ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter ] Destinesia (Yaoi/BL) **ตัดจบ/ไม่แต่งต่อ/มีบทสรุปเรื่องที่เหลือ

    ลำดับตอนที่ #99 : Destinesia (98) สายป่านเส้นบางๆ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.83K
      169
      4 ม.ค. 65

    Destinesia (98) สายป่านเส้นบางๆ


    แฮรี่รู้ว่า ไม่มีใครเข้มแข็งได้เสมอไป ไม่ใช่ด้วยเหตุผลว่า อายุ ประสบการณ์ หรือการมองเห็นอดีต ปัจจุบันอนาคตได้อย่างชัดเจน ราวกับมันบันทึก ฝังลงไปในจิตใต้สำนึกของเขาไปแล้ว


    หลายปัจจัยส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิดที่ล่องลอย เขายังคงเชื่อว่า ยังไงซะทุกอย่างก็มีเรื่องราวของมัน ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ ถึงเปลี่ยนได้ ก็ได้ไม่น้อยไม่มากไปกว่าที่เขาระลึกถึงมัน


    คิดว่าไม่ควรที่จำยึดติดอดีต 


    คิดว่าไม่ควรเปลี่ยนแปลงปัจจุบัน


    คิดว่าไม่ควรกังวลอนาคตที่มาไม่ถึง


    อยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเป็นเพียงแค่ความฝัน อีกครั้งและอีกครั้ง เขากลับทำได้แค่เอ่ยถ้อยคำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา


    เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เดี๋ยวมันก็จบลงเช่นเดิม


    เขาคิดอย่างนั้น


    ไอคำว่า อยากปกป้องคนสำคัญ กลายเป็นเพียงแค่ลมปากพร่อยๆ

    ไอคำว่า เด็กชายในคำทำนาย 

    มันไม่ได้มีความหมายว่าเขาสามารถช่วยทุกคนได้เลย

    เขาเกลียดมัน ชิงชังมันสิ้นดี



    สายป่านเส้นเล็กๆ สายป่านที่เรียกว่าความฝัน


    เส้นแรกขาดไปพร้อมกับความฝันที่พังทลายลงเหลือเพียงความจริงที่ตอกย้ำว่า ทุกอย่างมันไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิม ทุกอย่างมันกลับไปสู่จุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยความสูญเสียมากมาย


    เขาหลอกตัวเองว่า เขาไม่ได้หยุดอยู่กับที่ ทั้งที่เขารู้แก่ใจ ว่าที่เขาปล่อยทุกอย่างให้ดำเนินไปตามทางของมันโดยที่ไม่ทำอะไรเลย มันอาจไม่ได้แย่ไปกว่าที่เห็น


    เขาไม่ได้หยุดอยู่กับที่ก็จริง แต่เขาไม่เคยก้าวไปข้างหน้า


    เขาหมุนวนเป็นวงกลม และหลอกตัวเองว่านี่แหละ คือการก้าวไปข้างหน้า


    สายป่านเส้นที่สอง ได้ขาดไปแล้วพร้อมกับชีวิตของคนๆหนึ่งที่เขาไม่สามารถปกป้องได้


    สายป่านที่เรียกว่าชีวิต ที่บอกว่าไม่มีเรื่องน่าเป็นห่วง โกหกทั้งเพ  


    เป็นอีกครั้งที่เขาถามตัวเองว่า ทำไมมันไม่ใช่เขา ทั้งที่เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะเขา เรื่องทั้งหมดที่เกิดมันควรเริ่มและจบที่เขา ไม่ใช่เริ่มที่เขา และจบที่ชีวิตคนอื่นที่เขาสมควรปกป้อง


    ‘รู้มั้ย คนเราเปลี่ยนไปในเขาวงกต’ เสียงของดัมเบิลดอร์ก้องภายในหัวของเขา เขาว่าไม่ใช่แค่คนเราที่อาจเปลี่ยนไป เรื่องราว สายสัมพันธ์ หรือ แม้แต่ชีวิตของใครคนหนึ่ง


