คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 02 Break the Spell
Worldless Tales Series
Heart of the Golden Lion
Chapter 02 Break the Spell
" มีเท่าไหร่ก็ส่งมาให้หมดนั่นแหละ! "
บทพูดโคตรลาวเลย...
เด็กหนุ่มผมบลอนด์ชำเลืองดูตามต้นเสียง ภาพที่ปรากฏจากการเหลือบมองด้วยหางตาคือชายฉกรรจ์สามคนยืนล้อมเด็กผู้ชายผมดำคนหนึ่งอยู่ใต้เงาอาคารที่ทอดตัวลงมา เด็กคนนั้นแต่งกายไม่เหมือนชาวทะเลทราย สะพายกระเป๋าเดินทางใบโต รูปร่างดูสูงเกินวัยเล็กน้อย หากแต่ใบหน้านั้นดูอิดโรยเศร้าสร้อย แต่งกายสีดำสนิทจนเขาเห็นแล้วอดรู้สึกร้อนแทนไม่ได้
สมองตัดสินใจปรี่เข้าไปช่วย เขาเบื่อขี้หน้านักเลงโตแถวนี้มานานแล้ว คงต้องเอาให้หลาบจำเสียบ้าง
" เป็นใบ้เหรอวะ เฮ้ย? "
" อยากได้เงินทำไมไม่หางานทำล่ะลุง? "
เสียงเด็กผู้ชายแว่วมาจากเบื้องหลัง ชายฉกรรจ์ทั้งสามหันตามที่มา หนึ่งในนั้นล้วงเอามีดพับออกมาจากกระเป๋ากางเกง
" เอ็งเป็นใครวะ "
รอยยิ้มผุดขึ้นเป็นการตอบคำถาม มือที่ไพล่หลังเริ่มรวบรวมพลังเวทย์มนตร์ดิบในอากาศเข้ามาไว้ด้วยกันอย่างลับๆ
กร๊อบ
" อ๊ากกก โอ๊ย โอ๊ย!! "
เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นโดยที่เด็กหนุ่มผมบลอนด์ไม่ได้เป็นผู้กระทำ ข้อมือของชายร่างใหญ่คนหนึ่งบิดงอผิดรูปไปอย่างเห็นได้ชัด จอมเวทย์ร่างเล็กนึกออกถึงแว่วเสียงกระดูกลั่นที่เพิ่งจะดังขึ้นเมื่อครู่ เด็กชายผมดำนี่เองที่ลงมือจับมันหักภายในชั่วพริบตา แล้วคว้ามีดที่ตกลงมาเสียบเข้าโคนขาชายฉกรรจ์อีกคนอย่างรวดเร็ว
เด็กชายผมบลอนด์อดผิวปากไม่ได้ ความไวของเด็กคนนี้เหลือรับประทาน ดูอายุก็รุ่นราวคราวเดียวกับเขาเอง
" ทำอะไรของมึงวะ... ไอ้เปรตนี่! "
นักเลงโตเพียงคนเดียวที่ยังไม่บาดเจ็บโวยวาย เขาจ้องหน้าเด็กผมดำ ดวงตาสีม่วงฉายแววอำมหิตกดดันเขาให้ชักปืนออกมาขู่ เจ้าของผลงานการหักมือชะงักไม่น้อยเมื่อเห็นอาวุธในครอบครองของอีกฝ่าย
ฉับพลันทันใด ลำแสงทำลายล้างสามสายก็พุ่งผ่านร่างชายฉกรรจ์ไปแบบเฉียดฉิว มันทะยานลอดหว่างขาสองข้าง โฉบเลียดสีข้างทั้งซ้ายขวา เบนทิศทางเลี่ยงไม่ให้โดนเด็กชายผมดำ ก่อนจะกระทบเข้ากับกำแพงอาคารร้างด้านหลังแล้วระเบิดมันออกเป็นเสี่ยง
คาถาทำลายล้างที่สังเคราะห์ขึ้นอย่างคล่องแคล่วถูกปลดปล่อยออกมาจากมือเด็กหนุ่มผมบลอนด์นี่เอง
" อยากยิงก็ยิงไป แต่ให้รู้ไว้ว่าไอ้นี่แรงกว่าปืนซักร้อยเท่าได้นะลุงนะ " น้ำเสียงเย้ยหยัน ใบหน้ายิ้มเยาะ และดวงตาสีครามฉายแววสมเพช
