Reminisce promise : 1 คำสัญญานั้นจะเก็บมันไว้ในความทรงจำ - นิยาย Reminisce promise : 1 คำสัญญานั้นจะเก็บมันไว้ในความทรงจำ : Dek-D.com - Writer
×

    Reminisce promise : 1 คำสัญญานั้นจะเก็บมันไว้ในความทรงจำ

    โดย The Photonic

    ปัญญาประดิษฐ์ที่สร้างโดยศาสตราจารย์เบริก เอชเชอร์ที่สำเร็จไปแล้วกว่า 90% ได้เกิดความล้มเหลวในช่วงของการพัฒนาจนทำให้เหล่าปัญญาประดิษฐ์ต้องกลายเป็นเครื่องจักรสังหาร ทำให้มนุษย์และAIถูกแบ่งแยกออกจากกัน

    ผู้เข้าชมรวม

    110

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    110

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    2
    จำนวนตอน : 1 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  29 พ.ค. 63 / 01:31 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    "การพัฒนาระยะแรก ทำการป้อนคำสั่งเครื่องจักรให้เครื่องจักรเคลื่อนไหวซ้ายขวา ผลลัพธ์ที่ได้เครื่องจักรไม่สามารถแยกแยะซ้ายขวาได้ด้วยตัวเอง ทำการปรับให้มีการใช้การควบคุมผ่านเครือข่ายไร้สาย Ecore-01 โดยให้นักวิจัยคอยเขียนโค้ชและป้อนคำสั่งให้แก่เครื่องจักรโดยตรง ติดตั้งไมโครชิปกลาส 1 ตัวให้แก่เครื่องจักร ผลลัพธ์ที่ได้ เครื่องจักรสามารถทำตามคำสั่งได้ไม่เกิน 1 อย่าง ไมโครชิปกลาสได้รับความเสียหายจากความร้อนจึงทำการถอดออก


    ระยะที่ 2 ทำการติดตั้งไมโครชิปกลาสตัวใหม่ให้แก่เครื่องจักรและติดตั้งไมโครชิปกลาสเพิ่มอีก 1 ตัว ติดตั้งระบบไนโตรเจนเหลววอร์เทคโฟลว์เพื่อรักษาระดับความเย็นให้แก่ไมโครชิปกลาส แล้วทำการป้อนคำสั่ง ผลลัพธ์ที่ได้ เครื่องจักรสามารถทำตามคำสั่งได้มากกว่า 2 อย่าง แต่ไม่เกิน 3 ระบบไนโตรเจนเหลววอร์เทคโฟลว์ทำงานได้ด้วยดี


    ระยะที่ 3 ทำการทดสอบซ้ำตามระยะที่ 2 ผลลัพธ์ที่ได้ยังคงเดิม จึงทำการติดตั้งไมโครชิปกลาสเพิ่มอีก 2 ตัว แล้วทำการป้อนคำสั่ง ผลลัพธ์ที่ได้ เครื่องจักรมีการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วขึ้นแต่ยังช้ากว่ามนุษย์ เครื่องจักรสามารถทำตามคำสั่งแบบทดสอบทั้ง 4 ได้ สามารถแยกเหล็กออกจากก้อนหินได้ สามารถแยกระหว่างมนุษย์และหุ่นลองเสื้อได้ สามารถเขียนคำตามคำสั่งที่นักวิจัยป้อนให้ได้ถูกต้อง 98% สามารถควบคุมระบบไนโตรเจนเหลววอร์เทคได้ด้วยตัวเอง ทั้งสามข้อล้วนผ่านการป้อนคำสั่งโดยตรงจากนักวิจัย แต่การควบคุมระบบความเย็นนั้นเครื่องจักรสามารถทำได้ด้วยตัวเองน่าเหลือเชื่อจริงๆ


    ระยะที่ 4 ทำการทดสอบซ้ำอีกครั้งเพื่อตรวจสอบความคาดเคลื่อนต่อคำสั่ง ผลลัพธ์ที่ได้ยังคงเดิมจึงทำการติดตั้งไมโครชิปกลาสตัวใหญ่ให้แก่เครื่องจักร ผลลัพธ์ที่ได้ เครื่องจักรสามารถควบคุมปลดปล่อยความเย็นโอเวอร์โหลดเพื่อปกป้องไมโครชิปกลาสได้ด้วยตัวเอง เครื่องจักรสามารถเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วมากขึ้น สามารถทำตามคำสั่งที่ป้อนให้ถูกต้อง 99% และสามารถยกเลิกการทำตามคำสั่งที่ไม่สามารถทำตามได้ด้วยตัวเอง นี่เป็นอีกขั้นของความสำเร็จของพวกเรา


