ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Unexpect Duel
งานประกวดดนตรี ณ ศูนย์วัฒนธรรมถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตเสมอ นักเรียนจากทั่วประเทศจะเข้าประกวดในสาขาดนตรีที่ตนเองถนัดและงัดเอาความสามารถมาประชันกันอย่างดุเดือดทั้งดนตรีไทยและเทศน์
ในปีนี้เป็นที่น่าจับตามองของคนในวงการดนตรี ด้วยเป็นที่รู้กันว่าตัวเก็ง 2 คนที่ไม่เคยประชันกันมาก่อนได้เข้าร่วมแข่งขัน จากการคาดการณ์ล่วงหน้าและรู้กันในวงในว่าทั้ง 2 จะเข้าประชันดนตรีกันในรอบตัดสินอย่างแน่นอน ทำให้นักดนตรีรายอื่นได้ลุ้นก็แค่ที่ 3 เท่านั้น 
นักดนตรีหญิงสาว มินตราพร วัย 15 ปี เป็นเลิศทางด้านไวโอลินผ่านรอบคัดเลือกมาได้อย่างสบายด้วยคะแนนที่เป็นเอกฉันท์ เธอแสดงความสามารถในการบรรเลงเพลงทั้งเร็วและช้าได้อย่างถูกต้องทุกจังหวะ และเสียงที่ก้องกังวานเป็นเอกลักษณ์ 
ภายในหอประชุมขนาดมหึมา ทุกที่นั่งถูกจับจองไว้จนหมด เสียงผู้คนกระซิบกระซาบกันอย่างตื่นเต้นเมื่อการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศสาขาไวโอลินมาถึงในที่สุด ม่านเวทีเปิดออก ผู้บรรยายท่าทางกระตือรือร้นก้าวเดินออกมาจากด้านข้างของเวที
“สวัสดีครับ ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี กระผมมีความยินดียิ่งที่จะกล่าวว่าการแข่งขันที่ทุกท่านรอคอยได้ได้ดำเนินมาจนถึงโค้งสุดท้ายแล้ว...”
เหล่าผู้ชมปรบมือกันอย่างไม่กระตือรือร้นนัก และเริ่มรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจกับการพูดพร่ำไร้สาระของพิธีกร
“การแข่งขันของเราในรอบนี้จะแบ่งเป็น 3 ช่วง โดยผู้แข่งขันทั้ง 2 จะยืนอยู่คนละฝั่งของเวที ในรอบแรกจะให้ผลัดกันนำเพลงของตนเองที่คิดว่าดีเยี่ยมที่สุด เล่นเดี่ยวไปจนจบเพลง รอบที่สองจะเป็นการเล่นคู่กับเปียโนในเพลงที่เลือกเช่นกัน ส่วนรอบสุดท้ายจะเป็นเพลงบังคับและให้เล่นคู่กับเปียโน” พิธีกรหยุดครู่นึง “เอาละครับท่านผู้ชม ขอเสียงปรบมือต้อนรับ คุณมินตราพร และ คุณตรีสมุทรผู้เข้าแข่งขันของเราด้วยคร้าบ”
เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหวในขณะที่หญิงสาวก้าวเดินอย่างวางมาดผ่านม่านฉากหลังเวทีเข้าสู่หอประชุมในมือของเธอกำคอไวโอลินสีขาวทอง อีกด้านหนึ่งของเวทีเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกับหญิงสาวกำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทีที่ดูสบายราวกับอยู่บ้าน อาการเช่นนี้ทำให้มินตราพรรู้สึกอยากเอาชนะยิ่งขึ้น ที่เดินตามมาติดๆคือนักเล่นเปียโนรูปร่างซูบผอมดูมีอายุ เขาหยุดและนั่งลงยังเปียโนที่ตั้งเด่นอยู่กลางเวที ส่วนผู้เข้าแข่งขันทั้ง 2 ยืนอยู่คนละฝากฝั่ง 
เสียงกระดิ่งบอกสัญญาณเริ่มขึ้น หญิงสาวก้าวเดินมายังหน้าเวที วางคันชักลงบนไวโอลินและเริ่มบรรเลง...
