คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #34 : ยังไม่สนิท
“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยล้า
จะมองไปทางไหนก็ดูจะยุ่งยากไปหมดนางอยากรีบจัดการให้ทุกอย่างจบสิ้นเสียที
นางไม่อยากอึดอัดอยู่ที่จวนนี้อีกแล้ว ทั้งๆ ที่ผ่านมานางกับเขาก็ทำงานเข้ากันดี
และรู้สึกมีความสุขด้วยซ้ำ แต่พอเจอกับเหตุการณ์เมื่อว่าทำเอานางตั้งตัวไม่ทัน
“ฮูหยินเป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ
หลายวันมานี้ข้าเห็นว่าท่านเอาแต่ถอนหายใจเช่นนี้”
ซือซือเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงและสีหน้าจริงจัง
จนผู้เป็นนายต้องขมวดคิ้วด้วยเพราะไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นอย่างที่สาวใช้บอก
“ก็ไม่ได้เป็นอันใด”
นางทำหน้านิ่งตอบเฉไฉ
“เป็นเพราะท่านแม่ทัพใช่หรือไม่เจ้าคะที่ทำให้ท่านเป็นเช่นนี้”
“อย่าพูดจาเหลวใหลนะซือซือ
ข้าจะเป็นอันใดล้วนไม่เกี่ยวกับเขา” ลี่เหม่ยจูเอ่ยขึ้นเมื่อนึกถึงเฉินหย่งหมิง
“ฮูหยิน...เรื่องของหัวใจมิมีผู้ใดบังคับกันได้
และไม่มีผู้ใดจะก้าวล่วงเข้าไปได้เช่นกันเพราะมันเป็นเรื่องของคนสองคน” ซือซือเอ่ย
“ซือเออร์...เจ้าจะรู้ดีไปกว่าข้าได้อย่างไร”
นางเอ่ยเสียงดุ
“เรื่องนี้จะต้องให้ท่านแม่ทัพเป็นผู้แก้ด้วยตนเองเจ่าะ
หากเขาไม่สามารถจัดการความยุ่งเหยิงนี้รวมถึงฮูหยินเองที่ยังไม่ชัดแจ้งในความรู้สึก”
รอยยิ้มกว้างของซือซือทำให้ให้ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ
สาวใช้ตัวน้อยรู้เรื่องความรักลึกซึ้งเพียงนี้เลยหรือ
“พูดคุยสิ่งใดกันอยู่หรือ”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นลี่เหม่ยจูสะดุ้งอย่างตกใจเพราะฝีเท้าของเขาเบาหรือนางมัวแต่คิดตามที่ซือซือพูด
สาวใช้ตีวน้อยถอยหลังออกไปอย่างรู้หน้าที่
“...” ลี่เหม่ยจูไม่ตอบสิ่งใดออกไป
“หากข้าเป็นผู้มิหวังดีเจ้าคงได้รับอันตรายไปแล้ว"
เฉินหย่งหมิงแค่นหัวเราะ
"ไม่มีผู้ใดอันตรายเท่าท่านแล้ว"
ลี่เหม่ยจูก็ตอกกลับคนที่ไม่อยากพบเจอสุดเวลานี้
เขาพูดกับนางเช่นนั้นเขาควรต้องหายหน้าไปสิ จะมาก่อกวนอารมณ์นางให้ได้สิ่งใด
"นั่นสินะ...ข้ามาแจ้งว่ามีคนอยากพบเจ้า"เฉินหย่งหมิงนั่งลงฟูกตรงข้าม
“ผู้ใดกัน” ลี่เหม่ยจูเอ่ยถามและหลงลืมว่ายังแค้นเคืองเขาไปชั่วขณะ
“พี่ชายของเจ้า...เขากลับมาแล้ว” ลี่เหม่ยจูคิดว่าวันนี้เขาพูดดีกว่าทุกวัน แต่นางไม่มีเวลามาสนใจ
