คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Prickly Bar
ที่ใจกลางเมืองของเวเนเซียนั้นเรียกได้ว่าเป็น แดนแห่งความรื่นเริงเลยทีเดียว ส่วนนี้นั้นเป็นส่วนที่คึกคักที่สุด และเจริญที่สุดของเมือง ในชานเมืองนั้นนอกจากจะมีร้านดอกไม้เกลื่อนตาไปหมดแล้วยังมีร้านเหล้าอีกนับไม่ถ้วนอีกด้วย ทั้งยังมีร้านขายอาวุธต่าง ๆ ที่ไปรับมาจากชานเมืองอีกต่างหาก คนงานส่วนใหญ่นั้นจะเลิกงานประมาณ 5 โมง ดังนั้นตอนกลางวันนั้นจึงไม่ถือว่าคึกคักมากนัก แต่ถึงจะบอกว่าไม่คึกคักมาก คนก็ยังเยอะอยู่ดี เลโอริคเดินมาหยุดที่หน้าบาร์แห่งหนึ่ง มีป้ายทำจากไม้สีน้ำตาลเข้มแขวนเอาไว้เหนือประตูร้าน ขึ้นป้ายไว้ว่า Prickly....
บาร์นั้นเป็นตึกแถว มีประตูทางเข้าที่ติดถนนเลยทีเดียว ซุ้มประตูดังกล่าวนั้นเป็นงานก่ออิฐ ทำจากอิฐสีน้ำตาลแดงวางขัดกันแล้วฉาบด้วยปูนซึ่งมีหินชนิดต่าง ๆ ผสมอยู่จึงเห็นเป็นกำแพงที่ส่งประกายระยิบระยับสะดุดตาผู้ที่ผ่านไปผ่านมาอยู่เป็นนิจ ยังมีรูปปั้นอีกสองรูปซ้ายขวาของประตู รูปซ้ายเป็นรู้ของเทพีวีนัส กายของนางนั้นเป็นสีขาวด้วยเหตุที่ทำมาจากปูนปั้น ร่างกายของนางเปลือยเปล่าใส่เพียงผ้าที่พาดลงมาตามสะพายแร่ง เป็นที่รู้กันดีว่าเทพีวีนัสนั้นเป็นเทพีแห่งความสง่างาม ดังนั้นมันจึงกุศโลบายอย่างหนึ่งในการเรียกลูกค้าเข้าร้านได้ แต่ในอีกนัยหนึ่งนั้น ในหมู่ชาวเมืองเวเนเซียนั้น เป็นที่รู้กันว่าบาร์นั้นเรียกกันอีกอย่างว่า ซ่องนั่นเอง
ส่วนรูปด้านขวานั้นเป็นรูปของมาส์ เทพเจ้าแห่งการศึกสงคราม พระองค์ทรงถือโล่และหอกเช่นนักรบกรีก ใส่หมวกแบบนักรบรบกรีกเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น รูปเหมือนนี้นั้นไม่เหมือนกับเทพีวีนัสตรงที่ไม่ใช่งานปูนปั้น แต่เป็นงานแกะสลัก สำหรับนักเดินทาง คาราวานหรือคนจรทั้งหลายนั้น บาร์ที่มีรูปสลักนี้อยู่นั้นหมายความว่ามีทหารรับจ้างอยู่นั่นเอง
ผู้คนที่เข้าไปในบาร์แห่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นชายวัยกลางคน บ้างสะพายอาวุธเข้าไปอย่างโจ่งแจ้ง บ้างก็หิ้วดรุณีโฉมงามปานจะล่มเมืองวัยแรกแตกเนื้อสาวเข้าไปด้วย นั่นเป็นเด็กสาวชาวบ้านซึ่งยากจนจนต้องขายร่างของตนเพื่อเอาเงินมากินประทังยาไส้ ขายพรหมจารีย์ของตนเพื่อแลกกับอัฐจำนวนนิดน้อย ถึงนั่นจะได้ชื่อว่าเป็นความอัปยศของหญิงสาวนางหนึ่งที่ต้องกลายเป็นนางคณิกาชั้นต่ำต้อยที่ต้องหาเช้ากินค่ำ ใช้กายแลกเงิน แต่พวกเธอก็เต็มใจทำ เพราะอะไรหรือ? เหตุผลนั้นมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือเงินนั่นเอง....
