คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : สหายสนิท (rewrite)
ผ่านมาเกือบเดือนที่ลี่เหม่ยจูอยู่ที่จวนแม่ทัพเฉินหย่งหมิงยังไม่เคยค้างคืนที่เรือนพันดาราของลี่เหม่ยจูตามสัญญา
หากจะมีบ้างที่ชอบกลั่นแกล้ง ก่อกวนให้เสียอารมณ์
ช่วงนี้เขาจะค้างที่ห้องหนังสือส่วนนางเองก็มิได้ใส่ใจอะไรมากมาย
เขาจะนอนที่ใดก็มิใช่เรื่องของนาง ตอนนี้หน้าที่ของนางเพียงดูแล 'จัดสรร'
แบ่งปัน' ให้ทุกๆ คนอย่างเท่าเทียม ทำให้ทุกฝ่ายต่างคนต่างอยู่ไม่วุ่นวายโลภมากหรืออยากครอบครอง
และที่สำคัญนางไม่ใช่คนใจดีนักที่จะยอมอยู่นิ่งหากถูกหาเรื่อง
หรือเพิ่มงานให้นางต้องยุ่งยาก
ใบหน้างามเงยหน้าขึ้นจากบัญชีของจวน
เปลือกตาบางหลับลงเพื่อพักสายตา
นางใช้ปลายนิ้วเรียวนวดคลึงบริเวณโหนกคิ้วให้ผ่อนคลาย
หลังจากดูบัญชีรายจ่ายแล้วน่าปวดหัวยิ่ง เมื่อเห็นยอดรายจ่ายแล้วสิ่งที่นางต้องทำทันทีคือต้องตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกเสียบ้าง
ข้างนอกชาวบ้านกำลังประสบกับภัยแล้งจะให้จวนแม่ทัพใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยสิ้นเปลืองได้อย่างไร
"ซือเออร์ ไปตามพ่อบ้านต้วนมาพบข้า"
เสียงเรียบปนเหนื่อยล้าเอ่ยขึ้น ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจ
ไหล่บางลู่ลงกับเก้าอี้เพื่อคลายความปวดเมื่อยจากการนั่งมาหลายชั่วยาม
ช่วงนี้มีภาระเพิ่มขึ้นอย่างมากยังไม่รวมเรื่องที่นางต้องเตรียมงานแต่งฮูหยินรองเข้าจวน
ซึ่งเป็นหน้าที่ที่แสดงถึงความใจกว้างของผู้เป็นฮูหยินใหญ่อย่างนาง
สำหรับลี่เหม่ยจูแล้วเฉินหย่งหมิงจะอยากมีเหล่าอนุอีกกี่ร้อยคนก็ไม่เกี่ยวกับนางเพียงแต่นางเองขี้เกียจที่จะดูแลเหล่าอนุทั้งยังเบื่อหน่ายที่ต้องมาแสร้งปั้นหน้าเล่นละครกับพวกนางเหล่านั้นอีกด้วย
"ฮูหยินเจ้าคะ
พ่อบ้านต้วนมาแล้วเจ้าค่ะ...จะให้เข้ามาเลยหรือไม่เจ้าคะ"
เมื่อได้ยินเสียงสาวใช้คนสนิทร่างบางก็รีบยืดนั่งตัวตรงทันที
ท่าทีเหนื่อยล้าเมื่อสักครู่หายไปคล้ายไม่เคยเกิดขึ้น
“ให้เขาเข้ามาได้" เมื่อจัดแต่งเผ้าผม
อาภรณ์เรียบร้อยแล้ว จึงอนุญาตให้พ่อบ้านเข้ามา ซือซือลอบมองใบหน้าผู้เป็นนายอย่างห่วงใยแล้วถอยออกไปเงียบๆ
และคิดว่านางควรไปเตรียมซุปไก่ตุ๋นโสมให้ผู้เป็นนายน่าจะดีกว่า
“คำนับฮูหยินขอรับ"
พ่อบ้านของจวนแม่ทัพคำนับผู้เป็นนายหญิงของจวนด้วยความนอบน้อม
ก่อนหน้าที่ฮูหยินจะแต่งเข้ามาต้วนจางเว่ยเป็นผู้ดูแลทุกอย่างภายในจวนทั้งหมด
คราแรกต้วนจางเว่ยก็เกรงว่าฮูหยินจะเข้ามาดูแลในส่วนของเขาทั้งหมดแล้วเขาอาจจะถูกลดอำนาจลงและหมดความสำคัญ
ทำให้บ่าวไพร่ไม่ยำเกรง ทว่าฮูหยินกลับมอบให้เขาดูแลทุกอย่างเหมือนเดิม
เพียงแต่นางจะช่วยดูแลอีกแรงและให้เขาคอยมารายงานอยู่เรื่อยๆ
"เชิญนั่งก่อนพ่อบ้านต้วน
ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากสอบถามท่านมากมายเลยทีเดียว"