เมโลดี้ตัวแรกก้องกังวานไปทั่วทั้งหอประชุม เพลงไวโอลินคอนเซอร์โต้ถูกบรรเลงออกมาอย่างต่อเนื่องไร้ที่ติขณะที่นิ้วของเธอไล่ไปตามความยาวของสายไวโอลิน คันชักถูกสีไปมาได้อย่างตรงจังหวะไม่มีผิดพลาด แต่ที่ทำให้คนทั้งหอประชุมเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงนั้นคือความกังวาลของเสียงที่เหมือนกับว่ามันหลั่งไหลออกมาจากสมองและจิตใต้สำนึก
อีกฝั่งนึงของเวที ดวงตาของเด็กชายเบิกโพล่งท่าทีที่ดูสบายเหมือนกับอยู่บ้านของเขาหายไปในทันทีและแทนที่ด้วยความตื่นตระหนก
 
มันไม่น่าจะเป็นไปได้ เขาคิด มือข้างหนึ่งของเขากำรอบคอไวโอลินไว้แน่นจนเริ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อ เด็กชายสัมผัสได้ถึงสายไวโอลินที่สั่นไหวอยู่ใต้นิ้วมือเขา นี่ออกจะเหนือความคาดหมาย ไม่ใช่แค่เรื่องฝีมือของคู่แข่ง แต่เรื่องของนั่น
คอนเซอร์โต้บรรเลงมาจนถึงช่วงสุดท้ายด้วยอารมณ์ของผู้ฟังและคณะกรรมการที่เทคะแนนให้สุดตัว เพลงจบลงในที่สุด ผู้คนในหอประชุมตื่นจากภวังค์ เสียงปรบมืออย่างกึกก้องกัมปนาทดังขึ้นในทันที เสียงหวีดร้องเชียร์อย่างลืมเนื้อลืมตัว หญิงสาวโค้งคำนับให้หนึ่งครั้งก่อนจะเดินกลับไปยังจุดของตน 
เวลาผ่านไปครู่นึงกระดิ่งที่สองก็ดังขึ้น เด็กชายผ่อนคลายลงและก้าวเดินอย่างมั่นคงไปยังหน้าเวที มือข้างซ้ายสะบัดไวโอลินขึ้นวางเหนือบ่า เขาตั่งสมาธิอยู่ครู่นึงและเริ่มบรรเลง...
เสียงตัวโน้ตนั้นหนักแน่นและมั่นคงเมื่อเพลงดอนจีโอวานี่ของโมซาร์ทดังขึ้น ผู้ชมที่ไม่คาดฝันถึงสิ่งที่ไพเราะไปกว่าดนตรีของมินตราพรกลับต้องตลึงงัน แต่ละจังหวะนั้นหนักแน่นกว่าและเปี่ยมไปด้วยพลัง ราวกับเสียงเพลงได้ชักจูงอารมณ์ให้ไล่เรียงไปกับตัวโน๊ต และสัมผัสได้ถึงคลื่นเสียงที่สั่นออกมาจากภายใน 
มินตราพรถึงกับต้องอุดหู เธอมีท่าทีตกตลึงเมื่อได้ยินโน้ตตัวแรก ความมั่นใจหรือเรื่องแพ้ชนะนั้นไม่สำคัญอีกแล้วเมื่อเทียบกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า เธอรู้ดีว่าการรักษาสติให้เป็นตัวของตัวเองนั้นสำคัญที่สุด แต่ก็รู้ว่ายากยิ่งเมื่อมันเกิดขึ้นกับเธอเอง
ดนตรียังคงดำเนินต่อไป การขยับคันชักแต่ละจังหวะของตรีสมุทรนั้นคล่องแคล่วราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย นิ้วที่วิ่งไปมาตามสายไวโอลินไม่ว่าขึ้นหรือลงก็ไม่มีผิดพลาดแม้แต่จุดเดียว ในที่สุดเพลงก็มาถึงช่วงสุดท้าย ก่อนจะเงียบเสียงลงในที่สุด
