Scar of the void [แผลเป็นแห่งห้วงอวกาศ] - นิยาย Scar of the void [แผลเป็นแห่งห้วงอวกาศ] : Dek-D.com - Writer
×

    Scar of the void [แผลเป็นแห่งห้วงอวกาศ]

    พวกมันเคยรุ่งโรจน์และพวกมันกลับมา

    ผู้เข้าชมรวม

    24

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    24

    ผู้เข้าชมรวม


    24

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  สงคราม
    จำนวนตอน :  1 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  22 เม.ย. 68 / 22:35 น.
    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ณ ดาวเคราะห์อันอุดมสมบูรณ์ซึ่งอยู่ในลำดับสองในระบบดาวแคระเหลือง


       ดาวเคราะห์ดวงนี้นั้นมีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิอาศัยอยู่และดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นเพียงหนึ่งในดาวอาณานิคมของพวกเขาเท่านั้น ตึกระฟ้ารูปทรงแปลกตาแต่สวยงามตั้งตระหง่านครอบคลุมผืนดินของดาว เส้นทางคมนาคมและสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนต่างทำกิจจัตรประจำวันอย่างปกติ ไม้ยืนต้นและไม้พุ่มหรือแม้แต่ดอกไม้ก็ถูกตกแต่งร่วมกับตึกและอาคาร สภาพอากาศกำลังดีเหมาะกับการเดินเล่น

       หนึ่งในอาคารเหล่านั้นมีอยู่หลังนึงที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย ภายในมีสิ่งมีชีวิตหน้าตาคล้ายนก มีปีกแต่มีแขนและขา สูงประมาณ160เซนติเมตร พวกเขาหลายคนกำลังนั่งอยู่บนกล่องสี่เหลี่ยมสีขาวที่ถูกติดตั้งไว้ที่พื้นอย่างเป็นระเบียบ แต่มีอยู่คนนึงที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องโดยแสดงท่าทีเป็นมิตร เขาคือ อาจารย์ นาร์ มันยา เป็นอาจารย์ของสถานศึกษาแห่งนี้และนี่ก็คือคาบเรียนประวัติศาสตร์

       ภายในห้องนั้นค่อนข้างสงบ ทุกคนนั่งรอการสอนของอาจารย์ ไม่นานนักอาจารย์ก็ได้เปิดอุปกรณ์ฉายภาพโฮโลแกรมขึ้นมาและปัดมันไม่ที่หน้าห้องอย่างลื่นไหล ภาพโฮโลแกรมเคลื่อนที่ไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องอย่างรวดเร็วก่อนที่อาจารย์จะใช้กรงเล็บเคาะที่ผนังห้องเบาๆ

       "เอาล่ะ ทุกคนอย่างที่ทุกคนรู้และอาจารย์ก็รู้ ว่าทุกคนชอบประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องที่อาจารย์จะเล่าต่อไปนี้ ใช่มั้ย?" เสียงแหลมจากคำพูดของอาจารย์นั้นทำให้นักเรียนในห้องทุกคนตื่นเต้น

       นักเรียนหลายคนเริ่มจับกลุ่มคุยกันก่อนที่อาจารย์จะเรียกให้พวกเขากลับมาสนใจในสิ่งที่อาจารย์จะพูดต่อไปนี้

       ภาพโฮโลแกรมเปลี่ยนจากทางกลมสีเขียวเป็นรูปร่างต่างๆก่อนที่ไฟภายในห้องจะค่อยๆหรี่ลง ทำให้ภาพโฮโลแกรมนั้นสังเกตได้ง่ายขึ้น ภาพโฮโลแกรมเล่นไปตั้งแต่บรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์นี้จนถึงช่วงนึงที่ภาพนั้นเปลี่ยนไป แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้รู้นั้นอาจารย์ก็เคาะผนังห้อง

       "ตลอด7000ปีของเผ่าพันธ์ สกุนวา(สะ-กุ-นะ-วา)ของเรา เราได้เผชิญอะไรต่างๆมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติ โรคระบาดหรือแม้แต่สงครามที่อาจทำให้เผ่าพันธุ์ของเราถูกลบออกไปจากกาแล็คซี่ แต่เราก็ผ่านมันมาได้และได้มาถึงจุดนี้ จุดนี้เผ่าพันธุ์ของเราได้เป็นส่วนนึงของสหพันธ์กาแล็กซี่ ทุกอย่างนั้นราบรื่นดี ค้าขาย การทูตหรือแม้แต่การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กระทั่งพวกมันปรากฏตัวขึ้น..."