ลี่เหม่ยจูเริ่มเปิดประเด็นทันทีที่ต้วนจางเว่ยนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
"เชิญฮูหยินถามขอรับ"
"รายจ่ายของเรือนเฟินเยว่ ในแต่ละเดือนเหตุใดถึงมากมายเพียงนี้
เขา...เอ่อ ท่านแม่ทัพทราบเรื่องนี้หรือไม่ ดูแล้วนางใช้จ่ายมากทุกเดือน"นางเอ่ยถามข้อมูลก่อนว่าเจ้าของจวนจะรู้เห็นหรือรับทราบหรือไม่
นางจะได้จัดการถูก ดวงตากลมหรี่มองตัวเลขในมือและส่งให้ต้วนจางเว่ยดูอีกที
"ข้าน้อยเคยแจ้งท่านแม่ทัพทราบแล้วขอรับ
แต่ท่านแม่ทัพไม่ว่าอะไร
และเพราะปกติแล้วส่วนใหญ่อนุมู่จะใช้ในการซื้อเครื่องประดับส่วนใหญ่
และในเดือนนี้ที่เพิ่มมากขึ้นอาจจะเป็นค่าใช้จ่ายในการตัดอาภรณ์เช่นเคยขอรับ
และเป็นปกติที่นางจะขอเบิกเงินล่วงหน้าจึงไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกขอรับ" ต้วนจางเว่ยอธิบายตามที่เขาคุ้นชินกับตัวเลขค่าใช้จ่ายของมู่หลินฮวา
และเจ้าของจวนเองก็ไม่ว่ากระไรเขาเป็นแค่พ่อบ้านจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยเท่านั้น
เขาเป็นผู้จัดการเงินก็จริงแต่ก็มิใช่เจ้าของเงิน
"ค่าตัดอาภรณ์หรือข้าจำได้ว่านางพึ่งสั่งตัดไปเมื่อเดือนก่อน
นางยังต้องการเพิ่มอีกหรือ...แล้วมีเทียบเชิญจากที่ใดส่งมาให้นางหรือไม่” ลี่เหม่ยจูเอ่ยเสียงเรียบและมองหน้าต้วนจางเว่ยที่เหงื่อเริ่มผุดออกมา
เพราะไม่รู้ตอบอย่างไรดี
“ไม่มีขอรับ...นางมิได้ไปร่วมงานที่ใดมากว่าครึ่งปีแล้ว”
ผู้เป็นพ่อบ้านเริ่มเสียงสั่น
“แล้วนางจะคัดอาภรณ์ทุกเดือนไม่สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุหรือ”
“เอ่อ...เรื่องนั้น”
“ช่างเถิด...”
ลี่เหม่ยจูโบกมือคราหนึ่งและเข้าใจดีว่าพ่อบ้านก็ไม่สามารถขัดสิ่งใดได้มาก
ก่อนจะเอ่ยถึงอีกเรือนที่ใช้เงินมากไม่แพ้กัน “ส่วนเรือนเยว่ซิงรายจ่ายนั้นก็มากเช่นกันแต่ไม่ถี่เท่าเรือนของมู่หลินฮวา
ส่วนใหญ่จะใช้จ่ายเงินจำนวนมาก นานๆ ครั้งแต่ละครั้งจำนวนก็มากเช่นกัน"
ลี่เหม่ยจูย้อนดูตัวเลขเปรียบเทียบแต่ละเดือนไปนางต้องรู้สาเหตุในการใช้เงินของอนุทั้งสองให้ได้
ถ้าเกิดใช้เช่นนี้ทุกเดือนอีกไม่นานคงได้ล่มจมกันหมดแน่
แต่ที่สำคัญเฉินหย่งหมิงยังนิ่งเงียบให้ท้ายพวกนางอยู่อีกหรือ
เขาดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับจำนวนเงินมากมายเช่นนี้แม้แต่น้อย
"เรียนฮูหยิน
อนุโจวนางเคยแจ้งว่าเป็นค่าหมอ
และยาสมุนไพรที่ราคาแพงบางเดือนต้องใช้หลายตำลึงอยู่ขอรับ"
ต้วนจางเว่ยตอบตามที่อนุโจวเคยแจ้งไว้ก่อนหน้า ซึ่งเขาเองก็มองว่าเป็นเรื่องปกติเพราะนางกำลังป่วยและเหล่าอนุเองต่างพากันใช้แต่ของที่มีราคาสูงและแพงทั้งยังของยากที่มีราคาค่างวด
เขาจึงไม่แปลกใจหากแต่ละเดือนพวกนางจะขอเงินเพิ่ม
"ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องสอบถามพวกนางภายหลังเอง
ข้าไม่มีเรื่องจะถามเจ้าแล้ว...ออกไปได้"