เพราะมีเรื่องอยากพูดอยากถามพี่ชายมากมาย
"พี่หยางมาหาข้า"
ลี่เหม่ยจูผุดลุกขึ้นอย่างดีใจ
"ค่อยๆ เดิน"
เฉินหย่งหมิงอดยิ้มตามไม่ได้เขามองตามหลังร่างบางไปด้วยสายตาห่วงใย
บางครั้งนางก็คล้ายเด็กน้อย บางครั้งดื้อรั้นไม่ฟังผู้ใด แต่นางเป็นสตรีที่อ่านสถานการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งจนเขาแปลกใจ
นางทำให้เขาประหลาดใจไม่รู้จบจากความสนใจเล็กๆ
กลายเป็นไม่สามารถละสายตาจากนางได้เลย...หรือเขาคิดผิดไปที่เอ่ยเช่นนั้นกับนาง
ลี่เหม่ยจูรีบวิ่งมาเรือนรับรองอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงก็พบพี่ชายที่หายหน้าหายตาไปนานนั่งก้มหน้าหมดอาลัยตายอยากราวกับโลกกำลังถล่มลงตรงหน้า
ร่างกายสูงใหญ่ซูบไปถนัดตาไยพี่ชายผู้เข้มแข็งของนางถึงเป็นเช่นนี้
มีเรื่องใดทำให้พี่ชายเป็นทุกข์ถึงเพียงนี้
หรือเฉินหยางหมิงใช้งานพี่หยางของนางหนักจนไม่มีเวลาพักผ่อนจนขอบตาดำคล้ำเยี่ยงนี้
"จูเออร์”
เสียงห้าวเอ่ยเรียกอย่างคุ้นเคย
“พี่ใหญ่”
เสียงหวานเอ่ยเรียกผู้เป็นพี่ชายก่อนจะโผตัวเข้าหาอ้อทกอดอันคุ้นเคย
“เป็นอย่างไรบ้างจูเออร์”
แม้มีเรื่องไม่สบายใจทว่าลี่เหวินหยางก็เอ่ยถามน้องสาวด้วยความห่วงใย
มือหนาลูบไปที่เลือนผมนุ่มเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
"ข้าสบายดีเจ้าค่ะ หากแต่พี่ใหญ่เล่าเหตุใดจึงซูบผอมสีหน้าไม่ดีเลยเจ้าค่ะ
เขาใช้งานพี่หนักหรือ"
ลี่เหม่ยจูหมุนร่างสูงของพี่ชายไปมาคราแรกที่มองหน้าพี่ชายนางแทบจะจำเขาไม่ได้
ใบหน้าคล้ำเหมือนอยู่กลางแดดเวลานาน
ร่างกายที่มีหมัดกล้ามเนื้อกลับซูบลงราวกับอดอาหาร เสื้อผ้ามีแต่กลิ่นสุรา เห็นเช่นนี้แล้วนางยังจะทนใจเย็นได้อยู่อีกหรือ
"ผู้ใดใช้งานพี่หนัก? " ลี่เหวินหยางมึนงงกับคำถามและสีหน้าจริงจังของน้องสาวนี่นางกำลังคิดว่าสามีของนางใช้งานเขาหรือ
"ก็เฉินหย่งหมิงเขาใช้งานท่านจนไม่ได้หลับได้นอนใต้ตาค้ำดำเยี่ยงนี้
นี่เขากะใช้งานทั้งข้ากับท่านให้ตายเลยใช่หรือไม่"
ลี่เหม่ยจูเดือดและโมโหอย่างมากพอมีเรื่องของเขาเข้ามาเกี่ยวจึงทำให้นางพาลโมโหมากกว่าปกติ
"พี่ว่าเจ้าคงเข้าใจผิดแล้วล่ะ"
ลี่เหวินหยางกำลังสงสัยว่าทั้งสองคงกำลังมีปัญหากันอย่างแน่นอน เพราะสีหน้าของน้องสาวคล้ายกำลังงอน
“หากไม่เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
“เกิดอันใดขึ้นหรือเหตุใดเจ้าจึงได้มีสีหน้าเช่นนี้”