ร่างกายที่สั่นสะท้านจากความกลัวของโจรกระจอกบ่งบอกได้ชัดเจนถึงความรู้สึกภายใน เขาเก็บปืน หลบสายตาปีศาจร้ายในร่างเด็กตรงหน้า แล้วคว้าตัวพรรคพวกอีกสองคนที่กำลังชักดิ้นชักงออยู่กับพื้นวิ่งกระเตงหลบออกไปให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ จอมเวทย์เยาว์วัยมองตาม เขาหัวเราะ แล้วหันกลับมายังทิศที่อยู่ของเด็กชายผมดำ ดวงตาคมเข้มสีม่วงสะท้อนความเด็ดเดี่ยวและดวงตาสดใสสีฟ้าอ่อนแสดงความมาดมั่นสบประสานกัน
" ฉันชาร์นิค " เจ้าของตาสีน้ำทะเลแนะนำตัวก่อน " นายล่ะ "
มือเล็กๆที่ยื่นมาอย่างเป็นมิตรนั้นเปิดใจของเด็กชายรูปร่างสูงใหญ่กว่าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เหตุการณ์สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต เขาเผยยิ้มที่ไม่ได้กระทำมานาน แล้วตอบรับมือนั้นด้วยความเต็มใจ
" ริควิด ยินดีที่ได้รู้จัก "
และนั่นก็เป็นการพบกันครั้งแรกของว่าที่ราชสีห์ทองคำทั้งสอง
-----------------------------------------------------
แว่นกันลมลั่นเสียงแสดงการพุ่งกระทบของเหล่าเม็ดทราย กระจกติดฟิลม์กรองเอารังสีจากดวงอาทิตย์ออกไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่เพียงพอที่จะป้องกันสายตาจากผลกระทบ ชาร์นิคหรี่ตาลง ปาดนิ้วเบาๆกำจัดคราบฝุ่นที่เกาะอุปกรณ์ป้องกันใบหน้าออก ก่อนจะดันเอาแผ่นกรองอากาศขึ้นป้องปาก
" เร่ง แปรรูปขบวนหน้ากระดาน พักใต้เงาหิน สิบเอ็ดนาฬิกา "
เจ้าของเสียงเอนตัวไปข้างหน้าถ่ายน้ำหนักตัวลงมาที่ปลายเท้า พลันบูสเตอร์ หรืออุปกรณ์เสริมความเร็วลักษณะคล้ายรองเท้าติดจรวดเบื้องล่างก็ถูกกระตุ้นให้ทำงานหนัก ลมสวนทางปะทะร่างกาย เม็ดทรายนับไม่ถ้วนซัดเข้าผิวหนังจนเขารู้สึกเจ็บระยิบระยับ ผ้าคลุมสีงาถูกสะบัดจากหัวไหล่ลงมาคลุมร่างบางๆ หน่วยรบรับจ้างอิสระแห่งเรเซฟินอีกสิบสี่ชีวิตเบื้องหลังเร่งตามมาใกล้ แล้วค่อยๆแปรรูปแถวออกเป็นแนวหน้ากระดาน
ผู้นำกลุ่มค่อยๆลดความเร็วลงจนกลายเป็นศูนย์ ลูกกองทั้งหมดปฏิบัติตาม ครู่หนึ่งทั้งสิบห้าชีวิตก็หยุดการเคลื่อนพลลงใต้เงาชะง่อนหินก้อนโต เทือกเขาศิลาคีลล์อันเป็นเป้าหมายภารกิจตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ สีเทาหม่นหมองของมันตัดกับสีอร่ามแยงตาของผืนทรายจนเห็นได้ชัด
ชาร์นิคชำเลืองมองลูกทีมแต่ละคน แล้วนึกขำ
