ห้วง - ห้วง นิยาย ห้วง : Dek-D.com - Writer

    ห้วง

    นี่แหละคือความเป็นคน นี่แหละคือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง

    ผู้เข้าชมรวม

    103

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    103

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  จิตวิทยา
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 มี.ค. 49 / 00:42 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

            คุณว่า...ชีวิตมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ตรงไหน   การปฏิสนธิก็ใช่  เมื่อเด็กทารกได้คลอดออกมา ลืมตา ร้องอุแว้ ก็ถูก    แต่ผมว่า...คุณลองหลับตาดูสิแล้วตอบคำถามผมมาว่ามองเห็นไหม  แน่นอนก็มองไม่เห็นน่ะสิ   แต่สิ่งที่ผมต้องการถามจริงๆคือ คุณสัมผัสได้ถึงอะไรต่างหาก   ความมืดมิดที่เกิดจากเปลือกตามาบรรจบ ณ จุดๆหนึ่ง  ความกลัว เมื่อมองไม่เห็นสิ่งที่ต้องเผชิญหน้า  ความอ้างว้าง เมื่อมองไม่เห็นใคร   เกิดความวังเวงที่ไม่น่าพิศมัย   อาการที่จะเกิดตามขึ้นมาทันทีทันใดคืออะไร   แต่นั่นมันไม่สำคัญเท่า...บางสิ่งบางอย่างที่จะช่วยให้คุณหลุดพ้น

       

            ให้ตายสินี่มันอะไรกันวะเนี่ย!?   สองแขนสองขาสองตากับอีกสองหู...นี่ผม..เป็นคน!   ไม่จริงน่า!   ไม่เอาด้วยหรอก ถ้าผมเป็นคนแสดงว่าผมก็มีสมองด้วย  โอ..ก้อนกลมโตในกะโหลกแผ่นแข็งโค้งมนที่แสนประเสริฐ   ก้อนกลมที่มีรอยหยักเต็มไปหมด  รอยที่สลักความฉลาดในการจะก้าวขึ้นแท่นเป็นเจ้าแห่งมวลมนุษย์   รอยนั่นมันดิ่งลึกเสียเหลือเกินจนผมรู้สึกกลัว  ผมกลัววันเวลาที่เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆนั่นจวบจนผมกล้ามเนื้อมากขึ้น กระดูกยืดออก และก้อนกลมโตนั่นขยายขึ้นตาม  ทารกแบเบาะอย่างผมจะกลายเป็นนักโทษแห่งอำนาจความฉลาดและอารมณ์ดิบที่ถูกซ่อนเร้นไว้ใต้หน้ากากแก้ว

            ติ๊ก..ติ๊ก..ติ๊ก

            เข็มนาฬิกาหมุนเวียนไปตามช่วงจังหวะที่สม่ำเสมอไม่มีหยุด ไม่มีหวนกลับ

            วิ้ว...

            เสียงลมหวีดหวิวตีกระทบลำตัวทำให้ขาข้างหนึ่งที่กำลังยันหินผาสีเทาทะมึนเกือบหลุดเลื่อนออก   ยังดีที่มือยังคงยึดขอไว้แน่น   ขาอีกข้างรีบตะกายขึ้นพร้อมมือที่เกาะแน่นมั่นคงขยับเลื่อนไปตามความสูงของหินผา  เหงื่อที่ไหลเต็มหน้าผากกว้างไม่เป็นอุปสรรค

       

            ข้านึกไม่ถึงว่าเอ็งจะกล้าหักหลังข้า  เสียแรงว่ะ.. ใบหน้าเกลี้ยงแต่คล้ำแดดยื่นเข้ามาจนเกือบชิด

