ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    END ทัณฑ์รัก ในเพลิงแค้น (BNIOR)

    ลำดับตอนที่ #16 : Approach (100%)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.95K
      260
      19 ม.ค. 64

    ตอนที่ ๑๒

    Approach


     


     

                    เป็นเวลาเกือบสิบเอ็ดโมงกว่าที่กุญแจไม่สามารถติดต่อพระพายได้ หรือว่าจะโกรธ แต่กุญแจไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ทำไมพระพายถึงไม่รับโทรศัพท์เขาละ ร่างเล็กกดโทรศัพท์เพื่อโทรหาเพื่อนซ้ำๆ แต่ไร้การตอบรับ เพราะตอนบ่ายมีเรียน ตอนเช้าก็ไม่เข้า

    หายไปไหนกันแน่นะ

                    “รับสิ พระพาย”

                    พระพายที่สะดุ้งตื่นโดยอัตโนมัติก่อนจะมองนาฬิกาที่อยู่บนผนังห้องสีขาว เป็นเวลาเกือบเที่ยงนี่เขานอนขนาดนี้เลยเหรอ พระพายจึงเดินลุกกลับไปที่ห้องนอนของตัวเองแต่ก็ไม่ลืมเก็บที่นอนให้ เขาเดินไปที่ห้องของตัวเองก่อนจะนำโทรศัพท์ไปเสียบชาร์ตแบต ขึ้นสายไม่ได้รับประมาณ 30 สาย โดยกุญแจโทรหาเขา ร่างบางจึงกดโทรกลับไปหาเพื่อนทันที ก่อนเสียงปลายสายจะโวยวายใหญ่

                    (พระพาย แกอยู่ไหน ทำไมตอนเช้าไม่มา...) และบลาๆอีกมากมายที่กุญแจบ่นเขา พระพายเอาหูออกห่างจากโทรศัพท์โดยทันที

                    “เราขอโทษ พอดีเราพึ่งตื่นน่ะ”

                    (ให้ตายสิ ฉันคิดว่าแกอาจจะไม่อยากเป็นเพื่อนกับฉันซะอีก ) เสียงโล่งอกของคนปลายสาย ทำให้พระพายยิ้มเอ็นดูให้กับเพี่อนใหม่ของเขา

                    “เจอกันตอนบ่ายนะ” เมื่อคุยกันเสร็จพระพายก็เตรียมอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปมหาวิทยาลัย โอ้ยคะแนนจิตพิสัยเขาหายไปแล้วแน่ๆเลย

                    เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก่อนจะมองไปที่ห้องครัวมีฝาชีครอบอาหารไว้ที่โต๊ะ และมีโน้ตเล็กๆ แปะตรงฝาชี

                    ‘แทนคำขอบคุณที่ดูแลทั้งคืน’ พระพายหยิบโน้ตขึ้นมา รอยยิ้มเล็กๆแต้มบนใบหน้าด้วยความดีใจ

                    ในช่วงการเรียนตอนบ่ายพระพายซึ่งมาทันคาบพอดีเป๊ะ ๆ แต่ก็มิวายโดนกุญแจเพื่อนตัวเล็กบ่นงุ้งงิ้งอยู่ข้าง ๆ หู เวลาผ่านไปเกือบ สามชั่วโมงเป็นคำที่นักศึกษาทุกคนอยากได้ยินคือคำว่า ‘เลิกคลาส’ พระพายเดินออกมาด้วยสีหน้าอิดโรยส่วนคนที่นอนเต็มอิ่มอย่างกุญแจที่เวลาอาจารย์บรรยาย หันมาอีกทีเพื่อนตัวเล็กของเขาก็ไปเฝ้าพระอินทร์ตลอด

                    “พระพาย ว่างไหมอะ มาช่วยเลือกของขวัญวันเกิดให้พี่ชายเราหน่อยสิ”

                    “เอ่ออ..” พระพายดูลังเล..เพราะพี่ชายของกุญแจก็คือติณฑ์ หรือคุณติวานนท์ ที่เขาไม่อยากเจอที่สุด