นักรบรับจ้างอิสระเรเซฟินประกอบด้วยอัศวินเจ็ดคน หัวหน้าอัศวินหนึ่ง จอมเวทย์เจ็ดคน หัวหน้าจอมเวทย์หนึ่ง รวมทั้งหมดเป็นสิบหกชีวิต ตำแหน่งหัวหน้าทั้งสองคงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากว่าที่ราชสีห์ทองคำที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่งทันทีหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจนี้อย่างเขากับริค ซึ่งบัดนี้ชีวิตลูกกองทั้งสิบสี่คงจะหัวหมุนกันน่าดูกับการหายตัวไปอย่างไม่บอกกล่าวของหัวหน้ากองอัศวิน
เรื่องของเรื่องมันเกิดจากการสนทนาของลูกทีมในวงเหล้าที่หัวหน้าผู้ทรงเวทย์จอมเจ้าเล่ห์คนนี้แอบได้ยินมาเมื่อคืนก่อน...
' ศึกสุดท้ายแล้วนะเว้ย ต้องเลี้ยงส่งพวกหัวหน้ากองหน่อย เอาให้งงไปเลย ' เกลม อัศวินเกราะหนักร่างยักษ์เป็นคนเปรยขึ้นมาตั้งแต่แรก
' เออ ให้ดูฝีมือพวกเราซะมั่ง ว่าพัฒนาแล้ว ' ฮินท์ จอมคาถาเพลิงเสริม
' เอาแบบให้สองคนนั้นไม่ต้องโชว์จำอวดเลย ' เลฮาลขวานคลั่งเห็นดีด้วย พลางปาดบุหรี่ในมือลงกับถาดเขี่ย
' แสดงสปิริตกันหน่อย ขี้เกียจฟังไอ้คุณพี่ชาร์เขาบ่นอย่างนู้นอย่างนี้ ว่าหน่วยรบนี่ไม่มีพวกเขาสองคนก็ไปไม่รอด เบื่อว่ะ ' กีซัคจอมเวทย์พยาบาลออกความเห็น
ความในใจทั้งหมดที่บังเอิญเข้าหูมาโดยการดอดไปนั่งฟังจากโต๊ะข้างๆทำให้ชาร์นิคนึกสนุก เขารู้อยู่แล้วว่าพวกลูกทีมหมั่นไส้เขาที่อายุน้อยกว่าแต่กลับได้ครองตำแหน่งหัวหน้า อย่างไรก็ดี พวกนี้ยังคงเคารพเขาอยู่ ธรรมเนียมของเรเซฟินยึดเอาผู้มีฝีมือเป็นแกนนำและนับผู้นั้นให้อาวุโสกว่าในหน้าที่การงาน แต่เพราะงั้นแหละศึกครั้งนี้จึงอดไม่ได้ ชาร์นิคติดนิสัยชอบแกล้งคนที่อายุมากกว่าตน ทีนี้ก็คงได้รู้ว่าใครกันแน่ที่จะตกเป็นฝ่ายงง
แถวหน้ากระดานดูเรียบร้อยดี ทุกคนมีสีหน้ามาดมั่น หัวหน้ากองจอมคาถาเผยยิ้ม พลางแอบรวบรวมก้อนพลังเวทย์มนตร์ดิบจากอากาศธาตุไว้เบื้องหลัง
" มีอยู่สองเรื่องจะมาบอกให้รู้ไว้ก่อน " เขาเกริ่นนำ สีหน้าแสดงความสนใจจากอีกสิบสี่ชีวิตส่งมาให้อย่างพร้อมเพรียง " เรื่องแรก หัวหน้ากองอัศวินล่วงหน้าไปที่เทือกเขาคีลล์ก่อนแล้ว ป่านนี้คงกำลังฟัดกันนัวเนียอยู่ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย "
เหล่าจอมมนตราและนักรบกล้าอึ้งไปพร้อมๆกันอยู่พักหนึ่ง เสียงโวยวายเริ่มตามมา พวกเขาทุกคนเป็นห่วงผู้อยู่เหนือบังคับบัญชา ถึงแม้จะหมั่นไส้ขี้หน้าเล็กน้อยก็ตามที
" แล้วทำไมไม่ให้พวกเราตามไปด้วยล่ะ " เกลมเปล่งเสียงดังแทรกขึ้นกลางความวุ่นวาย ตามติดมาด้วยความเห็นเออออตามกันจากคนอื่นๆ
ชาร์นิคเมินเฉยต่อคำถามจากอัศวินร่างใหญ่ เขากวาดสายตาเจ้าเล่ห์ไปรอบ ก่อนจะกระทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด
