คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : หญิงใบ้แห่งหมู่บ้านหนานเสียง
ตอนที่ 2 หญิงใบ้แห่งหมู่บ้านหนานเสียง
ลานบ้านรองตระกูลจาง
"พี่ใหญ่วันนี้อากาศดี ข้าจะพาท่านมานั่งเล่นใต้ต้นไม้นะ..." เด็กชายตัวน้อยใช้มือเล็กๆของเขาจับจูงมือของเธอไปบริเวณลานบ้านที่มีสายลมเย็นพัดผ่าน จางจิ่วหลินเหม่อมองเด็กชายตรงหน้าอย่างงุนงง แม้สมองจะยังทำงานไม่เต็มที่แต่เท้าของเธอกลับเดินก้าวตามเขาไปอย่างว่าง่าย ใช้เวลาเพียงครู่เดียวยามเมื่อรู้ตนเองอีกทีเธอก็นั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นบ๊วยใหญ่เรียบร้อยแล้ว
'ที่นี่คือที่ไหนกันเนี่ย?' หญิงสาวอุทานในลำคอด้วยความตกใจเมื่อได้สติ
ก่อนหน้านี้เมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา... ภาพความทรงจำสุดท้ายของเธอคือเพดานสีขาวของห้องพักพิเศษในโรงพยาบาลประจำเมืองปักกิ่งและใบหน้าเศร้าสร้อยที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของบิดามารดาตระกูลจาง เธอกำลังจะตายด้วยโรคหัวใจ ในเวลานั้นมีเพียงเครื่องให้ออกซิเจนเท่านั้นที่ยังสามารถยื้อชีวิตน้อยๆของเธอเอาไว้ได้
จางจิ่วหลินยังจำภาพฝ่ามือหนาๆ ที่กำลังใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ เพื่อปลดปล่อยเธอจากความทรมานได้อย่างแม่นยำ หลังจากหมอคนนั้นได้ถอดเครื่องช่วยหายใจของเธอออกไปแล้ว หญิงสาวไม่คาดคิดเลยว่านอกจากตนเองจะไม่ได้ตายไปเกิดใหม่ตามที่เคยได้ยินผู้คนบอกกล่าวต่อกันมาโดยตลอด วิญญาณของเธอกลับทะลุมิติมาอยู่ในร่างของคนอื่นอีก!
น่าเหลือเชื่อเกินไปไหม!?!
จางจิ่วหลินรู้สึกสับสน เธอเหลือบมองร่างเล็กๆ ของ จางหยุนเต๋อร์
น้องชายตัวน้อยของเจ้าของร่างกำลังจัดแจงปัดกวาดเศษใบไม้บนแคร่ให้พี่สาวของตนนั่งได้สะดวกมากยิ่งขึ้น มือผอมๆ ของเขาทำงานได้อย่างคล่องแคล่วยิ่งนัก ทำให้ใช้เวลาเพียงไม่นานการทำความสะอาดให้ใบไม้หมดไปก็เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว
มองดูผลงานตรงหน้าอย่างภูมิใจ เด็กชายหันกลับมายิ้มให้พี่สาวของเขาหนึ่งทีก่อนจะนั่งลงไม่ห่าง
ในขณะที่จางหยุนเต๋อร์พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เด็กชายไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ไม่ใช่พี่สาวบ้าใบ้คนเดิมของตนอีกต่อไปแล้ว ...ใช่ เจ้าของร่างกายนี้แท้จริงเป็นหญิงใบ้ผู้หนึ่งที่ผู้คนเชื่อกันไปแล้วว่ามีสติปัญญาไม่ดีหรือเรียกได้ว่าปัญญาอ่อน อีกทั้งนางยังขึ้นชื่อเรื่องของการเป็นตัวอัปมงคลของหมู่บ้านหนานเสียง
ระหว่างที่กำลังเหม่ออยู่นั้น ความทรงจำเก่าๆ เริ่มฉายขึ้นเป็นฉากๆ ราวกับเจ้าของร่างต้องการให้จางจิ่วหลินที่ข้ามมิติมาได้เห็นมันชัดๆ ด้วยตาของตนเอง
...