                    “นะ ขอร้องงงง” กุญแจทำหน้าตาบ๊องแบ๊วพร้อมเอามือกุมที่หน้าอกเป็นเชิงขอร้อง ซึ่งคนอย่างพระพายร้อยทั้งร้อย ตอนนี้ก็อยู่ที่ห้างสรรพสินค้ากับเพื่อนตัวเล็กของเขา

    ตอนนี้กุญแจวิ่งวุ่นกับการหาซื้อของขวัญให้กับติวานนท์ เดินเข้าช็อปจนจะหมดก็ไม่วายถูกใจอะไรสักอย่าง

                    “ไม่ถูกใจอะไรสักอย่างเลยอะ” คุณหนูอย่างกุญแจบ่นเบาๆ

                    “แล้วพี่ชายของกุญแจชอบของขวัญแบบไหนหรอ”

                    “อ๋ออ..พี่ติณฑ์ชอบนาฬิกาเห็นที่พี่เขาใส่ประจำเรือนสีแดง แต่เป็นแบบที่ขายทั่วไปตามตลาด”

    คำว่านาฬิกาสีแดงทำให้พระพายสะอึกลงไปเล็กน้อย...แต่ก็แอบดีใจที่เขายังใส่นาฬิกาที่เค้าซื้อให้อยู่ ทั้งที่มันดูไม่มีราคาใดๆเลยด้วยซ้ำท่าเทียบกับนาฬิกาเรือนชั้นนำตามห้างสรรพสินค้า

                    กุญแจพาเขามายัง SHOP ของร้านนาฬิกาขึ้นชื่อแบรนด์หนึ่ง มีพนักงานที่ใส่ชุดยูนิฟอร์มของร้านต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดี และนำแค็ตตาล็อกมาให้เลือก พระพายจึงขอตัวไปเดินดูสินค้าอย่างอื่นภายในร้าน โดยมีพนักงานยืนอยู่ห่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกตามสบาย 

                    ร่างเล็กสะดุดกับนาฬิกาเรือนหนึ่งที่ดูสะดุดตาด้วยดีไซน์ที่แปลกและดูเรียบหรู ด้วยหน้าปัดกว้าง 39 มิลลิเมตร ฝังเพชรและทำมาจากคริสตัลแซฟแฟร์ สวยแต่ราคาน่ากลัวมาก ราคาเจ็ดหลักขนาดนี้

                    กุญแจที่เดินมาตามเพื่อนก่อนจะสะดุดนาฬิกาเรือนเดียวกับที่พระพายมอง ร่างเล็กหันไปหาพนักงานเป็นการเรียกเมื่อสอบถามข้อมูล ร่างเล็กตกลงทันที

                    “มันไม่แพงไปเหรอ” กุญแจยักไหล่ ราคาแค่นี้ไม่ระคายกับน้องกุญแจหรอก ร่างเล็กยื่นการ์ดสีดำขลับยื่นให้กับพนักงาน สักพักกล่องนาฬิกาและสลิปการซื้อถูกยื่นมาให้

                    “นี่เป็นกล่องเล็กเป็นนาฬิกาที่รุ่นพิเศษเป็นนาฬิกาคู่ นะคะ” กุญแจกล่าวขอบคุณก่อนจะถือถุงกล่องนาฬิกาเมื่อเดินออกไปจากร้าน ร่างเล็กหยุดชะงักก่อนจะล้วงกล่องเล็กยื่นใส่มือพระพายจนคนตัวเล็กชักมือหนีแทบไม่ทัน

                    “จริงสิ หิวแล้วอ้ะไปทานข้าวกันดีกว่า” ร่างเล็กของกุญแจเดินนำเพื่อนไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่บนห้างสรรพสินค้า เมื่อก้าวเข้าไปในร้านพนักงานก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีและไปยังที่โต๊ะนั่ง พนักงานยื่นเมนูให้กับพวกเขา พระพายและกุญแจสั่งอารกันคนละอย่างแต่เครื่องเคียงยัยคุณหนูเพื่อนของเขาเป็นคนสั่งทั้งหมด พนักงานรับออเดอร์เสร็จก็เดินไปเสียบรายการอาหารตรงช่องห้องครัว ใช้เวลาไม่นานอาหารก็ถูกนำมาวางเสิร์ฟ

