![e-receipt](https://image.dek-d.com/contentimg/writer/assets/campaign/banner/easy_ereceipt/2025/easy_ereceipt_desktop.webp)
![e-receipt](https://image.dek-d.com/contentimg/writer/assets/campaign/banner/easy_ereceipt/2025/easy_ereceipt_mobile.webp)
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : หินที่ใดกันนี่มันหยก
ตอนที่ 5 หินที่ใดนี่มันหยก
โชคดีของบ้านรองจางเสียจริงที่ลูกหลานของบ้านใหญ่มีแต่ตัวไม่ได้ความ กล่าวคือนางลั่วที่ยังไม่ได้สติถูกนำตัวไปส่งที่หน้าบ้านตระกูลจางนานแล้วแต่กลับไม่มีผู้ใดออกมาดูดำดูดีหญิงชราเลยสักคน หากเป็นบ้านอื่นเห็นมารดาถูกหามตัวมาเช่นนี้อย่างไรก็ต้องออกมาเอาเรื่องผู้กระทำให้ถึงที่สุด ไหนเลยจะทิ้งให้มารดาตนนอนตากแดดร้อนๆ ในยามเที่ยงวันอยู่บนแคร่หน้าบ้านเช่นนี้
เมื่อมองซ้ายขวาปราศจากคน จางจิ่วหลินเห็นดังนั้นจึงรีบคว้าตัวหลีซื่อซีและย่าอวี๋กลับบ้าน เธอไม่อยากให้คนบ้านใหญ่กลับมาทันเห็นและตำหนิบุพการีทั้งสองของเธออย่างเช่นที่เคยผ่านมา
หลีซื่อซีหลังจากได้รู้ว่าลูกสาวพูดได้จากคำบอกเล่าของย่าอวี๋ยังไม่ทันได้ดีใจก็ถูกดึงตัวมาช่วยหิ้วปีกนางลั่ว ยามนี้ผู้เป็นมารดากลับถึงบ้านทันได้ยินลูกสาวบ่นพึมพำออกมา นางจึงจำความได้รีบดึงตัวจางจิ่วหลินเข้าไปกอดทันที มารดาร้องไห้ออกมาด้วยความยินดีลูกสาวแสดงสีหน้ามึนงง นางหลีซื่อไม่ถามด้วยซ้ำว่าลูกสาวอยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาได้เพราะเหตุใด? นอกจากนั้นหลังจากรับปิ่นโตอาหารจากมือของย่าอวี๋มาแล้ว หลีซื่อซีก็รีบวิ่งจากไปที่ไร่ทันทีไม่หันกลับ
เป็นเช่นนี้เพราะนางคงจะรีบนำข่าวดีไปบอกจางเหวินเป็นแน่!
...
ยุคโบราณมีสิ่งต่างๆ ให้ทำมากมายไม่หยุดมือ บ่ายวันเดียวกันนั้นหลังจากเธอช่วยย่าอวี๋เก็บกวาดจานชามและห้องครัวจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จางจิ่วหลินก็ตัดสินใจพูดกับหญิงชราถึงเรื่องที่ตนเองไม่อยากทำตัวเป็นภาระและอยากช่วยครอบครัวหาอาหารและผักป่า
น่าหลันอวี๋ได้ยินก็ไม่ได้คิดสิ่งใดมากนักเพราะปกติหลานชายตัวน้อยก็พาพี่สาวของเขาออกไปเดินเล่นที่ตีนภูเขาอยู่บ่อยๆ ไหนเลยจะคิดว่าภายหลังหลานสาวคนโตกลับตั้งใจจะขึ้นภูเขาที่เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์เพื่อเสี่ยงโชค?