       เมื่อสิ้นเสียงของอาจารย์ภาพโฮโลแกรมก็ปรากฏรูปร่างของสิ่งมีชีวิตซึ่ง ไม่มีปีก เดินสองขาและมีสองแขน ยืนตัวตรง มีขนแต่บริเวณศรีษะและบางจุดบนใบหน้า จากนั้นภาพก็จะสลับไปเรื่อยไปตั้งแต่เพศและลักษณะเมื่อสวมชุดต่างๆ

       เมื่อทุกคนดูไม่เข้าใจ อาจารย์ก็กระพือปีกเบาเพื่อเป็นการแสดงอารมณ์มีความสุข

       "ทุกคนคงจะงงกันใช่มั้ยว่า สิ่งมีชีวิตชนิดนี้คืออะไร ไม่แปลกหรอกเพราะว่าสิ่งมีชีวิต...ไม่สิเผ่าพันธุ์นี้ได้หายสาปสูญไปแล้ว  เมื่อ199ปีก่อนพวกมันเคยเป็นหนึ่งในสมาชิกของสหพันธ์กาแล็กซี่ พวกมันเรียกตัวเองว่ามนุษย์ ไม่มีอะไรซับซ้อน พวกมันนั้นด้อยกว่าเรา...ตอนนั้นเราคิดแบบนั้น พวกเราสหพันธ์กาแล็กซี่ได้จัดให้มนุษย์อยู่ที่จุดล่างสุดของสหพันธ์เพราะพวกนั้นเพิ่งจะเข้าร่วมและก็เป็นแบบนั้นตลอด ไม่มีอะไร จนกระทั่ง พวกเตนิบา ซึ่งเป็นพวกที่มีชื่อเสียงด้านการค้าขาย "

       หลังจากสิ้นคำพูดภาพโฮโลแกรมก็แสดงภาพของสิ่งมีชีวิตคล้ายกิ่งก่าแต่เดินสองขาหลังค่อมที่สวมชุดคลุม

       "พวกนั้นได้ไปพบกับมนุษย์จำนวน5คน ในดาวทะเลทรายในเขตของพวกมัน และใช่...พวกนั้นได้จับมนุษย์5คนนั้นเป็นทาสสำหรับการซื้อขายโดยที่ไม่รู้ถึงผลที่จะตามมา หลังจากมนุษย์ทราบเรื่องก็ได้มีการขอคืนอยู่หลายครั้งแต่ทางสหพันธ์ก็ปฏิเสธเพราะกฎหมายที่ห้ามการส่งคืนทาสที่ถูกซื้อแล้วและทุกเผ่าพันธุ์ในสหพันธ์ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับกฎข้อนี้ แต่ มนุษย์พวกมันได้ออกจากสหพันธ์ และตั้งตนเป็นรัฐอิสระ สิ่งนั้นทำให้ผู้นำสหพันธ์โกรธมาก เขาได้ประกาศสงครามกับมนุษย์ทันที ในตอนแรกเขาและพวกเรา...พวกเราทุกคนในสหพันธ์คิดว่ามันจะจบลงภายในไม่กี่เดือน แต่ไม่มันเป็นไปไม่ได้ หลังจากเข้าไปในพรมแดนของมนุษย์แค่100000กิโลเมตร กองเรือที่27ของสหพันธ์ ก็ถูกโจมตี"