    ระยะที่ 5 ทำการทดสอบซ้ำตามกระบวนการที่ผ่านมา ผลลัพธ์เป็นไปได้ด้วยดี ทำการติดตั้งแขนกลให้เครื่องจักรทั้งสองข้างและป้อนคำสั่งให้ทำตามด้วยตัวเอง ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เครื่องจักรทำผิดทั้งหมด ให้ตายสินะ..นักวิจัยลืมคิดถึงเรื่องเซนเซอร์การตรวจจับการมองเห็นของเครื่องจักรไปได้ยังไง? ทำการติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับการมองเห็นให้แก่เครื่องจักร เมื่อทำการติดตั้งเสร็จสิ้นเครื่องจักรมีการปรับสภาพด้วยตัวเองเล็กน้อยและทำตามคำสั่งก่อนหน้าด้วยตนเองจนถูกต้อง 99% โดยที่นักวิจัยไม่ต้องทำการสั่ง การวิจัยเริ่มได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ


    ระยะที่ 6 ทำการทดสอบซ้ำอีกครั้งตามกระบวนการที่ผ่านมา ผลลัพธ์ที่ได้คงเดิม 100% ตอนนี้กล้าพูดได้เลยว่า เครื่องจักรทำตามคำสั่งได้ดีและควบคุมระบบปกป้องไมโครชิปกลาสอย่างสมบูรณ์แบบ นักวิจัยคนหนึ่งบอกกับผมว่าเขาสังเกตเห็นพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจได้ มันเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามคำสั่ง ท่าทางของมันเหมือนกำลังขยับนิ้วของตัวเอง ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจจนนักวิจัยบอกกับผมว่ามันกำลังเลียนแบบท่าทางของผมอยู่ ผมควรคิดว่ามันตลกอยู่หรือไม่? และผมก็สันนิษฐานว่าท่าทางก่อนหน้านี้ที่มันทำคือการสื่อสารในรูปแบบของมันเอง ผมคิดว่ามันตลกชะมัดเลยที่มันอยากจะสื่อสารกับผมมากกว่านักวิจัยคนอื่นๆ


    ระยะที่ 7 ทำการทดสอบซ้ำอีกครั้งตามกระบวนการที่ผ่านมา คราวนี้มันเอาแต่จ้องผมในขณะทดสอบ ผมตัดสินใจเข้าร่วมทดสอบกับเครื่องจักรแบบตัวต่อตัว ผมเข้าไปใกล้มัน สิ่งแรกที่มันทำทำให้ผมประหลาดใจมาก มันขอจับมือกับผม มันแปลกจริงๆ คงเพราะเลียนแบบพฤติกรรมผมหรือเพราะนักวิจัยที่คอยป้อนคำสั่งแกล้งอำผมอยู่กันแน่? ผมจับมือกับมันแต่ว่ามันคงจะจับแรงเกินไปจนผมร้องออกมา ต้องขอบคุณเพื่อนนักวิจัยของผมที่รีบสั่งให้มันปล่อยมือก่อนกระดูกผมจะถูกบดเสียก่อน มันใช้นิ้วเขี่ยเป็นคำบางอย่างสื่อสารกับผม แต่มันอ่านยากเกินไป ผมจึงเอาปากกาให้มันเขียน มันเขียนได้คำเดียวคงเพราะมันออกแรงกำปากกามากเกินไปจนปากกาหักไป ผมสังเกตได้ว่ามันตรวจสอบบางอย่างอยู่ ผมสันนิษฐานว่ามันคงกำลังปรับควบคุมแรงกระทำของตัวเองอยู่ ผมน่าจะลองเขียนโค้ชคำสั่งนี้เข้าไปในคราวหน้าด้วยตัวเองและทดสอบแรงกระทำของมันกับของบอบบางอย่างเช่นกระจก มันคงจะดีไม่น้อยที่มันไม่ทำกระจกแตกเยอะนัก