“ขอรับฮูหยิน...เอ่อ...ฮูหยินจะให้ข้าเป็ยนผู้ไปรายงานท่านแม่ทัพหรือท่านจะเป็นผู้ไปรายงานเองขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้างามก็เงยขึ้นก่อนจะครุ่นคิด
“ข้าจะไปคุยกับเขาเอง”
นางตัดสินใจแล้ว หากให้พ่อบ้านต้วนไปบอกก็คงเป็นเช่นเดิม
“ขอรับ”
ผู้เป็นพ่อบ้านค้อมหัวอย่างนอบน้อมก่อนจะถอยหลังออกไปเงียบๆ
เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน
ลี่เหม่ยจูหลับตาลงอีกครั้งอย่างเหนื่อยล้า
นางปิดหน้าบัญชีเล่มหนาและผ่อนคลายความเมื่อยล้าที่เกาะกุมไหล่จนปวดลามไปถึงหัว นางควรทำอย่างไรดีจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปอย่างที่เคยเป็นก่อนหน้าที่นางจะเข้ามาหรือจัดการทุกอย่างให้เป็นในแบบที่นางต้องการ
เมื่อนั่งครุ่นคิดอยู่นานก็ตัดสินใจได้พร้อมกับได้ยินเสียงสาวใช้คนสนิทเดินเข้ามาจึงผ่อนลมหายใจลง
"ฮูหยิน...พักจิบน้ำชาสักครู่เถิดอย่าหักโหมเกินไปเลยเจ้าค่ะ
ข้าน้อยเป็นห่วงสุขภาพของท่าน...ข้าทำซุปไก่ตุ๋นและขนมมาให้ท่านด้วยลองชิมดูเถิดเจ้าค่ะ"
ซือซือรีบยกน้ำชาและขนมเข้ามา คะยั้นคะยอให้ผู้เป็นนายหยุดพักและดื่มซุปไก่ตุ๋นของนาง
ซือซือมองใบหน้างามของผู้เป็นนายที่มีร่องรอยความเหนื่อยล้าจึงแอบค่อนขอดในใจว่าท่านแม่ทัพใจดำกับฮูหยินยิ่งนัก
ไม่เคยมาค้างที่เรือนสักครั้งตั้งแต่แต่งงาน ฮูหยินทำงานหนักเพียงนี้ผู้เป็นสามีควรมาถามไถ่บ้างมิใช่หรือ
“ซือเออร์ให้คนไปตามอนุทั้งสองมาพบข้าที่เรือนรับรอง”
ลี่เหม่ยจูคิดว่านางควรจัดการบางอย่าง
และที่สำคัญนี่คือหน้าที่ของนาง
ตอนนี้ควรสอบถามจากอนุทั้งสองน่าจะได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์บ้างกลิ่นหอมหวนของชาดอกโม่ลี่ทำให้ลี่เหม่ยจูผ่อนคลายจากความเมื่อยล้าลงเล็กน้อย
นิ้วเรียวลูบไล้ตามขอบถ้วยชาจากนั้นก็เอื้อมไปหยิบถ้วยซุปไก่ที่สาวใช้ทำมาให้และดื่มหมดภายในครั้งเดียว
พลางใช้ความคิดจากนั้นก็เดินไปยังเรือนรับรองทันที
ลี่เหม่ยจูเดินเข้ามาในโถงก็พบว่าอนุทั้งสองได้นั่งรออยู่ก่อนแล้วจึงเดินไปนั่งตรงที่นั่งประธาน
นางพยักหน้าอย่างพอใจที่ทั้งสองมาตามที่นางต้องการโดยไม่อิดออดหาข้ออ้างอีก
“คำนับฮูหยินเจ้าค่ะ” มู่หลินฮวาและโจวเหม่ยซิงเอ่ยคำนับอย่างพร้อมเพรียงแม้ไม่ได้นอบน้อมทว่าก็ไม่ได้เสียมารยาท
ทั้งสองต่างก็ร้อนรนปนสงสัยอยากรู้ว่าฮูหยินเรียกพวกนางมาด้วยเหตุใด
ครั้นจะไม่มาก็ไม่ได้เพราะเกรงบทลงโทษที่อีกฝ่ายคิดขึ้นมาลงโทษพวกนางอย่างเจ็บแสบ
“นั่งลงเถิดที่ข้าเรียกพวกเจ้ามานั้นเพียงมีเรื่องอยากสอบถามพวกเจ้าเท่านั้น”
ลี่เหม่ยจูเริ่มพูดเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา
นางลอบสังเกตสีหน้าของทั้งสองอย่างละเอียด สีหน้าแววตาที่มีแต่ความอยากรู้
ความสงสัย
“เชิญฮูหยินถามเจ้าค่ะ แค่กๆ”
โจวเหม่ยซิงเอ่ยเสียงแหบและไอออกมา ส่วนมู่หลินฮวาก็ปรายหางตามองเล็กน้อย
“จากที่ข้าดูบัญชีการใช้จ่ายของพวกเจ้า..”
