ตอนที่ 14 : กลับไปหาสามี 14 : เปลี่ยนแปลง
น้ำตามีรสเค็ม แต่ในใจกลับขมปร่ายิ่งกว่า อกซ้ายบีบรัดจนเจ็บแปลบทั้งที่มันก็แค่คำพูดคำหนึ่งเท่านั้น เฉินอวี่เฉิงสูดน้ำมูกพรืด เขาไม่คิดว่าตัวเองจะมาร้องไห้เพราะประโยคสั้น ๆ ประโยคเดียวแบบนี้ แต่มันก็เป็นคำเดียวเช่นกันที่เขาอยากได้ยินมานาน
เพราะเขาเหนื่อย... ใช่ การวิ่งผ่านความตายมาจุดเริ่มต้นแม้จะดีแต่มันก็เหนื่อย การต่อสู้กับความทรงจำเดิม ๆ การพยายามเริ่มใหม่แต่ทำให้ทุกอย่างแย่กว่าเดิมมันทำให้เขาเหนื่อย เหนื่อยมากจริง ๆ
ชายหนุ่มเม้มปากนิด ๆ เฉินอวี่เฉิงพยายามกลั้นน้ำตาไว้ขณะเปลี่ยนมากอดซุกมารดา แต่พอหลุดสะอื้นครั้งแรกมันก็มีครั้งที่สอง จากนั้นแล้วทุกอย่างก็สุดกลั้นจนเขาเริ่มร่ำร้องเหมือนเด็ก เพราะในอกมันอึดอัดเหลือเกิน เพราะคิดมากและกังวลมานานจึงแหกปากระบายความคับใจในอกทั้งหลายออกมาอย่างไม่ยั้ง ทุกอย่างทั้งในอดีตและปัจจุบัน ความรู้สึกที่ถูกบังคับ ถูกขายแลกเงิน ถูกทอดทิ้งไร้คนเห็นใจ ความรู้สึกย่ำแย่ที่่ว่าอนาคตหรือแม้แต่คนรักก็ถูกแย่งชิงและพรากไป สุดท้ายความรักที่ถือไว้ก็ยังถูกทรยศและหมดสิ้นทุกอย่าง สิ่งเหล่านั้นถูกเขาระบายออกมาเสียจนเสื้อของแม่เปียกชื้นไปหมด
น่าอาย... น่าอายจริง ๆ
แต่ถึงอย่างนั้น พอได้ส่งเสียงออกไปมันก็โล่งใจดี..
"ผมชอบพี่หยางสวินจริง ๆ นะครับแม่"
ช่วงเวลาแห่งน้ำตาเลยผ่าน หลังร้องไห้จนตาบวมแดงแล้วเฉินอวี่เฉิงก็เปลี่ยนมานอนตักมารดา เขาอ้อนแม่เหมือนตอนยังเด็กขณะที่มารดาก็ลูบผมไปพลาง รอจนกลืนก้อนสะอื้นลงจนหมดและมีสติพอแล้ว เฉินอวี่เฉิงจึงพูดขึ้นมาเบา ๆ เขาชัดเจนว่าไม่คิดล้มเลิกความตั้งใจของตน
มือที่ลูบผมของแม่ชะงักเล็กน้อย ก่อนเจ้าตัวจะถอนหายใจ
"อันที่จริง" อีกฝ่ายเกริ่น "วันนี้ที่แม่ไปทานข้าวกับอี้เหมย ทางนั้นเขาเล่าให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น... คุณหลี่เขาเหมือนจะมีคนที่หมายตาไว้แล้วใช่ไหม"
"ครับ"
จะบ่ายเบี่ยงไปแม่ก็คงรู้อยู่ดีเฉินอวี่เฉิงจึงบอกออกไปตามตรง ชายหนุ่มคิดถึงเลขาสาวสกุลเว่ยคนนั้นแล้วกลืนน้ำลายช้า ๆ เขานึกถึงความรู้สึกตอนที่หลี่หยางสวินยอมรับกับปากว่าคิดอยากได้เว่ยซูเหยามาเป็นภรรยาก็ต้องยิ้มเฝื่อน
"คู่แข่งผมน่ากลัวมากเลย"
"นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกร้องไห้กลับมาหรือเปล่า?"