ในกระท่อมเก่าๆ หลังหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปท้ายหมู่บ้าน เด็กหญิงตัวน้อยได้กำเนิดมาพร้อมกับอาเพศที่ข้องเกี่ยวโดยตรงกับความแห้งแล้งที่ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังประสบพบเจอ
เนื่องด้วยในปีเดียวกันที่ทารกน้อยจางจิ่วหลินเกิด หยาดฝนที่ควรจะตกต้องตามฤดูกาลกลับไม่ยอมส่งความชุ่มชื้นโปรยปรายลงมาติดต่อกันกินเวลานานเป็นเดือน ด้วยเหตุนี้ทำให้ลำธารที่เคยเต็มไปด้วยน้ำใสพลันแห้งเหือด พื้นดินที่ปกติก็ไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าไหร่นักพลันแห้งแล้ง เห็นได้ชัดว่าเมื่อพวกมันถูกขุดขึ้นมาก้อนดินก็แตกออกเป็นผุยผงในทันที
ดินร่วนเช่นนี้ไม่สามารถทำการเกษตรใดๆ ได้อีก
ชาวบ้านในหมู่บ้านหนานเสียงล้วนเดือดเนื้อร้อนใจกันถ้วนหน้า สุดท้ายในเมื่อไม่มีทางออก คนทรงเจ้าจึงถูกตามตัวมาเพื่อแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน หญิงชราแซ่ซูรับเงินที่เก็บรวบรวมจากชาวบ้านมาหลายตำลึง นางเต้นระบำขอฝนอยู่สองสามวันทั้งยังทำพิธีไปแล้วอีกมากมายหลายอย่าง ฝนเจ้ากรรมก็ยังคงไม่ตกลงมาดั่งใจหวัง ท้ายที่สุดหญิงชราทรงเจ้าเห็นชัดๆ ว่าท่าไม่ดีแน่แล้ว นอกจากนั้นนางเองก็ไม่อาจตัดใจจากเงินที่อยู่ในมือจึงเริ่มมองหาลู่ทางเอาตัวรอด
ทันใดนั้นเอง...!
ประจวบเหมาะกับตอนที่ นางหลีซื่อ สะใภ้บ้านรองจางได้เดินหอบตะกร้าซักผ้าของคนทั้งตระกูลผ่านทางมาพอดิบพอดี หญิงวัยกลางคนที่รูปร่างซูบผอมบังเอิญเดินผ่านมาบริเวณริมแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่คนทรงเจ้ายืนอยู่กับชาวบ้านเท่าไหร่นัก
แววตาของหญิงชราวูบไหวเมื่อมองไปที่จางจิ่วหลินเด็กทารกน้อยเพศหญิงที่ถูกผูกเอาไว้บนหลัง นางซูใช้ความคิดเพียงครู่เดียวก็พบทางสว่างรีบกล่าวโทษเด็กน้อยคนนั้นพร้อมทั้งยุยงให้ชาวบ้านจับเด็กหญิงถ่วงน้ำแก้เคล็ดเรียกน้ำฝนทันที
อนิจจา นางหลีซื่อยังไม่ทันได้ก้มตัวซักผ้าก็ถูกชาวบ้านชายรูปร่างกำยำตรงเข้ามาคว้าตัวเอาไว้ทันทีด้วยความเดือดดาล "เพราะลูกเจ้าทำให้หมู่บ้านของเราแห้งแล้ง แม่หมอต้องการให้เจ้าส่งมอบจิ่วหลินมาสละร่างกายบูชายัญแก้เคล็ด รีบส่งนางมาเร็วเข้า ข้าไม่อยากใช้กำลังข่มเหงสตรีไม่มีทางสู้"
หลีซื่อซียืนขาสั่นอย่างุนงง สองขายังไม่ทันได้วิ่งหนี บุตรสาวที่นางพึ่งคลอดออกมาก็โดนผู้อื่นแย่งไปเสียแล้ว
บ้านรองจางไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในหมู่บ้าน พวกเขาต่างแยกกันทำงานของตนเอง ดังนั้นนางหลีซื่อจึงถูกข่มเหงโดยไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยเหลือ กว่าสมาชิกในตระกูลจะรู้ตัวอีกทีหลานสาวเพียงคนเดียวในบ้านก็ถูกลักพาตัวไปถ่วงน้ำจนเสร็จสรรพ
เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ จางจิ่วหลินมองภาพความทรงจำตรงหน้าด้วยดวงตาที่หดจนเกร็งไปหมด ความหนาวเย็นที่เกิดจากจิตใจที่เสื่อมทรามของชาวบ้านทำให้เธอแทบหายใจไม่ออก
ภาพของมารดาที่ถูกชาวบ้านจับตัวเอาไว้ยังติดคงตาของเธออยู่อย่างนั้น นางหลีซื่อนั้นร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังปานจะขาดใจพร้อมทั้งมองดูลูกสาวตนเองถูกจับถ่วงน้ำต่อหน้าต่อตา เด็กทารกน้อยถูกจับวางลงในตะกร้าเก่าๆ ที่มีรูรั่วอยู่เต็มไปหมด เมื่อวางทารกลงไปแล้วหนึ่งในชาวบ้านก็โยนเด็กลงไปที่กึ่งกลางของแม่น้ำสายเล็กทันที
ตู้ม!! ตะกร้าจมลงไปอย่างรวดเร็ว หญิงทรงเจ้าเริ่มสวดมนต์งึมงำไม่เป็นศัพท์ สายของนางหลี่เล็กชำเลืองมองหลีซื่อซีพลางกล่าวขอโทษสตรีผู้นั้นในใจ
เปรี้ยง!! เปรี้ยง!! เปรี้ยง!!