    ใช่ เขาเพิ่งรู้ความหมายที่แท้จริงของความเปลี่ยนแปลง


    จริงๆนะ


    ‘ร่องรอยคำสาป เซเวอร์รัสพาคุณพอตเตอร์ไปห้องพยาบาล! ’ เสียงร้องตะโกนและเสียงกระทบฝีเท้าดังขึ้นจากทุกทิศทาง 


    ตัวของเขาหนักยิ่งกว่าครั้งไหนๆ แขนขาที่ใช้แรงเฮือกสุดท้ายชาจนไม่อาจขยับได้ เหมือนภาพจำย้อนทวน ใกล้สิ้นสติ แต่แฮรี่ก็รู้สถานการณ์ของตัวเองชัดเจน


    ยังรู้ได้ว่าทับบางอย่างที่เริ่มไร้ความอบอุ่นเช่นเคย ใบหูที่แนบกับสิ่งนั่น ควรจะเป็นเสียงเต้นเป็นจังหวะ ไม่ก็ลมหายใจอ่อนๆของสิ่งมีชีวิต แต่มันกลับเสียงสนิท


    น้ำตาใสรินจากหางตา ไหลลงและหยดลง ความมืดคือสิ่งที่เขามองเห็น และเป็นครั้งแรก ที่เขาสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังอย่างแท้จริง เย็นเยือก เหมือนตกลงสายน้ำไร้ก้น 


    ‘พอตเตอร์ พอตเตอร์ ห้ามหลับ พอตเตอร์ ฉันสั่งห้ามเธอหลับ’


    เพียงสายป่านเส้นสุดท้าย มันจะรั้งเขาได้นานแค่ไหนกันนะ


    สายป่านที่ชื่อว่าความสัมพันธ์




    เซเวอร์รัสมองแผ่นหลังเล็กๆที่ก้าวเข้าสู่เขาวงกตด้วยความรู้สึกบางอย่าง กระอักกระอวน? ไม่ อาจเพียงเพราะเป็นอีกครั้ง ที่เขาไม่สามารถทำหน้าที่ปกป้องเด็กชายได้ และอาจจะหลายต่อหลายครั้ง 


    คนที่ใช้เหตุผลมากกว่าความรู้สึก ย่อมไม่ยอมรับว่า สัญชาตญาณบางอย่างมันร้องเตือน ร้องห้าม ไม่อยากให้เด็กชายเข้าไปเผชิญอันตรายบางอย่าง ที่พอตเตอร์ไม่ยอมเอ่ยปากให้รับรู้ 


    ใช่ เขาโทษพอตเตอร์ ที่ไม่ยอมเอ่ยปากบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในนั้น


    คือเพราะเขามั่นใจมากเกินไปกันแน่ มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่เป็นไร


    เซเวอร์รัสสะบัดหัวไร้ความรู้สึกแปลกประหลาดออกไป ใช่ว่าตอนนี้เขาจะว่างมายืนให้ความสนใจในสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้ เขาก็ยังมีอะไรบางอย่างที่เขาจะต้องจัดการให้เสร็จ 


    เหลือบหางตาด้วยใบหน้านิ่งสงบ จับจ้องรอคอยเวลาบางอย่างที่กำลังจะมาถึง 


    คนถูกจับจ้องไม่ได้สังเกตถึงการจับผิด ด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน และก็จับจ้องรอคอยเวลาและโอกาสเพื่อบางอย่างเช่นกัน 


    เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ เพียงพูดคุยและบรรยากาศที่สงบลง ทุกคนเลิกให้ความสนใจกับฉากเบื้องหน้า หันมาพูดคุยกันเอง เปิดโอกาสให้เหล่าผู้คนหน้าอัศจรรย์ได้เคลื่อนไหว  ข้อแม้คือห้ามออกไปข้างนอกสนาม


    “ไม่ทราบว่า ศาสตราจารย์มู้ดดี้ กำลังจะไปที่ไหน” ร่างของมู้ดดี้ที่กำลังเคลื่อนกลับไปใต้อัศจรรย์ชะงักงันได้ทันที และเพียงแค่คำถามเดียว ก็สามารถดึงความสนใจของใครหลายๆคนให้หันมาสนใจได้