                    “ร้านนี้อร่อยมากเลยนะพระพาย เรายกนิ้วให้เลยแหละ”

                    “เชื่อ เพราะไม่มีอะไรที่คุณกุญแจจะบอกว่าไม่อร่อย”

                    “พระพายว่าเราตะกละใช่ไหม” ร่างเล็กค้อนให้เขาทีเล่น ทีจริงทำให้พระพายกลั้วหัวเราะเบาๆ

                    ระหว่างที่กำลังนั่งทานอาหารกุญแจที่นึกขึ้นได้ว่าเขานัดติวานนท์พี่ชายของตัวเองมาทานข้าวที่นี่ด้วยแต่ไม่ได้บอกเพื่อนกลัวว่าจะอึดอัด

                    “อ้อ เราลืมบอก วันนี้พี่เราจะมาทานข้าวด้วยนะ”

                    “อื้อเราอยากเจอเหมือนกัน” พระพายคิดว่าเป็นหมอแบมแบมจึงพูดไปอย่างนั้น

                    ติวานนท์ในชุดสูทสีน้ำเงินและกางเกงแสลคสีดำ รองเท้าหนังที่ดูสุภาพเพราะเขาเพิ่งประชุมเสร็จและออกมาตามนัดน้องสาวของเขาที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ร่างสูงกระชับสูทก่อนจะเดินเข้าไปภายในห้างและตรงไปยังร้านอาหารที่นัดไว้ทันที เมื่อเขาเดินไปยังสถานที่นัดหมายก็เห็นน้องสาวของตัวเองโบกไม้โบกมือให้เป็นเชิงว่านั่งอยู่ตรงนี้

                    ร่างสูงเดินเข้าไปทันทีก่อนจะชะงักกับคนที่นั่งตรงข้ามน้องสาวของเขาแผ่นหลังที่แสนคุ้นตา และคนที่เขาคิดถึงมาตลอด ร่างสูงของติวานนท์ยิ้มดีใจไม่น้อย ที่พระพายเป็นเพื่อนสนิทของน้องสาวของเขา นี่สินะคือสิ่งที่แบมแบมจะพูดกับเขาวันนั้น โลกมันกลมอะไรขนาดนี้ละ ติณฑ์ยืนอยู่ข้างหลังร่างเล็ก พระพายที่กำลังจะหันไปทักทาเพราะคิดว่าเป็นหมอแบมแบม

                    พระพายเบิกตากว้างเมื่อเห็นติวานนท์ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ร่างสูงยิ้มให้เขาด้วยความดีใจ กุญแจจึงย้ายไปนั่งข้างๆเพื่อนและให้ติณฑ์นั่งฝั่งตรงข้าม ร่างสูงจ้องมองใบหน้านวลอย่างพินิจ ริมฝีปากบางขบเม้มด้วยความประหม่าของน้องตกอยู่ในสายตาเขาตลอด

                    “นี่เพื่อนของแจเองชื่อพระพาย ส่วนนี้พี่ติณฑ์พี่ชายของเรา”

                    “สวัสดีครับ พี่ติณฑ์” ร่างเล็กยกมือไหว้ก่อนจะยิ้มเหมือนฝืนไว้ ใจของคนตัวโตตรงหน้ารู้สึกเจ็บไม่น้อยที่น้องเขาดูฝืนๆเมื่อเจอเขา เขาไม่ใช่รอยยิ้มของน้องอีกแล้วใช่ไหม ร่างสูงรู้สึกขอบตาร้อนผ่าวแต่ต้องฝืนไว้แม้ในใจจะรู้สึกเจ็บปวด

                    ติณฑ์สั่งอาหารที่พนักงานก่อนจะรออาหารมาเสิร์ฟ เวลาไม่นานสเต็กหมูพริกไทยดำถูกวางเสิร์ฟตรงหน้าพร้อมพาสต้าขี้เมาทะเล เขาไม่อยากทานอาหารเลยสักนิดเขาอยากนั่งมองพระพายแบบนี้ไปเรื่อยๆมากกว่า

                    พระพายยอมรับว่าตัวเองอึดอัดเพราะติวานนท์เอาแต่จ้องมองเขาจนเขาเกร็งและประหม่าไปหมด ร่างเล็กแสร้งทำเป็นไม่สนใจหันไปหั่นเนื้อในจานและทานเข้าไป