    ระยะที่ 8 ระยะเวลา 8 เดือนแล้วที่เรายังคงทดสอบอย่างเคร่งครัดให้เครื่องจักรสามารถทำตามคำสั่ง 100% ผมลองเขียนโค้ชคำสั่งแบ่งระดับให้กับมัน ให้คำสั่งเช็ดกระจกที่เปือนคราบกาแฟ ดูเหมือนว่ามันพยายามแล้วพยายามเล่า ทำกระจกของเราแตกเกือบจะ 20 บานแล้วจนผมอยากจะถอดใจ ไม่น่าเชื่อว่าพอถึงบานที่ 20 มันกลับทำได้ดีมาก มันเช็ดกระจกจนสะอาดและไม่ทำกระจกแตก ผมตกใจจริงๆ ไม่ใช่เพราะมันทำสำเร็จหรอกนะแต่เป็นเพราะเสียงเพื่อนร่วมงานของผมที่ร้องเฮกันตอนผมไม่ทันตั้งตัว เพื่อนร่วมของผมก็ติดตลกไปเรียกมันว่า Mirror 20th ผมว่ามันก็เข้าท่าดีนะ ไม่อยากเรียกมันตลอดไปซะหรอก


    ระยะที่ 9 ทดสอบและป้อนคำสั่งใหม่ๆให้ ผลลัพธ์ดีมากอย่างทุกที ผมลองจับมือกับ Mirror 20th อีกครั้ง มันรังเลด้วยตัวเองว่าควรจะจับมือด้วยดีหรือไม่ เหมือน Mirror 20th กำลังคิดว่าคราวที่แล้วคงทำให้ผมเจ็บแต่มันก็ยอมจับมือด้วย ยังดีที่มันไม่บดกระดูกของผมอีกครั้ง มันพยายามจะสื่อสารกับผมด้วยการเขียนอีกครั้ง ผมว่าพวกเราคงลืมไปเครื่องจักรอัจฉริยตัวนี้ต้องการมากกว่าเขียน คราวหน้าควรติดตั้งเครื่องกำเนิดเสียงให้ดีกว่า?


    ระยะที่ 10 ทำการทดสอบและติดตั้งระบบเสียงและเซนเซอร์การได้ยินให้ ต้องขอบคุณเจสซิก้าที่เป็นต้นแบบเสียงหวานๆให้กับ Mirror 20th แต่ยังไง Mirror 20th ก็ยังคงต้องฝึกจำคำและฝึกออกเสียงต่างๆ ผมสังสัยจริงๆถ้า Mirror 20th แยกแยะคำพูดไม่ได้ระหว่างมนุษย์และสัตว์ หรือเสียงแวดล้อมต่างๆได้ เธอจะส่งเสียงฟ้าร้องคุยกับผม หรือทำเสียงกระทะทอดไข่ดาวยามเช้าในเวลาที่ผมนอนอยู่เพื่อปลุกผมหรือเปล่า?


    ระยะที่ 11 ผมหวังว่าเธอจะพูดได้อย่างสมบูรณ์แบบ คำสั่งต่างๆล้วนไม่ได้ป้อนโดยตรงจากนักวิจัยอีกต่อไป Mirror 20th ทำได้ด้วยเองทั้งหมดแล้ว นี่ผมฝันไปอยู่รึเปล่านะ? เมื่อเช้าผมตื่นหรือยัง? ผมอดใจรอไม่ไหวแล้วที่จะคุยกับเธอ ผมอยากได้ยินคำแรกจากปากของเธอ เธอจะพูดคำที่ผมคิดไว้หรือเปล่านะ? ผมเข้าทดสอบแบบตัวต่อตัวกับ Mirror 20th ผมแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะพูดคำว่า 'คุณพ่อ' อะไรทำให้ Mirror 20th คิดว่าผมเป็นพ่อของเธอ? ถึงไม่ใช่คำในใจของผมแต่ผมก็ดีใจมากจริงๆ ผมว่าเราทำสำเร็จแล้วแต่ว่าผมลืมอะไรไปรึเปล่า?


    ระยะที่ 12 ทำการติดตั้งส่วนครึ่งล่างให้ Mirror 20th ให้ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น และ Mirror 20th ก็ทำให้ประหลาดใจอีกแล้ว เธอสนทนากับช่างที่ทำการติดตั้งและบอกว่าเธอจะไม่สามารถควบคุมครึ่งล่างได้ ควรติดตั้งไมโครชิปกลาสเพิ่มอันส่งผลให้เธอสามารถควบคุมเพิ่มไปถึงส่วนล่างได้ ผมว่าเธอดูฉลาดกว่าผมเสียอีก ยังไงผมก็คิดว่าควรติดตั้งให้เธอ เธอสามารถเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วและเดินได้สะดวกดีมาก เธอกล่าว 'ขอบคุณ' เดี๋ยวก่อนนะ! ผมหูฝาดไปหรือเปล่า? เธอพูดแบบนั้นจริงๆหรอ? ไม่อยากจะเชื่อ!