    “เปล่า ฉันแค่จำได้ว่าลืมของไว้ที่ปราสาท ว่าจะกลับไปเอาสักครู่แล้วค่อยกลับมา” ท่าทีลุกลี้ลุกลนอันผิดปกติของอีกฝ่ายสร้างความฉงนสงสัย ต่อให้อยากรีบออกไปจากที่นี่ ก็คงทำได้ไม่ง่ายอย่างที่หวัง


    “กฏระบุไว้ชัดเจน ว่าไม่ให้ใครหน้าไหนนอกจากตัวแทนออกจากที่นี่ ในช่วงภารกิจ” 


    “อย่ามาอ้างกฏพวกนั้นกับฉัน อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ แกจ้องจับผิดอะไรฉันอยู่” มู้ดดี้ก้าวมาหาอย่างเอาเรื่อง ใบหน้าเกรี้ยวกราด อาจจะมาจากการแสดงออกของศาสตราจารย์หน้านิ่งที่กำลังจับผิดตัวเอง


    “อย่าสำคัญตัวเองผิด อลาสเตอร์ ถ้าหาก ตัวเองไม่มีอะไรปิดบัง จะกลัวโดนจับผิดทำไม”


    เสียงเย็นยะเยือกจับผิดของศาสตราจารย์ประจำบ้านสลิธีริน ก็ยังแสดงความเป็นปฎิปักษ์กันได้อย่างดี อย่างที่ทุกคนรู้ อลาสเตอร์ มู้ดดี้ คือมือปราบมารที่มีชื่อเสียง ร่ายคำสาปสังหารลูกสมุนของคนที่รู้ว่าใครได้โดยตาวิเศษไม่กระพริบ


    และเซเวอร์รัส สเนป ก็คือหนึ่งในผู้เสพความตาย ถึงแม้ภายหลังจะได้รับการยืนยันจากดัมเบิ้ลดอร์ว่าเขาไว้ใจได้ แต่คนที่ตั้งอคติว่าเกลียดชังเข้าไส้ ถึงให้แสดงสวมบทบาท คนโง่ก็ย่อมรู้ว่าควรแสดงออกมาแบบไหน


    แสดงออกให้รู้ว่าเกลียดชังผู้เสพความตาย เป็นพื้นฐานของการแสดงออกของมู้ดดี้


    แสดงออกให้รู้ว่าจ้องจับผิดมือปราบมารที่หวาดระแวงตัวเอง ก็เป็นเรื่องปกติที่เซเวอร์รัสจะต้องแสดงออกให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ไม่ว่าจะในฐานะไหนก็ตาม


    บรรยากาศโดยรอบลดต่ำลงทันทีจากการโต้เถียงที่แสนอึดอัดของศาตราจารย์ทั้งสอง ทุกสายตาและหัวเรื่องเปลี่ยนเป็นความขัดแย้งของทั้งคู่ หันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังหาทางออกที่น้อยนิดให้ตัวเอง 


    “โอ้ หรือคุณอยากจะออกไปช่วยเจ้าเด็กนั่น ถึงกฏจะไม่ได้ระบุว่าห้ามบอกใบ้หรือเสนอทางเลือกให้ผู้เข้าแข่งขัน แต่การยื่นมือเข้าไปสอด คงยอมรับไม่ได้” เซเวอร์รัสเอ่ยนิ่งๆ ยังคงแสดงต่อว่าไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องที่เกิดตรงหน้า ทำเป็นไม่รับรู้ความร้อนรนของอีกฝ่าย


    และ เจ้าเด็กนั่นที่ว่าคงมีคนเดียว


    เจ้าของฉายาแม้ดอายสถบและกั่นด่าพวกทรยศในใจ พวกขี้ขลาดไร้ความภักดี ต่อคนตรงหน้าอาจไม่ใช่แค่การแสดง เป็นความรู้สึกจริงๆ ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยวจากความโกรธเคืองและความอดกลั้น