ลี่เหมินหยางเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติและน้องสาวเองก็นิ่งเงียบไป
“ท่านเอ่ยถึงสิ่งใด” นางเฉไฉ
“เจ้ามิไว้ใจพี่แล้วหรือจึงไม่คิดบอกกล่าวให้ข้ารู้สักคำ”
ลี่เหวินหยางเอ่ยถามย้ำเมื่อเห็นว่าลี่เหม่ยจูยังคงนิ่งเฉยอยู่
“มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ
ไม่มีผู้ใดที่ข้าจะไว้ใจเท่าพี่ใหญ่ของข้า” ลี่เหม่ยจูรีบเอ่ยแก้คำตัดพ้อของพี่ชาย
“หรือจะเกี่ยวกับคำร่ำลือกันที่ว่าท่านแม่ทัพออกไปพบกับน้องรอง”
ลี่เหวินหยางเอ่ยถามตรงๆ กับสิ่งที่ตนได้ยินมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“เจ้าค่ะ...ตั้งแต่ข้าแต่งเข้ามาตระกูลลี่ก็ถูกนินทาเรื่องที่น้องรองจะแต่งเข้ามา
ข้าเองก็พยายายามหาวิธีให้นางอยู่อย่างสงบและรู้สึกเป็นห่วงท่านพ่อกลัวว่าจะคิดมาก”
ลี่เหม่ยจูเอ่ยเสียงเบา
“เจ้าจึงบึ้งตึงเฉยเมยต่อท่านแม่ทัพ”ลี่เหวินหยางเอ่ยต่อคำอย่างรู้นิสัยของน้องสาว
คิ้วหนาเลิกขึ้นสูง
“เจ้าค่ะ...แต่เขาเองก็ต้องการให้เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว”
ลี่เหม่ยจูเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงน้อยใจนิดๆ อย่างไม่รู้ตัว เรียกรอยยิ้มน้อยๆ
ที่มุมปากของผู้เป็นพี่ชายได้เป็นอย่างดี
“เจ้ากำลังน้อยใจเขา”
ลี่เหวินหยางเอ่ยต่ออย่างจับผิด
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองดวงหน้าหวานจนลี่เหม่ยจูต้องหันหน้าหนี
เพราะรู้ดีว่าสายตาแบบนี้ของพี่ชายเป็นสายตาจับผิด เพราะพี่ชายนั้นเป็นคนฉลาด
อีกทั้งความสนิทสนมระหว่างพี่น้องมากมายจนเรียกได้ว่ามองตาแล้วรู้ใจ แค่เพียงมองตาก็รู้ไปถึงหัวใจของนางแล้ว
ลี่เหวินหยางมังมองลี่เหม่ยจูได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“...”
ลี่เหม่ยจูเลือกที่จะไม่ตอบคำถามเอาแต่นิ่งเงียบอย่างนั้นจนลี่ เหวินหยางต้องเป็นฝ่ายก้าวไปยืนอยู่เบื้องหน้า
นิ้วเรียวเชยคางมนของน้องสาวให้ดวงหน้างามแหงนขึ้น
“จูเออร์เจ้ารู้สึกแปลกๆ
กับท่านแม่ทัพใช่หรือไม่” ลี่เหวินหยางเอ่ยถามตรงๆ
“...” แต่คนที่ถูกถามยังคงไม่ตอบทั้งๆ
คำตอบอยู่ในดวงตากลมโตหมดแล้ว
“ลี่เหม่ยจู...ที่เจ้าเป็นเช่นนี้เพราะเจ้ามีใจให้ท่านแม่ทัพใช่หรือไม่”
ลี่ เหวินหยางยังคงถามคำถามที่ตรงยิ่ง และคำถามนี้ทำให้ดวงตากลมโตต้องไหวระริก
ดวงหน้าหวานซับสีเลือดขึ้นในทันที
และเพียงแค่นี้ก็เป็นคำตอบสำหรับคำถามของลี่เหวินหยางได้ดี
“เจ้ารักท่านแม่ทัพ!”