ใช้เวลาเพียงไม่นาน เสียงฟ้าผ่าลงมาดังสนั่นเสียจนชาวบ้านตื่นตกใจ หยาดฝนที่ไม่ตกลงมานานนับเดือนค่อยๆ สาดเทพัดผ่านหมู่บ้านหนานเสียงหอบใหญ่ ค่ำคืนนั้นพายุฝนฟ้าโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงเสียจนหลังคาของบ้านเก่าๆ หลังหนึ่งหลุดปลิวออกไปไกลถึงตีนภูเขา
เสียงโห่ร้องดีใจของชาวบ้านดังขึ้นกลบเสียงร่ำไห้ของนางหลีซื่อจนมิดชิด
พวกเขาเหล่านั้นเมื่อเห็นว่าฝนได้ตกลงมาแล้ว คนทั้งหมดจึงแยกย้ายกันกลับบ้านด้วยสีหน้าโล่งอก ไม่ต้องกล่าวถึงนางซูสตรีทรงเจ้ากำมะลอที่ถูกเชิญมา เนื่องจากพบทางหลบหนีหญิงชราจึงย่องหลบออกไปอย่างเงียบเชียบนานแล้ว
ริมแม่น้ำว่างเปล่าเห็นเพียงนางหลีซื่อที่นั่งทำหน้าตาซีดเซียวล้มตัวลงอยู่ไม่ไกลจากริมแม่น้ำ สะใภ้รองตระกูลจางไม่เคยมีความสำคัญต่อตระกูลมาก่อน ยิ่งครั้งนี้นางคลอดลูกสาวออกมาคนหนึ่งยิ่งทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองย่ำแย่มากยิ่งขึ้น
ร่างอันเปียกปอนเหม่อมองไปที่กระแสน้ำขุ่นเบื้องหน้าก่อนจะยกมือขึ้นตีอกทุบตีตนเองพลางกล่าวโทษเทวดาฟ้าดินที่กลั่นแกล้งเธอและลูกสาวตัวน้อย
ฉับพลัน!
เนื่องจากมีกระแสน้ำแรงไหลลงมาจากภูเขาแหล่งกำเนิดของต้นแม่น้ำ ตะกร้าเก่าที่เคยคิดว่าจมลงไปแล้วกลับถูกพัดขึ้นก่อนจะลอยกลับเข้ามาหานางหลีซื่อที่ริมฝั่งราวกับปาฏิหาริย์ เด็กทารกจมน้ำลงไปไม่นาน ดังนั้นหลังจากถูกยกตัวขึ้นมาเขย่าแรงๆ พร้อมทั้งตบหลังอีกหลายที เด็กหญิงก็สำลักน้ำออกมาคำใหญ่ จางจิ่วหลินร้องไห้อย่างอ่อนแรง ปากเล็กๆ อ้าพะงาบเพื่อหายใจแลดูน่าสงสารจนจับจิต
นางหลีซื่อตัวสั่นด้วยความดีใจ ทารกน้อยถูกกอดเอาไว้แนบกาย หันซ้ายหันขวาเมื่อไม่เห็นชาวบ้านหลีซื่อซีจึงพรูลมหายใจก่อนจะปล่อยเสียงร้องไห้ที่อดกลั้นเอาไว้ออกมา
ทารกกลับมาหายใจอีกครั้ง ร่างเล็กๆ ถูกวางลงในตะกร้าที่เต็มไปด้วยผ้าสกปรกและเปียกชื้น สองแม่ลูกเร่งรีบกลับบ้านของตนไปด้วยท่าทีอ่อนแรงและท่าทีตื่นตระหนก
ค่ำคืนนั้น...