    “อลาสเตอร์ อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่เลย กฏระบุไว้อย่างที่เซเวอร์รัสว่า หากไม่ว่าอะไร ขอให้คุณอยู่ก่อนจบการแข่งขันเถอะ” ดัมเบิลดอร์ต้องเป็นฝ่ายเข้ามาไกล่เกลี่ย ศาสตราจารย์ใหญ่คนอื่นเริ่มมุ่งเข้ามาหา 


    กระทั่งคาร์คารอฟก็แสดงใบหน้าดุดันอยากจะหาเรื่องมือปราบมารตรงหน้าก็ไม่ปล่อยผ่าน


    “ดูเหมือนแม้แต่คุณ ก็ยังไม่เชื่อในความสามารถของนักเรียนที่ตัวเองดูแล แม้ด-อาย”


    “มันไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องเข้ามาจุ้นจ้าน คาร์คารอฟ สักวันฉันจะให้แกได้ชดใช้” 


    ยิ่งการโต้เถียงนานขึ้น ความร้อนรนอันแปลกประหลาดของมู้ดดี้ก็ยิ่งเด่นชัด เมื่อไร้ทางเลือก ย่อมเหลือเพียงวิธีเดียว แต่มีหรือที่คนเริ่มเรื่องจะปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ


    “หึ หรือว่า คุณก่อเรื่องอะไรเอาไว้” คือการกดดันครั้งสุดท้ายเพื่อกระตุ้นอีกฝ่าย “หรือกำลังปิดบังอะไรอยู่กันแน่ อลาสเตอร์ มู้ดดี้” ดวงตาข้างเดียวของอีกฝ่ายเบิกกว้างขึ้น  


    มู้ดดี้ตัดสินใจเพื่อจะหลบหนีอย่างรวดเร็ว จังหวะเดียวกับที่ดวงตาสีน้ำหมึกเขม็งถึงโอกาสที่มาถึง ไม้กายสิทธิ์โบกชี้เข้าหาผู้ร้ายที่หันหลังหนี เพราะหากไม่หนี ความจริงที่ปิดบังเอาไว้ย่อมแตกให้ประจักษ์


    เสียงหวีดร้องดังขึ้นทันทีที่คาถาปะทะร่างของมู้ดดี้ มือปราบมารมากฝีมือ ดูประหลาดและผิดแปลกเป็นอย่างมากสำหรับบางคนที่รู้ฝีมืออันโชกโชน ทั้งข้อสงสัยต่างๆที่เกิดขึ้นตรงหน้า


    ต่อให้เป็นดัมเบิลดอร์ก็คงไม่คาดคิดว่าเขาจะลงมือโดยไม่ให้ตั้งตัว 


    เมื่อเวลาหมดลง


    มู้ดดี้ก็ถูกตึงไว้อยู่กับที่ พร้อมไม้กายสิทธิ์ชี้เข้าหาจากร่างสูงไร้ความปราณี ไม่ทันได้เอ่ยปากถามเหตุผล ร่างสิ้นทางหนีของอลาสเตอร์เริ่มขดเกร็ง เส้นเลือดปูนโปนบิดเบี้ยวและครางร้องเสียงเจ็บปวด รอยเหี่ยวย่นในพื้นที่ตาเห็น ค่อยๆกลายสภาพเป็นผิวที่เรียบขึ้นเหมือนคนหนุ่ม


    เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีเข้ม รูปร่างสูงผอมบางไร้สภาพของอลาสเตอร์ มู้ดดี้ดังที่เคยเห็น


    ดวงตาสีอ่อนจับจ้องมาฉายแววอาฆาตแค้นเคือง คลางแคลงใจและสงสัย


    ต่อให้จะอยากด่าทอสาปแช่งสอบถาม 


    ไม่ว่าอีกฝ่ายจะรู้ได้ยังไง รู้ตั้งแต่ตอนไหน รู้เพราะอะไร 


    ภายใต้ไม้กายสิทธิ์จากรอบด้าน ท่าทีหวาดระแวงของเซเวอร์รัส ท่าทีตื่นตระหนกของคาร์คารอฟ ท่าทีครุ่นคิดวิเคราะห์ของดัมเบิลดอร์ หรือแม้แต่ความหวั่นวิตกของคนรอบด้าน ให้วิกลจริตบิดเบี้ยวแค่ไหน คนโง่ก็ย่อมมองเหตุการณ์นี้ออก 