ลี่เหวินหยางเอ่ยขึ้นลอยๆ แต่กลับทำให้คนฟังแทบเต้นเร่า
แก้มใสซับสีเลือดแดงขึ้นไปอีก
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ” เสียงหวานรีบเอ่ยปฏิเสธทันที
ทั้งๆ ก่อนหน้านี้ไม่ยอมพูดจา
“จูเออร์
ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้ามิต้องโป้ปด ตั้งแต่เล็กจนโตสิ่งใดที่เจ้าคิดแล้วพี่จะไม่รู้
หากเจ้าไม่มีใจให้ท่านแม่ทัพมีหรือราชโองการของฮ่องเต้จะทำสิ่งใดได้
แม้ข้ามิได้อยู่ใกล้ชิดเจ้าหากแต่เรื่องราวที่ได้ยินมาไม่น้อยว่าสิ่งที่เจ้าแอบไปทำล้วนแทบจะต้องแลกด้วยชีวิต
ครึ่งหนึ่งข้าเชื่อว่าเจ้าทำเพื่อตระกูลลี่และทำเพื่อแผ่นดิน
หากอีกครึ่งก็ทำเพื่อเพราะมีใจต่อเขา
แม้เจ้าจะพูดปฏิเสธหากแต่แววตาของเจ้าในเวลานี้จะปิดอย่างไรก็ไม่มิด
การยอมรับหัวใจของตนเองมิใช่สิ่งผิด เมื่อคนที่เจ้ารักในตอนนี้เข้าเป็นสามีเจ้าเอง”
ลี่เหวินหยางทั้งปลอบทั้งสั่งสอน
“แม้ข้าจะรู้สึกเช่นไรก็ไม่สำคัญ
เพราะเขามีลี่เหม่ยเจินอยู่แล้ว
แม้เขาจะทำดีต่อข้าแต่นั่นก็เป็นเพียงหน้าที่แฃะความรับผิดชอบเท่านั้น”
เสียงหวานเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมกับยอมรับกับความรู้สึกของตัวเองอย่างหมดใจ
ความอ่อนแอที่นางไม่รู้จักเข้ามาแทนที่สัมผัสได้ถึงความรวดร้าว
ตั้งแต่วันที่นางได้ช่วยเหลือเขาในวันนั้น...ความรู้สึกนางเปลี่ยนไปตั้งแต่วันนั้น
“โธ่จูเออร์”
ลี่เหวินหยางเอ่ยเสียงเบาด้วยความสงสารพร้อมกับโอบกอดร่างบางไว้แน่น หากแต่ความรู้สึกของน้องสาวอีกคนเล่าเป็นปัญหาที่พี่ชายอย่างเขาต้องนำไปขบคิด
อีกทั้งความรู้สึกของเฉินหย่งหมิงเองแม้จะสนิทสนมกับอีกฝ่ายทว่าก็ไม่อาจประเมินความรู้สึกของผู้บังคับบัญชาได้
“แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อไป
จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้หรือ” เป็นคำถามที่อยู่ในใจของนางเช่นกัน
“ข้าก็คงจะต้องทำหน้าที่ของข้าให้ดีที่สุด
เมื่อทุกอย่างจบก็เพียงแยกย้ายให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเช่นเดิม”
“แต่ความรู้สึกของเจ้าจะไม่มีทางเหมือนเดิม”
“...” ลี่เหม่ยจูไม่อาจตอบคำถาม
ดวงตากลมโตทอดมองออกไปไกล
เมื่ออารมณ์ดีขึ้นแล้วลี่เหม่ยจูจึงหันมาสนใจพี่ชายและถามถึงธุรของอีกฝ่ายที่มาหาตน
“ว่าแต่ช่วงนี้ท่านหายไปที่ใดเจ้าคะ”
"ช่วงนี้ท่านแม่ทัพให้พี่พักงานเพื่อเตรียมตัว..."