เกิดความเงียบงันอยู่ชั่วครู่ก่อนที่เสียงปรบมือจะดังขึ้นอีกครั้ง แม้จะเคยชินกับชัยชนะแต่เด็กชายไม่เคยรู้สึกเหนื่อยแรงเท่านี้มาก่อน เขามักมีท่าทีสบายอยู่เสมอไม่ว่าคู่แข่งจะฝีมือดีขนาดไหน แต่สำหรับหญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่บุคคลที่เขาจะสบประมาทได้
ขณะเดินกลับ ตรีสมุทรมองไปทางหญิงสาวแวบหนึ่ง เธอจ้องเขาเขม็งและรีบหลบตา นั้นเป็นเครื่องยืนยันว่าสถานการณ์เป็นไปตามความเข้าใจ
พีธีกรก้าวเดินออกมาอีกครั้งด้วยท่าทีที่ยังทึ่งไม่หาย
“เป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะยิ่งครับท่านผู้ชม! ผมพูดแล้วยังขนลุกอยู่เลย เยี่ยมยอดมากจริงๆครับ เอาละครับขณะนี้คะแนนของการแข่งขันในรอบแรกคงจะอยู่ในมือของคณะกรรมการทุกท่านแล้วนะครับ ทุกท่านมีคนละ 10 คะแนน เมื่อกดแล้วคะแนนจะขึ้นที่หน้าจอตรงด้านข้างเวทีนี่นะครับ” พิธีกรชี้ไปยังตำแหน่งที่อยู่ต่ำลงไปจากเวทีเล็กน้อยซึ่งได้ตั้งสกอร์บอร์ดดิจิตอล ที่กำลังกระพริบไฟเป็นสีแดงโชว์ตัวเลขศูนย์ 3 ตัว “เอาละครับเริ่มจากคะแนนของมินตราพรครับ”
ตัวเลขหมุนติ้วและหยุดลง แทบไม่ต้องลุ้น เลข 99 กระพริบอยู่บนสกอร์บอร์ด
    เสียงปรบมือดังขึ้นขณะที่พิธีกรบรรยายต่อด้วยเสียงอันตื่นเต้น
    “เป็นคะแนนที่มากเป็นประวัติการจริงๆครับสำหรับ 99 คะแนน! เอาละครับเราจะมาดูคะแนนของตรีสมุทรกันนะครับว่าจะเทียบเท่าได้หรือไม่ เชิญท่านกรรมการเลยครับ”
    กรรมการกดนิ้วลงพร้อมกันที่ปุ่มให้คะแนน ตัวเลขในสกอร์บอร์ดหมุนติ้วอีกครั้งก่อนจะหยุดลง ตัวเลข 98 กระพริบอย่างเป็นจังหวะบนบอร์ด
    เสียงประมือดังได้ไม่แพ้คราวแรกจนพิธีกรต้องบรรยายฝ่าเสียงขึ้นมา
    “เยี่ยมยอดครับ! เยี่ยมจริงๆ เป็นคะแนนที่สูสีอย่างไม่เคยมีมาก่อน เอาละครับ ผมตื่นเต้นจริงๆ และการแข่งขันในรอบต่อไปจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้ครับ และผู้ที่มีแต้มรองจะได้เริ่มก่อนในรอบนี้ครับ”
    ตรีสมุทรเริ่มมีอารมณ์ขุ่นหมอง เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนในการแข่งขันไหนๆ ผู้ที่มีแต้มรองรึ จะได้เห็นกัน 
    เด็กชายก้าวเดินอาดๆไปยังบริเวณหน้าเวทีอีกครับ เพลงที่เขาเลือกได้ลงทะเบียนไว้กับทางการแข่งขันเรียบร้อยแล้ว นักเปียโนกำลังเปิดหน้าตัวโน๊ตนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์และพลิกกลับไปยังหน้าแรก
    เสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เสียงเคาะของเมโทรนอมจะดังขึ้น 1... 2... 3...