ลี่เหม่ยจูเห็นสีหน้าของทั้งสองชะงักเกร็งขึ้นมาเพียงครู่จากนั้นก่อนจะพูดต่อว่า
“…ค่าใช้จ่ายของพวกจากเพิ่มขึ้นทุกเดือน แล้วเงินเดือนที่มอบให้พวกเจ้าทุกเดือนนั้นพวกเจ้าเอาไปใช้สิ่งใดและยังมีขอเพิ่มอีกหลายครั้งมีความจำเป็นมากมายถึงเพียงนั้นหรือ”
ลี่เหม่ยจูจ้องมองไปยังอนุทั้งสองทีละคน
หากทั้งสองมีเหตุผลเพียงพอและมีความจำเป็นจริงๆ
นางก็พร้อมที่จะเข้าใจและรับฟังไม่ได้ใจดำถึงเพียงนั้น
เพียงแต่ตอนนี้นางยังมองไม่เห็นความจำเป็นสักนิด
“เรียนฮูหยิน
ตัวข้านั้นสามวันดีสี่วันไข้จึงต้องตามหมอประจำ
ยาที่ใช้ส่วนมากมักมีราคาแพงกว่ายาทั่วไปเจ้าค่ะ
อีกทั้งสมุนไพรบำรุงร่างกายก็ต้องซื้อจากพ่อค้าต่างเมืองราคาจึงแพงกว่าปกติเจ้าค่ะ”
โจวเหม่ยซิงตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
ก้มหน้าคางชิดอกซ่อนแววตาไว้อย่างมิดชิดแทบไม่เห็นความผิดปกติ ลี่เหม่ยจูพยักและคิดตาม
“อืม เหตุผลของอนุโจวนั้นข้าเข้าใจแล้ว
แต่ต่อไปหากต้องการยาหรือสิ่งใดให้ส่งคนมาแจ้งที่ข้า” นางปรายสายตาเพ่งมองร่างบอบบางเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าต้องรบกวนฮูหยินแล้วเจ้าค่ะ แค่กๆ” โจวเหม่ยซิงตอบรับเสียงอ่อยพร้อมแสร้งไอโขลกออกมาอีกสองสามครั้งราวจะขาดใจ
แม้จะเอ่ยเช่นนั้นทว่าในใจโจวเหม่ยซิงกลับคิดว่าลี่เหม่ยจูกำลังกลั่นแกล้งหาทางตัดเงินของนาง
แม้จะไม่พอใจก็ต้องเก็บไว้จะให้โวยวายก็มิได้เกิดประโยชน์ใด สู้เก็บเอาไว้แล้วหาทางแก้ไขภายหลังก็ไม่สาย
“แล้วอนุมู่…นอกจากตัดอาภรณ์ใหม่ทุกเดือนแล้วเจ้านำเงินไปทำสิ่งใดอีก”
ลี่เหม่ยจูหันมามองอนุอีกคนที่นั่งใบหน้าผ่อนคลายราวกับไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งใด
สีหน้าแววตาก็ไม่ได้เกรงกลัวหรือรู้สึกผิดแต่อย่างใด
ทำราวกับว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรแล้ว
“ข้าก็ใช้ไปซื้อเครื่องประดับเจ้าค่ะ
ส่วนอาภรณ์นั้นข้าต้องตัดใหม่ทุกเดือนอยู่แล้ว
อีกทั้งร้านประจำของข้าคือร้ายอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจึงไม่แปลกที่ราคาของผ้านั้นจะแพง”
มู่หลินฮวาตอบพร้อมทั้งลูบไล้อาภรณ์ราคาแพงของตนไปมาราวกับของล้ำค่าหายาก
ใบหน้างามยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
มู่หลินฮวาคิดว่าหากไม่แต่งตัวให้งดงามหรือสวมอาภรณ์ที่ซ้ำเดิมไปมาจะมัดใจท่านแม่ทัพได้อย่างไรบุรุษส่วนใหญ่ย่อมก็ชมชอบของงามๆ
ทั้งนั้นคงไม่มีผู้ใดชอบของเก่าๆ เดิมๆ แน่นอน
“เหตุใดต้องตัดใหม่ทุกเดือนเช่นนี้ แล้วผ้าที่ข้าส่งไปให้ยังไม่พออีกหรือ”
ลี่เหม่ยจูเลิกคิ้วถาม
นางไม่ใช่ภรรยาหลวงที่ใจร้ายจะไม่ให้สิ่งใดกระเด็นไปถึงบรรดาเมียรอง
หากแต่นางคิดแล้วว่าสิ่งที่มอบให้ทุกเดือนนั้นเพียงพอและตามสมควรแล้วนางคิดกว่าร้อยรอบพันรอบกว่าจะตัดสินใจทำเช่นนั้น