ก้อนมาน่าที่รวบรวมไว้ถูกสังเคราะห์ขึ้นเป็นคาถาด้วยความเร็วสูง ลำแสงทำลายล้างหลากสีสันจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดออกมาทั่ว ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าแล้วเบนทิศทางสู่เป้าหมาย เสียงลูกไฟแหวกอากาศลั่นสะเทือนแก้วหู ละอองมนตราสีรุ้งปลิวว่อนตามแรงลม เหล่าเม็ดทรายพุ่งสะเปะสะปะ พริบตาเดียวยอดเขาศิลาอันเป็นแหล่งซ่องสุมโจรทะเลทรายก็พังลงมา แผ่นหินร่วงหล่นกระทบกันแตกเป็นเสี่ยง ฝุ่นกระจายฟุ้งบดบังทัศนวิสัย
ใบหน้าสำราญใจของเด็กหนุ่มผมบลอนด์โผล่ขึ้นมาให้เห็น ท่ามกลางความเงียบงันของกองรบอิสระที่บังเกิดขึ้นจากพลังทำลายชั่วพริบตาเมื่อครู่
" เรื่องที่สอง "
ดวงตาสีฟ้ากราดมองไปทั่ว เพ่งพิจารณาสีหน้าตกตะลึงจนแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ของเกลม ฮินท์ เลฮาล และกีซัคเป็นพิเศษ
" ภารกิจนี้เสร็จสิ้นแล้ว พวกนายไปเก็บหลักฐานได้ แล้วอย่าเม้มเงินกับสมบัติล่ะ "
ชาร์ก้มลงเปิดสวิตช์บูสเตอร์ที่เท้าทันทีที่พูดจบ แล้วระเบิดความเร็วหายวับไป ทิ้งให้ฝุ่นทรายชโลมร่างทั้งสิบสี่ที่ยังอึ้งกิมกี่อยู่ด้วยความสะใจ
----------------------------------------------------------
กีซัคพยายามงัดร่างไร้ชีวิตของโจรกระจอกที่ถูกฝังอยู่ใต้หินออกมาเพื่อนับจำนวนศพ จอมเวทย์พยาบาลปาดเหงื่อบนหน้าผาก พวกเขาเสียเวลากับการเช็คหลักฐานและสมบัติที่พวกนรกนี่ดักปล้นจากพ่อค้าทะเลทรายมาร่วมชั่วโมงแล้ว นานกว่าเวลาที่หัวหน้ากองทั้งสองใช้ทำลายมันลงตั้งไม่รู้กี่เท่า
แผนการโชว์ฝีมือที่พวกเขาเก็บไปคิดกันมาทั้งคืน รอด้วยความกระตือรือร้นที่จะได้หักหน้าใสๆของชาร์นิคกับมาดเข้มกวนเท้าของริควิด พังทลายลงหมดตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม ป่านนี้พี่แกทั้งสองคนคงนั่งคุยพลางดูตะวันตกดินกันสบายใจเฉิบ ส่วนพวกเขาต้องมาเก็บซากความเสียหาย ทั้งร้อนทั้งอับทั้งเหม็นคาวเลือด
ยังไงชั่วชีวิตนี้พวกเขาก็ตามคนแบบนั้นไม่ทัน
เวทย์ทำลายล้างอานุภาพชวนสยองระดับนั้นกลับใช้เวลารวบรวมพลังมาน่าจากอากาศธาตุเข้ามาเพียงชั่วครู่ เรียกได้ว่าเร็วกว่าระดับทั่วไปราวสิบเท่า ยังไม่นับทักษะในการสังเคราะห์พลังดิบออกเป็นคาถาภายในพริบตา และสมาธิอันมั่นคงที่ควบคุมทิศทางการระเบิดได้แม่นราวจับวาง ความสามารถทางมนตราของชาร์นิคนับได้เป็นที่หนึ่งในเซลเนแทร์แล้ว... เขามั่นใจว่าแม้จะเป็นในหมู่ราชสีห์ทองคำด้วยกันก็ไม่น่าจะมีคนที่ฝีมือฉกาจกว่านี้ไปได้
แล้วยังความน่ากลัวของริควิดอีก...
