ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Worldless Tale : Heart of the Golden Lion

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 02 – Break the Spell

    • อัปเดตล่าสุด 9 ม.ค. 50



    Worldless Tales Series
    Heart of the Golden Lion

    Chapter 02 – Break the Spell

     

    " มีเท่าไหร่ก็ส่งมาให้หมดนั่นแหละ! "

    บทพูดโคตรลาวเลย...

    เด็กหนุ่มผมบลอนด์ชำเลืองดูตามต้นเสียง ภาพที่ปรากฏจากการเหลือบมองด้วยหางตาคือชายฉกรรจ์สามคนยืนล้อมเด็กผู้ชายผมดำคนหนึ่งอยู่ใต้เงาอาคารที่ทอดตัวลงมา เด็กคนนั้นแต่งกายไม่เหมือนชาวทะเลทราย สะพายกระเป๋าเดินทางใบโต รูปร่างดูสูงเกินวัยเล็กน้อย หากแต่ใบหน้านั้นดูอิดโรยเศร้าสร้อย แต่งกายสีดำสนิทจนเขาเห็นแล้วอดรู้สึกร้อนแทนไม่ได้

    สมองตัดสินใจปรี่เข้าไปช่วย เขาเบื่อขี้หน้านักเลงโตแถวนี้มานานแล้ว คงต้องเอาให้หลาบจำเสียบ้าง

    " เป็นใบ้เหรอวะ เฮ้ย? "

    " อยากได้เงินทำไมไม่หางานทำล่ะลุง? "

    เสียงเด็กผู้ชายแว่วมาจากเบื้องหลัง ชายฉกรรจ์ทั้งสามหันตามที่มา หนึ่งในนั้นล้วงเอามีดพับออกมาจากกระเป๋ากางเกง

    " เอ็งเป็นใครวะ "

    รอยยิ้มผุดขึ้นเป็นการตอบคำถาม มือที่ไพล่หลังเริ่มรวบรวมพลังเวทย์มนตร์ดิบในอากาศเข้ามาไว้ด้วยกันอย่างลับๆ

    กร๊อบ

    " อ๊ากกก โอ๊ย โอ๊ย!! "

    เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นโดยที่เด็กหนุ่มผมบลอนด์ไม่ได้เป็นผู้กระทำ ข้อมือของชายร่างใหญ่คนหนึ่งบิดงอผิดรูปไปอย่างเห็นได้ชัด จอมเวทย์ร่างเล็กนึกออกถึงแว่วเสียงกระดูกลั่นที่เพิ่งจะดังขึ้นเมื่อครู่ เด็กชายผมดำนี่เองที่ลงมือจับมันหักภายในชั่วพริบตา แล้วคว้ามีดที่ตกลงมาเสียบเข้าโคนขาชายฉกรรจ์อีกคนอย่างรวดเร็ว

    เด็กชายผมบลอนด์อดผิวปากไม่ได้ ความไวของเด็กคนนี้เหลือรับประทาน ดูอายุก็รุ่นราวคราวเดียวกับเขาเอง

    " ทำอะไรของมึงวะ... ไอ้เปรตนี่! "

    นักเลงโตเพียงคนเดียวที่ยังไม่บาดเจ็บโวยวาย เขาจ้องหน้าเด็กผมดำ ดวงตาสีม่วงฉายแววอำมหิตกดดันเขาให้ชักปืนออกมาขู่ เจ้าของผลงานการหักมือชะงักไม่น้อยเมื่อเห็นอาวุธในครอบครองของอีกฝ่าย

    ฉับพลันทันใด ลำแสงทำลายล้างสามสายก็พุ่งผ่านร่างชายฉกรรจ์ไปแบบเฉียดฉิว มันทะยานลอดหว่างขาสองข้าง โฉบเลียดสีข้างทั้งซ้ายขวา เบนทิศทางเลี่ยงไม่ให้โดนเด็กชายผมดำ ก่อนจะกระทบเข้ากับกำแพงอาคารร้างด้านหลังแล้วระเบิดมันออกเป็นเสี่ยง

    คาถาทำลายล้างที่สังเคราะห์ขึ้นอย่างคล่องแคล่วถูกปลดปล่อยออกมาจากมือเด็กหนุ่มผมบลอนด์นี่เอง

    " อยากยิงก็ยิงไป แต่ให้รู้ไว้ว่าไอ้นี่แรงกว่าปืนซักร้อยเท่าได้นะลุงนะ " น้ำเสียงเย้ยหยัน ใบหน้ายิ้มเยาะ และดวงตาสีครามฉายแววสมเพช