ย่าหลานเก็บกวาดบ้านอย่างมีความสุข รอจนงานหนักในบ้านหมดลง ตะกร้าใบใหญ่ก็ถูกสะพายขึ้นหลังทันที จางจิ่วหลินบอกกล่าวกับย่าอวี๋ก่อนที่หญิงสาวให้น้องชายเดินนำไปที่ภูเขาหลังบ้าน ทางด้านจางหยุนเต๋อร์ได้ยินว่าพี่สาวอยากขึ้นเขาก็พยักหน้ารัวๆ เขาคุ้นเคยกับเส้นทางไปที่ภูเขาท้ายหมู่บ้านเป็นอย่างดี
เหตุผลหลักๆ ก็เพราะบ้านรองจางนั้นอยู่ไม่ไกลจากภูเขา ด้วยความที่จางจิ่วหลินถูกตราหน้าว่าเป็นตัวอัปมงคลของหมู่บ้าน ที่แห่งนี้จึงคล้ายกับถูกสงวนเอาไว้ให้สำหรับครอบครัวของพวกเธอโดยเฉพาะ น้อยคนนักที่กล้าเดินผ่านบ้านของพวกเธอเพื่อไปที่ภูเขา หากอยากจะหาของป่าจริงๆพวกชาวบ้านก็เลือกที่จะเดินอ้อมไกลขึ้นเล็กน้อยไปที่ภูเขาลูกที่ใหญ่กว่าของหมู่บ้านข้างเคียงเพราะกลัวตนเองได้รับไอของความอัปมงคล
"พี่สาวแถวนี้มีผักป่า พวกเราหยุดเก็บเพื่อผักกันที่นี่ดีหรือไม่?" จางหยุนเต๋อร์พูดพลางก้มลงดึงผักกอหนึ่งที่รูปร่างคล้ายใบหญ้าขึ้นมาก่อนจะโยนมันใส่ตะกร้าสะพายหลังของเขาเบาๆ ผักชนิดนี้เด็กชายเคยออกมาเก็บกับผู้เป็นย่าเขาจึงมั่นใจเป็นอย่างมากว่ามันกินได้ พวกมันส่วนใหญ่จะถูกตากจนแห้งเพื่อนำไปผสมแป้งทำหมั่นโถวผักป่า
จางจิ่วหลินเองก็อยากจะสำรวจพื้นที่ตีนเขาดูก่อนเธอจึงยอมหยุดเพื่อที่จะกวาดสายตามองรอบตัว ทันใดนั้นห่างไปอีกไม่ไกลเธอก็พบลำธารสายเล็กที่ไหลลงมาจากภูเขา ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกาย 'มีลำธารก็อาจจะมีปลาและกุ้ง' หญิงสาวคิดแล้วก็เดินไปใกล้ๆ เพื่อดูว่ามีอะไรที่เธอพอจะคุ้นเคยอยู่บ้าง หากโชคดีจะได้นำไปทำเป็นอาหารกินกันกับครอบครัวเย็นนี้
แต่คาดไม่ถึงจริงๆว่าเธอและน้องชายจะไม่ใช่มนุษย์สองคนที่ตั้งใจมาหาผักป่าอยู่บริเวณนี้
มีเด็กคนหนึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากลำธารอยู่ก่อนแล้ว เด็กคนนั้นก้มหน้าก้มตาขุดผักป่าก่อนจะนำไปล้างน้ำอย่างลวกๆ ในลำธาร อาจเพราะเด็กหญิงกำลังตั้งใจเรียงผักป่าลงกระจาดอันใหญ่จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นเธอที่กำลังเดินเข้าไปใกล้ จางจิ่วหลินเดินไปหยุดอยู่ไม่ไกล หลังจากเห็นใบหน้าชัดๆ ของเด็กน้อยแล้วเธอก็พบว่าเด็กคนนี้คือ จางเหม่ย ญาติผู้น้องที่เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของลุงใหญ่ จางจู้ และ กัวลี่อิง
จางเหม่ยเกิดก่อนจางหยุนเต๋อร์ 2 ปีทำให้ตอนนี้เท่ากับนางมีอายุประมาณ 6 ขวบ เด็กหญิงมีพี่และน้องเป็นผู้ชาย พี่ใหญ่ของนางอายุเยอะกว่าจางจิ่วหลิน 1 ปีนามว่า จางสื่ออ้าย เขาถูกส่งเข้าไปเรียนในอำเภอเมื่อปีก่อน ส่วนน้องชายคนเล็กก็อายุเท่าจางหยุนเต๋อร์นามว่า จางเสียน เพราะเป็นบุตรชายคนเล็กที่เกิดจากชายลูกคนโต จางเสียนจึงถูกเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม ในบ้านใหญ่จางสิ่งดีๆ เด็กชายล้วนได้ก่อนคนอื่นเสมอ