                    กุญแจที่ลอบสังเกตระหว่างพี่ชายของเขาและพระพายที่ทั้งคู่ดูแปลกไป โดยเฉพาะพระพายที่นั่งตัวเกร็ง ส่วนพี่ชายเขาเขารู้ว่าว่าติวานนท์จ้องเพื่อนของเขาซะจนจะพรุนอยู่แล้ว ความรู้สึกของร่างเล็กรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องเคยรู้จักกันมาก่อน เซนส์ของเขามันบอกแบบนั้น

                    การกินอาหารเป็นความรู้สึกที่เขารู้สึกอาหารในจานที่น่าอร่อยกลับดูกร่อยและไร้รสชาติ พระพายเสตาทำเป็นไม่สนใจคนตรงหน้าที่จ้องเขาตลอดเวลาจนเขาอยากจะลุกออกไปแต่ไม่อยากให้กุญแจเพื่อนของเขารู้สึกไม่ดีจึงยอมฝืนทนนั่งต่อ เสียงขยับไมค์บนเวทีกลางร้านอาหารดังขึ้นสร้างความสนใจให้กับผู้ตนที่กำลังนั่งทานอาหาร นักร้องบนเวทีนำกีตาร์ขึ้นมาและวางมือตามคอร์ด ก่อนจะดีดเป็นเพลงและเปล่งเสียงร้องตามเนื้อเพลง

    “ไม่มีสิทธิ์ ทำอะไร ให้เธอคืนมา ก็รู้ว่า เธอนั้นฝังใจ......

    เมื่อฉัน ได้ทำผิด เคยทำลายใจเธอลงไป ก็รู้ว่าคงไม่มีทาง

    ได้เธอ "คืนมา" วันแต่ละวัน ทรมาน เพียงแค่คิดว่า

    เคยทำลายรักที่เคยมี มัน ผ่านไปนาน ผ่านเป็นปี

    ความผิดนี้ก็ยังคอยย้ำ ซ้ำเติมทุกวัน ไม่อาจจะบอกให้เธอลืม

    แค่เพียงให้เธอยกโทษให้กัน จากบาปที่ฉันก่อไว้

    ปลดปล่อยให้ฉันได้ไหม ก็ขอเท่านี้เอง

    ไม่มีสิทธิ์ทำอะไร ให้เธอคืนมา ก็รู้ว่ามันไม่มีวัน

    แต่คนที่เคยผิด คนที่เธอไม่ต้องการ จะขอร้องเธอด้วยหัวใจ "ยกโทษ" ได้ไหม

    คำ ไม่กี่คำ อาจจะทำ ให้คนนี้รู้สึกเลวร้าย น้อยกว่าที่เคย”

    (เนื้อเพลง ยกโทษ – bodyslam)

     

                    พระพายเบือนหน้าไปทางอื่นก่อนจะทนไม่ไหวลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกจากร้านอาหารไปด้วยความมึนงงของกุญแจที่จู่ๆเพื่อนก็ลุกเดินออกไปไม่บอกลาเขาสักคำ แต่เชื่อว่าต้องมีเหตุผลและเหตุผลที่ว่าก็คือพี่ชายของเขา  ทันทีที่พระพายเดินออกไปติวานนท์ก็เดินตามกึ่งวิ่งเพื่อรั้งร่างเล็กเอาไว้เขาไม่ยอมปล่อยน้องไว้เฉยๆอีกแล้ว

                    พระพายที่เดินมาจนถึงหน้าลิฟต์กำลังจะก้าวเข้าไปแต่ถูกมือหนาดึงเข้ามากอดไว้ด้วยความรู้สึกที่หลากหลายทั้งคิดถึง โหยหา ขอโทษและเสียใจ พระพายยืนนิ่งอึ้งปล่อยให้ติณฑ์กอดเขาหลายนาทีจนได้สติร่างเล็กพยายามดีดดิ้นออกจากอ้อมแขนแกร่ง แต่ทว่ากลับเปล่าประโยชน์เมื่อแขนแกร่งล็อกร่างเล็กไว้กับตัว