เสียงสูงของเพลงแฟนทอมออฟดิโอเปร่าดังขึ้นจากไวโอลินของเขาประสานกับเสียงเปียโนได้อย่างเหมาะเจาะ ผู้ชมมีท่าทีตกตลึงกับพลังเสียงที่ดังสนั่นออกมาจากไวโอลินเพียงตัวเดียว เมื่อสั่นพ้องกับจังหวะของเส้นเสียงที่ดังมาจากเปียโนก็ทำให้เสียงนั้นก้องกังวานไปทุกทิศทุกทาง เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกทึ่ง เมื่อมันดังสนั่นราวกับดังมาจากไวโอลินนับร้อยตัว เสียงเพลงหยุดลง ถูกต้องทุกจังหวะ ทุกห้องเพลง
    เกิดเสียงฮือฮาขึ้นอย่างลืมที่จะรักษามาด ก่อนที่เสียงปรบมือจะดังขึ้นอีกครั้ง ตรีสมุทรโค้งคำนับให้อีกครั้งก่อนจะเดินกลับไปยังที่ของเขา เหงื่อหลายเม็ดผุดขึ้นที่ใบหน้า
    เกิดความเงียบขึ้นระหว่างการรอคอย และแล้วกริ่งสัญญาณก็ดังขึ้นอีกครั้ง มินตราพรเดินตรงไปยังหน้าเวที พาดไวโอลินไว้เหนือบ่า เสียงเมโทรนอมดังขึ้นอีก 1... 2... 3...
    โน้ตตัวแรกดังขึ้น แตกต่างกับดนตรีของตรีสมุทรโดยสิ้นเชิง อ่อนไหว นุ่มนวล ก้องกังวานดังแก้วเจียระไน เพลงมิวสิกออฟเดอะไนท์หลั่งรินออกมาดังสายธารสะกดผู้ชมให้หยุดนิ่ง แม้แต่นักเล่นเปียโนเองก็แทบจะไม่ได้สติ
    อีกด้านหนึ่งของเวที เด็กชายกำลังขบฟันแน่น หลับตาและเปิดประสาทหูอย่างเต็มที่ เขาสัมผัสได้ถึงทุกเส้นเสียงที่แผ่ออกมาจากไวโอลินนั้น ดังเช่นที่เขาสัมผัสได้จากไวโอลินของเขาเอง มันแผ่วงกว้างออกอย่างชัดเจนและทรงพลังซึ่งต่างจากไวโอลินธรรมดาทั่วไป เขาสัมผัสมันได้เมื่อวงนั้นสั่นพ้องกับคลื่นธรรมดาที่เกิดจากการสั่นของสายเปียโน เขาคิดจะทำอะไรบางอย่างที่ไม่เคยลองมาก่อน
    ตรีสมุทรเลื่อนนิ้วของเขามาวางบนตำแหน่งของสาย 4 ซึ่งเป็นสายที่ใหญ่ที่สุดของไวโอลิน กดมันลงไปจนมิดและรอ... คลื่นเสียงอีกระลอกแผ่กระจายออกจากไวโอลินนั้น เด็กชายปล่อยนิ้ว สายไวโอลินดีดออกอย่างแรง เกิดเสียงสั่นที่หนักแต่ไม่รุนแรงนัก
    สายเปียโนที่ด้านหลังสั่นอย่างรุนแรงและขาดกระจุยออกจากกันเกิดเสียงกึกก้อง เป็นเสียงโลหะขาดที่ดังสนั่นหวั่นไหว นักเล่นเปียโนกระโดดลงจากเก้าอี้ของเขาโดยสัญชาติญาณ ท่ามกลางความงุนงงของผู้เข้าชม เกิดเสียงฮือฮาขึ้นความสงบเงียบขาดหายไปทันที
    จุดแรกที่มินตราพรหันไปคือจุดที่ตรีสมุทรยืนอยู่ เธอจ้องมองเขาด้วยสายตาเคียดแค้น เด็กนั้นยิ้มที่มุมปากอย่างชั่วร้ายกลับมา
    เกิดความโกลาหลขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่หลายต่อหลายคนวิ่งขึ้นลงจากเวทีเพื่อตรวจสอบความเสียหายของเปียโน สายทุกเส้นนั้นขาดออกจากกันเพราะสิ่งใดก็ไม่มีใครอธิบายได้ จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนสายยกชุด
    มินตราพรกลับไปยืนยังที่ของเธอได้ราว 5 นาทีคณะกรรมการก็หารือกันเสร็จ ในคะแนนเสียง 8 ต่อ 10 เห็นพ้องว่าจำเป็นที่การแข่งขันต้องเล่นคู่กับเปียโนตามกติกา ดังนั้นผู้เข้าแข่งขันจึงมีเวลาพักจนกว่าจะซ่อมแซมเปียโนเสร็จ
    เด็กทั้ง 2 เดินออกจากเวทีไปคนละข้าง มินตราพรไม่เคยรู้สึกอยากใช้เครื่องดนตรีของเธอฆ่าคนเท่านี้มาก่อน...