ผิดกันกับจางเหม่ยเป็นอย่างมาก เด็กหญิงเกิดมาก็ถูกหมางเมินทันที เพราะขนาดชื่อของนางเองยังถูกกัวลี่อิงมารดาแท้ๆ ตั้งขึ้นมาอย่างลวกๆ โดยอาศัยการตั้งชื่อล้อกันกับชื่อของน้าสาวของเธอ จางจิวเหม่ย ลูกสาวคนสุดท้องของนางลั่วและปู่จาง แค่ตัด 'จิว' ออกก็ได้ชื่อจางเหม่ยแล้ว นี่เป็นการตั้งชื่อคนที่ชุ่ยที่สุดเท่าที่จางจิ่วหลินได้ยินมาเลยทีเดียว
เด็กหญิงโตขึ้นมาได้อย่างไรเธอไม่ทราบจริงๆ แต่เป็นที่รู้กันดีว่าผู้คนในยุคนี้รังเกียจบุตรสาวรักชอบบุตรชาย ยิ่งบ้านใหญ่ตระกูลจางที่มีนางลั่วดูแลอยู่ยิ่งที่ไม่ต้องกล่าวถึง เด็กหญิงตัวน้อยถูกใช้งานเยี่ยงคนใช้ทั้งๆ ที่นางเองก็เป็นลูกหลานในไส้ จางเหม่ยสวมเพียงเสื้อผ้าหลวมโพรกที่รับต่อมาจากพี่และน้องชาย ทั้งรอบตัวยังมีร่องรอยปะชุนเต็มไปหมด แขนขาเล็กๆ ก็ผอมจนมองเห็นกระดูก นางแลดูน่าสงสารยิ่งกว่าจางจิ่วหลินตอนนี้เสียอีก
"ญาติผู้พี่ เหตุใดท่านถึงอยู่ที่นี่ หยุนเต๋อร์เล่า? เขามิได้จับตาดูพี่เอาไว้หรือ?" จางเหม่ยรู้ตัวแล้วว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งเดินมาหานาง แม้จะยังไม่เงยหน้าขึ้นมา เด็กหญิงก็เห็นเงาร่างที่คุ้นตาปรากฏอยู่ในลำธารที่นางกำลังล้างผักอยู่
จางจิ่วหลินกระแอมเล็กน้อยก่อนจะกล่าวตอบ "น้องสาว มาเก็บผักคนเดียวเช่นนี้หรือว่าเจ้าถูกอดข้าวอดน้ำอีกแล้ว?" เด็กหญิงได้ยินเสียงที่เปล่งออกมาก็หายใจสะดุด นางตกใจจนทำผักป่าในมือร่วงหล่นลงพื้น "พี่... ท่าน ท่าน... เมื่อครู่ท่านพูดคุยกับข้า?" จางเหม่ยเช็ดมือที่เปียกน้ำของตนก่อนจะคว้าแขนของจางจิ่วหลินเอาไว้อย่างเป็นห่วงระคนตะลึง สายตาที่ส่งมาบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าไม่อยากจะเชื่อ
เธอรู้สึกทึ่งกับท่าทางที่เด็กหญิงแสดงออกมาก ยามเมื่อถูกเด็กตัวเล็กคว้าจับและจ้องเขม็ง เธอจึงพยักหน้าตอบเบาๆ อย่างเขินอาย "ใยต้องตกใจถึงเพียงนั้น ข้ามิได้เสกของได้เสียหน่อย ก็แค่พูดได้ดั่งเช่นคนปกติเท่านั้นไม่มีอะไรให้น่าตกใจ ว่าแต่เจ้าเถอะ ถูกย่าใหญ่อดข้าวมาอีกแล้วใช่หรือไม่?" ในความทรงจำที่ติดตัวมา จางจิ่วหลินพบว่าจางเหม่ยมักจะถูกหญิงชราแซ่ลั่วทำโทษให้อดข้าวอดน้ำอยู่เป็นประจำ
ที่เด็กหญิงยังมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้เป็นเพราะย่าอวี๋ของเธอคอยแอบแบ่งอาหารที่มีอยู่น้อยนิดให้ตั้งแต่ยังเล็ก จะว่าไปตอนจางเหม่ยยังเป็นทารกเด็กหญิงก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ไม่มีครอบครัวใดยินดีที่ตนคลอดลูกสาว ปกติแล้วเด็กหญิงที่พวกเขาไม่อยากให้เกิดจะถูกนำตัวไปทิ้งไว้ในป่าบนภูเขาเพื่อเป็นอาหารสัตว์กินเนื้อ