    ระยะที่ 13 ในห้องของ Mirror 20th พวกเราเฝ้าดูเธอทำอะไรหลายๆอย่างทั้งทำความสะอาดห้อง ทั้งเดินไปรอบๆ ทั้งพักผ่อนเหมือนเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน ยังไงซะเธอก็ยังต้องการสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตเหมือนมนุษย์นั่นแหละ ผมปรึกษากับเพื่อนร่วมงานและทุกคนก็ให้ด้วย พวกเขายอมที่จะให้ผมพา Mirror 20th ได้เล่นไปรอบศูนย์วิจัยได้ Mirror 20th ก็ดูอยากออกจากห้องซะด้วย ผมพาเธอเดินไปรอบๆ เธอถามผมไปตลอดทางเลย นี่ไปจำการพูดมาจากไหนเยอะแยะเนี่ย? ให้ตายสิ..เธอชอบดอกไม้มากๆ เหมือนกับผมเลย


    ระยะที่ 14 วันนี้จะปิดโปรเจ็คของ Mirror 20th แล้ว ทำการสร้างเนื้อเหยื่อสังเคราะห์ให้ Mirror 20th เธอดูเหมือนกับมนุษย์มาก ยังไงก็ต้องขอบคุณช่างเทคนิคที่สร้างสรรค์ภาพลักษณ์เธอได้เหมือนมนุษย์จริงๆ ผมว่าเธอควรใส่เสื้อผ้าได้แล้ว เธอจะถูกนำไปประกาศให้โลกได้รับรู้ว่า การวิจัยสร้างปัญญาประดิษย์เสมือนมนุษย์ทำสำเร็จ! แต่ทำไมเพื่อนในทีมของผมกลับไม่เห็นด้วยกันนะ พวกเขาบอกให้พา Mirror 20th ไปอยู่ที่บ้านของผมแล้ว ทำการสร้างปัญญาประดิษย์ชิ้นอื่นขึ้นมาแทน แบบนั้นคงจะดีกว่าที่จะบอกต่อโลกภายนอก"


    บันทึกของ เบริก เอชเชอร์


    "อ่านอะไรอยู่!" เพื่อนร่วมทีมเขาชอบตบหัวผมจัง นี่ก็รอบที่ 4 ของวันแล้วนะ

    "เปล่าหรอก? ก็แค่ตรวจสอบข้อมูลที่เพิ่งไปเก็บกู้มาจากซากของบ้านด็อกเตอร์เบริกเท่านั้นเอง"

    ผมชื่อ ยูนิกซ์ ไลท์ควาซท์ เป็นทีมเก็บกู้ข้อมูลจากซากศูนย์วิจัยปัญญาประดิษย์ทั่วโลก ผมทำงานได้ 1 เดือนแล้ว ในทีมผมได้รับฉายาว่า 'ชาโดวรันเนอร์' พวกเขาบอกว่าจะเห็นแค่เงาของผมเวลาลงปฏิบัติงาน ผมว่ามันก็ดูสมฉายาผมดีนะ

    "เห้! ว่าไงยูนิกซ์ จบงานแล้วพวกเราก็ต้องไปฉลองสิ ไปดื่มเป็นเพื่อนกันสักหน่อยมั้ยล่ะ?" คนนี้ชื่อ เทอร์เรอร์ เอมเมท เขาเป็นบัดดี้ของผมเอง ฉายา 'ไอ้หมูป่า' ทั้งเร็วทั้งทึกทนตายยาก เขาเคยเล่าให้ผมฟังว่า "สมัยตอนมาใหม่ๆนะ ข้าโดนหุ่นยนต์รุ่น E-02 ล้อมเป็นสิบๆตัวแต่ข้าก็ยังรอดมาได้ ว้าฮ่าฮ่าฮ่า! นั่นแหละวีรกรรมของข้าล่ะ" และตอนนี้เขาก็ยังเล่าอยู่

    พ่อบุญธรรมของผมบอกให้ผมมาเป็นทีมเก็บกู้ข้อมูลแทนการไปเป็นหน่วยจู่โจมทำลายAI พ่อทั้งเก่งและทรงพลัง เขาเป็นเหมือนแสงสว่างของผมจริงๆ

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น