นอกจากพวกทหารรับจ้าง นักเลงโต พวกตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก และพวกเสือผู้หญิงแล้วก็เห็นจะไม่มีพวกอื่น ๆ อีกนอกจากพวกคุณโสที่เดินหาเหยื่อกันให้ควั่ก พวกโสเภณีเหล่านี้นั้นล้วนใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นอวดเนื้อเหลือหนังไว้เพื่อใช้ในการหลอกล่อเหล่าพ่อชายเสือผู้หญิง เพื่อจะได้น้ำเงินจำนวนเล็กน้อยที่ตนเองมีนั้นมาให้เป็นค่าเลี้ยงชีพของพวกนาง บางพวกนั้นพกมีดเป็นอาวุธติดตัวด้วย
นี่เป็นร้านประจำของข้า ข้ารู้จักเจ้าของร้านนี้ตั้งแต่ข้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก นอกจากพ่อแล้ว เขาเป็นคนที่ข้าไว้ใจอีกคนหนึ่งทีเดียว เลโอริกสาวเท้าก้าวขึ้นเหยียบบนพรมสีแดงชาดที่ปูไว้หน้าร้านเป็นทางยาวก่อนจะหันขวับกลับมาหาโมฮัมเหม็ด พร้อมกับยื่นมือออกมา
ข้าขอดาบหน่อยสิ เผื่อมีปัญหาอะไรข้าจะได้ชักออกมาทันเวลา อย่างน้อยก็พอมีทางป้อมกันตัวบ้างละ
ตามสบายละกันนะครับ โมฮัมเหม็ดยื่นดาบให้กับเลโอริกพลางเดินไปเปิดประตูร้านให้กับเลโอริกอย่างเรียบร้อย
สภาพบรรยากาศภายในร้านนั้นค่อนข้างจะอบอุ่นกว่าที่มองจากภายนอกหลายเท่านัก ภายในร้านนั้นผนังสีขาวฉาบด้วยปูนกว้างประมาณ 15 ตารางวา เป็นร้านที่กว้างพอสมควร พื้นร้านนั้นดูเหมือนจะเทปูนแล้วปิดด้วยไม้กระดานสลับเป็นรูปฟันปลาตลอดทั้งร้าน ครั้นเมื่อมองบนเพดานก็มองเห็นฝ้าสีเหลืองนวลตามีโคมไฟระย้าทำจากแก้วคริสตัลห้อยลงมาสวยสดงดงามเป็นอย่างยิ่ง ร้านนี้เป็นร้านสองชั้น ชั้นบนดูเหมือนจะเปิดเป็นห้องพักสำหรับการเช่าพักแรมของพวกลูกค้าขาจรที่แวะเข้ามาในเมืองไม่ว่าด้วยกรณีใดก็ตาม ซึ่งร้านนี้มีประมาณ 5 ห้องด้วยกัน
ร้านนี้มีพนักงานเสิร์ฟรวมประมาณ 5 คน พนักงานเสิร์ฟนั้นใส่กางเกงขายาวเหมือนกันหมดทั้งชายและหญิง ผู้หญิงใส่เสื้อแขนยาวลายสก๊อตสวมผ้ากันเปื้อนสีชมพูดูน่ารักน่าเอ็นดูไปอีกแบบ ส่วนพนักงานเสิร์ฟชายนั้นไม่มีผ้ากันเปื้อน มีเพียงเสื้อแขนสั้นลายสก๊อตเท่านั้น พนักงานในร้านนี้นั้นพกมีดสั้นติดตัวเอาไว้ตลอดเนื่องจากว่าที่ร้านมักจะมีพวกลูกค้ากวนส้นเท้าที่ชอบแกว่งเท้าหาเสี้ยนชักดาบไม่เว้นวัน ตามกฏของเมืองนั้นระบุเอาไว้ว่า...
ถ้ามีการเบี้ยวการจ่ายหรือพยายามหลีกเลี่ยง อนุญาติให้ทางร้านรีดไถได้ทันที!