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“ผู้อื่นจะมองเช่นไรเจ้าคะ
หากบรรดาภรรยาของท่านแม่ทัพสวมอาภรณ์ซ้ำเดิมผู้คนคงจะดูถูกท่านแม่ทัพได้นะเจ้าคะ
อีกอย่างข้าก็ไม่ชอบใส่ชุดซ้ำเดิม...ข้าอายเจ้าค่ะหรือท่านไม่เห็นแก่หน้าของท่านแม่ทัพ”
มู่หลินฮวาเชิดหน้าตอบเน้นย้ำว่าตนก็เป็นภรรยาเช่นกัน เรื่องนี้มู่หลินฮวายอมไม่ได้ที่จะต้องสวมแต่อาภรณ์ตัวเดิมนางเป็นถึงอนุของแม่ทัพใหญ่จะให้มาใส่อาภรณ์ตัวเดิมไปมาคงขายหน้าแย่
อีกอย่างก่อนที่สตรีผู้นี้จะแต่งเข้ามานางก็ตัดอาภรณ์ใหม่อยู่เรื่อยๆ
ซึ่งท่านแม่ทัพเองก็ไม่ว่ากระไร
“หากเจ้าใช้เงินส่วนตัวของเจ้าตัดอาภรณ์ใหม่เรื่อยๆ
ข้าก็คงไม่อาจห้าม หากแต่เจ้ามาขอเพิ่มเช่นนี้ข้าคงยอมไม่ได้
ช่วงนี้หากพวกเจ้าสนใจเรื่องภายนอกคงจะรู้ว่าผู้คนกำลังขาดแคลนอาหารลำบากเพียงใด
พวกเจ้าที่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นภรรยาของท่านแม่ทัพยังกล้าที่จะฟุ่มเฟือยอีกหรือ”
ลี่เหม่ยจูเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังไม่เบาหากแต่น้ำเสียงนั้นเย็นชาเสียดกระดูกจนขนลุก
“ข้าจะกลับไปคำนวณใหม่อีกทีว่าพวกเจ้าขอเบิกเงินล่วงหน้าไปแล้วกี่เดือน
ข้าจะให้พ่อบ้านทยอยหักจากแต่ละเดือนของพวกเจ้าใช้หนี้จากการขอเบิกเงินล่วงหน้า
จากนี้ไปหากขาดเหลือสิ่งใดก็ให้คนมาแจ้งที่ข้าก็แล้วกัน” นางคิดว่าวิธีนี้คงสามารถแก้การใช้เงินอย่างมือเติบของพวกนางได้บ้าง
พวกนางคิดว่าจวนแห่งนี้มีเงินทองให้ผลาญเล่นหรืออย่างไร
หากอนาคตในภายภาคหน้าเล่าจะมีผู้ใดคาดการณ์ได้บ้างจะดีกว่าหรือไม่หากรู้จักเตรียมตัวไว้และไม่ประมาทแม้จะไม่อยากยุ่งวุ่นวายนางจะปล่อยให้อนุทั้งสองทำตามใจก็ย่อมได้แต่ก็มิใช่ในระหว่างที่นางเป็นฮูหยินของจวนแม่ทัพแห่งนี้
เรื่องกบฏที่ยังไม่สามารถจัดการได้จึงไม่มีใครอยากจะทำตัวโดดเด่นเหล่าขุนนางต่างพากันปิดจวนเงียบเพื่อไม่อยากเป็นเป้าหรือโดนเพ่งเล็ง
ส่วนจวนแม่ทัพเองก็เช่นกันหากเหล่าภรรยาอนุแม่ทัพยังทำตัวราวไม่รู้สึกรู้สากับเหตุการณ์เช่นนี้รังแต่จะเป็นเป้าให้ผู้อื่นจับตามองเช่นกันซึ่งลี่เหม่ยจูเองก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นและไม่อยากให้ส่งผลต่อภารกิจในอนาคตของนาง
แค่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ยุ่งยากพออยู่แล้ว
“ฮูหยินจะหักเงินที่พวกข้าเบิกล่วงหน้า
เช่นนี้ข้าจะมีอันใดไว้ใช้จ่ายหรือเจ้าค่ะ” มู่หลินฮวาเอ่ยอย่างไม่ยินยอม
ทำเช่นนี้ไม่เท่ากับว่านางจะไม่ได้รับเงินเดือนอีกหลายเดือนเลยหรือ
ทำเช่นนี้หากไม่เรียกว่าภรรยาหลวงกลั่นแกล้งจะเรียกเป็นสิ่งใดได้อีก! นางไม่เข้าใจ..และไม่พอใจอย่างยิ่งนางต้องไปฟ้องท่านแม่ทัพว่าสตรีผู้นี้ทำเกินไปแล้ว
“ก็คิดเสียว่าเจ้าหยิบยืมคลังกลางไปก่อน
