหลินเห็นสีหน้าเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา เธอเข้าใจความรู้สึกของทั้งสองคนตรงหน้า เพราะหากเป็นตัวเธอเองก็คงตกใจไม่น้อยที่หลานสาวตัวดีผ่านมาแล้วเป็นสิบปีพึ่งจะส่งเสียงได้ จากที่ไม่เคยพูดคุยกับใครเลยบทจะพูดก็พูดขึ้นมาได้เสียอย่างนั้น คิดแล้ว หากอยากจะใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบที่นี่เธอก็จำเป็นต้องอธิบายสักหน่อยไม่เช่นนั้นทั้งสองคนคงเกิดความกลัวตัวตนของเธอเป็นแน่ 

    "ท่านย่า ท่านกลัวข้า?" จางจิ่วหลินกล่าวพลางจ้องมองเข้าไปนัยน์ตาของหญิงชรา น่าหลันอวี๋ได้ยินก็รีบหลบสายตาของหลานสาวทันที

    "ท่านไม่ดีใจที่ข้าสามารถพูดได้?" จางจิ่วหลินกล่าวขึ้นมาอีกครั้งแต่ก็มีเพียงความเงียบเป็นสัญญาณตอบกลับ 

    ตอนนี้ผู้เป็นย่าและน้องชายต่างก้มหน้าหลบสายตาของเธอกันทั้งคู่ เฮ้อ! จะทำอย่างไรให้พวกเขาเชื่อเธอดีเนี่ย? เธอมาดีไม่ได้มาร้ายเสียหน่อย เจ้าของร่างเองก็ไม่รู้ไปไหนแล้วด้วย หญิงสาวทำได้เพียงถอนหายใจอีกสองสามครั้งอย่างช่วยไม่ได้

    "จิ่วเอ๋อร์ หลานอายุเท่าไหร่?" น่าหลันอวี๋ถามคำถามขึ้นมาเบาๆ แต่หญิงชรายังคงก้มหน้าหลบสายตาอยู่เช่นเดิม

    จางจิ่วหลินคิดสักพักก่อนตอบออกไป "ตอนนี้ข้าอายุราวๆ สิบสามปีเจ้าค่ะ" หรือสิบสี่กันนะ ยุคนี้เขานับอายุรวมกับตอนอยู่ในท้องหรือเปล่าก็ไม่รู้ด้วยสิ?

    น่าหลันอวี๋ได้ยินคำตอบก็คลายสงสัยได้ส่วนหนึ่ง หญิงชราเงยหน้าขึ้นถามต่ออย่างมีความหวัง "แล้วพ่อของเจ้าล่ะชื่ออะไร?"

    "จางเหวินเจ้าค่ะ" 

    "ปู่ของเจ้าล่ะ เจ้าจดจำเขาได้หรือไม่?" ครั้งนี้น่าหลันอวี๋ถามถึงบุคคลที่นางไม่เคยเอ่ยถึงก่อนหน้านี้

    จางจิ่วหลินมีความทรงจำของเจ้าของร่างทั้งหมด ไหนเลยจะไม่รู้ว่าปู่ชั่วๆ ของเธอชื่ออะไร "ตาเฒ่าตัณหากลับจางฉือเจ้าค่ะ!!"

    พรวดดดดด 

    หลังจากได้ยินคำตอบของเธอ จางหยุนเต๋อร์ก็หลุดหัวเราะออกมาคำใหญ่ ย่าอวี๋เองก็อมยิ้มเบาๆ เช่นกันเพราะคนทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าชื่อนี้ของปู่จาง ย่าอวี๋เอามาเรียกลับหลังอยู่เป็นประจำและมีเพียงสมาชิกบ้านรองจางเท่านั้นที่รับรู้

    ใบหน้าที่ยับย่นคลี่ยิ้มออกมา เห็นได้ชัดว่าบุคคลตรงหน้านี้จะต้องเป็นหลานสาวตัวจริง!! 

    ย่าอวี๋เองถึงแม้จะตกตะลึงที่หลานสาวจะจดจำคำสบถลับๆ ของตนเองได้ แต่ความรู้สึกโล่งใจก็มีมากกว่า หญิงชรายกมือขึ้นลูบหัวนางเบาๆ ด้วยความรักและความเอ็นดู น้ำตาที่กักเก็บไหวครั้งนี้ไหลออกมาด้วยความยินดี

    จางจิ่วหลินสังเกตครอบครัวตรงหน้า ดูเหมือนท่านย่าเชื่อเธอแล้ว ผิดกับเจ้ากุ้งตากแห้งตัวน้อย เพื่อความมั่นใจเด็กชายตัวน้อยถึงกับวิ่งเข้าไปในห้องก่อนจะหยิบเอาหินสีดำก้อนหนึ่งออกมา

    จางหยุนเต๋อร์กำมันในมือแน่นก่อนกล่าว "พี่ใหญ่ท่านจำหินก้อนนี้ของข้าได้หรือไม่? ข้าเรียกเจ้านี่ว่าอะไร?" พูดจบก็ส่งสายตามองไปทางพี่สาวเช่นเธอด้วยความหวัง

    หวังว่านางจะเป็นตัวจริงและจำหินก้อนนี้ได้...

    จางจิ่วหลินอมยิ้มเล็กน้อย เธอแบมือออกไปข้างหน้าก่อนจะกล่าวตอบน้องชายเสียงดังอย่างมั่นใจ "เจ้าตัวแสบ ใช่หินของเจ้าที่ไหน นี่คือหินนำโชคของข้า! เอามานี่เลยนะหากไม่มีเจ้าหินนี่วางไว้ข้างกาย ยามนอนข้าจะนอนไม่ค่อยหลับ" เพียงพริบตาเดียว หินสีดำรูปร่างแปลกๆ ก็มาอยู่ในมือของเธอเรียบร้อยแล้ว 

    จางหยุนเต๋อร์ฉีกยิ้มกว้าง เขาวิ่งเข้ามากอดเธอเอาไว้ก่อนจะพูดเสียงเบา "พี่ตอบถูก... เช่นนั้นพี่ก็คือพี่สาวข้าจริงๆ"


    จำชื่อพ่อกับปู่ได้ยังไม่มั่นใจว่าเป็นตัวจริงเปล่า แต่จำหินได้กลับบอกว่า พี่คือพี่สาวข้าจริงๆ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย หยุนเต๋อร์น้องรัก!! 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×