            เสียแรงอะไรวะ  รึเสียแรงที่เกิดมาไม่มีสมองเหมือนข้า  หึ ผมขำแบบเยาะๆใส่หน้ามัน

            เออ!ข้าเสียแรงที่เกิดมาไม่มีสมองเหมือนเอ็ง  สมองที่คิดทำแต่เรื่องชั่วๆไง เสียงที่เน้นกระทบเข้าใบหูทั้งสองข้าง  ผมหลับตาโดยไม่รู้ตัว   ข้าจะถือว่าProject ที่เอ็งขโมยไปเป็นของสังฆทาน   และหวังว่าพอข้าถวายทำบุญทำทานเสร็จจะไม่ได้เจอเอ็งอีก จบคำมันก็สะบัดหลังใส่เดินไกบออกไป     ..............ผมชนะเลิศการทำProject และได้รางวัลนักศึกษาดีเด่นท่ามกลางการยกย่องที่ปราศจากมัน....เพื่อนที่สนิทที่สุดของผม

       

            เคร้ง...

            เสียงขอกระทบแผ่นผาทะมึน   เศษสีน้ำตาลแกมดำก้อนเหลี่ยมเล็กๆหลายก้อนร่วงลงข้างล่างพร้อมฝุ่นธุลีแต่แล้วก็ถูกกระแสลมจากเบื้อล่างพัดพาหายไปแทนที่แรงโน้มถ่วงที่คอแต่จะดึงดูดวัตถุ   และยังคงมีกระแสลมพัดกระทบลำตัวอยู่เรื้อยๆ หากแต่มีลมดันผ่านช่องทางเดินหายใจผ่านปากและจมูกออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

       

            ผมยิ้มให้กับความสำเร็จที่ได้เป็นผู้นำเหนือกว่าผู้นำประเทศ  ยิ่งกว่าชื่อเสียง  ยิ่งกว่าเงินทอง  มันคืออำนาจในการกุมโลกทั้งโลกไว้ในมือเพียงหยิบมือเดียว   ผมคือผู้ประกาศสงครามกับประเทศมหาอำนาจ  ผมคือผู้ครอบครองแหล่งน้ำมันดิบ  ผมคือผู้ค้นคว้าเรื่องอาวุธนิวเคลียร์  ผมคือผู้กุมภาษีของประชาชนทุกคน  ผมคือผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดทั้งภาคเศรษฐกิจและสื่อสารมวลชน  ผมคือผู้แพร่กระจายไวรัสและแฮ็คข้อมูลในโลกไซเบอร์   ผมคือผู้ครอบงำเทคโนโลยี  ผมคือผู้ทำลายศาสนา  และผมยังเป็นผู้ทำอะไรอีกมากมาตราบเท่าที่ผมมีสมองและผมต้องใช้ให้คุ้ม  ก็ในเมื่อผมเกิดมาเป็นคน

       

            ตุบ....

            ในที่สุดผมก็ก้าวมาถึงยอดเขา   ผมสูดหายใจเข้าอย่างเต็มเปี่ยมและปล่อยมันออกจนหมดปอด   ฮ้า..บนนี้สูงเสียจริง  หึ  ไม่มีใครสักคนที่ทาบผมติด   ไม่มีบนยอดเขานี้นอกจากผม...ผมคนเดียวเท่านั้น

            ตลอดระยะความสูงกว่า 5,000 กม.เหนือระดับน้ำทะเล  ผมปีนมาถึงแล้ว   ตลอดระยะความสูงที่ผมเหยียบใครต่อใครหลายคนขึ้นมา  ตลอดระยะความสูงที่ผมตัดเชือกปล่อยใครต่อใครตกหายลงไปยังก้นหุบเหวเพื่อเป้าหมายส่งเดียว  คือการได้ครอบครองยอดเขาลูกนี้ 

            ตอนนี้ไม่มีใครเลย   นอกจากผม

            ลมตีกระทบ  ความกดอากาศต่ำ  หูผมอื้อ  หัวผมมึน  ผมสูดหายใจยาวและลึกก้มมองตามขอบผา  ฝุ่นผงปลิวผ่านสายตาไป  ตอนนี้ไม่มีใครเลย  นอกจากผม...ผมคนเดียว