เป็นหนี้ย่อมต้องใช้คืนถูกหรือไม่” ลี่เหม่ยจูเผยรอยยิ้มที่มุมปากหากแต่แววตาสีนิลกลับจริงจังจนอนุทั้งสองรู้สึกได้และป่วยการที่จะแย้ง
ทั้งสองปิดปากเงียบแต่ในใจหาได้ยินยอมไม่หากแต่ดันทุรังต่อไปเกรงว่าพวกนางคงไม่เหลือเงินแม่แต่ตำลึงเดียวพวกนางตอนนี้นางต้องถอยตั้งรับดีกว่ารุกตอนนี้
“เจ้าค่ะฮูหยิน”
“ดี” ลี่เหม่ยจูยกยิ้มมุมปากเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการแล้ว
ทว่าลี่เหม่ยจูยังยังไม่เชื่อในคำตอบของเหล่าอนุมากนักจึงคิดได้ว่าควรสืบดูพวกนางสักระยะน่าจะดี
เท่าที่รู้
สตรีทุกนางที่เข้ามาเป็นอนุของแม่ทัพล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกกบฏไม่ทางตรงก็ทางอ้อม...แต่เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นก็คงต้องไปถามโอรสสวรรค์เองก็แล้วกัน
"ซือเออร์ เรียกเสี่ยวเปามาพบข้า"
ลี่เหม่ยจูคิดได้ดังนั้นจึงให้คนไปตามองครักษ์ลำดับที่ห้า อันหลางเปา เพื่อมอบหมายงานให้ไปตามสืบเหล่าอนุ
เงินหลายตำลึงเช่นนี้หากจะอ้างว่าเป็นค่าหมอค่ายาหรือค่าตัดชุดก็ออกจะเกินจริงไปหน่อยและนางเองก็ไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัดว่าพวกนางนำเงินไปทำสิ่งใดกันแน่หากแต่จะกดดันพวกนางเกินไปเกรงว่าผู้อื่นคงคิดว่านางเป็นภรรยาหลวงที่ชอบกลั่นแกล้ง
อีกทั้งยังทำให้พวกนางไม่ยอมเผยธาตุแท้ออกมาเสียที
ยิ่งจะทำให้นางเสียเวลามากขึ้นไปอีก
โอกาสที่นางจะได้ออกจากจวนนี้ก็ยิ่งจะยาวนานขึ้นไป ช่วงนี้นางต้องขยันและทนเหนื่อยให้มากหน่อยทุกอย่างจะได้จบๆ
เสียที
"ฮูหยิน เจ้าคะเสี่ยวเปามาแล้วเจ้าค่ะ"
ไม่นานองครักษ์หมายเลขห้าก็ก้าวเข้ามาอย่างองอาจประหนึ่งจะออกรบก็มิปานลี่เหม่ยจูมองเห็นท่าทางองครักษ์คนสนิทจึงได้แต่ส่ายหัวไปมา
เขาจริงจังถึงเพียงนี้เชียวหรือนางมิได้จะสั่งให้ไปออกรบเสียหน่อย
"เสี่ยวเปา
ข้าเพิ่งหัดทำขนมแบบใหม่เหลือเพียงไม่กี่ชิ้น แต่ข้าเก็บไว้ให้เจ้าด้วยนะ"
เพียงได้ยินว่าขนมแบบใหม่เหลือไม่กี่ชิ้นก็ทำให้อันหลางเปาก็ตาเป็นประกายทันที
แข้งขาแทบอ่อนระทวย เมื่อได้กลิ่นหอมหวานที่ตราตรึงใจ
"ฮูหยินมีสิ่งใดให้ข้าน้อยรับใช้ขอรับ"
อันหลางเปากล่าวด้วยเสียงหนักแน่น
ค่าจ้างที่เป็นขนมฝีมือฮูหยินคุ้มค่าอย่างยิ่งอันหลางเปายอมทำทุกอย่าง
หนักเบาเขาพร้อมทำขอเพียงฮูหยินต้องการ ที่ผ่านมาเขาคอยรับใช้ฮูหยินเขาก็พบว่านางเป็นสตรีที่ใจกว้างเลยทีเดียว
ทั้งยังใจดีอีกด้วย นางยิ้มให้เขาบ่อยๆ ไม่ได้บึ้งตึงเย็นชาอย่างที่ผู้อื่นพูดกัน
"ไม่ใช่งานใหญ่อะไร...ข้าเพียงอยากให้เจ้าลอบติดตาม
เอ่อ...ไม่สิคอยสอดส่องดูแลอนุโจวและอนุมู่ว่าในแต่ละวันพวกนางทำสิ่งใดบ้าง
ออกไปที่ใด ติดต่อกับใครเท่านั้น"
ลี่เหม่ยจูยิ้มหวานทั้งขำขันในท่าทางของอันหลางเปาที่มองขนมตาละห้อย นี่เขาปล่อยให้องครักษ์อดอยากเพียงนี้เชียวหรือ!