        ภาพโฮโลแกรมแสดงภาพของกองเรือของสหพันธ์ ซึ่งมียานถูกทำลาย3ลำจากทั้งหมด50ลำ และก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศภายในห้องตึงเครียด นักเรียนทุกคนซุบซิบกัน พวกเขาเคยได้ยินเรื่องเล่ามาบ้างว่ามนุษย์นั้นอันตรายแต่ก็ไม่คิดว่ากองเรือของสหพันธ์จะถูกโจมตีโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศัตรูอยู่ไหน โฮโลแกรมแสดงภาพของลำแสงสีขาวจำนวน5จุดพุ่งเข้ากระทบกับเรือประจัญบานของสหพันธ์จนส่วนที่ถูกลำแสงสาดใส่ระเหยกลายเป็นไอ และยานลำอื่นๆก็โดยเช่นกัน

       "อย่างที่เห็น ยานรบของสหพันธ์ถูกลำแสงปริศนาโจมตี หลังจากการวิเคราะห์แล้ว นักวิทยาศาสตร์ของสหพันธ์ตั้งทฤษฎีไว้ว่ามันคือ ลำแสงอนุภาคไอออน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทั้งในตอนนั้นแหละตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันถูกต้องหรือไม่"

       ไม่นานนักถูกอย่างจากถาพฉายก็ว่างเปล่าเหลือไว้เพียงสิ่งที่เคยเป็น ยานรบ ของสหพันธ์

       "หลังจากความพ่ายแพ้ในครั้งนั้น สหพันธ์ก็ได้ใช้ยุทธวิธีโอบล้อม โดยใช้ยานรบของทุกเผ่าพันธุ์ล้อมพรมแดนของมนุษย์ไว้และเข้าโจมตีพร้อมๆกัน แต่หลังจากผ่านไปเพียง7วัน กลับมีเพียง10%ของกองยานทั้งหมดเท่านั้นที่เหบือรอดกลับมา บางลำเสียหายอย่างหนัก ลูกเรือบนยานต่างตื่นตกใจและอยู่ในภาวะเครียดสุดขีด     เสียงต่อไปนี้คือเสียงของหนึ่งในลูกเรือที่สหพันธ์ได้สัมภาษณ์"

       อาจารย์จบประโยคและปล่อยให้เหล่านักเรียนในห้องของเขาฟัง ภาพโฮโลแกรมเปลี่ยนไปเป็นภาพของสิ่งมีชีวิตคล้ายกิ้งกาผสมปลาที่เดินสองขา ท่าทางของมันแสดงถึงความเครียดอย่างเห็นได้ชัด ผู้สัมภาษณ์ถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 

       "คุณ สนาย ครับ ช่วยบอกหน่อยได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้นในศึกครั้งนั้น" ผู้สัมภาษณ์ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับสนายทหารผ่านศึกถามขึ้น