"..." เฉินอวี่เฉิงเงียบไปอึดใจแล้วส่ายหน้า
"เสี่ยวเฉิง"
"ผม... ไม่ขอเล่าแล้วกันครับ"
แม้รู้ว่ามารดาเป็นห่วง แต่เหตุผลมีหรือจะพูดออกไปได้ จะบอกว่าเป็นเรื่องลูกที่เขาไม่มีหรืออนาคตที่ยังไม่มาถึงก็ไม่ได้ทั้งนั้น เฉินอวี่เฉิงถอนหายใจแผ่วเบา "แต่เรื่องคุณเว่ยน่ะไม่ใช่สาเหตุหรอก ถึงพี่เขาจะบอกว่าอยากได้คุณเว่ยมาเป็นภรรยา แต่ตอนนี้เขากำลังจะหมั้นกับผม ตราบใดที่ผมเอาชนะใจพี่หยางสวินได้ เรื่องนี้มันก็เรื่องเล็ก"
ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ เฉินอวี่เฉิงยังพยายามเสนอทางออกและคิดบวกแบบที่ควรจะเป็น หากเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของมารดาจากมุมสูงกลับพบว่าแววตาของเถาเยว่หรงฉายแววสับสนและลังเลใจ
"แม่" เฉินอวี่เฉิงเม้มปากเข้าหากัน เขารู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ "คงไม่ใช่... คุณน้าอี้เหมยมาคุยเพื่อจะยกเลิกงานหมั้นใช่ไหมครับ"
"..."
ความเงียบนั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง เฉินอวี่เฉิงกำหมัดแน่นเมื่อรู้สึกได้ถึงความกลัวอันเย็นเยียบที่คืบคลานเข้ามา
"แม่ครับ แม่"
"ไม่จ้ะ ไม่ ไม่ใช่หรอก" เถวเยว่หรงหลุดออกจากภวังค์ หล่อนหัวเราะ ยิ้ม และรีบบอกเมื่อเห็นลูกชายสีหน้าไม่ดี "ยังไงลูกก็เป็นคนที่ทางนั้นเขาอยากได้ อี้เหมยเองก็บอกว่าไม่อยากได้คนอื่น เพียงแต่..."
"แต่อะไรครับ"
"อาเฉิง เรื่องครั้งนี้น่ะทำให้แม่และน้าอี้เหมยของลูกตกใจ พวกเราไม่มีใครคิดว่าคุณหลี่เขาจะทำแบบนั้น" เถาเยว่หรงถอนหายใจเบา ๆ "อี้เหมยเองถามลูกชายก็ไม่ได้ความอะไร แม่เอง ถามลูก ลูกดันบอกว่าเป็นฝ่ายผิด แต่ถึงอย่างนั้น.. เฮ้อ.."
"..."
"งานหมั้นยังอีกสองเดือนข้างหน้า ยังมีเวลาคิดทบทวนอีกครั้งนะลูก"
"แม่... ผม..."
"แม่รู้จ้ะ รู้ว่าลูกบอกว่าชอบพี่เขา แต่ไปรักคนที่เขาไม่แยแสเรามันมีแต่ทุกข์ใจนะลูก" เถาเยว่หรงบีบมือบุตรชายเบา ๆ พลางส่งแววตาห่วงใย "ลูกยังอายุน้อย เดิมทีรีบแต่งก็น่าเสียดายอยู่แล้ว แต่ถ้าแต่งไปแล้วต้องทุกข์ใจแบบนี้อีกแม่ว่าอย่าเพิ่งดีกว่า ลองหางาน หาเรื่องที่ตัวเองอยากทำ ไม่ต้องสนใจเรื่องที่บ้าน ไม่ต้องกังวลอะไรดีไหม?"
"ผม..."
"อาเฉิงของแม่เองก็มีความฝัน มีเรื่องที่อยากจะทำใช่ไหมล่ะจ๊ะ เราพักเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากันดีไหม"
ความฝัน..
เรื่องที่อยากจะทำ..