ทันทีที่ลูกกองทั้งสิบสี่เคลื่อนพลมาถึงตีนเขาศิลา ภาพตรงหน้าก็ปรากฏเป็นร่างในชุดเกราะเบาสีเงินยืนสง่าอยู่ท่ามกลางซากศพนับสิบนอนระเกะระกะ โจรทะเลทรายที่กรูกันออกมาต่อกรกับปีศาจร้ายผู้ใช้หอกตนนี้ก่อนที่ลำแสงทำลายล้างของชาร์นิคจะมาถึงล้วนถูกดับชีวิตลงภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียวทั้งสิ้น ไม่มีเครื่องในหรืออวัยวะอย่างแขนขาหล่นกระจัดกระจาย ที่เห็นอยู่บนผืนทรายจะมีก็แต่ศรีษะและร่างไร้ชีวิตที่ถูกแทงเข้าตรงหัวใจหรือถูกฟันขาดสะพายแล่งเท่านั้น
เพียงนึกถึงก็ทำให้ขนบนผิวหนังพากันลุกเกรียว ในวัยเด็กกีซัคเกเรมาเยอะ ดีแล้วที่ไม่หันเหออกนอกลู่นอกทางจนกลายเป็นกลุ่มโจรทะเลทราย ไม่เช่นนั้นวาระสุดท้ายของเขาคงไม่พ้นความตายชั่วพริบตาดังที่ยมฑูตจำแลงสองตนนี้หยิบยื่นให้เป็นแน่แท้
" โอ๊ย! "
เสียงอุทานแสดงความเจ็บปวดลั่นออกจากปากกีซัคพร้อมๆกับอาการแสบผิวหนังที่ฉีกขาด ท่อนแขนซ้ายของเขาเพิ่งจะครูดไปกับหินผลึกสีแดงวาวคมกริบซึ่งถูกฝังอยู่ภายใต้ซากหิน จอมคาถาพยาบาลสบถอย่างเสียอารมณ์พลันเหวี่ยงเท้าเตะยอดหินประหลาดนั้นจนหัก เลือดสีข้นเริ่มจะทะลักออกมาจากบริเวณปากแผล
" เฮ้ย เป็นไรมั้ยวะ " จอมมนตราเพลิงฮินท์แสดงความเป็นห่วง
" นรกเอ๊ย... " กีซัคยังคงสบถไม่หยุดกับอาการบาดเจ็บที่ไม่ได้เกิดขึ้นในสมรภูมิรบเสียด้วยซ้ำ " เออ ช่างเหอะ คาถาสมานแผลซักหน่อยก็หาย ไอ้ผลึกนี่ทำไมมาอยู่ตรงนี้วะ ไม่ใช่เพชรพลอยมีค่าอะไรด้วย "
เกลม อัศวินเกราะหนักหันมองตามเสียงโวยวาย " ไหนวะ? เฮ้ย พอก่อนเหอะ ไปทำแผลไป ทางนี้เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว "
" เออ "
คนเจ็บรับคำ เขาพยายามบีบปากแผลไว้แน่นเพื่อห้ามเลือดที่ดูเหมือนจะอักเสบจากการติดเชื้อ กีซัคไม่แปลกใจนัก ก้อนหินโสโครกไม่น่าไว้ใจพวกนี้คงจะสกปรกพอดู ถ้ำลึกใต้เทือกเขาเช่นนี้คงคาดหวังความอนามัยไม่ได้
เฮ่อ... เวร...