จางจิ่วหลินเป็นไข้ไม่สบายตัวร้อนจี๋ราวกับถูกไฟเผา จางเหวิน บิดาของเด็กหญิงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบอุ้มร่างเล็กๆ ไปที่บ้านใหญ่ตระกูลจางชายหนุ่มคุกเข่าลงเพื่อขอเงินตำลึงพาเด็กน้อยไปรักษาในเมือง แต่ใครจะไปคาดคิดว่านอกจากเขาจะไม่ได้เงินแล้วยังถูกหญิงชราแซ่ลั่วภรรยาคนแรกของปู่ไล่ออกมาด้วยถ้อยคำหยาบคายราวกับด่าหมูด่าหมาก็ไม่ปาน
เพราะเหตุนั้นเด็กหญิงจึงถูกอุ้มกลับบ้านแล้วรักษาตามมีตามเกิด ท้ายที่สุดไข้หวัดก็ทำให้สติปัญญาและเสียงของเด็กน้อยหายไปไม่หวนคืนกลับมาอีก
น้ำตาของจางจิ่วหลินไหลลงอาบแก้ม ที่แท้ในโลกนี้ก็มีคนที่ใจดำอำมหิตยอมแม้กระทั่งฆ่าเด็กทารกเพื่อแลกกับน้ำฝนอยู่ด้วย
...
ภาพความทรงจำเก่าๆ ไม่ค่อยมีเหตุการณ์สำคัญมากนัก หญิงสาวจึงเช็ดน้ำตาเบาๆ ก่อนจะมองจางหยุนเต๋อร์นั่งลงบนพื้นดินพร้อมทั้งหยิบเอาใบไม้ใบหญ้าแถวๆ นั้นมาเล่นก่อกองทรายข้างๆ เธอไม่ห่าง
"วันนี้ท่านพ่อ ท่านแม่ออกไปทำงานแต่เช้าตรู่ พี่ว่าปีนี้เราจะได้กินเกี๊ยวหรือไม่? ข้าอยากกินเนื้อจะแย่ ต้าเป่าลูกผู้ใหญ่บ้านถือซาลาเปามาอวดข้าทุกปี ข้ามองเขากัดเจ้าก้อนสีขาวนั้นต่อหน้าต่อตา ช่างน่าแค้นใจยิ่งนักที่พวกเราไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง" เด็กชายพูดพลางหยิบกิ่งบ๊วยที่ร่วงหล่นลงมาคาบไว้ในปากในระหว่างที่เคี้ยวเล่นไปพลางๆ มือทั้งสองก็ก่อกองทรายขึ้นเป็นภูเขาหย่อมเล็กๆ อย่างชำนาญ
จางจิ่วหลินกลืนน้ำลายที่ฝืดเฝื่อนลงคอ เธอไม่เชื่อว่าร่างกายนี้จะเป็นหญิงใบ้อย่างที่คนเชื่อกัน ดังนั้นหญิงสาวจึงพยายามทดลองเรียกชื่อน้องชายเจ้าของร่างเบาๆ "หยุนเอ๋อร์..."
มีเสียงเปล่งออกมา!! ดวงตาเรียวเล็กเบิกโพลง ถึงแม้น้ำเสียงของเธอจะทั้งแหบและแห้งเป็นอย่างมาก แต่เรื่องนี้ก็ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าแท้จริงแล้วเจ้าของร่างไม่ได้เป็นใบ้ เพราะเมื่อครู่เธอเองยังสามารถใช้ร่างกายนี่พูดเป็นคำออกมาได้!