    “เวลาของแกหมดแล้ว”





    แฮรี่ลืมตาขึ้นช้าๆ เพดานเขาเป็นสิ่งที่เขาเริ่มจะเห็นจนชินแล้วตั้งแต่มาที่นี่ ร่างกายยังคงชาจนต้องขมวดคิ้ว นอกเหนือจากนั้น รอยกรีดบนท้องแขนก็ตึงและปวดอยู่เรื่อยๆ 


    ยิ่งย้ำความจริงที่เพิ่งเกิดขึ้น


    น้ำตาไม่ควรมีให้กับเรื่องเดิมเป็นครั้งที่สอง สำหรับแฮรี่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


    ปรารถนาเพื่ออะไร ในเมื่อรู้ว่ามันต้องเจ็บปวด


    คาดหวังเพื่ออะไร ในเมื่อต้องสูญเสีย


    บางที เขาควรเริ่มสำนึกสักที


    ว่าการที่เขาเอาแต่พร่ำหาเรื่องพวกนั้น


    มันไม่ช่วยอะไรเลย


    มันไม่เคยเปลี่ยนอะไรได้เลย


    “เป็นบ้าอะไร โดนสาปจนสมองเสื่อมรึไง?” คงจะมีไม่กี่คนที่เห็นการเจ็บตัวหรือความเดือดร้อนของเขา แล้วยังสามารถถากถางและเยาะเย้ยเขาได้ในเวลาแบบนี้ นับรวมๆแล้ว ในรุ่นราวคราวเดียวกันย่อมต้องเห็นใจและสงสารเขาไม่มากก็น้อย


    หากไม่ใช่เดรโก เขาคงขุ่นเคืองใจมากกว่านี้


    คาถากรีดแทงไม่ใช่ว่าจะเจ็บปวดขนาดนั้น แต่เขาก็ยังหาคำตอบกับอาการที่ร่างกายเหมือนถูกฉีกกระชาก มันเจ็บยิ่งกว่าคาถากรีดแทง เป็นความรู้สึกที่บางอย่างถูกดึงด้วยแรงที่มองไม่เห็น อยากจะดึงเขาไปให้ได้ 


    “กี่ครั้งแล้วที่นายแหกกฏฮอกวอตส์ ออกมานอกหอพัก เดรโก” แฮรี่ตอบกลับคนรบกวนการพักผ่อนของเขา คงเป็นเดรโกมากกว่าที่อยากจะโวยวายและตำหนิพ่อวีรบุรุษตัวดี ที่สรรหาเรื่องเข้าตัวเอง


    แต่เดรโกก็ทำใจแข็งด่าอีกฝ่ายไม่ได้


    ถึงจะเหมือนเดิม แต่น้ำเสียงที่ได้ยิน มันไม่สดใสเหมือนเดิม 


    ถึงภายนอกแฮรี่จะทำเหมือนไม่ได้เครียดหรือกังวลอย่างที่เห็น ได้แต่ถอนหายใจให้กับไออาการไม่รู้ร้อนรู้หนาวของอีกฝ่ายจริงๆ เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ตัวเขาเห็นร่างเล็กแทบปลิวนี้ ต้องนอนในห้องพยาบาลที่เต็มไปด้วยกลิ่นไม่น่าพิสมัย


    “นาย ชิ น่าหงุดหงิดเป็นบ้า” สะบัดหน้าหนีสายตารู้ทันของคนป่วยตรงหน้า


    “พรืด ฮ่ะๆ ทำหน้าอะไรของนาย ฉันไม่เป็นอะไรสักหน่อย” 


    ยังคงจำได้ ว่าตื่นมาก็เจออีกฝ่ายอยู่ข้างๆ


    “ไม่เป็นอะไรบ้านนายสิ จะโกหกก็โกหกให้มันดีๆ เห็นฉันโง่รึไง ชอบทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วง ” 