"ผมรักพี่หยางสวิน ผมอยากเป็นภรรยาของเขา" เฉินอวี่เฉิงลุกจากตักของมารดาและตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและแววตานิ่งเรียบ "ผม... นึกเรื่องที่ตัวเองอยากทำไม่ออกแล้ว"
ชายหนุ่มจ้องมองดวงตาเรียวงามที่ตนสืบทอดมาของมารดานิ่ง ๆ การถูกเจาะจงถามเรื่องอนาคตหรือความฝันจากคนสองคนที่แตกต่างกันทำให้เขาคิดกังวลถึงมันอยู่ไม่น้อย ทว่ากับสองคำนี้เฉินอวี่เฉิงกลับไม่รู้จะตอบอะไร เขาเคยคิด... ช่วงเวลาหลายวันที่ไม่ได้แวะเวียนเข้าไปพูดคุยหรือทักทายหลี่หยางสวิน เขาก็เคยลังเลและอยากถอยหลัง กลับไปมีชีวิตเป็นของตัวเองและไม่เกี่ยวข้องกันอีก แต่อะไรคือสิ่งที่ต่างออกไป... ข้อนี้เขากลับคิดไม่ออก
ความฝัน... จำได้ว่าเมื่อก่อนเคยอยากเป็นดารานักแสดง อยากเข้าวงการบันเทิง แต่เฉินอวี่เฉิงเรียนรู้แล้วว่าเขาไม่เหมาะกับมัน
อนาคต... ที่จำได้ก็มีแต่ความปรารถนาจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเท่านั้น อนาคตจะทำอะไร จะเป็นอย่างไร เฉินอวี่เฉิง... คิดไม่ออก
ไม่รู้เลยว่าถ้าไม่เดินไปทางนี้แล้วจะไปทางไหน คิดไม่ออกเลยว่าอนาคตที่ไม่ได้เป็นภรรยาของหลี่หยางสวินจะเป็นยังไง
ร่างกายของเขาคือคนอายุยี่สิบสอง แต่ที่น่าเศร้าคือข้างในกลับไม่ใช่ ที่ตรงนี้เมื่อมองสะท้อนกระจกออกไปคือเด็กหนุ่ม หากเนื้อในกลับเป็นชายวัยสามสิบกว่าที่ตายเพราะโรคร้ายและอยู่ในสภาพทุกข์ทรมาน วันคืนเหล่านั้นมันผลาญไฟอันโชติช่วงของวัยเยาว์ไปแล้ว ความทรงจำอันเลวร้ายที่เกาะกินหัวใจเขาทำให้เฉินอวี่เฉิงมีหัวใจที่ชืดชา เขาไม่มีแม้แต่ความฝันหรือเรื่องที่อยากจะทำ เฉินอวี่เฉิงมีเพียงเรื่องที่ตัวเองต้องทำและจะต้องทำให้ได้ เฉินอวี่เฉิงมองออกไปก็เห็นแต่หลี่หยางสวินเหมือนขอนไม้ท่อนสุดท้ายให้เขาเกาะท่ามกลางกระแสคลื่นชีวิตที่รุนแรงเท่านั้น
อันที่จริงก็ไม่ต่างกับชีวิตก่อนเลยไม่ใช่เหรอ?
คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วชายหนุ่มก็ชะงักนิ่ง นี่คงเป็นแบบที่หลี่หยางสวินเคยพูดไว้สินะ เขาที่มองแต่ตัวเอง เห็นแต่ตัวเอง พอมาเริ่มใหม่ก็ยังเดินไปทางเดิม ตอนนั้นเขามองเห็นเฮนรี่เป็นที่พึ่งสุดท้ายท่ามกลางรอบกายที่มืดมน ตอนนี้ก็แค่เปลี่ยนมาเป็นหลี่หยางสวิน แต่ความคิดและวิธีการทั้งหลายก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
..นี่มันช่าง น่าสมเพชจริง ๆ
"ถ้าลูกคิดอย่างนั้น... ไว้รอน้าอี้เหมยกลับมาแล้วค่อยคุยกันนะจ๊ะ"
ถ้อยคำนุ่มหูและฝ่ามือลูบศีรษะแผ่วเบา เฉินอวี่เฉิงค่อยละจากภวังค์ ชายหนุ่มมองเห็นมารดามีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลอย่างปิดไม่มิด แต่ถึงอย่างนั้นก็หันมายิ้มให้ "เราค่อย ๆคิด ค่อย ๆ ปรึกษากันไป แม่ว่าจะต้องมีทางออกที่ดีแน่นอน ยังไงก็มีเวลาอยู่ ตอนนี้ทางนั้นเขาติดงาน ต้องเดินทางไปจีนด่วน น่าจะต้องรออีกสักสามสี่วั..."