ในปีนี้เป็นที่น่าจับตามองของคนในวงการดนตรี ด้วยเป็นที่รู้กันว่าตัวเก็ง 2 คนที่ไม่เคยประชันกันมาก่อนได้เข้าร่วมแข่งขัน จากการคาดการณ์ล่วงหน้าและรู้กันในวงในว่าทั้ง 2 จะเข้าประชันดนตรีกันในรอบตัดสินอย่างแน่นอน ทำให้นักดนตรีรายอื่นได้ลุ้นก็แค่ที่ 3 เท่านั้น 
นักดนตรีหญิงสาว มินตราพร วัย 15 ปี เป็นเลิศทางด้านไวโอลินผ่านรอบคัดเลือกมาได้อย่างสบายด้วยคะแนนที่เป็นเอกฉันท์ เธอแสดงความสามารถในการบรรเลงเพลงทั้งเร็วและช้าได้อย่างถูกต้องทุกจังหวะ และเสียงที่ก้องกังวานเป็นเอกลักษณ์ 
ภายในหอประชุมขนาดมหึมา ทุกที่นั่งถูกจับจองไว้จนหมด เสียงผู้คนกระซิบกระซาบกันอย่างตื่นเต้นเมื่อการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศสาขาไวโอลินมาถึงในที่สุด ม่านเวทีเปิดออก ผู้บรรยายท่าทางกระตือรือร้นก้าวเดินออกมาจากด้านข้างของเวที
“สวัสดีครับ ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี กระผมมีความยินดียิ่งที่จะกล่าวว่าการแข่งขันที่ทุกท่านรอคอยได้ได้ดำเนินมาจนถึงโค้งสุดท้ายแล้ว...”
เหล่าผู้ชมปรบมือกันอย่างไม่กระตือรือร้นนัก และเริ่มรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจกับการพูดพร่ำไร้สาระของพิธีกร
“การแข่งขันของเราในรอบนี้จะแบ่งเป็น 3 ช่วง โดยผู้แข่งขันทั้ง 2 จะยืนอยู่คนละฝั่งของเวที ในรอบแรกจะให้ผลัดกันนำเพลงของตนเองที่คิดว่าดีเยี่ยมที่สุด เล่นเดี่ยวไปจนจบเพลง รอบที่สองจะเป็นการเล่นคู่กับเปียโนในเพลงที่เลือกเช่นกัน ส่วนรอบสุดท้ายจะเป็นเพลงบังคับและให้เล่นคู่กับเปียโน” พิธีกรหยุดครู่นึง “เอาละครับท่านผู้ชม ขอเสียงปรบมือต้อนรับ คุณมินตราพร และ คุณตรีสมุทรผู้เข้าแข่งขันของเราด้วยคร้าบ”
เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหวในขณะที่หญิงสาวก้าวเดินอย่างวางมาดผ่านม่านฉากหลังเวทีเข้าสู่หอประชุมในมือของเธอกำคอไวโอลินสีขาวทอง อีกด้านหนึ่งของเวทีเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกับหญิงสาวกำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทีที่ดูสบายราวกับอยู่บ้าน อาการเช่นนี้ทำให้มินตราพรรู้สึกอยากเอาชนะยิ่งขึ้น ที่เดินตามมาติดๆคือนักเล่นเปียโนรูปร่างซูบผอมดูมีอายุ เขาหยุดและนั่งลงยังเปียโนที่ตั้งเด่นอยู่กลางเวที ส่วนผู้เข้าแข่งขันทั้ง 2 ยืนอยู่คนละฝากฝั่ง 
เสียงกระดิ่งบอกสัญญาณเริ่มขึ้น หญิงสาวก้าวเดินมายังหน้าเวที วางคันชักลงบนไวโอลินและเริ่มบรรเลง...