                    “คุณปล่อยผมเดี๋ยวนี้เลยนะ” สายตาคนทั้งห้างที่มองมายังพวกเขาแบบต่างๆนานาแต่ติวานนท์ไม่ได้สนใจกลับกระชับกอดร่างเล็กให้ชิดตัวเองมากขึ้น

                    “เรามีเรื่องต้องคุยกันพระพาย”

                    “ผมไม่คุย ผมจะกลับ ปล่อย” พระพายดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอด ยิ่งน้องดิ้นกลิ่นกายคนตัวเล็กยิ่งหอมมันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมแต่เป็นกลิ่นของน้องเอง ร่างสูงฉวยโอกาสด้วยการนำจมูกโด่งของตัวเองฉาบฉวยหอมแก้มกลมด้วยความคิดถึง

                    “ถ้าไม่ยอมคุยก็ยืนกอดอยู่แบบนี้แหละ” ติณฑ์ยิ้มทำหน้าทองไม่รู้ร้อน ใดๆทั้งสิ้น

                    “ปล่อย ผมไม่คุย คุณกับผมเป็นแค่คนแปลกหน้ากันเท่านั้นอย่าลืม”

                    คำว่าคนแปลกหน้าเหมือนเข็มเล็กๆนับพันเข็มทิ่มแทงก้อนเนื้อในใจของติวานนท์  พระพายอาศัยที่ติณฑ์เผลอดิ้นจนร่างตัวเองหลุดจากอ้อมกอดก่อนจะเดินลงทางบันไดเลื่อนแต่ทว่า แขนของติณฑ์นั้นยาวกว่าเขาขว้าแขนเรียว เมื่อน้องไม่ยอมฟังเขาก็คงต้องใช้กำลัง 

                    เมื่อคิดได้ดังนั้นร่างสูงตัดสินใจอุ้มคนตัวเล็กด้วยท่าทางที่ทะมัดทะแมงเพราะพระพายทั้งดิ้นทั้งทุบตีจนเขาเจ็บแสบไปหมด ร่างสูงฟาดก้นกลมด้วยความหมั่นเขี้ยวก่อนจะเดินไปยังชั้นจอดรถของตัวเองและยัดพระพายเข้าที่รถก่อนจะรีบขึ้นรถตามไปเพื่อไม่ให้คนฤทธิ์เยอะอย่างพระพายได้หนีเขาอีกเป็นครั้งที่สอง พระพายที่นั่งหน้าบูดบึ้งด้วยความไม่สบอารมณ์และเริ่มสังเกตว่าติวานนท์เริ่มขับรถเลี่ยงออกมาจากเส้นทางในเมืองไปยังนอกเมืองจนพระพายต้องโวยวาย

                    “คุณจะพาผมไปไหน พาผมไปส่งที่เดิมเดี๋ยวนี้ คุณติณฑ์” พระพายเริ่มโมโห แต่ร่างหนากลับยียวนไม่สนใจเขาหันไปเปิดเพลงในวิทยุหน้าตาเฉย ยิ่งเขาโวยวายติวานนท์ยิ่งเร่งเสียง พระพายโวยวายจนรู้ว่าไม่มีทางที่จะต่อกลอนได้จึงใช้ความเงียบและหันหลังให้กับคนข้างๆ

                    แต่พวกเขาลืมอะไรไปหรือเปล่าว่าทิ้งน้องสาวและเพื่อนไว้ที่ห้างคนเดียวและประเด็นคือกุญแจจะกลับยังไง เมื่อกุญแจโทรหาคนขับรถไปขับมาเอารถเขาที่ห้างเพื่อกลับกับพี่ชายแต่เป็นว่าพี่เขาทิ้งเขาเฉย กุญแจถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย

    ปี๊บ

                    เสียงเครื่องยนต์เข้ามาจอดเทียบข้างถนนสร้างความงุนงงให้กับผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างกุญแจเป็นอย่างดี เจ้าของรถยนต์ Koenigsegg Regera สีแดงเพลิงลดกระจกก่อนจะโปรยยิ้มให้ลูกพี่ลูกน้องของเพื่อน จักร หรือ จุลจักร ที่บังเอิญขับรถผ่านมาแถวนี้และเจอกุญแจเข้าจึงมาจอดรับแม้น้องจะชอบทำหน้าเหมือนคนปวดขี้เวลาเจอหน้าเขาก็เหอะ