       สนายเงียบไปสักพักก่อนจะพูดออกมา

       "มัน เลวร้ายมาก ในวันนั้นกองยานที่11ของกองทัพ นาตรา ซึ่งประกอบไปด้วยยานประจัญบาน20ลำ ยานลาดตระเวนหนัก50ลำ ยานลาดตระเวนเบา50ลำ ยานบรรทุกเครื่องบิน10ลำ ยานพิฆาต 30ลำ และยานฟริเกต80ลำของเราได้เดินทางเข้าสู่ระบบดาวยักษ์แดง เรดาห์ของเราพบวัตถุทั้งหมด78จุด พวกมันอยู่นิ่งห่างจากเราไป400000กิโลเมตร เรามั่นใจมากว่านั้นต้องเป็นพวกมนุษย์แน่ๆและด้วยจำนวนกองยานของเราที่มีมากกว่าพวกมันถึง3เท่าทำให้เรามั่นใจมากว่าจะเอาชนะได้อย่างง่ายดาย แต่แค่พริบตาเดียวยานบรรทุกเครื่องบิน1ลำและยานพิฆาตอีก3ลำก็ถูกทำลายโดยลำแสงขนาดใหญ่สีขาวที่พุ่งตรงมายังฐานบรรทุกเครื่องบินและเจาะทะลวงผ่านไปโดนยานพิฆาตอีก3ลำที่เหลือ ฐานบรรทุกเครื่องบินระเบิดส่วนยานพิฆาตอีก3ลำหายไปแล้ว ไม่เหลือแม้แต่ฝุ่น ลำแสงนั่นเฉียดยานประจัญบานของเราไป หลังจากที่เราถูกโจมตี พวกเราทุกคนสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ลำแสงนั้นมาจากไหน แต่ก็มีหนึ่งในลูกเรือพูดขึ้นว่า  ลำแสงนั่นคือ ลำแสงอนุภาคไอออน มันเป็นเทคโนโลยีที่แม้แต่เผ่าพันธุ์ที่มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าที่สุดของสหพันธ์ก็ยังไม่สามารถเข้าใจหลักการทำงานของมันได้ หลังจากลูกเรือคนนั้นพูดจบยานของพวกเราก็ถูกยิงอีกครั้ง ทีละลำ ทีละลำ ลำแสงนั้นเจาะทะลุยานอีกลำไปโดนอีกลำ ทำให้เกิดการระเบิดแบบลูกโซ่ ยังโชคดีที่ตอนนั้นเราพอจับทางได้จึงสามารถหลบไปอยู่หลังดาวเคราะห์ลำดับที่5ของระบบดาวนั้นได้ กองยานของศัตรูค่อยเคลื่อนเข้ามาใกล้จนถึงระยะ70000กิโลเมตรในตอนนั้นแหละที่เราเปิดฉากโจมตี ยานของเราทุกลำระดมยิงไปยังเป้าหมาย ทั้งปืนใหญ่พลาสม่า เรลกัน มิสไซล์ เลเซอร์ แต่ในตอนนั้นเองที่เราเพิ่งจะรู้ตัวว่า ลำแสงนั่นมันเจาะทะลุโล่พลังงานของเรา ตอนนั้นเป็นช่วงที่รู้สึกเหมือนความตายมันอยู่ตรงหน้านี่เอง ฉันจำได้ว่ายานเห็นยานของพวกมันระเบิด ไปสองสามลำ แต่ดีใจได้ไม่นานก็มีแสงจ้าตรงมาที่เราและใช่พวกมันสวนกลับครั้งนี้แหละที่นรกของจริงลำแสงนั่นมันมาเป็นสิบ ละลายกองยานของเราอย่างรวดเร็ว มีเพียงยานประจัญบานของเราเท่านั้นที่พอจะสู้กับพวกมันได้ แต่ลำแสงนั้นมันยิงมาถี่มาก โล่พลังงานและเกราะไม่สามารถต้านทานได้ เราถอยออกมาตอนที่กองเรือทั้ง260ลำของเราเหลือเพียง14ลำเท่านั้น"

       บรรยากาศภายในห้องเงียบลงอีกครั้งก่อนที่ภาพโฮโลแกรมจะดับไปและไฟในห้องก็ค่อยๆสว่างขึ้นอาจารณ์ถอนหายใจก่อนจะเริ่มพูดอีกครั้ง