เมโลดี้ตัวแรกก้องกังวานไปทั่วทั้งหอประชุม เพลงไวโอลินคอนเซอร์โต้ถูกบรรเลงออกมาอย่างต่อเนื่องไร้ที่ติขณะที่นิ้วของเธอไล่ไปตามความยาวของสายไวโอลิน คันชักถูกสีไปมาได้อย่างตรงจังหวะไม่มีผิดพลาด แต่ที่ทำให้คนทั้งหอประชุมเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงนั้นคือความกังวาลของเสียงที่เหมือนกับว่ามันหลั่งไหลออกมาจากสมองและจิตใต้สำนึก
อีกฝั่งนึงของเวที ดวงตาของเด็กชายเบิกโพล่งท่าทีที่ดูสบายเหมือนกับอยู่บ้านของเขาหายไปในทันทีและแทนที่ด้วยความตื่นตระหนก
 
มันไม่น่าจะเป็นไปได้ เขาคิด มือข้างหนึ่งของเขากำรอบคอไวโอลินไว้แน่นจนเริ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อ เด็กชายสัมผัสได้ถึงสายไวโอลินที่สั่นไหวอยู่ใต้นิ้วมือเขา นี่ออกจะเหนือความคาดหมาย ไม่ใช่แค่เรื่องฝีมือของคู่แข่ง แต่เรื่องของนั่น
คอนเซอร์โต้บรรเลงมาจนถึงช่วงสุดท้ายด้วยอารมณ์ของผู้ฟังและคณะกรรมการที่เทคะแนนให้สุดตัว เพลงจบลงในที่สุด ผู้คนในหอประชุมตื่นจากภวังค์ เสียงปรบมืออย่างกึกก้องกัมปนาทดังขึ้นในทันที เสียงหวีดร้องเชียร์อย่างลืมเนื้อลืมตัว หญิงสาวโค้งคำนับให้หนึ่งครั้งก่อนจะเดินกลับไปยังจุดของตน 
เวลาผ่านไปครู่นึงกระดิ่งที่สองก็ดังขึ้น เด็กชายผ่อนคลายลงและก้าวเดินอย่างมั่นคงไปยังหน้าเวที มือข้างซ้ายสะบัดไวโอลินขึ้นวางเหนือบ่า เขาตั่งสมาธิอยู่ครู่นึงและเริ่มบรรเลง...
เสียงตัวโน้ตนั้นหนักแน่นและมั่นคงเมื่อเพลงดอนจีโอวานี่ของโมซาร์ทดังขึ้น ผู้ชมที่ไม่คาดฝันถึงสิ่งที่ไพเราะไปกว่าดนตรีของมินตราพรกลับต้องตลึงงัน แต่ละจังหวะนั้นหนักแน่นกว่าและเปี่ยมไปด้วยพลัง ราวกับเสียงเพลงได้ชักจูงอารมณ์ให้ไล่เรียงไปกับตัวโน๊ต และสัมผัสได้ถึงคลื่นเสียงที่สั่นออกมาจากภายใน 
มินตราพรถึงกับต้องอุดหู เธอมีท่าทีตกตลึงเมื่อได้ยินโน้ตตัวแรก ความมั่นใจหรือเรื่องแพ้ชนะนั้นไม่สำคัญอีกแล้วเมื่อเทียบกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า เธอรู้ดีว่าการรักษาสติให้เป็นตัวของตัวเองนั้นสำคัญที่สุด แต่ก็รู้ว่ายากยิ่งเมื่อมันเกิดขึ้นกับเธอเอง
ดนตรียังคงดำเนินต่อไป การขยับคันชักแต่ละจังหวะของตรีสมุทรนั้นคล่องแคล่วราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย นิ้วที่วิ่งไปมาตามสายไวโอลินไม่ว่าขึ้นหรือลงก็ไม่มีผิดพลาดแม้แต่จุดเดียว ในที่สุดเพลงก็มาถึงช่วงสุดท้าย ก่อนจะเงียบเสียงลงในที่สุด
เกิดความเงียบงันอยู่ชั่วครู่ก่อนที่เสียงปรบมือจะดังขึ้นอีกครั้ง แม้จะเคยชินกับชัยชนะแต่เด็กชายไม่เคยรู้สึกเหนื่อยแรงเท่านี้มาก่อน เขามักมีท่าทีสบายอยู่เสมอไม่ว่าคู่แข่งจะฝีมือดีขนาดไหน แต่สำหรับหญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่บุคคลที่เขาจะสบประมาทได้
ขณะเดินกลับ ตรีสมุทรมองไปทางหญิงสาวแวบหนึ่ง เธอจ้องเขาเขม็งและรีบหลบตา นั้นเป็นเครื่องยืนยันว่าสถานการณ์เป็นไปตามความเข้าใจ