ลี่เหวินหยางชะงักปาก เมื่อกำลังจะพูดเหตุผลที่ตนต้องหยุดพักงาน
"พักงานหรือ แล้วเพื่อเตรียมสิ่งใด"
ลี่เหม่ยจูจ้องมองพี่ชายอย่างจับผิดบ้าง มีเรื่องใดที่นางพลาดข่าวสำคัญไป
“...” ลี่เหวินหยางนิ่งเงียบ
"ท่านเองก็กำลังทุกข์ใจ...อย่าปิดบังข้าเลย
ข้ากับท่านเติบโตมาด้วยกันท่านรู้สึกอย่างไรมีหรือข้าจะดูไม่ออก"
ลี่เหม่ยจูจ้องหน้าพี่ชายและเอ่ยในสิ่งที่พี่ชายเอ่ยกับนางเมื่อครู่ “ท่านไม่ไว้ใจข้าอย่างนั้นหรือ” คำพูดตัดพ้อของน้องสาว
จึงตัดสินใจบอกนางในที่สุด เพราะทนแววตาเช่นนั้นไม่ไหว
"เรื่องแต่งงานกับจวงมี่อิง...สหายของเจ้า"เสียงเข้มเย็นชาถูกเค้นออกมา
และแผ่วปลายในตอนหลังเมื่อเอ่ยนามว่าที่เจ้าสาว
"โถ่...ก็นึกว่าเรื่องใด
ข้าคิดว่าเป็นเรื่องดีท่านจะได้ออกเรือนเสียที
อีกอย่างมี่อิงนางก็น่ารักท่านโชคดีเพียงนี้ยังจะทำหน้าอย่างกับคนถูกบังคับอีก"
ลี่เหม่ยจูนึกว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรอีกอย่างจวงมีอิงเองก็แอบมีใจให้พี่ชายของนางเพียงแต่อีกฝ่ายปากแข็งและไม่ยอมพูดออกมา
นางกับมี่อิงสนิทเป็นเพื่อนเล่นกับนางมาตั้งแต่เด็ก
จึงรู้จักนิสัยใจคออีกฝ่ายเป็นอย่างดีและดูเหมือนว่านางจะร่าเริง สดใส ช่างพูดขึ้น
หลังจากวันที่นางหัวฟาดขอบเตียง
"แต่ข้าไม่ได้ชอบนาง
อีกอย่างหญิงแพศยาผู้นั้นเจ้ายังรู้จักนางไม่ดีพอจูเออร์"
ลี่เหวินหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดนัยน์ตาแดงก่ำหญิงสาวที่เรียบร้อยและเขาก็เอ็นดูนางกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมานางคงใช้มารยาเล่ห์กลอำพรางตาเขาและน้องสาวไว้สินะ!
ตลอดเวลาที่ผ่านมานางช่างเสแสร้งเล่นละครได้แนบเนียนเสียจริง
หากไม่เห็นกับตาคงไม่ประจักษ์แก่ใจ ตอนนี้อย่างไรจูเออร์คงไม่มีทางเชื่อเขาว่าสหายของนางเป็นสตรีแพศยาเพียงใด
"ข้ารู้ว่าพี่ไม่ได้คิดเกินเลยกับมี่อิงอีกทั้งท่านยังเอ็นดูนางราวเฉกเช่นน้องสาว
แต่ท่านก็ไม่ควรจะทำสีหน้ากิริยาราวรังเกียจมี่อิงเช่นนี้
หากนางมาเห็นจะไม่เสียใจหรือ...อีกอย่างท่านกับนางก็"
ลี่เหม่ยจูแปลกใจกับการแสดงออกของพี่ชายนักที่ผ่านมานางรู้ว่าพี่ชายไม่ได้คิดเป็นอื่นกับจวงมีอิงออกจะเอ็นดูอีกฝ่ายด้วยซ้ำเพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก
หากไม่รักก็ควรจะเอ็นดูมี่อิงบ้างอีกอย่างสหายนางก็ไม่ต่างจากคนหัวเดียวกระเทียมลีบ
ที่ต้องมาแต่งกับพี่ชายคงจะต้องมีเหตุผลบางอย่างและมี่ส่วนเกี่ยวข้องกับบิดาของมี่อิงอย่างแน่นอน
แล้วไยพี่ชายนางไม่เห็นใจมี่อิงบ้าง
"หึ