       "ศึกในครั้งนั้นเราเรียกมันว่า เดด วอร์ แต่คำๆนี้ไม่ได้ถูกเรียกเพราะการสูญเสียจากการที่เราโจมตีพวกมันแต่เป็นการสูญเสียจากการที่พวกมันเป็นฝ่ายบุก มนุษย์เดินทางเข้าไปในเขตของเผ่าพันธุ์ โยบานา เผ่าพันธุ์นักรบที่แข็งแกร่ง แต่เหมือนจะแข็งแกร่งไม่พอ มีการพูดกันต่อๆมาว่าดาวอานานิคมของพวกนั้นถูกทำลายจากลำแสงสีแดงขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลาง500กิโลเมตร ซึ่งถูกยิงมาจากดาวฤกษ์ของระบบดาวนั้นๆ พวกเราเชื่อกันว่ามันคืออาวุธที่รวบรวมพลังงานจากดาวฤกษ์และปลดปล่อยพลังงานนั้นออกมาในรูปของลำแสง มันรุนแรงมากจนสามารถมำลายพื้นผิวดาวหรือเจาพทะลุไปแกนแกนกลางของดาวได้เลย และอย่างที่พวกเราทุกคนรู้กันว่า โยบานา นั้นได้รุ่งเรืองขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากการเป็นผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ และที่โยบายารอดมาได้ก็เพราะพวกเขาของยอมแพ้ แต่เผ่าจัคบาลไม่โชคดีเหมือนโยบานา พวกจัคบาลได้เข้าสู่ช่วงที่ตกต่ำที่สุดเพราะสูญเสียดาวอาณานิคมและกองยานไปมากเกินกว่าจะฟื้นตัวได้และกว่าจะฟื้นตัวได้ก็คงอีกหลายพันปี เอาล่ะต่อมามนุษย์ก็ได้รุกคืบเข้าใกล้ศูนย์กลางสหพันธ์มากขึ้นเรื่อยๆ กองยานของสหพันธ์ละลายเหมือนน้ำแข็งที่อยู่ต่อหน้าดาวฤกษ์ หลังจากผ่านไป10รอบโคจร(5เดือน) สหพันธ์ก็เข้าสู่ช่วงสิ้นหวัง อานาเขตกว่า60%หายไปหลายเผ่าพันธ์ต้องอดอยาก แต่แล้วก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น มนุษย์หายไป หายไปเลยไม่มีร่องรอย ไม่มีเศษซาก ไม่นานนักกองยานของเราก็พบกับสนามพลังงานบางอย่างที่คลุมอานาเขตเดิมของมนุษย์ไว้ พวกเราพยายามที่จะเข้าไปแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล โจมตีก็ไร้ผล หลังจากนั้นสหพันธ์ก็ประกาศชัยชนะและออกกฎไม่ให้ผู้ใดก็นามเข้าใกล้สนามพลังนั้นในระยะ10ปีแสงเด็ดขาด"

    อาจารย์ นาร์ พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ ก่อนจะปิดเครื่องฉายโฮโลแกรมและกล่าวปิดการสอนก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไป 

       เมื่ออาจารย์ออกไปแล้วเหล่านักเรียนก็เริ่มจับกลุ่มคุยกัน นักเรียนในห้องนี้ไม่ได้มีแค่เผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้น เนื่องจากนี่เป็นสถานศึกษาสากล ทุกเผ่าพันธุ์สามารถเข้าศึกษาได้ ไม่มีข้อแม้ 

       หนึ่งในนั้นมีเผ่าพันธุ์แมนวี เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีขนปกคลุมร่างกาย ยกเว้นบริเวณใบหน้าที่เผยให้เห็นตาทั้งสองข้าง จมูก ปากและผิวที่ขาวของมัน มันยืนสองขาหลังตรงและมีสองมือสองแขน เขามีชื่อว่า วอร์ส เขาเป็นหนึ่งในนักเรียนที่ขี้สงสัย

       วอร์สกำลังพูดคุยกับดีคัสเพื่อนของเขาที่มาจากเผ่าพันธุ์ แพล์นจาเซีย ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีต้นกำเนิดมาจากพืช

       "นายเชื่อที่อาจารย์นาร์พูดมั๊ย?ดีคัส"วอร์สพูดด้วยความสงสัย

       ดีคัสนิ่งกิ่งส่วนลนของเขาขยับเหมือนปาก

       "ไม่รู้สิ ปู่ของฉันก็เคยเล่าให้ฟังเหมือนกันว่า มนุษย์เหวี่ยงดาวบริวารของดาวอานานิคมลงไปบนดาวเคราะห์ ดาวดาวดวงนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่ก็นะฉันเชื่อว่ามนุษย์น่ะบ้า แต่ไม่คิดว่าพวกมันจะบ้าจนเหวี่ยงดาวบริวารใส่ดาวเคราะห์หรอก"

       ดีคัสพูดด้วยเสียงเรียบๆโดยที่ไม่ขยับเลยแม้แต่นิ้วเดียวก่อนที่กิ่งส่วนบนที่พันกันเป็นรูปร่างเหมือนศรีษะจะหันซ้ายและขวาก่อนจะมองมายังวอร์ส