            มาสิ!  มาชื่นชม  มายกย่อง  มาปรบมือให้ผมสิ!”  เสียงตะโกนผมถูกดูดกลืนหายพร้อมสายลมเบื้องล่าง  สำเร็จแล้ว! ผมนี่ไงผู้กุมอำนาจเหนือโลก!” ผมตะโกนว้ากขึ้นไปเหนือม่านฟ้าที่ว่างเปล่าและเงียบงัน

       

            คุณคิดว่าคุณคือผู้ชนะ   แต่ผมว่าคุณคือผู้น่าสงสาร หมอหนุ่มผมปรกหน้ามองลอดแว่นสายตาออกมา  คนเราเกิดมาด้วยสัญชาตญาณดิบที่ไม่มีใครรู้จุดกำเนิด   แต่คนเราก็มีสมองที่คอยควบคุมสัญชาตญาณดิบนั้นๆ  หากแต่ว่าถ้าคนเราจงใจใช้สมองเป็นเครื่องมือสนองสัญชาตญาณที่ว่า   นั่นล่ะไร้ศีลธรรมเข้าขั้นจริงๆ

            หมอกำลังด่าผม สายตากระด้างจ้องเขม็งไปยังหมอหนุ่มผู้พร่ำออกมาอย่างตรงเสียยิ่งกว่าตรง

            โรคเครียดของคุณเกิดจากตัวคุณนั่นแหละครับ   ถ้ายังหมกมุ่นกับเรื่องอำนาจที่คอยแต่จะเหยียบข้ามศีรษะใครต่อใครไปหาความสำเร็จ  อืม...เอาเป็นว่าถ้าคุณยังคงใช้สมองคิดทำในสิ่งผิดๆผมว่าคุณคงจะเป็นคนที่ก้าวขึ้นแท่นอย่างรวดเร็วสมใจอยากแน่ครับ  แต่คงไม่คุ้มกับภาวะตึงเครียดที่ทุกคนรอเหยียบเมื่อคุณล้มนี่หรอก ผลข้างเคียงน่ะอันตรายนะครับ

       

            หยดอุ่นๆสีแดงหยดลงตามแง่หิน   ลำตัวล้มลงกระแทกกระทบพิ้น

            หึ...เนื้องอกในสมองรึ  น่าขำ ต่อให้ต้องแลกด้วยความตายแต่อำนาจก็ยังอยู่ในมือเราไม่มีใครมาแย่งมันไปได้  ....ผมยิ้มให้กับตัวเองแล้วหงายตัวพลิกขึ้น  จ้องมองขึ้นไปยังแผ่นฟ้ากว้าง  แสงอาทิตย์สาดส่องลงมา  ผมค่อยๆยกมือขึ้นอย่างยากเย็นทาบตรงกับตำแหน่งดวงสว่างกลมใหญ่ที่เมื่อมองจากตรงนี้มันดูเล็กซะเหลือเกิน  ผมค่อยกำมือลงแน่นพน้อมกับปิดเปลือกตาด้วยรอยยิ้ม

            ผมไง...ผู้ชนะที่เหมือนได้หลุดพ้นแล้ว   ความชั่วที่กระทำ  ความยึดติดที่ทำให้ผมเป็นนักโทษแห่งอำนาจของสัญชาตญาณที่อาศัยสมอง  ผมหยุดแล้ว...ว่าไงหมอ...หึ  หมอจะรู้สึกยังไงถ้ารู้ว่าผมหนีการผ่าตัดมาเพื่อหยุดห้วงสำนึกที่มันบกพร่องให้มันตายไปพร้อมกับ...จิตวิญญาณของผม

            ....ให้ตายสิ.... ผมไม่น่าเกิดมาเป็นคนเลย  เพราะมันมีสมองอย่างนี้ไง

       

            คุณว่า.....ชีวิตมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ตรงไหน   แต่มันไม่สำคัญเท่า....บางสิ่งบางอย่างที่จะช่วยให้คุณ หลุดพ้น  

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×