นางร้องไห้คร่ำครวญกับบิดาของนางเพื่อให้แต่งเข้าเป็นฮูหยินของพี่
ทั้งยังจัดฉากให้พี่กับนางอยู่ด้วยกันสองต่อสองจนผู้คนติฉินนินทา
ท่านพ่อเกรงว่าจะไม่เป็นการดีจึงยอมให้เเต่งนางเข้าจวน" ลี่เหวินหยางระบายความอัดอั้นที่แน่นอยู่ในอกออกมาให้น้องสาวฟังจนหมดสิ้น
นางถึงกับกล้าวางยานอนหลับและจัดฉากร่วมหลับนอนจงใจให้ผู้อื่นเข้าใจผิด
เป็นเช่นนี้จะไม่ให้เขาโกรธแค้นได้อย่างไร
"มี่อิงคงมีเหตุผลที่นางทำเช่นนั้น
พี่ก็รู้จักนางมานานย่อมต้องดูออก...บางทีนางอาจจะตกเป็นเหยื่อเช่นกัน” ลี่เหม่ยจูไม่เชื่อว่าสหายจะทำเช่นนั้น
ต้องมีเหตุผลหรือบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้ เป็นกล เป็นเล่ห์
และต้องมีคนที่อยู่เบื้องหลัง
"เหตุผลใดที่ทำให้นางทำตัวเช่นนั้น
ที่สำคัญพี่ไม่เคยรักนาง เจ้าก็รู้"ลี่เหวินหยางยังไม่คล้อยตามกับสิ่งที่น้องสาวกล่าวมาสักนิด
เขาเองยังหาเหตุผลมาลบล้างเพื่อให้มองสตรีผู้นั้นดีขึ้นไม่ได้เลย
"เอาเป็นว่าข้ารู้จักนางดี
และข้ามั่นใจว่ามี่อิงไม่ได้จงใจอยากทำร้ายท่านอย่างแน่นอน
ข้าอยากให้ท่านช่วยนาง" ลี่เหม่ยจูยิ้มและยกมือลูบใบหน้าพี่ชายสำรวจเค้าหน้าที่รกด้วยหนวดเคราแทบจะไม่เหลือเค้าพี่ชายผู้หล่อเหลา
"ถือว่าข้าขอร้อง
นางคงลำบากมิน้อยและข้าคิดว่านางคงมิอยากบังคับให้ท่านลำบากใจ
นางอาจมีท่านเป็นที่พึ่งเพียงคนเดียวก็เป็นได้"
ลี่เหม่ยจูกุมมือพี่ชายอย่างให้กำลังใจ ปนเห็นใจแค่ปัญหาของนางเองก็ยังหาทางแก้ไม่ได้
ส่วนเรื่องนี้ให้พี่ชายแก้ไขเองก็แล้วกัน
“ที่เจ้าขอมันคือทั้งชีวิตและความสุขของพี่เลยนะ”
ที่จริงทั้งชีวิตของเขายกให้นางได้โดยไม่เสียดาย
แต่ที่นางขอนั้นเหมือนยกชีวิตของเขาให้ผู้อื่น ซ้ำผู้นั้นยังมากด้วยมารยา
“ตอนนี้ท่านควรกลับไปอาบน้ำโกนหนวดเคราก่อน
ข้าอายคนที่มีพี่ชายเหมือนโจรเยี่ยงนี้” ลี่เหม่ยจูปลอบประโลมพี่ชายอยู่นานถึงใจเย็นขึ้นมาบ้าง
แต่กระนั้นก็ยังใจแข็ง นางเริ่มกังวลกับอนาคตของพี่ชายและว่าที่พี่สะใภ้เหลือเกิน
หลังจากลี่เหวินหยางกลับไปแล้วลี่เหม่ยจูก็ออกไปนอกจวนเพื่อไปสืบหาบุรุษผู้นั้นทันที
นางรู้ว่าเขายังวนเวียนในเมืองหลวง ถ้าจำไม่ผิดเขาเคยบอกว่าเขาชื่อ 'เฟยหลง'
แต่ไม่ได้บอกแซ่
ลี่เหม่ยจูเดินมาเรื่อยๆ
อย่างไร้จุดหมายไม่รู้ว่าจะไปเริ่มหาข่าวจากที่ใดดี
บุรุษผู้ลึกลับหาตัวจับยากผู้นี้เป็นใครกันความยากในครั้งนี้ช่างท้าทายเหลือเกิน
"แม่นาง...พบท่านอีกแล้ว" อยู่ดีๆ
บุคคลที่อยากเจอก็ปรากฏกายตรงหน้า
นี่เขาเป็นภูตผีหรืออย่างไรหรือเขารอให้นางมาตามหากัน
"ท่าน! " ลี่เหม่ยจูทั้งตกใจและดีใจ