                    กุญแจไม่ชอบเขาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ทั้งที่เมื่อก่อนตัวติดเขาจะตาย ‘พี่จักรค่ะ พี่จักรขา’ ตอนนี้เหลือเพียงหญิงสาวที่ปากคว่ำและเชิดหน้าใส่เขาเพียงเท่านั้น กุญแจยอมกลับกับจักรแต่ตลอดทางไม่มีการคุยกันใดๆทั้งสิ้นแม้คนเป็นพี่อย่างจักรจะชวนคุยแต่น้องกลับนั่งนิ่งใส่เขา

                    ติณฑ์ขับรถมุ่งเข้าสู่เขตเมืองกาญจนบุรี ไม่รู้ว่าคนตัวเล็กหมดฤทธิ์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่เขาได้ยินเพียงลมหายใจที่สม่ำเสมอกันทำให้ติวานนท์ยิ้มน้อยๆด้วยความเอ็นดู เขาขับรถตามแผนที่ GPS ไปเรื่อยๆ ที่เขาพาพระพายมาเป็นรีสอร์ตเล็กๆ นอกเมือง

                     ร่างสูงขับรถไปจอดยังใต้ร่มเงาต้นไม้ก่อนจะสะกิดร่างเล็กให้รู้สึกตัว พระพายงัวเงียก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อรอบตัวเขามีแต่ต้นไม้ ใบหญ้าเขียวขจี เมื่อร่างเล็กตื่นขึ้นมาติณฑ์เดินลงจากรถไปเปิดประตูอีกฟากให้พระพายลง

                    “คุณพาผมมาที่นี่ทำไม พาผมกลับเดี๋ยวนี้เลยนะคุณติณฑ์”

                    “ไม่กลับ จนกว่าจะคุยกันให้รู้เรื่อง”

                    “ไม่ คุย” พระพายเน้นคำและสะบัดหน้าหนีก่อนจะเดินไปตามทางเดินที่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธ์ แต่มือหนาของติวานนท์จับไว้ก่อนจะดึงร่างเล็กที่เดินเตร็ดเตร่ไม่รู้ทิศทางเพื่อหนีเขา ติณฑ์ลากแขนบางไปยังเคาน์เตอร์เพื่อเช็คอินเข้าพักโชคดีที่ไม่ใช่ช่วงหน้าเทศกาลทำให้มีห้องพักว่างอยู่เป็นจำนวนมากพนักงานยื่นกุญแจบ้านหลังสุดท้ายที่ห่างไกลจากบ้านพักทุกหลังให้กับทั้งคู่ ติณฑ์พาพระพายไปยังห้องพัก ร่างเล็กหน้าบูดบึ้งด้วยความโกรธ

                    เมื่อเข้าไปในห้องพัก ภายในตกแต่งโทนสีพาสเทลข้างหลังมีระเบียงที่เชื่อมออกข้างหลังจะเจอลำธารเล็กๆอยู่หลังบ้าน เสียงสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆไปตามเส้นทางที่ไม่รู้ว่าจุดจบของสายน้ำอยู่ที่ไหน พระพายดูท่าคนตรงหน้าไม่ไปส่งเขากลับบ้านง่ายๆแน่ๆ พระพายเดินไปที่ระเบียงก่อนจะหย่อนตัวนั่งตรงแป้นพื้นไม้เพื่อหย่อนขาลงกับลำธาร

                    “พระพายกลับมาเป็นเหมือนเดิมเหมือนตอนที่อยู่บนเกาะของเราได้ไหม” ติณฑ์ที่พับขากางเกงสูทก่อนจะหย่อนขานั่งลงข้างๆคนตัวเล็ก พระพายนั่งเงียบไม่ตอบ

                    “ที่ผ่านมาคุณไม่รู้สึกดีๆกับผมเลยหรอ พระพาย”

                    “ไม่ครับ” หัวใจพระพายบีบแน่น แววตาหม่นแสงของคนที่ได้ฟังจากปากเล็กทำให้ติณฑ์ยิ้มบางๆกับคำตอบ