เด็กชายนั่งเล่นกองทรายไม่ห่าง หลังจากได้ยินเสียงของผู้หญิงพูดขึ้นมาเขาก็นึกว่าเป็นเพียงเสียงลมที่แว่วข้างหูเท่านั้น จางหยุนเต๋อร์เงยหน้าขึ้นสบตาเข้ากับพี่สาว ทันใดนั้นเขาก็เห็นนางกำลังมองตรงมาที่เขาด้วยสายตาอันแปลกประหลาดพอดี
"จาง... หยุน... เต๋อร์..." จางจิ่วหลินกล่าวขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะไอแห้งๆ อย่างหนักหน่วงจากอาการเจ็บและคันยิบๆ ที่คอ
"พี่สาว พี่พูด... พูดชื่อข้า ใช่หรือไม่ ข้าไม่ได้หูฝาดใช่หรือไม่?" เด็กชายถูมือที่เปื้อนดินไปมาด้วยอาการประหม่าระคนประหลาดใจ เขาจ้องมองกลับไปด้วยใบหน้าหวาดกลัวและไม่อยากจะเชื่อ!
ผีหลอก... เด็กชายก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
ทางด้านจางจิ่วหลิน หลังจากพยายามเค้นเสียงพูดออกมาหลายคำหญิงสาวก็พบว่า เธอยิ่งพูดมากเท่าไหร่ ลำคอของเธอก็ยิ่งเจ็บและคันมากขึ้นเท่านั้น เธอต้องการของเหลวที่สามารถช่วยบรรเทาอาการคันคอ แต่ดูจากสภาพซอมซ่อของตนเองและน้องชายแล้ว สิ่งแรกที่คิดได้จึงเป็นน้ำเปล่าธรรมดาๆ แก้วหนึ่ง
คิดแล้วก็เค้นเสียงในลำคอออกมาอีกครั้ง "น้ำ..." พูดเสร็จก็ทำท่าจะลุกขึ้นเดินกลับไปที่ตัวบ้านเพื่อหาน้ำมาดื่มแก้อาการเจ็บคอสักแก้วหนึ่ง ความทรงจำของเจ้าของร่างบอกเธอว่าที่ห้องครัวมีโอ่งน้ำฝนอยู่โอ่งหนึ่ง
จางหยุนเต๋อร์ได้ยินพี่สาวใบ้ของเขาพูดขึ้นมาหลายครั้งติดๆ กันก็รู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งลำตัว เด็กชายทำอะไรไม่ถูกจึงรีบยื่นมือไปกดให้พี่สาวของตนนั่งลงแล้วเขาก็ออกตัววิ่งไปในทิศทางของบ้านที่ตั้งอยู่ไม่ไกลทันที
จางจิ่วหลินมองน้องชายวิ่งหนีอย่างอึ้งๆ เด็กชายตัวน้อยวิ่งออกไปได้เพียง 4 ก้าว เนื่องจากกลัวว่าพี่สาวใบ้ของตนจะตามมา เขาจึงรีบหันกลับมาพูดกับนางเสียงดัง "พี่สาวนั่งรอตรงนี้ ข้าจะไปตามท่านย่า" กล่าวจบเด็กชายก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในตัวบ้านอย่างรวดเร็ว
"ท่านย่าาาาา พี่สาวพูดแล้ว พี่สาวเรียกชื่อข้าาาาา ท่านกำลังทำอะไร วางมือลงก่อน นี่มันเรื่องเร่งด่วนนะขอรับ" จางหยุนเต๋อร์ตะโกนเรียกท่านย่าสุดเสียง เขาตะโกนเสียงดังเสียจนนางอวี๋ ย่าแท้ๆของเจ้าของร่างตกใจจนทำกะละมังล้างผักหลุดมือร่วงลงพื้น ดังเคร้ง!
เพียงเวลาไม่นานหลังสิ้นเสียงอึกทึกครึกโครม หญิงชรานางหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากตัวบ้านทันที จางจิ่วหลินได้สติมองเสื้อผ้า รองเท้าที่สวมใส่รวมไปถึงทรงผมมวยแปลกๆ แล้วก็พึ่งรู้ตัวว่าของทั้งหมดนั้นล้วนเป็นรูปแบบโบราณทั้งสิ้น!!
ภาพตรงหน้าทำให้จางจิ่วหลินถึงกับส่ายศีรษะไปมา หญิงสาวพยายามจะยอมรับความจริง
'เธอข้ามภพมาอาศัยร่างผู้อื่นแล้วจริงๆ หรือนี่…'
ตัวละครหลักครอบครัวนางเอกโผล่ออกมาแล้ววว...
คุณย่าแซ่อวี๋ มารดาหลีซื่อซี บิดาจางเหวิน และ เด็กชายตัวน้อย จางหยุนเต๋อร์ มารายงานตัวค่ะ!!
ความคิดเห็น