แต่ในปีเดียวกันนั้นจักรพรรดิได้บังเอิญสั่งการลงมาให้ประชาชนเร่งผลิตทายาทให้มากเพื่อขจัดปัญหาแรงงานขาดแคลน ดังนั้นทุกครอบครัวที่มีเด็กทารกอายุครบปีไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็สามารถไปรับเงินสนับสนุนจากนายอำเภอในเมืองเป็นเงินจำนวนหนึ่งตำลึงเงินเท่าๆ กัน
นโยบายนี้เกิดขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้ชาวบ้านมีลูกหลานให้มากๆ เพื่อชดเชยแรงงานที่ถูกเกณฑ์ไปทำสงครามแล้วล้มหายตายจาก ดังนั้นจึงไม่อาจเป็นการกล่าวที่หนักไปนักหากจะบอกว่า เด็กหญิงตัวน้อยจางเหม่ยยังมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้เพราะเงินหนึ่งตำลึงนั่นแท้ๆ...
"พี่.. ย่าใหญ่ไม่ได้ให้ข้าอดข้าว ข้าแค่ตั้งใจมาหาผักป่าเพื่อเก็บไว้กินวันหลังเท่านั้น ว่าแต่ท่านเหตุใดวันนี้จึงพูดได้? เรื่องนี้มันน่าตกใจเสียจนข้าคิดว่าตนเองกำลังฝัน!! ว่าแต่ครอบครัวท่านรู้เรื่องนี้หรือยัง? กลับบ้านท่านกันเถอะ ย่ารองจะต้องเป็นห่วงท่านมากแน่" พูดจบ จางเหม่ยก็ยังคงลูบๆ คลำๆ ไปตามร่างกายของเธออยู่ นอกจากนั้นเด็กหญิงยังคิดไปเองว่าเพราะหัวเธอกระแทกจึงทำให้อยู่ๆ หญิงใบ้อย่างเธอก็พูดขึ้นมาได้ เธอจึงต้องก้มหัวให้ญาติผู้น้องคนนี้ตรวจดูเพื่อความสบายใจ
ทันใดนั้น... ระหว่างที่ก้มหัวอยู่ สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นหินสีเขียวสดใสที่มีอยู่มากมายในลำธารสะท้อนแสงออกมาเข้าตาเธอพอดิบพอดี จางจิ่วหลินรีบผละออกจากจางเหม่ยก่อนจะวิ่งลงไปที่ตื้นๆ ริมลำธารก่อนจะล้วงมือลงไปเพื่อหยิบหินสีเขียวขึ้นมาส่องดู
"พี่ใหญ่ ท่านกำลังจะทำอะไร? ขึ้นมาจากน้ำเดี๋ยวนี้นะขอรับ ระวังจะถูกน้ำพัดพาไป" จางหยุนเต๋อร์ที่ก้มลงเก็บผักป่าเพียงครู่เดียว หลังจากเงยหน้าขึ้นมาพี่สาวพลันหายไปจึงกังวลใจเป็นอย่างมาก เด็กชายเกือบจะวิ่งกลับไปที่บ้านเพื่อตามท่านย่าให้มาช่วยหาพี่สาวแล้วหากไม่ได้ยินเสียงพูดตกใจของจางเหม่ยเสียก่อน
เด็กชายที่วิ่งตามเสียงมาเห็นพี่สาวของตนวิ่งลงไปในลำธารตะโกนเสียงดังออกไปอย่างร้อนรนโดยไม่รู้ตัว เขากลัวเหลือเกินว่าพี่สาวจะหายไปกับสายน้ำเหมือนกับเรื่องที่มารดาเคยเล่าให้ฟัง
กลับกันจางจิ่วหลินมีสีหน้าสบายใจ อาจเพราะความตื่นเต้นนางจึงยังไม่ทันได้สนใจคำพูดของน้องชาย "ฮะ ฮ่าๆๆ ... รวย ข้ารวยเละ!!" หญิงสาวพูดพลางหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างมีความสุข ยิ่งเมื่อเห็นหินสีเขียวที่มีอยู่ในน้ำอีกมากมายยิ่งทำให้เธออยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ เสียตอนนี้เลย 'หยกทั้งนั้นแม่เจ้าโว๊ย...'