    เขาเข้าใจแล้ว

                    พระพายรู้ว่าปากเขามันหนักแค่ไหน ยอมรับที่ผ่านมาเขารู้สึกดีแต่เพราะความปากหนักและทิฐิในตัวเขาทำให้ต้องพูดในสิ่งที่มันตรงข้าม พระพายเบือนหน้าหนีก่อนจะลุกเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อปาดน้ำตาที่มันไหลออกมา

                    ภายในห้องมีเพียงแต่ความเงียบและเสียงลำธาร แต่ทว่าพนักงานเคาะประตูเพื่อนำอาหารเย็นมาเสิร์ฟให้ที่ห้องพัก ร่างสูงเดินไปเปิดประตูก่อนจะให้พนักงานนำอาหารมาวางไว้บนโต๊ะ ภายในโต๊ะทานข้าวไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุยใดๆทั้งสิ้นทั้งคู่ต่างก้มหน้าก้มตากินของใครของมัน จนบรรยากาศมันน่าอึดอัดไปหมด

    เสียงเคาะประตูอีกครั้งพนักงานเชิญแขกที่มาพักมากินเลี้ยงเล็กๆในงานปาร์ตี้ของรีสอร์ต ทั้งเขาและพระพายไม่ปฏิเสธก่อนจะยิ้มและรับปากว่าจะไปร่วมงานด้วย

                    ช่วงเวลาประมาณ 1 ทุ่ม พระพายและติณฑ์เดินเข้าไปในงานก็มีป้าเจ้าของรีสอร์ทยิ้มรับและจำติวานนท์ได้ เพราะตอนเขาเรียนตอนมัธยมเขามักจะมาเที่ยวที่นี่ทุกปีหรือกลับมาจากการปิดเทอมของมหาวิทยาลัยติณฑ์จะมาพักผ่อนที่นี่ทุกปี

                    “ป้าจำเราได้ หล่อขึ้นนะจ๊ะ เอ้เมื่อก่อนมากับเพื่อนคนข้างๆนี่แฟนหรือเปล่าเอ่ย” ป้าเจ้าของรีสอร์ทเอ่ยยิ้มๆ

                    “ไม่ใช่นะครับ” พระพายปฏิเสธ

                    “ครับ” ติณฑ์ยิ้มให้กับป้าเจ้าของรีสอร์ท ส่วนพระพายทำหน้าบูดบึ้งเขาอุตส่าห์ปฏิเสธแล้วยังโมเมขี้ตู่อีกตั้งหาก

                    “น่ารักจังเลย ทานเต็มที่เลยนะลูกวันนี้”

                    พระพายเดินกระแทกส้นไปยังโซนเครื่องดื่ม และหยิบแก้วที่มีน้ำสีฉูดฉาดอยู่ภายในและดื่มเข้าไปรวดเดียวเพราะคิดว่าเป็นน้ำผลไม้แต่มันกลับเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

                    “แค่กๆ”

                    พระพายเป็นคนที่ดื่มแอลกอฮอล์สำลักรสชาติขมฝาดของเครื่องดื่ม แต่พอนานๆกลับหวานติดลิ้นทำให้ร่างเล็กติดใจกับรสชาติและหันไปดื่มอีกหลายแก้ว จนติณฑ์ที่เดินมาถึงกับกระชากแก้วออกจากมือบาง สายตาของพระพายจ้องเขม็งด้วยความโกรธ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าหงึไม่พอใจ 

                    ในสายตาของติวานนท์พระพายเซ็กซี่แค่ไหนไม่รู้ หน้าที่แดงระเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอร์ ช้อนตามองเขา ติณฑ์อยากพากลับไปที่ห้องเสียเหลือเกิน ติวานนท์ลากแขนน้องพาไปนั่งที่โต๊ะ ก่อนจะทิ้งน้องไว้เพื่อไปตักอาหารให้น้องได้หายเมา

                    พระพายนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยใบหน้าง้ำงอ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานเมื่อเห็นบริกรยกเครื่องดื่มที่ตัวเองชอบ ร่างเล็กโบกมือเรียกบริกร

                    “อึก ๆ” ร่างเล็กดื่มมันจนหมดแก้ว ทำไมมันอร่อยแบบนี้

                    ไม่รู้ว่าติณฑ์ตักอาหารนานแค่ไหนจนกระทั่งยกข้าวผัดกับซูชิมาให้คนตัวเล็กกลับพบว่าพระพายกำลังนั่งคุยกับใครคนหนึ่งที่เป็นแขกที่พักที่นี่เหมือนกับพวกเขาและดูเหมือนจะคุยกันถูกคอด้วย

                    “ชอบเครื่องดื่มนี่เหรอครับ คุยกันตั้งนานผมชื่อแพท คุณชื่อ?”