"ติดงาน... แม่ว่าน้าอี้เหมยไปไหนนะครับ"
เฉินอวี่เฉิงนอนฟังเงียบ ๆ แต่แล้วคำพูดของมารดาก็ทำให้ความจำบางอย่างวาบขึ้นมาในสมอง ชายหนุ่มจึงโพล่งถามมารดาตนทันควัน
"จ้ะ? ก็... น่าจะงานของสกุลหลี่เขาล่ะมั้งลูก แม่ไม่แน่ใจ เห็นว่าไปเฉิงตูตอนบ่ายวันนี้...นี่อีกสักพัก..."
"เดี๋ยวนะครับ" ชายหนุ่มหนุ่มตัดบทเสียงเฉียบ เขาเด้งตัวพรวดขึ้นจากตักนุ่มของมารดา คิ้วเรียวขมวดมุ่น เช่นเดียวกับสีหน้าที่แสดงความไม่แน่ใจออกมา "แม่.. จะบอกว่าน้าอี้เหมยเดินทางวันนี้ วันที่ยี่สิบสี่กรกฏา"
"ใช่จ้ะ ทำไมเหรอ?" เถาเยว่หรงมองลูกชายอย่างไม่เข้าใจ
"เดี๋ยวนะครับ นี่มัน..." ยกมือนวดขมับเล็กน้อยราวกับจะทบทวนความทรงจำและกลัวว่าตัวเองจะผิดพลาด แต่อย่างไรมันก็เหมือนเดิม ชายหนุ่มนิ่งนานไปก็ยิ่งรู้สึกถึงความเย็นที่เกาะกุมหัวใจเมื่อหวนคิดถึงเรื่องที่เขาจำได้ในสมอง เขาพยายามบอกตัวเองว่าอย่าคิดมาก มันอาจเป็นความเข้าใจผิด ทว่าทบทวนวนซ้ำไปซ้ำมาอย่างไรก็เหมือนเดิม
ยี่สิบสี่กรกฎาคม เที่ยวบินจากฮ่องกงไปเฉิงตู..
"ผมจะไปหาหลี่หยางสวิน"
เฉินอวี่เฉิงหน้าซีด ชายหนุ่มตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกว่ารอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
"อะไรนะ ลูกจะไปทำไม มีอะไรรึเปล่า?" เถาเยว่หรงมองลูกชายที่เปลี่ยนท่าทีรวดเร็วอย่างไม่เข้าใจนัก นอกจากอีกฝ่ายจะหน้าซีดลุกพรวดพราดไปแล้วยังมีท่าทีลุกลี้ลุกลนแปลก ๆ จนหล่อนต้องคว้าไหล่ผอมเอาไว้ "อาเฉิง มีอะไรลูกโทรหาพี่เขาก็ได้นี่"
"เขาไม่รับสายผมหรอก!" คิดถึงความจริงข้อนี้ เฉินอวี่เฉิงก็ทั้งเจ็บใจและหงุดหงิดจนต้องกัดฟันกรอด ชายหนุ่มสลัดมือของมารดาออกอย่างละมุนละม่อมก่อนจะยกแขนปาดน้ำตาลวก ๆ คว้ากระเป๋าสตางค์ได้ก็รีบก้าวพรวดพราดออกไปทันที เขาตะโกนบอกตามหลัง "ผมจะไปหาเขาที่บริษัท มีเรื่องด่วนจะคุย แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ไม่มีอะไร!"
"อ้าว เดี๋ยว! เสี่ยวเฉิง อาเฉิงลูก.. ให้คนขับรถไปส่งก็ได้นี่!"