พีธีกรก้าวเดินออกมาอีกครั้งด้วยท่าทีที่ยังทึ่งไม่หาย
“เป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะยิ่งครับท่านผู้ชม! ผมพูดแล้วยังขนลุกอยู่เลย เยี่ยมยอดมากจริงๆครับ เอาละครับขณะนี้คะแนนของการแข่งขันในรอบแรกคงจะอยู่ในมือของคณะกรรมการทุกท่านแล้วนะครับ ทุกท่านมีคนละ 10 คะแนน เมื่อกดแล้วคะแนนจะขึ้นที่หน้าจอตรงด้านข้างเวทีนี่นะครับ” พิธีกรชี้ไปยังตำแหน่งที่อยู่ต่ำลงไปจากเวทีเล็กน้อยซึ่งได้ตั้งสกอร์บอร์ดดิจิตอล ที่กำลังกระพริบไฟเป็นสีแดงโชว์ตัวเลขศูนย์ 3 ตัว “เอาละครับเริ่มจากคะแนนของมินตราพรครับ”
ตัวเลขหมุนติ้วและหยุดลง แทบไม่ต้องลุ้น เลข 99 กระพริบอยู่บนสกอร์บอร์ด
    เสียงปรบมือดังขึ้นขณะที่พิธีกรบรรยายต่อด้วยเสียงอันตื่นเต้น
    “เป็นคะแนนที่มากเป็นประวัติการจริงๆครับสำหรับ 99 คะแนน! เอาละครับเราจะมาดูคะแนนของตรีสมุทรกันนะครับว่าจะเทียบเท่าได้หรือไม่ เชิญท่านกรรมการเลยครับ”
    กรรมการกดนิ้วลงพร้อมกันที่ปุ่มให้คะแนน ตัวเลขในสกอร์บอร์ดหมุนติ้วอีกครั้งก่อนจะหยุดลง ตัวเลข 98 กระพริบอย่างเป็นจังหวะบนบอร์ด
    เสียงประมือดังได้ไม่แพ้คราวแรกจนพิธีกรต้องบรรยายฝ่าเสียงขึ้นมา
    “เยี่ยมยอดครับ! เยี่ยมจริงๆ เป็นคะแนนที่สูสีอย่างไม่เคยมีมาก่อน เอาละครับ ผมตื่นเต้นจริงๆ และการแข่งขันในรอบต่อไปจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้ครับ และผู้ที่มีแต้มรองจะได้เริ่มก่อนในรอบนี้ครับ”
    ตรีสมุทรเริ่มมีอารมณ์ขุ่นหมอง เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนในการแข่งขันไหนๆ ผู้ที่มีแต้มรองรึ จะได้เห็นกัน 
    เด็กชายก้าวเดินอาดๆไปยังบริเวณหน้าเวทีอีกครับ เพลงที่เขาเลือกได้ลงทะเบียนไว้กับทางการแข่งขันเรียบร้อยแล้ว นักเปียโนกำลังเปิดหน้าตัวโน๊ตนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์และพลิกกลับไปยังหน้าแรก
    เสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เสียงเคาะของเมโทรนอมจะดังขึ้น 1... 2... 3...
เสียงสูงของเพลงแฟนทอมออฟดิโอเปร่าดังขึ้นจากไวโอลินของเขาประสานกับเสียงเปียโนได้อย่างเหมาะเจาะ ผู้ชมมีท่าทีตกตลึงกับพลังเสียงที่ดังสนั่นออกมาจากไวโอลินเพียงตัวเดียว เมื่อสั่นพ้องกับจังหวะของเส้นเสียงที่ดังมาจากเปียโนก็ทำให้เสียงนั้นก้องกังวานไปทุกทิศทุกทาง เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกทึ่ง เมื่อมันดังสนั่นราวกับดังมาจากไวโอลินนับร้อยตัว เสียงเพลงหยุดลง ถูกต้องทุกจังหวะ ทุกห้องเพลง
    เกิดเสียงฮือฮาขึ้นอย่างลืมที่จะรักษามาด ก่อนที่เสียงปรบมือจะดังขึ้นอีกครั้ง ตรีสมุทรโค้งคำนับให้อีกครั้งก่อนจะเดินกลับไปยังที่ของเขา เหงื่อหลายเม็ดผุดขึ้นที่ใบหน้า
    เกิดความเงียบขึ้นระหว่างการรอคอย และแล้วกริ่งสัญญาณก็ดังขึ้นอีกครั้ง มินตราพรเดินตรงไปยังหน้าเวที พาดไวโอลินไว้เหนือบ่า เสียงเมโทรนอมดังขึ้นอีก 1... 2... 3...