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าพนักงานที่ร้านนี้ส่วนใหญ่จะทำงานแบบสุจริตมากกว่า พวกเขาค่อนข้างมีท่าทีเป็นมิตร พูดจาโต้ตอบด้วยความเป็นกันเองกับลูกค้า และพยายามสร้างมิตรภาพความประทับใจให้กับลูกค้ามากเท่าที่จะมากได้
ในร้านนั้นมีโต๊ะอยู่ประมาณ 10 ตัว ทุกตัวมีเก้าอี้วางไว้โดยรอบโต๊ะละ 4 ตัว ทั้งโต๊ะและเก้าอี้เป็นไม้อย่างดีสีน้ำตาลออกแดงมีลายเนื้อไม้แทรกเสียด้วย ราคาในตลาดนั้นค่อนข้างที่จะแพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ที่กลางร้านนั้นจะมีทางเดินกว้าง ๆ ปูพรมสีแดงชาดต่อมาจากด้านนอกร้าน เมื่อมองตามพรมแดงที่ยาวจนสุดนั้นก็จะมองเห็นเคาน์เตอร์ทำจากไม้สีแดงเหมือนกับตัวโต๊ะ มีเก้าอี้ไม่มีพนักวางห่างกัน 4 ตัว แต่น่าฉงนที่ไม่มีใครนั่งดื่มที่เคาน์เตอร์เลย มีชายวัยกลางคนประมาณ 40 ปี ไว้หนวดเข้ม ใบหน้าเรียวเล็กแต่ไม่ตอบซูบ ผมสีดำยาวประท้ายทอยสวมหมวกเหมือนคนเมกซิกันสีเหลืองนวลตาประจำเคาน์เตอร์อยู่ ข้างกายเขามีปืนพกแบบลูกโม่สีดำหนึ่งกระบอกและกล่องบรรจุกระสุนประมาณ 3 กล่อง ถัดไปอีกก็เป็นแก้วแชมเปญใสขนาดต่าง ๆ ตั้งแต่เล็กจนถึงใหญ่ ถัดจากเคาน์เตอร์นั้นไปทางซ้ายประมาณ 1 เมตรก็จะมีลังไม้ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กวางเรียงกันเป็นชั้น ๆ มีก๊อกเสียบเอาไว้ ดูท่าจะเป็นถังหมักไวน์ มีประมาณ 10 ถังเห็นจะได้
ชายคนที่อยู่ที่เคาน์เตอร์นั้นเมื่อเห็นเลโอริกหนุ่มน้อยเปิดประตูสาวเท้าก้าวเข้ามาในร้านก็ยกมือขึ้นโบกทักทายอย่างเป็นมิตรเป็นกันเองพร้อมทั้งยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนกับเจอเพื่อนที่จากกันไปเสียนาน รอยยิ้มโผล่ขึ้นมาจากสีหน้าที่เข้มขรึมเงียบงัน พลันเขาก็หยิบแก้วแชมเปญออกมาจากเคาน์เตอร์ 2 ใบเล็ก แล้วหยิบขวดไวน์สีเขียวคล้ำใสออกมาจากใต้เคาน์เตอร์รินใส่แก้วแชมเปญวางบนเคาน์เตอร์แล้วกล่าวคำพูดปนเสียงหัวเราะ
“อ้าว!! คิดไว้แล้วว่าเจ้าต้องมาดื่มคนเดียวอีก! มา ๆ เลโอริกวันนี้ข้าเลี้ยงพวกเจ้าเอง!”