เถาเยว่หรงร้องบอกบุตรชายอย่างเร่งร้อน ทว่าคนที่ร้อนกว่าอย่างเฉินอวี่เฉิงกลับไม่ได้สนใจ ชายหนุ่มพูดจบก็วิ่งพรวดลงจากชั้นสองไปหน้าบ้านและกวักเรียกแท็กซี่โดยไม่ทันให้ใครได้รั้งตัวไว้ ชายหนุ่มบอกที่หมายไปยังบริษัทสกุลหลี่ด้วยใจที่เต็มไปด้วยความสับสนและกังวล
มองนาฬิกาที่บอกเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง คิดแล้วอีกฝ่ายคงยังไม่เลิกงานแต่กลัวจะติดประชุมอะไรเหลือเกิน เฉินอวี่เฉิงนึกตำหนิตนเองที่ลืมหยิบโทรศัพท์มาด้วยไปพลาง ให้ตายสิ
"เร่งความเร็วให้เต็มที่เลยครับ ผมรีบ"
ชายหนุ่มบอกคนขับพลางยกมือทึ้งหัวไปด้วย ยังไงตอนนี้เขาก็ต้องไปคุยกับหลี่หยางสวินให้ได้ เผื่ออีกฝ่ายจะยกเลิกการเดินทางนี้ได้ทัน เขาคิดว่าคนอาจจะลืมหรือไม่ก็ความจำขาดหาย เขาต้องรีบบอกก่อนที่สุดอย่างจะสายเกินไป เขาต้องหยุด ไม่ให้หลี่อี้เหมยตายเพราะเที่ยวบินนั้น!
.
"ผมชื่อเฉินอวี่เฉิง ต้องการพบคุณหลี่หยางสวิน ด่วน"
"เอ่อ... ขอโทษนะคะ ถ้าไม่มีนัด"
"บอกว่าผมมาพบเขา คุณโทรไปบอกเขาหรือเลขาเขาก็ได้ คุณเว่ยน่ะ บอกว่าผมมีเรื่องด่วนจะคุย"
"ขอโทษด้วยค่ะ แต่ดิชั้นขอย้ำ..."
"ผมรู้ ผมรู้ว่าไม่ได้นัด แต่ผมมีเรื่องด่วน! แค่โทรไปกริ๊งเดียวแล้วบอกชื่อผม บอกว่าผมมีเรื่องด่วน ๆ มาก ๆ จะคุยเท่านั้น คุณแค่โทรไป เรื่องจากนี้ผมรับผิดชอบเอง!"
คนบ้า..
เฉินอวี่เฉิงให้คำนิยามกับตัวเองไว้แบบนั้น มันเป็นสภาพที่ใครมาเห็นก็ต้องบอกว่าเขาสติไม่ดีจริง ๆ จู่ ๆ ก็วิ่งพรวดลงมาจากรถแท็กซี่แล้วร้องโหวกเหวกใส่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อขอพบท่านประธานบริษัท ด้วยสีหน้าท่าทางที่ต่อให้พยายามวางท่าใจเย็นแค่ไหน ดูอย่างไรมันก็รีบร้อนจนเกือบสติแตกอยู่ดี ไม่นับว่าตอนนี้เฉินอวี่เฉิงจะแต่งตัวขาด ๆ เกิน ๆ ใส่เสื้อเชิ้ตตัวหลวมและกางเกงขาสั้นแถมด้วยรองเท้าสำหรับอยู่บ้าน มองประเมินแล้วเรียกว่ามีความน่าเชื่อถือติดลบ
"คุณคะ.. ขอโทษด้วยนะคะ เราต้องทำตามกฎของบริษัทค่ะ"
เห็นได้ชัดว่าพนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เห็นสภาพเขาแล้วก็คิดเช่นนั้น แม้อีกฝ่ายจะเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่เห็นแล้วไม่น่าจะบ้า แต่กิริยาอาการและการแต่งกายก็ไม่สมควรปล่อยให้เขามายืนทำเสียงโหวกเหวกหน้าบริษัท หล่อนจึงรีบส่งสัญญาณให้พนักงานรักษาความปลอดภัย
"นี่... เดี๋ยว! ก็ผมบอกว่ามีเรื่องด่วน เรื่องด่วนจริง ๆ!" เฉินอวี่เฉิงแสนจะขัดใจที่ทำอะไรไม่ได้ ชายหนุ่มมองพนักงานรักษาความปลอดภัยที่เดินมาหาแล้วยิ่งร้อนรนเข้าไปใหญ่ ดวงตาคู่สวยจึงส่ายล่อกแล่กพยายามหาคนรู้จักไปพลาง "ผมมีเรื่องด่วนต้องการพบเขาจริง ๆ"
ช้ากว่านี้ไม่ได้แล้วนะ ถ้าช้ากว่านี้หลี่อี้เหมยอาจจะตายแล้วก็ได้!