----------------------------------------------------------
สายลมราตรีบนทะเลทรายที่เคยร้อนระอุเมื่อกลางวันกลับหนาวยะเยือก เต้นท์พักแรมชั่วคราวกว่าครึ่งโหลถูกกางออกพร้อมสรรพ หน่วยรบรับจ้างอิสระตัดสินใจค้างคืนกันที่โอเอซิสใกล้ๆก่อนเดินทางกลับเรเซฟิน
ดวงตาสีฟ้าจับจ้องจันทราเต็มดวง จิตใจสงบอย่างประหลาด
เด็กหนุ่มผมบลอนด์ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์บางอย่าง จันทร์สะท้อนแสงจ้าดูคุ้นเคย ความทรงจำในอดีตไกลโพ้นฉายภาพขึ้นมารางๆ ภาพนั้นไม่ชัดเจน แม้จะรวบรวมพลังจินตนาการสักเท่าไรก็ไม่อาจทำให้มันปรากฏออกมาต่อหน้าได้เลย กี่ครั้งแล้วก็ไม่ทราบที่เขาพยายามใช้กุญแจที่ยังตามหาไม่เจอไขประตูที่ไม่มีวันเปิดได้ออก
เขายันตัวลุกขึ้นยืน ริควิดยังง่วนอยู่กับสัมภาระสำหรับเดินทางกลับ หัวหน้าจอมคาถาก้มลงเปิดสวิตช์บูสเตอร์ เร่งเครื่องด้วยเกียร์ว่างส่งเสียงดังเรียกร้องความสนใจ ว่าที่ราชสีห์ทองคำแห่งเขี้ยวหันมองพร้อมแววตาใฝ่รู้
ชารนิคยิ้มให้ฝ่ายตรงข้ามพลันสับเกียร์ขึ้น กดปลายเท้าเต็มแรง ฝุ่นทรายตลบขึ้นคลุ้ง ร่างของเขาทะยานออกไปไกลด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่เสียงตะโกนไล่หลังของคู่สนทนาจะแว่วมาเข้าหูได้ทัน ทิ้งให้ริคนั่งงงด้วยความไม่เข้าใจพร้อมกับคิ้วที่ขมวดลง
ทะเลทรายกลางคืนอันตราย... คิดอะไรของมัน...