แต่จะให้ถามซึ่งๆ หน้าใครจะบอก
"พบกันครั้งที่สองแล้วแม่นางไม่คิดจะแนะนำตัวให้ข้ารู้จักเลยหรือ"
บุรุษตรงหน้าส่งรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่ร้ายกาจ
ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มกลิ่นอายบุรุษเพศชัดเจนแต่กลิ่นอายสูงศักดิ์กลับปิดไม่มิด
"ข้าซ่ลี่ นามว่าเหม่ยจู" น้ำเสียงไม่อ่อนไม่แข็งเรียกรอยยิ้มกว้างจากบุรุษร่างสูงได้เป็นอย่างดี
"จูจู ชื่อนี้เหมาะกับเจ้าดี"
บุรุษเอ่ยชื่อนางอย่างสนิทสนมได้อย่างไม่กระดากปาก
"เรียกข้าเหม่ยจูเถิด
ส่วนจูจูนั้นคนที่พึ่งพบกันเพียงสองครั้งยังไม่ถือว่าสนิทสนม"
ลี่เหม่ยจูมองหน้าบุรุษที่บังอาจเรียกชื่อเล่นนางอย่างสนิทสนมจึงอดไม่ได้ที่จะพูดประชดออกไป
"ขออภัยข้าไม่ถนัดเรียกชื่อยาวเหยียด
เรียกจูจูก็ได้ข้าไม่ถือสา" เฟยหลงยิ้มอย่างพอใจที่เห็นคนตรงหน้ามีท่าทางบึ้งตึง
"...." ชื่อนางยาวเหยียดตรงไหน และคำว่าไม่ถือสานี่นางควรเป็นคนพูดมิใช่หรือ
"ถ้าอย่างนั้นเพื่อเป็นการทำความรู้จักในฐานะสหาย
จูจูจะเลี้ยงตอบแทนข้าที่ไหนดี"
"สหาย? เลี้ยงตอบแทน?
"
ลี่เหม่ยจูเหมือนโดนของแข็งทุบหัวนี่นางอยากไปเป็นสหายกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
บุรษผู้นี้พูดเองเองเป็นเรื่องเป็นราว
"ใช่ จูจูฟังไม่ผิดหรอก"
บุรุษผู้นี้ยังเอ่ยไม่หยุดเขาเห็นแก่กินถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
คำพูดรวบรัดนั้นทำให้ลี่เหม่ยจูแทบไม่เหลือช่องว่างให้ปฏิเสธ
"ท่านคงเข้าใจผิดกระมัง
ข้าเพิ่งเจอท่านสองครั้งยังไม่นับเป็นสหายอีกอย่างเลิกเรียกข้าว่า จูจู
เสียที" ลี่เหม่ยจูชักจะเหมดความอดทนกับความหน้าด้านของอีกฝ่าย
ส่วนเฟยหลงยังลอยหน้าลอยตาไม่รู้สึกรู้สาสิ่งใดยิ่งทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก
ถ้าไม่นับรวมเฉินหย่งหมิงแล้วบุรุษตรงหน้าเป็นคนที่สองที่ทำให้นางควบคุมอารมณ์ไม่ได้
"หรือจูจูกลัวข้า" หืม
ประโยคนี้ที่กล่าวมาทำให้ลี่เหม่ยจู่หรี่ตามอง
กลัวสิ่งใดเหตุใดต้องกลัวเขาเข้าใจสิ่งใดผิดไปหรือไม่
หากนางกลัวคงไม่ออกมาตามหาเขาเช่นนี้กระมัง
"ข้าไม่เคยกลัวผู้ใดโดยเฉพาะคนต่างถิ่นเช่นเจ้า"
ลี่เหม่ยจูจ้องตาตอบอย่างไม่กลัวเกรงทำให้อีกฝ่ายหัวเราะอย่างพอใจ
"แล้วพบกันที่ศาลาริมน้ำที่เดิมนะ"
บุรุษต่างแคว้นขยิบตาอย่างหยอกเย้าก่อนจะทะยานหายไปชั่วพริบตาไม่รอว่านางจะตอบปฏิเสธหรือตกลงด้วยซ้ำ
เขามั่นใจเหลือเกินที่คิดว่านางจะไปตามนัด หรือเขารู้ว่านางจะทำสิ่งใด
และเหตุใดถึงอยากบอกทุกอย่างแก่นางหรือเป็นแค่แผนล่อลวงเท่านั้น
ความคิดเห็น