                    “พระพายครับ ผมชื่อพระพาย” ร่างบางยิ้มหวาน ติณฑ์ถึงกับปรี่เข้าไปที่โต๊ะและวางอาหารกระแทกกับโต๊ะจนทั้งคู่สะดุ้ง

                    “แฟนหรอครับ” แพทถามพระพาย

                    “ใช่ครับ” ติณฑ์ตอบด้วยความมั่นใจ แต่ก็ต้องเบรกไว้เมื่อร่างเล็กตอบเป็นพัลวัน

                    “ไม่ใช่ พระพายไม่มีแฟน”

    กลับ

                    “ไม่กลับ 

    พอกันที

                    ติวานนท์ ไอ้ติณฑ์ ตัดสินใจพาร่างกายคนเมากลับที่พักด่วนก่อนจะอ่อยชาวบ้านขนาดนี้ ร่างสูงพาพระพายกลับไปยังบ้านพักด้วยความยากลำบากเพราพระพายไม่ยอมไม่เอา กำลังสนุกเลย”

                    “กลับ” ติณฑ์กดเสียงเข้ม แต่กลับเปล่าประโยชน์เมื่อร่างเล็กดื้อดึงที่จะกลับไปที่งาน สาบานอยู่กับเขาจะไม่ให้แตะเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ทุกชนิด

                     ติณฑ์ตัดสินใจช้อนตัวร่างเล็กในท่าเจ้าสาวเพราะดูท่าคงจะเดินเองคงจะถึงที่พักพรุ่งนี้เช้าแน่ๆ ติณฑ์อุ้มกว่าจะถึงที่พักก็เกือบเอาเขาหลังเดี้ยงเหมือนกันเพราะพระพายเมาและแกล้งเขาตลอดทั้งดิ้นและหัวเราะด้วยความชอบใจ ร่างสูงวางพระพายไว้บนเตียง พระพายนั่งมึนอยู่บนเตียงสายตาอ้อนเหมือนลูกแมวที่มองมาทางเขา..

                    ใจเย็น ขืนทำนี่คงได้ง้อกันยาวกว่านี้แน่ๆ แค่นี้พระพายก็ใจแข็งกับเขามากพอแล้ว

                    “ที่ถามเมื่อตอนเย็น ผมหวั่นไหวนะ”

                    “หะ?” ติณฑ์ได้ยินไม่ชัด แต่แมวน้อยของเขาเลื้อยตัวมุดไปกับผ้าห่มด้วยความเขินแล้วเรียบร้อย ใครบอกว่าคนเมาไม่เขิน ติณฑ์ยิ้มให้กับพระพายก่อนจะหยิบหมอนมาไว้ที่โซฟาแต่ถูกแมวน้อยที่นอนอยู่บนเตียงทำสายตาอ้อนด้วยความไม่รู้ตัว

                    “ไม่อยากนอนคนเดียว” คนเมาทำปากคว่ำ ก่อนจะเขยิบตัวเองเว้นที่ว่างให้คนตัวโตนอนข้างๆ

                    ให้ตายเถอะ ติวานนท์ขอถอนคำพูดเรื่องที่ไม่ให้น้องแตะแอลกอฮอล์ อยู่กับเขาสามารถแตะได้ อ้อนเป็นแมวขนาดนี้ เมื่อเปิดโอกาสให้ขนาดนี้คนอย่างติวานนท์ก็คงไม่ปฏิเสธ เขารีบวางหมอนไว้ที่เดิมก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆน้องก่อนที่พระพายจะเปลี่ยนใจ

     

     

     TBC



     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×