เด็กแซ่จางสองคนที่ยืนอยู่ริมฝั่งมองไปที่พี่สาวอย่างมึนงง
ภาพของหญิงสาวที่ถือหินสีเขียวไว้ในมือก่อนจะนำมันมาจูบไปมาหลายต่อหลายครั้งอย่างรักใคร่ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา เสี้ยววินาทีนั้นจางหยุนเต๋อร์รีบหันไปมองสบตากับจางเหม่ยที่ยืนไม่ห่าง เด็กชายรู้สึกอับอายกับภาพตรงหน้าเป็นอย่างมากแต่ไม่รู้จะเข้าไปห้ามพี่สาวของตนไม่ให้กระทำการเช่นนั้นอย่างไรดี ท้ายที่สุดเขาจึงเลือกที่จะก้มหน้าลงไม่มองภาพเช่นนั้นอีก
ทางด้านจางเหม่ย เด็กหญิงมองท่าทางประหลาดๆ อยู่ชั่วครู่แล้วจึงกล่าวออกมาอย่างไม่รู้ตัว "เสี่ยวหยุนเต๋อร์... พี่สาวของเจ้าสามารถพูดได้แล้ว แต่นางยังคงเป็นปัญญาอ่อนเช่นเดิมใช่หรือไม่?"
"เจ้าพูดอะไร พี่ข้าไม่ได้ปัญญาอ่อน นางแค่ชอบเก็บสะสมหินเท่านั้นเอง!!" จางหยุนเต๋อร์รีบตอบทันทีพลันคิดย้อนกลับ 'ใช่แล้ว! พี่สาวของเขาชอบหิน ก่อนหน้านี้นางก็มีอยู่ก้อนหนึ่งที่หากไม่นำมาวางไว้ใกล้ตัวก็จะนอนไม่หลับ ดังนั้นภาพที่เห็นตรงหน้านี้คงเป็นเพราะนางเจอหินที่ถูกใจก้อนใหม่แล้วเป็นแน่!'
"พวกเจ้ายืนเซ่อร์ทำไมอยู่... ลำธารนี้น้ำไม่ลึก มาช่วยข้าเก็บหินสีเขียวนี่เร็วเข้า!" จางจิ่วหลินไม่ได้ยินที่เด็กๆ คุยกัน ตอนนี้เธอสนใจเพียงแค่หินหยกที่มีอยู่มากมายเบื้องหน้า ดีนะที่ชาวบ้านพวกนั้นปกติไม่มาเดินเตร็ดเตร่ที่นี่ เธอต้องอาศัยจังหวะนี้รวบรวมหยกทั้งหมดไปขายในอำเภอ!
ทะลุมิติมาวันแรกก็เจอหยกเลยเหรอเนี่ย! นางเอกของเราจะโชคดีไปไหมเนี่ย...
ว่าแต่ไอ้หินสีเขียวนี่หยกจริงๆ หรือเปล่าหว่า? ทำไมในลำธารถึงได้มีมากมายนักนะ?
มาติดตามนิยายเรื่องนี้ไปด้วยกันต่อเลยค่าาาาาา
ฝากกดหัวใจ / คอมเม้นต์ให้กำลังใจหน่อยนะคะ ขอบพระคุณมากๆ ค่า
ความคิดเห็น