       "นายอยากจะเป็นจริงๆเหรอ เจ้าหน้าที่ดูแลเขตต้องห้ามน่ะ" 

       ดีคัสถามวอร์สด้วยเสียงเรียบๆแต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง

       วอร์สพยักหน้าเบาก่อนจะใช้มือตบโต๊ะ

       "แน่นอน!!มันเป็นความฝันของฉันเลยนะ เงินเดือนก็ดี สวัสดิการก็เยี่ยม แถมสิ่งที่ต้องทำก็แค่อยู่บนยาน นั่งจิบสาจันซิวๆ กับลูกเรืออีก100ชีวิต แต่ติดตรงที่ต้องสอบเข้านี่ล่ะ..."


    สาจันคือ(เครื่องดื่มที่ออกฤทธิ์คล้ายเหล้า)


       ทั้งคู่คุยกันสักพักก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน



    ผ่านไป14ปี

    ณ อาคารขนาดใหญ่บนดาวซึ่งเป็นศูนย์กลางของกรมตรวจตราแห่งกาแล็คซี่

       วอร์ส ซึ่งตอนนี้อายุ30ปีสามารถเข้าเป็นหน่วยลาดตระเวนเขตต้องห้ามได้สำเร็จ โดยที่ได้เข้าประจำการกับกองยานลาดตระเวนที่47 ซึ่งประกอบไปด้วย ยานรบชั้นฟริเกต4ลำ ชั้นยานพิฆาต2ลำ และยานลาดตระเวนหนักอีก1ลำ

    ข้อมูลของยานรบชั้นต่างๆ (ระบบขับเคลื่อนจะเหมือนกันหมด หากมีอะไรเปลี่ยนจะแจ้ง)

    ฟริเกต รุ่นRuby ความยาว298เมตร

    -การป้องกัน

    •เกราะไททาเนียมเสริมด้วยแร่พีเลียม เกราะไม่ได้หนามากอยู่ระดับ4(แร่พีเลียมมีความแข็งแรงปต่น้ำหนักเบาและยืดหยุ่นได้)

    •โล่พลังงานแม่เหล็กเบี่ยงเบน(เบี่ยงเบนการโจมตีแบบโพเจ็กไทป์ได้ดีแต่อ่อนแอต่ออาวุธประเภทพลังงาน)

    -อาวุธ

    •ปืนใหญ่เรลกัน500mm 1 กระบอก

    •ปืนต่อต้านอากาศยาน2กระบอก

    -ระบบขับเคลื่อน

    •พลัสบูสเตอร์รุ่น3G1 (เป็นไอพ่นพลาสม่า ทำให้ยานเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว80%ของความเร็วแสง ใช้สำหรับการเดินทางแบบปกติ)

    •ไฮเปอร์ไดฟ์ (บิดเบือนกาลอวกาศรอบตัวยานเพื่อทำให้ยานเคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วมากกว่าแสงหลายเท่า)

    ยานพิฆาต Taurus A ความยาว420เมตร

    -การป้องกัน

    •เกราะพีเลียมเสริมแกร่งและแร่ที่ทนทานผสมกัน ระดับ6

    •โล่เบี่ยงทิศทางรุ่นปรับปรุง

    -อาวุธ

    •ปืนใหญ่พัลส์1กระบอก ติดอยู่หน้ายาน(ยิงลำแสงฟิวชั่นที่เข้มข้นออกไป)

    •ปืนพัลส์ต่อต้านอากาศยาน3กระบอก

    ยานลาดตระเวนหนัก Chimera ความยาว 1100 เมตร

    -การป้องกัน

    •เกราะหนาเสริมแกร่งด้วยนาโนเทคโนโลยี ระดับ8

    •โล่พลังงาน(สามารถลดความรุนแรงจากอาวุธพลังงานได้)

    -มิสไซส์ต่อต้านเรือรบ

    -ปืนใหญ่อัตโนมัติ5กระบอก

    -ปืนต่อต้านอากาศยาน10กระบอก




       


       

       

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น