ตะโกนอย่างร้อนรนในใจแต่ก็ไม่อาจพูดออกมาได้ หรือพูดว่าเป็นว่าที่คู่หมั้นของหลี่หยางสวินก็ยังไม่กล้าเลย เฉินอวี่เฉิงหายใจแรงอย่างร้อนรน เขามองซ้ายมองขวา พยายามหาใครก็ได้ที่ตนรู้จักก่อนจะตะโกน "คุณเฉา!"
"...!?"
หลี่เฉาซี ชายผู้ถูกเรียกชื่อขณะลงจากลิฟต์โดยสารมาชั้นหนึ่งชะงักฝีเท้า ดวงตาคมใต้กรอบแว่นมองไปยังที่มาของเสียงทันควัน
นัยน์ตาคู่นั้นจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่ตนเคยพบหน้าเมื่อหลายวันก่อน คนที่ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองถูกเหม็นหน้าตอนนี้กำลังยืนลุกลี้ลุกลนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ด้วยท่าทางร้อนใจและการแต่งตัวที่ไม่เรียบร้อยไม่เหมาะสมกับสถานที่อย่างสิ้นเชิง ชายหนุ่มไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดยามรักษาการณ์ถึงถูกเรียกมา แต่พอคิดว่าคนคนนี้เป็นว่าที่คู่หมั้นของหลี่หยางสวิน... ชายหนุ่มปั้นหน้ายิ้มขรึม ก้าวเดินเข้าไป
"คุณเฉิน"
ขานเรียกชื่ออีกฝ่ายและโบกมือให้พนักงานรักษาความปลอดภัยหลบออกไป หลี่เฉาซีหันไปสั่งการพนักงานเชิงว่าผมจัดการเองและยิ้มนิด ๆ "สวัสดีครับ ไม่ได้พบกันหลายวันเลย วันนี้มาหาหยางสวินเหรอ?"
"ใช่ ผมมีเรื่องด่วนจะคุยกับเขา ให้ผมขึ้นไปด้วย"
"เอ... ตอนนี้ดูเหมือนเขากำลังประชุม"
"ผมมีเรื่องด่วน" เฉินอวี่เฉิงย้ำคำเสียงห้วน กับคนคนนี้แล้วเขาไม่มีความอดทน รวมไปถึงมารยาทต่ออีกฝ่ายนัก "ถ้าเขาประชุมอยู่ คุณโทรไปบอกก็พอ"
"แล้วทำไมคุณ?" หลี่เฉาซีมองมาเชิงว่าทำไมคุณไม่โทรเอง
"ผมไม่ได้เอาโทรศัพท์มา ผมมีเรื่องสำคัญถึงได้รีบมาหาเขา ทีนี้คุณจะปล่อยผมไปได้หรือยัง!"
แม้จะน่าหงุดหงิดที่ตนถูกเมินจนต้องขอความช่วยเหลือจากคนที่เกลียด แต่เฉินอวี่เฉิงก็ร้อนรนเรื่องอื่นมากกว่าจะอยากต่อความกับคำพูดจิกกัดเล็ก ๆ น้อย ๆ จากอีกฝ่าย เราสองคนมันไม่ถูกชะตากันมาแต่แรกอยู่แล้ว เฉินอวี่เฉิงไม่คิดจะยิ้มเพื่อสร้างมิตรอะไรทั้งนั้นเมื่อหลี่เฉาซียอมโทรไปแต่โดยดี และชายหนุ่มยังเสียมารยาทพอจะกระชากโทรศัพท์จากมือหนาทันทีที่คนพูดถึงตนเอง
"ผมมีเรื่องสำคัญจะพูดกับคุณ เรื่องคุณแม่" เฉินอวี่เฉิงมองนาฬิกาที่ใกล้จะบอกเวลาสามโมง น้ำเสียงของเขาทั้งหนักแน่นและเร่งร้อน "ออกมาคุยกับผม เดี๋ยวนี้!"