“สวัสดีลุงฟอกส์ ขอบคุณสำหรับไวน์นะครับ” เลโอริกกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินตรงมาที่เคาน์เตอร์แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม่มีพนัก โมฮัมเหม็ดไม่มีที่นั่งต้องไปลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ
“โอ้ ๆ โมฮัมเหม็ด ข้าก็ลืมลากเก้าอี้มากให้เจ้าด้วยนี่ซี ขอโทษละกันนะ งั้นวันนี้ข้าเลี้ยงเจ้าเพิ่มอีกคนด้วยละกันนะ มาๆ จะดื่มอะไรล่ะ? เหล้าองุ่นหรือเบียร์ดี” ฟอกส์วัยกลางคนประสานมือแล้ววางไว้บนเคาน์เตอร์รอฟังคำตอบพลางยิ้มด้วยสีหน้าอิ่มเอิบ
“ขอโทษที แต่ข้าไม่อยากดื่มสุราในตอนนี้” เขาปฏิเสธอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะสุภาพได้ ท่าทีที่อ่อนน้อมของโมฮัมเหม็ดทำเอาฟอกส์นิ่งอึ้งไปพักหนึ่งก่อนที่จะหัวร่ออกมาดังสนั่นร้าน
“ฮ่า ๆๆๆๆๆๆ ทุกครั้งที่มากับเจ้าเลโอริกนี่ เห็นจะมีแต่เจ้าที่เป็นพวกคอทองแดงตัวจริง น่าแปลกที่วันนี้เจ้ากลับไม่ดื่มเลยสักหยด เพราะเหตุนี้ละมั้งราคาเหล็กมันถึงตกน่ะ!” สายตาของคนทั่วร้านต่างจับจ้องที่เคาน์เตอร์เป็นนัยน์ตาเดียวกันพลางมีเสียงหัวเราะคิก ๆ ดังขึ้นทั่วร้าน เลโอริกหันซ้ายหันขวาตรวจสอบความเรียบร้อยรอบตัวก่อนจะกระซิบกระซาบด้วยเสียงเบาปานจะพยายามกลบมิให้ผู้อื่นได้ยิน “คงเพราะข้ามาตอนกลางวันละม้างง เขาถึงไม่ดื่ม ว่าแต่ลุงรู้ได้ไงว่าราคาเหล็กตกน่ะ” ฟอกส์เงียบเสียงและยิ้มแล้วกระแอมขึ้นมาหนึ่งครั้งเบา ๆ
“โธ่ อย่าลืมสิว่าข้าน่ะผลิตปืนด้วย คนพรรค์เดียวกันมันก็ต้องรู้เรื่องราวเหมือนกันสิวะ ฮ่าๆ” เลโอริกและโมฮัมเหม็ดถอนหายใจพร้อมกันด้วยความเซ็งพลางมองหน้ากัน เลโอริกหันไปหยิบแก้วแชมเปญมาจิบนิดหนึ่ง ฟอกส์หันไปที่หลังร้านแล้วตะโกนขึ้นมา
“เอ้า เอมิเลีย! เลโอริกมาแล้วนะ! เห็นบ่นอยากเจอนี่นา”
“จ้าพ่อ! รอแปบนึง” เสียงตะโกนกลับมาจากหลังร้าน เป็นเสียงของผู้หญิงที่ใสแจ๋วกังวาลหู ดุจดังเสียงนางฟ้านางสวรรค์ก็มิปาน
ดรุณีเสียงไพเราะนั้นค่อย ๆ เดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ นางเป็นหญิงอายุประมาณ 15-16 หรือน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเลโอริก ผมยาวประบ่าสีดำประดุจผ้าไหม ใบหน้านางนั้นขาวนวลประดุจดวงแขที่ลอยค้างฟ้าในคืนวันเพ็ญ แก้มแดงดั่งลูกพุทราสุก ดวงตาที่โตขนาดพองาม คิ้วโก่งดังคันศรเข้ม ริมฝีปากที่แดงสดประดุจเชอร์รี่และรอยยิ้มของดรุณีวัยกระเตาะเพิ่งขบเผาะที่แทบจะทำเอาชายหนุ่มในร้านหัวใจละลายไปหมดแล้ว ผิวเนื้อกายนางนั้นขาวนวลประดุจดวงจันทร์ รูปร่างของนางอรชรอ้อนแอ้นเข้าสัดส่วนประดุจเทพอัปสร นางใส่เสื้อแขนสั้นสีชมพู กางเกงขาสั้นสามส่วน เหน็บปืนสองกระบอก มือของนางนั้นงดงามประดุจมือของนางรำ สวมแหวนหนึ่งวงทำจากทับทิมสีแดงที่นิ้วชี้ข้างขวา หล่อนมองหน้าเลโอริกแสดงสีหน้าคิดถึงอย่างเห็นได้ชัด แต่เลโอริกกลับถอนหายใจอีกครั้งพลางยื่นมือไปหยิบแก้วไวน์มาจิบอีกครั้ง