    โน้ตตัวแรกดังขึ้น แตกต่างกับดนตรีของตรีสมุทรโดยสิ้นเชิง อ่อนไหว นุ่มนวล ก้องกังวานดังแก้วเจียระไน เพลงมิวสิกออฟเดอะไนท์หลั่งรินออกมาดังสายธารสะกดผู้ชมให้หยุดนิ่ง แม้แต่นักเล่นเปียโนเองก็แทบจะไม่ได้สติ
    อีกด้านหนึ่งของเวที เด็กชายกำลังขบฟันแน่น หลับตาและเปิดประสาทหูอย่างเต็มที่ เขาสัมผัสได้ถึงทุกเส้นเสียงที่แผ่ออกมาจากไวโอลินนั้น ดังเช่นที่เขาสัมผัสได้จากไวโอลินของเขาเอง มันแผ่วงกว้างออกอย่างชัดเจนและทรงพลังซึ่งต่างจากไวโอลินธรรมดาทั่วไป เขาสัมผัสมันได้เมื่อวงนั้นสั่นพ้องกับคลื่นธรรมดาที่เกิดจากการสั่นของสายเปียโน เขาคิดจะทำอะไรบางอย่างที่ไม่เคยลองมาก่อน
    ตรีสมุทรเลื่อนนิ้วของเขามาวางบนตำแหน่งของสาย 4 ซึ่งเป็นสายที่ใหญ่ที่สุดของไวโอลิน กดมันลงไปจนมิดและรอ... คลื่นเสียงอีกระลอกแผ่กระจายออกจากไวโอลินนั้น เด็กชายปล่อยนิ้ว สายไวโอลินดีดออกอย่างแรง เกิดเสียงสั่นที่หนักแต่ไม่รุนแรงนัก
    สายเปียโนที่ด้านหลังสั่นอย่างรุนแรงและขาดกระจุยออกจากกันเกิดเสียงกึกก้อง เป็นเสียงโลหะขาดที่ดังสนั่นหวั่นไหว นักเล่นเปียโนกระโดดลงจากเก้าอี้ของเขาโดยสัญชาติญาณ ท่ามกลางความงุนงงของผู้เข้าชม เกิดเสียงฮือฮาขึ้นความสงบเงียบขาดหายไปทันที
    จุดแรกที่มินตราพรหันไปคือจุดที่ตรีสมุทรยืนอยู่ เธอจ้องมองเขาด้วยสายตาเคียดแค้น เด็กนั้นยิ้มที่มุมปากอย่างชั่วร้ายกลับมา
    เกิดความโกลาหลขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่หลายต่อหลายคนวิ่งขึ้นลงจากเวทีเพื่อตรวจสอบความเสียหายของเปียโน สายทุกเส้นนั้นขาดออกจากกันเพราะสิ่งใดก็ไม่มีใครอธิบายได้ จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนสายยกชุด
    มินตราพรกลับไปยืนยังที่ของเธอได้ราว 5 นาทีคณะกรรมการก็หารือกันเสร็จ ในคะแนนเสียง 8 ต่อ 10 เห็นพ้องว่าจำเป็นที่การแข่งขันต้องเล่นคู่กับเปียโนตามกติกา ดังนั้นผู้เข้าแข่งขันจึงมีเวลาพักจนกว่าจะซ่อมแซมเปียโนเสร็จ
    เด็กทั้ง 2 เดินออกจากเวทีไปคนละข้าง มินตราพรไม่เคยรู้สึกอยากใช้เครื่องดนตรีของเธอฆ่าคนเท่านี้มาก่อน...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น