“มีอะไร”
เฉินอวี่เฉิงเดินออกมาจากลิฟต์โดยสาร เขามองเห็นร่างของหลี่หยางสวินที่ออกมาจากห้องประชุมโดยมีเลขาสาวเดินตามหลัง ชายหนุ่มมองเห็นคิ้วเข้มของคนตรงหน้าขมวดมุ่น แววตำหนิไม่ปิดบังปรากฏขึ้นเมื่อพบหน้าเขาและยังคิดจะต่อว่าฐานเรียกคุยไม่สนเวลาและความเหมาะสมของสถานที่ สีหน้าของหลี่หยางสวินรำคาญเต็มที ทำราวกับไม่อยากเห็นหน้ากันเสียเต็มประดา
แต่ก็ช่างสิ จะเห็นไม่เห็นก็ช่าง จะอะไรก็ช่าง ตอนนี้เฉินอวี่เฉิงไม่สนใจ ตัวเขายังคงร้อนรนและกระวนกระวายแทบบ้าเพราะกลัวเรื่องจะซ้ำรอยเดิม กลัวว่าหลี่อี้เหมยจะตายเหมือนชาติที่แล้ว กลัวว่าหล่อนจะจากไปโดยทิ้งความต้องการสุดท้ายไว้บนโลกคืออยากให้ลูกชายแต่งงานกับคนสกุลเฉิน
เพราะจากไปโดยคุยเรื่องแบบนี้ไว้ หลี่หยางสวินลูกชายจึงถือเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายของคนตายและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดไม่ว่าเฉินอวี่เฉิงจะปฏิเสธอย่างไร แม้ตอนนี้มันจะไม่ใช่แบบนั้น แม้เขาจะเต็มใจแต่งงานสุด ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องการให้ใครตาย!
“ทำไมคุณปล่อยให้คุณแม่ไป คุณลืมหรือไงว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น!”
“หมายถึงอ...”
เขาถามซ้ำขณะกระโจนใส่อีกฝ่ายเหมือนหมาบ้า มันก็คงคล้ายพอดูเพราะตอนนี้เฉินอวี่เฉิงยังคงตาแดงก่ำจากการร้องไห้เมื่อชั่วโมงก่อน ชายหนุ่มใจเย็นพอที่จะเดินตามหลี่หยางสวินเข้ามาในห้องทำงานเพื่อคุยกันเป็นการส่วนตัว แต่เขาไม่เย็นพอจะฟังถ้อยคำถากถางหรือกริยามึนชาใด ๆ อีก ชายหนุ่มไม่รอให้คนที่เดินเข้ามาใกล้ได้ถามอะไรด้วยซ้ำ เขาทิ้งน้ำหนักบนตัวอีกฝ่ายและถลึงตาใส่พี่หยางสวินของเขาอย่างที่ไม่เคยทำ สองมือกำคอเสื้ออีกคนไว้ เค้นถามอีกฝ่ายแบบแทบเขย่าคอ!
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณคิดอะไร หรือวางแผนซับซ้อนอะไรไว้ แต่ผมไม่อยากให้คุณลากคุณแม่เข้ามาเกี่ยว รีบไปยกเลิกการเดินทางเดี๋ยวนี้!” เฉินอวี่เฉิงย้ำประเด็นหลักที่ตนตั้งใจจะมาพลางจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง “ทำหน้าแบบนั้น ทำแบบนั้นทำไม! หรือว่าลืมไปแล้วว่าวันนี้น่ะมันวันอะไร! มัวแต่ทำงานจนลืมไปหรือไงว่านี่คือวันที่แม่คุณจะตายเพราะอุบัติเหตุเครื่องบินตกน่ะ!”