“ไง เลโอริก สบายดีเหรอ?” เอมิเลียเดินมานั่งที่เคาน์เตอร์ฝั่งตรงข้ามกับเลโอริกแล้วยิ้มอย่างเย้ายวนให้เลโอริก คงมีแต่เขาคนเดียวในร้านที่ไม่สนใจไยดีต่อรูปร่างที่งามสง่าของลูกสาวเจ้าของร้าน อาจเป็นเพราะเกรงใจฟอกส์ที่นั่งข้าง ๆ ลูกสาวของตนหรือไม่ก็คงจะมีเหตุอื่นที่ทำให้เขาไม่สนใจก็เป็นได้
“อืม ก็ดี” เลโอริกเกรงใจฟอกส์จึงพยายามไม่แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา และพยายามตอบเลี่ยง ๆ
“งั้นวันนี้ข้าดื่มเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน ไหน ๆ ก็เจอกันแล้วนี่เนอะ!” เอมิเลียหัวเราะอย่างสนุกสนานเหมือนกับไม่รู้ว่าเลโอริกรำคาญเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าเธอแสร้งทำมากกว่า เธอปลดปืนออกมาวางบนโต๊ะกระบอกหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าหล่อนคิดจะทำอะไร แต่ตอนนี้คนทั้งร้านหันมาจ้องพวกเขาตาไม่กระพริบกันหมดเลย
“ลุงฟอกส์ ว่าแต่ช่วงนี้นี่ที่ร้านมีของอร่อย ๆ บ้างมั้ยล่ะ วันนี้ข้ากะมาฉลองแบบเงียบ ๆ อยากกินอาหารทะเลอร่อย ๆ น่ะ” เลโอริกเริ่มยิงคำถามที่ควรจะถามออกมา ลุงฟอกส์ยิ้มและหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะตะโกนไปที่หลังร้าน
“เอาของที่พวกชาวเลส่งมาให้มาหน่อย!”
“คร้าบเถ้าแก่” เสียงตะโกนตอบกลับมาจากด้านหลังร้าน หลังจากนั้นไม่นานก็มีชายวัย 20 กว่า ๆ เดินมาพร้อมจานอะไรสักอย่างวางบนเคาน์เตอร์ตรงหน้าเลโอริก
“ขอบใจมาก ไปทำงานต่อเถอะ” ฟอกส์กล่าวก่อนที่จะยื่นเงินเหรียญสองสามเหรียญให้กับพนักงานคนนั้น เขาดีใจมากจนลืมขอบคุณวิ่งโร่ไปหลังร้านทันที ในจานเป็นชิ้นเนื้อ น่าจะเรียกว่าแท่งเนื้อมากกว่า สีส้มมีกลิ่นหอมฉุยของปลา ดูท่าจะเป็นปลาเทราต์รมควัน โมฮัมเหม็ดคนขี้สงสัยรีบหยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมาพินิจพิเคราะห์อย่างสงสัยใคร่รู้
“นี่คือ...” หงับ! โมฮัมเหม็ดยัดเข้าไปเข้าไปครึ่งชิ้นแล้วทำหน้าตาเหมือนขึ้นสวรรค์ เลโอริกหัวเราะกับท่าทางของโมฮัมเหม็ดจึงหัวเราะในลำคอพลางหยิบเข้าปากบ้าง ก็ร้องอุทานออกมาเบา ๆ “อร่อย!”
“มันคือปลาเทราต์รมคตวันแบบนอร์ดิก เป็นวิธีรมควันแบบชนเผ่านอร์ซาทางเหนือน่ะ รมควันในห้องน้ำแข็งแล้วใส่สมุนไพรกลิ่นหอมของทางเขตเหนือเข้าไป พวกชาวประมงมันรมควันมาให้เสร็จสรรพเลย เวลาเสิร์ฟก็แค่เอาไปอบให้พออุ่นแล้วก็ยกออกมาทานได้เลย ง่าย ๆ เลยนะเนี่ย” ฟอกส์พูดพลางหยิบเข้าปากเข้าไปอีกชิ้น ค่อย ๆ เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยก่อนที่จะพูดทั้งที่มีอาหารในปาก “พวกชาวประมงที่เอาสินค้ามาส่งฝากบอกมาว่า ราคาปลานั้นถูกลงมากในช่วงนี้ เป็นช่วงที่ปลาน้ำลึกมาหากินแถบชายฝั่งน่ะ ได้ข่าวว่าถูกพอ ๆ กับราคาเหล็กเลยเชียว” พูดเสร็จก็กลืนเนื้อปลาลงคอดังเอื๊อกก่อนที่จะดื่มเหล้าที่ใส่แก้วแล้วหัวเราะเสียงดัง เอมิเลียสะกิดพ่อของตนและยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ หู “พ่อคะ! คนมองกันทั้งร้านแล้ว!”
ความคิดเห็น