หัวหน้ากองอัศวินปัดความคิดในหัวออกไป คว้าเกราะเบาขึ้นสวม ฉวยเอาหอกคู่ใจกระชับในมือ กระโจนออกนอกเต้นท์ เปิดบูสเตอร์แล้วมุ่งหน้าตามเพื่อนเขาไปด้วยความเร็วสูงสุด
ความมืดที่โรยตัวลงมาจำกัดทัศนียภาพให้แคบลงกว่าที่ควรจะเป็น ริควิดอาศัยการจับตำแหน่งของชาร์เอาจากเสียงเครื่องยนตร์ ตะกวดทะเลทรายยักษ์ทางซ้ายมือถูกปลุกจากการหลับไหล เขาเร่งผ่านบริเวณนี้ไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ร่างเล็กของเด็กหนุ่มผมบลอนด์นั่งห้อยขาอยู่เหนือผาหินเบื้องหน้า ริควิดดับเครื่องบูสเตอร์ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ช้าๆ
" ออกมาทำอะไรของแก "
" ล่อแกออกมาไง " น้ำเสียงกวนอารมณ์กล่าวตอบ
หัวหน้ากองอัศวินถอนหายใจเอาหน้าที่การงานที่ยังคั่งค้างออกไปจากหัว มองแผ่นหลังเพื่อนสนิท ย่ำเท้าลงไปบนเงาที่ทอดจากแสงจันทรา เดินมาทิ้งลงตัวลงนั่งกอดเข่าข้างเด็กหนุ่มผมบลอนด์
" ฉันคงไม่ถามอะไรแกอีก ริค เรื่องนี้น่ะ " จอมคาถาเกริ่นนำ " ฉันรู้อะไรต่อมิอะไรมากมาย มากจนจะทำให้แกตะลึง มากจนไม่ต้องถามอะไรแกที่ไม่ยอมเปิดใจอีก "
ความนิ่งของคู่สนทนาทำให้ชาร์นิครับรู้ได้ว่าการเกทับของเขาส่งผลมากเพียงใด เด็กหนุ่มยิ้ม ตาจับจ้องดวงจันทร์ แล้วเอ่ยต่อ
" ราซารัส เรมินัส "
นามนั้นกระตุ้นสายตาริควิดให้ชะงักงัน เสียงหัวใจเต้นดังและถี่ขึ้นจนสัมผัสได้ ดวงตาสีฟ้าสบมองผู้ที่เลี่ยงหลบความจริงที่เขารู้มาตลอด
" อดีตขุนนางเบื้องบนที่โดนปลดจากตำแหน่ง ต้องโทษขังลืมโทษฐานทำร้ายร่างกายองค์ชายของอาเมเลียจนบาดเจ็บสาหัส หลังจากถูกขังอยู่ในคุกได้ไม่นานก็ถูกคนคุกรุมประชาทัณฑ์เสียชีวิต ภรรยาตรอมใจตาย ลูกชายคนเดียวหาย นานจนได้รับการบันทึกว่าเสียชีวิตแล้ว " ชาร์นิคไล่สายตามองฝ่ายตรงข้ามหัวจรดเท้า " พ่อแกใช่มั้ย ริควิด เรมินัส "
เจ้าของชื่อกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ดวงตาจับจ้องใบหน้าคู่สนทนาอย่างหวาดระแวง ทิ้งให้ความเงียบโรยตัวขึ้นนาน ก่อนจะเอ่ยทำลายมันทิ้ง
" แกรู้มาจากไหน "
" เมืองหลวง ตอนไปรายงานตัวตำแหน่งราชสีห์ทองคำครั้งแรก แกปฏิเสธไม่ไปเพราะบอกว่าไม่สบาย ฉันก็นึกอยู่แล้วว่ามันแปลก ที่แท้แกคงไม่อยากเข้าไปเหยียบเมืองหลวงอย่างน้อยก็จนกว่าจะได้ตำแหน่ง ใช่มั้ย? "
ความนิ่งงันของริคเพียงพอแล้วที่จอมคาถาจะนำมาสรุปเป็นคำตอบ