จากนั้นจึงหันหน้าไปมองสาวใช้สนิทและพยักหน้าเป็นนัยว่าต้องการสิ่งใด
ส่วนซือซือเองก็เข้าใจและรีบส่งห่อขนมให้อันหลางเปาทันที
"ได้ขอรับฮูหยิน...ข้าน้อยจะมิทำให้ฮูหยินต้องผิดหวัง"
พูดเสร็จพลางยื่นมือไปรับขนมอย่างสุขใจ
ตั้งแต่เขาตัดสินใจแบ่งเวลาอยู่รับใช้ฮูหยิน เขาก็เริ่มมีความน่าเชื่อถือในหมู่องครักษ์มากขึ้นกว่าแต่ก่อน
หากผู้ใดจะพูดสิ่งใดยังต้องเกรงใจเขาถึงสองส่วน
เมื่อได้รับของรางวัลล่วงหน้าแล้วอันหลางเปาก็เดินไปอวดเพื่อนรักทันที
แต่อันหลางเปากลับชะงักนิ่งมองมือของสหายที่โบกไปมา
"เจ้าสี่...อย่าบอกนะว่าเจ้าไปคุกเข่าให้ฮูหยินมาแล้ว"
อันหลางเอ่ยถามอย่างตกตะลึงและก้มมองห่อขนมแบบเดียวกัน
"อืมข้าไปมาแล้ว...ก่อนหน้าเจ้าเพียงนิด
และการรับใช้ฮูหยินก็ไม่เสียหายอันใด" องครักษ์หมายเลขสี่ตอบ
ด้วยใบหน้าแดงนิดๆ ฮูหยินทั้งงดงามและใจดีนัก
เขาน่าจะทำเช่นนี้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว ไม่น่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมานาน
ลี่เหม่ยจูอยากพักเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวัน
จึงสั่งให้ซือซือไปจัดเตรียมฟูกนุ่มๆ และขนมไว้ที่ศาลาริมสระบัวลมโชยอ่อนๆ
พัดเอากลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัวนำพาให้จิตใจของนางสลบลงอย่างประหลาด บรรยากาศดีๆ ทำให้ความเมื่อยล้าที่สะสมมาตลอดวันลดลงบ้าง
ในขณะกำลังเคลิ้มหลับก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยหวานใสเรียกชื่อของนางมาแต่ไกล
"จูจู" หญิงสาวร่างบอบบางสวมชุดสีชมพูกลีบบัวปักลวดลายผีเสื้ออ่อนช้อยใช้มือถลกกระโปรงขึ้นเพื่อให้สะดวกในการก้าวเท้า
นางกึ่งวิ่งกึ่งเดินมุ่งหน้ามายังศาลาด้วยท่าทางร่าเริงเช่นเดิม
"อิงอิง เจ้ามาได้อย่างไรเหตุใดไม่ให้คนมาบอกข้า
เจ้าจะได้ไม่ต้องลำบากมาถึงที่นี่"
ลี่เหม่ยจูถามอย่างแปลกใจและดีใจที่ได้พบเพื่อนรักทั้งยังเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะป่วยไข้เพราะร่างกายไม่แข็งแรง
และมักเจ็บป่วยอยู่ตลอด
แต่พอเห็นใบหน้าซับเลือดฝาดนวลเนียนสุขภาพดีแล้วจึงคลายกังวล
นี่สหายของนางดูแข็งแรงขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกัน
เพราะมีงานมากมายนางจึงละเลยที่จะสนใจสหาย
ดวงตากลมโตระยิบระยับร่าเริงกว่าเมื่อก่อน...ไม่สิ ดูมีความมุ่งมั่นกว่าแต่ก่อนมาก
แต่เป็นเช่นนั้นก็ดีไม่น้อยยังดีกว่าสหายของนางต้องทำหน้าเศร้าอมทุกข์ไม่ร่าเริง
“ข้าคิดถึงเจ้าเลยแวะมาเยี่ยมเยือน และจะมาแจ้งเรื่องสำคัญแก่เจ้าด้วย"
จวงมี่อิงพูดเป็นนัยๆ นางรีบมาถึงจวนแม่ทัพเพื่อมาเยี่ยมเยียนและแจ้งข่าวเพื่อนรักภายในใจยังสับสนใจหนึ่งใจสองจะบอกลี่เหม่ยจูดีหรือไม่
นางควรจะปรึกษาสหายก่อนดีหรือไม่เพราะอย่างไรก็เกี่ยวพันกับครอบครัวของลี่เหม่ยจู
"เรื่องสำคัญใดหรือที่ทำให้เจ้าต้องเร่งรีบมาหาข้าด้วยตนเองเช่นนี้"
ลี่เหม่ยจูพูดเอียงคอถามอย่างฉงนทั้งกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงกับเพื่อนตนหากอีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือนางก็พร้อมจะช่วยเหลือในทันที
“ข้าคิดว่า...ข้ากำลังจะได้ออกเรือนอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้"