เครื่องบินมีปัญหาทำให้เกิดระเบิดกลางอากาศในความสูงเกือบสองหมื่นฟุตและเป็นเหตุให้ผู้โดยสารเสียชีวิตทั้งลำ เฉินอวี่เฉิงจำได้ดีว่าหลี่อี้เหมยเป็นหนึ่งในเหยื่อของอุบัติเหตุครั้งนี้ เขาจำเพราะทุกปีในวันที่ยี่สิบสี่กรกฎาคมสกุลหลี่จะมีการเซ่นไหว้วิญญาณผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาจำได้ว่าหลี่หยางสวินเสียใจแค่ไหนที่ร่างของมารดานั้นเหลือเพียงชิ้นส่วนที่แทบหาความสมบูรณ์ไม่ได้ เขาจำได้และไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก
“แม่ฉัน...” หลี่หยางสวินเหมือนจะอึ้งไปอึดใจใหญ่ ชายหนุ่มยกมือลูบหน้าพลางมองไปยังนาฬิกาบนผนัง “ใจเย็น ๆ แม่ฉัน... ออกเดินทางตั้งแต่บ่ายสองครึ่งแล้ว”
“อะไรนะ” เฉินอวี่เฉิงพึมพำด้วยน้ำเสียงสั่นไหว เขาหน้าซีดและรู้สึกเหมือนจะหมดแรง
“ไม่สิ มันต้องมีทางสิ บ่ายสองครึ่งนี่เป็นเวลาเช็กอินรึเปล่า หลังจากนั้นยังมีเวลาอยู่อีกนี่ คุณแม่อาจจะยังไม่ไปไหนก็ได้ อาจจะมีคนไปช้าหรือเครื่องดีเลย์ก็ได้... มันต้องมี ต้องมีทาง” ชายหนุ่มมองใบหน้าคมคายที่ทอแววครุ่นคิดของอีกฝ่ายและเม้มปากแน่น พอบอกว่าไม่ทันตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาโมโหอีกแล้ว เฉินอวี่เฉิงได้แต่เฝ้าหาทางอย่างกระวนกระวาย เขาคิดถึงหนทางมากมาย แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งหาทางออกไม่ได้จนน้ำตาแทบร่วงอีกครา
“ใจเย็น ๆ เฉินอวี่เฉิง” หลี่หยางสวินถอนหายใจเบา ๆ “ใจเย็นก่อน”
“จะใจเย็นอยู่ได้ยังไง นั่นคุณน้าอี้เหมยนะ!” ชายหนุ่มร้องแหวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
ชายหนุ่มนึกถึงใบหน้าของหลี่อี้เหมย คุณน้าที่เขาสนิทสนมเหมือนแม่คนนั้นแม้จะพบกันไม่นานแต่อีกฝ่ายก็รักและหวังดีกับเขาด้วยใจจริงอย่างร้าวราน หลี่อี้เหมยที่เขาเคยทำตัวแย่ ๆ ใส่และตั้งใจจะแก้ไขในชีวิตนี้ หลี่อี้เหมยกับเฉินอวี่เฉิงความสัมพันธ์ของพวกเขากำลังเป็นไปด้วยดี ไม่ควรจะจบลงแบบนี้เลย..
“เพราะเขาเป็นแม่ของฉันไงล่ะ ฉันถึงได้บอกให้เธอใจเย็น” น้ำเสียงทุ้มของหลี่หยางสวินดังขึ้นเบื้องล่าง เรียกให้เฉินอวี่เฉิงหันไปมองชายหนุ่มด้วยใบหน้าเหยเก “หลี่อี้เหมยเดินทางไปเฉิงตูตอนบ่ายสองโมงครึ่ง ด้วยรถไฟความเร็วสูงข้ามจากเกาะฮ่องกงไปยังจีน ฉันไม่ยอมให้แม่ฉันเป็นอะไรไปหรอก เลิกคิดมากได้แล้ว”
“...”
เฉินอวี่เฉิง... คำว่าหน้าแตกเป็นอย่างไรเพิ่งมาซึ้งตอนนี้เอง
+++++++++++++++++++
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

60 ความคิดเห็น
-
#35 All I can do for you (จากตอนที่ 14)วันที่ 2 เมษายน 2563 / 11:43แงงงงงง แสนดราม่า ชอบเรื่องนร้มากๆเลยค่า ไรท์มาต่อไวๆนะคะ#350
-
#34 pinkpanpk (จากตอนที่ 14)วันที่ 2 เมษายน 2563 / 00:33เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะไรเตอร์ นิยายสนุกมากค่ะ เราชอบแนวนี้นะ#340