เขากล่าวต่อ " แกคงจะไม่รู้ว่าพอรายงานตัวแล้วก็จะได้รับอำนาจมาครึ่งหนึ่งแล้ว ฉันใช้อำนาจนั้นขอดูระเบียนประวัติย้อนหลังไปเจ็ดปีก่อน ช่วงเวลาที่แกมาเหยียบประตูทิศใต้ จากทางนั้นมีโอเอซิสมากมายโยงไปถึงเมืองหลวงได้ด้วยการเดินเท้า ไปเมืองอื่นไม่ได้ เพราะงั้นสรุปได้ว่าแกมาจากสตรองคอร์ แต่งชุดดำทั้งตัวทั้งๆที่ร้อนตับจะแตกก็เพราะแกกำลังไว้ทุกข์ แล้วใครตาย? ทำไมเด็กอายุสิบสองเดินทางคนเดียว? ฉันหาไปหมดนั่นแหละริค หาว่ามีใครบ้างที่ตายทั้งสามีภรรยา แล้วเป็นเรื่องที่ลูกเขาจำเป็นต้องร่อนเร่ออกมาลับๆเพราะไม่อยากตกเป็นข่าว แล้วแม่แกนะ... หน้าเหมือนแกอย่างกับแกะ สีผมกับสีตาอีก ดูแว่บเดียวก็รู้แล้ว "
ชาร์นิคค่อยๆกระเทาะเปลือกที่หุ้มจิตใจเจ้าของอดีตเลวร้ายออกทีละนิด ด้วยทุกถ้อยคำแห่งความเท็จจริงที่เขาทุ่มเทค้นหามันมานาน
" แกไม่ได้หลงไหลวิชาหอกอะไรมากมาย แต่เพราะมันเป็นหนทางที่จะนำพาแกเข้าไปสู่จุดสูงสุดแห่งเกียรติยศได้ เพื่อลบล้างชื่อเสียของตระกูล แกถึงได้จับมัน "
จอมคาถายังคงไม่หยุดยั้งการร่ายมนตรา
คำสาปจางหายไปทีละน้อย
ตื้นตัน
" ชาร์... แกทำแบบนี้มีแต่จะพาเรื่องอันตรายมาเข้าตัว เรื่องบางเรื่องแกก็ไม่ควรจะรู้ "
" ฉันจะเสือก แกจะทำไม แกมีปัญญาอะไรมาห้าม "
ความอึ้งเข้าครอบงำ
" ริค รู้มั้ย คนอย่างแก ชาตินี้ก็ไม่มีวันมีความสุข แต่ในเมื่อทางที่แกเลือกทางนี้มันไม่มีทางหันหลังกลับได้อีกแล้ว ฉันก็จะสนับสนุนแกต่อไป อย่างน้อยก็จนกว่าแกจะเบื่อแล้วหาอะไรน่าสนใจใส่ตัวแทนบ้าง นอกเหนือจากเรื่องศักดิ์ศรี... "
" ขอบใจ... "
ริควิดโพล่งออกมาขัดบทสนทนา ฝ่ายตรงข้ามทำท่าทางเหมือนกับจะพูดอะไรต่อ แต่ก็หรุบปากลงแล้วเงียบ จ้องหน้าเด็กหนุ่มผมน้ำตาล แล้วยิ้ม
" สัญญาได้มั้ยว่าแกจะไม่ปิดบังอะไรฉันอีก " ราชสีห์ทองคำแห่งใจพยายามผูกมัด
" ปิดบังได้ที่ไหนกันล่ะ "
" เออ งั้นก็อย่าพยายามจะทำ สัญญามาซะด้วย "
" ฉันสัญญา " ราชสีห์ทองคำแห่งเขี้ยวเอ่ยรับ
คำสาปถูกทำลายลงแล้ว
และตามมาด้วยเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์
" ริค อะไรน่ะ " เด็กหนุ่มผมบลอนด์อุทาน
แว่วเสียงแห่งความตื่นตระหนกลั่นมาจากเบื้องหลัง เรียกว่าที่ราชสีห์ทั้งสองให้มองตามต้นตอ ทิศทางที่เขาทั้งสองจากมา ควันไฟลอยฟุ้งสู่เบื้องบน ฟากฟ้าถูกย้อมเป็นสีแดงระเรื่อลานตา เพลิงกำลังลุกไหม้ที่พักกองรบของพวกเขา
ดวงตาสองคู่หันมาสบกัน เด็กหนุ่มทั้งสองพยักหน้า บูสเตอร์ที่ข้อเท้าถูกเอื้อมลงเปิด เสียงเครื่องยนตร์ดังกระหึ่ม ฝุ่นทรายปลิวว่อนสู่เบื่องหลัง
แล้วร่างของคนทั้งสองก็พุ่งทะยานออกไปไกลลิบตา
-------------------------------------------------------
ความคิดเห็น