    น่าแปลกเป็นบ้า แฮรี่คิดกับตัวเอง ให้เขาบอกได้ยังไง เพราะเขาเห็นอีกฝ่ายทำหน้าจะเป็นจะตายแทนเขาไปแล้ว ทั้งรู้สึกผิดและก็รู้สึกดีไปในเวลาเดียวกัน รู้สึกผิดที่เรื่องทุกอย่างเดินมาแบบนี้ แต่ก็รู้สึกดีที่ยังคงมีใครสักคน เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขา 


    เป็นห่วงเขาอยู่ 


    หึ เขาเลือดเย็นเป็นบ้าเลย 


    ความเป็นหมอรึไงนะ ที่ทำให้เห็นความตายเป็นเรื่องปกติที่หนียังไงก็ไม่พ้น


    “เดรโก” เสียงหวานเอ่ยเรียกแผ่วเบา ว่าเขาอารมณ์ขึ้นๆลงๆ ก็โทษหมอนี่เถอะ


    “อะไร?”


    “ครั้งหน้านายต้องระวังมากกว่านี้” เขาใช้ต้อง ไม่ใช่ ควร เพราะเรื่องต่อจากนี้ มันคงไม่ง่ายเหมือนเดิมอีกแล้ว 


    “……” ใบหน้าคมเสี้ยวที่เริ่มเปลี่ยนสงบนิ่งลง ใช่คาดเดาน้ำเสียงของแฮรี่ไม่ออก 


    “มันจะไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมา เดรโก เหตุการณ์หลังจากนี้มันจะไม่มีวันเหมือนเดิม มันจะเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่เรื่องใกล้ตัวนายเอง”


    “อย่ามาชักจูงฉัน ต่อให้นายไม่บอก ฉันก็ไม่โง่เดาอะไรไม่ออก” เดรโกเตรียมลุกหนี ติดที่ว่า พ่อพอตเตอร์ตัวดีดึงแขนเขาไว้ ทั้งที่ตัวเองเป็นคนวิ่งหนีเขามาตั้งหลายสัปดาห์ก่อน 


    “เดรโก” ดวงตาคู่สวยมันไม่เคยเปลี่ยน ยังคงพราวระยิบ ดึงดูดและเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย 


    เดรโกสถบ อยากจะอารมณ์เสียใส่ก็ทำไม่ได้ เขาจะทำได้ยังไง แค่หมอนี่ดึงแขนเขาไว้ด้วยแรงเบาๆ เพียงสะบัดก็หลุด แต่เป็นตัวเขาเองด้วยซ้ำ ที่กระชับมือคู่นั้นไว้แน่น มันเย็นแทบแสบผิว ควรปล่อยแต่ก็ไม่อยากปล่อย


    และถึงเขารับปากแฮรี่เรื่องที่เป่าหู ไม่ให้เขายุ่ง ไม่ใช่เขารับรู้ เขาก็รับปากไม่ได้เต็มปาก


    ถ้าเขายังห่วงอีกฝ่ายจนจะเป็นบ้าแบบนี้


    “เออๆๆ ฉันรู้แล้ว นายก็เหมือนกัน เปลี่ยนเร็วเป็นบ้า แต่ก็ยังโง่เหมือนเดิม”


    ในที่สุด แฮรี่ก็ยิ้มออกได้เต็มปากในรอบหลายวันที่ผ่านมา


    “เหอะ รอดูว่าเซเวอร์รัสจะด่าอย่างที่ฉันด่าแน่”


    อา คำว่าเจ้าเด็กจอมหาเรื่อง ถึงกลับลอยเข้าหูเขาเลย



    กลับมาในครบปี 5555ว่างๆจะแต่งเรื่อยๆ เรื่องเปลี่ยนไม่เปลี่ยนรอดูอีกที


    PS. เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อเป็นฟิค เพราะฉะนั้นเนื้อหาอาจจะมีการอ้างอิง

    ที่ไม่ตรงกับเนื้อหาฉบับภาพยนตร์และในหนังสือชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์

    ชี้แจ้งมานะที่นี้ ขอบคุณค่ะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×