จวงมี่อิงตัดสินใจบอกแค่บางส่วนกับสหาย
เกรงว่าเมื่อพูดความจริงไปลี่เหม่ยจูอาจจะตกใจและรับไม่ได้อีกอย่างนางก็ไม่อยากให้สหายต้องเป็นกังวลหรือคิดมาก
ซึ่งเรื่องนี้จะโทษใครก็ไม่ได้เป็นนางเองที่ยินยอมพร้อมใจเอง
และนางไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
"อิง อิง
เป็นข่าวดีเช่นนี้ไยเจ้าต้องทำหน้ากังวลคิดไม่ตกเช่นนี้
ว่าที่เจ้าบ่าวเป็นขุนนางบ้านใดหรือ"
ลี่เหม่ยจูรีบคว้ามือเพื่อนรักมาจับไว้อย่างยินดี
แต่เมื่อจ้องเข้าไปในนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนกลับพบว่าอีกฝ่ายเหมือนกังวลและซ่อนเร้นบางอย่างเอาไว้นางจึงแอบเดาว่าจวงมี่อิงคงต้องถูกบิดาบังคับอย่างแน่นอน
หากไม่ใช่การบังคับสหายของนางต้องมีแววตาที่ไม่เป็นเช่นนี้
แววตาที่ฉายออกมาทั้งกังวล ทั้งขอโทษ เอ๊ะ! ...ขอโทษหรือ? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่นะ
"ข้าเองก็ไม่รู้อีกอย่าง...ข้าเองก็ไม่ได้มีสิทธิ์เลือกได้เองอยู่แล้ว"
จวงมี่อิงหลุบตาต่ำดวงตาหวานซึ้งคลอหยาดน้ำตาหลบซ่อนแววตาเกรงว่าสหายผู้ฉลาดจะจับพิรุธจากสายตาของนางได้
แม้ไม่อยากโกหกทว่าก็ไม่อาจบอกความจริงได้เช่นกัน
จวงมี่อิงทราบดีว่าเจ้าบ่าวของตนเป็นใครและตอนนั้นเป็นนางเองที่เคยขอร้องกับบิดาเพื่อแต่งให้เขาแม้เป็นเพียงอนุก็ยอม
เหตุผลในตอนนั้นคือนางอยากออกจากเรือนนรกของบิดาให้พ้นๆ ไป
ซึ่งบิดาเองก็ยอมออกหน้าให้ไม่ใช่เป็นเพราะบิดาใจดีหรือเห็นใจนางแต่ชายผู้นี้จะทำสิ่งใดย่อมต้องมีผลประโยชน์มาร่วมเสมอ
แต่ทางนี้เป็นทางเดียวที่นางจะหลุดพ้นจากจวนนั่น
ถึงแม้เขาผู้นั้นจะไม่เคยรักนางอย่างชายหญิงก็ตาม
ถึงแม้เขาอาจจะผิดหวังและโกรธเกลียดนาง แต่นั่นก็เป็นทางเดียว...นางยอมรับว่าตัวเองเห็นแก่ตัวและยอมรับได้แม้เขาจะกล่าวว่านางเห็นแก่ตัวและแพศยาก็ตามที!
"แล้วเจ้าจะออกเรือนเมื่อใดหรือ...ข้าจะต้องไปร่วมงานแน่นอน"
"อีก6 เดือนหน้า
ข้ามิรู้จักต้องเตรียมตัวเช่นไร...หรือจะต้องเตรียมใจอย่างไรดี"
ใบหน้างามฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“อีก 6 เดือนอย่างนั้นหรือหวังว่าคงไม่ใช่วันเดียวกันที่แต่งฮูหยินรองเข้าจวนแม่ทัพหรอกนะ
หากเป็นเช่นนั้นคงน่าเสียดายแย่ เพราะข้าคงต้องเตรียมงานรับฮูหยินรอง"
ลี่เหม่ยจูก็กังวลใจเช่นเดียวกัน
หากเป็นวันเดียวกันจริงนางคงรู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปร่วมแสดงความยินดีกับสหาย
“ไม่เป็นไรข้าเข้าใจแค่เจ้าร่วมยินดีกับข้าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว"
จวงมี่อิงมองหน้าสหายทั้งยังกอบกุมมือไว้
ภายในใจช่างรู้สึกผิดต่อลี่เหม่ยจูยิ่งยัก ‘อย่าหาว่าข้าเห็นแก่ตัวเลยนะ
ข้าจำเป็นจริงๆ’ เสียงร่ำร้องภายในใจที่จวงมี่อิงไม่สามารถเปล่งออกมาได้แต่เก็บไว้ในอกเฉกเช่นเดิม
“อย่ากล่าวเช่นนั้น เราเป็นเพื่อนกันนะอิงอิง ข้าย่อมต้องยินดีกับเจ้าจากใจแท้จริง”
ลี่เหม่ยจูยิ้มให้จวงมี่อิงอีกครั้งจากนั้นทั้งสองก็ล่ำลากันเพราะใกล้จะค่ำแล้ว
หลังจากที่จวงมี่อิงกลับไปลี่เหม่ยจูก็กลับเข้าเรือนพักผ่อนและรอฟังข่าวจากสององครักษ์ที่ส่งให้ไปสืบเรื่องราวของอนุทั้งสอง
ความคิดเห็น