    ร่างกายที่สั่นสะท้านจากความกลัวของโจรกระจอกบ่งบอกได้ชัดเจนถึงความรู้สึกภายใน เขาเก็บปืน หลบสายตาปีศาจร้ายในร่างเด็กตรงหน้า แล้วคว้าตัวพรรคพวกอีกสองคนที่กำลังชักดิ้นชักงออยู่กับพื้นวิ่งกระเตงหลบออกไปให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ จอมเวทย์เยาว์วัยมองตาม เขาหัวเราะ แล้วหันกลับมายังทิศที่อยู่ของเด็กชายผมดำ ดวงตาคมเข้มสีม่วงสะท้อนความเด็ดเดี่ยวและดวงตาสดใสสีฟ้าอ่อนแสดงความมาดมั่นสบประสานกัน

    " ฉันชาร์นิค " เจ้าของตาสีน้ำทะเลแนะนำตัวก่อน " นายล่ะ "

    มือเล็กๆที่ยื่นมาอย่างเป็นมิตรนั้นเปิดใจของเด็กชายรูปร่างสูงใหญ่กว่าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เหตุการณ์สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต เขาเผยยิ้มที่ไม่ได้กระทำมานาน แล้วตอบรับมือนั้นด้วยความเต็มใจ

    " ริควิด ยินดีที่ได้รู้จัก "

    และนั่นก็เป็นการพบกันครั้งแรกของว่าที่ราชสีห์ทองคำทั้งสอง…

    -----------------------------------------------------


    แว่นกันลมลั่นเสียงแสดงการพุ่งกระทบของเหล่าเม็ดทราย กระจกติดฟิลม์กรองเอารังสีจากดวงอาทิตย์ออกไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่เพียงพอที่จะป้องกันสายตาจากผลกระทบ ชาร์นิคหรี่ตาลง ปาดนิ้วเบาๆกำจัดคราบฝุ่นที่เกาะอุปกรณ์ป้องกันใบหน้าออก ก่อนจะดันเอาแผ่นกรองอากาศขึ้นป้องปาก

    " เร่ง แปรรูปขบวนหน้ากระดาน พักใต้เงาหิน สิบเอ็ดนาฬิกา "

    เจ้าของเสียงเอนตัวไปข้างหน้าถ่ายน้ำหนักตัวลงมาที่ปลายเท้า พลันบูสเตอร์ หรืออุปกรณ์เสริมความเร็วลักษณะคล้ายรองเท้าติดจรวดเบื้องล่างก็ถูกกระตุ้นให้ทำงานหนัก ลมสวนทางปะทะร่างกาย เม็ดทรายนับไม่ถ้วนซัดเข้าผิวหนังจนเขารู้สึกเจ็บระยิบระยับ ผ้าคลุมสีงาถูกสะบัดจากหัวไหล่ลงมาคลุมร่างบางๆ หน่วยรบรับจ้างอิสระแห่งเรเซฟินอีกสิบสี่ชีวิตเบื้องหลังเร่งตามมาใกล้ แล้วค่อยๆแปรรูปแถวออกเป็นแนวหน้ากระดาน

    ผู้นำกลุ่มค่อยๆลดความเร็วลงจนกลายเป็นศูนย์ ลูกกองทั้งหมดปฏิบัติตาม ครู่หนึ่งทั้งสิบห้าชีวิตก็หยุดการเคลื่อนพลลงใต้เงาชะง่อนหินก้อนโต เทือกเขาศิลาคีลล์อันเป็นเป้าหมายภารกิจตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ สีเทาหม่นหมองของมันตัดกับสีอร่ามแยงตาของผืนทรายจนเห็นได้ชัด

    ชาร์นิคชำเลืองมองลูกทีมแต่ละคน แล้วนึกขำ

    นักรบรับจ้างอิสระเรเซฟินประกอบด้วยอัศวินเจ็ดคน หัวหน้าอัศวินหนึ่ง จอมเวทย์เจ็ดคน หัวหน้าจอมเวทย์หนึ่ง รวมทั้งหมดเป็นสิบหกชีวิต ตำแหน่งหัวหน้าทั้งสองคงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากว่าที่ราชสีห์ทองคำที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่งทันทีหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจนี้อย่างเขากับริค ซึ่งบัดนี้ชีวิตลูกกองทั้งสิบสี่คงจะหัวหมุนกันน่าดูกับการหายตัวไปอย่างไม่บอกกล่าวของหัวหน้ากองอัศวิน

    เรื่องของเรื่องมันเกิดจากการสนทนาของลูกทีมในวงเหล้าที่หัวหน้าผู้ทรงเวทย์จอมเจ้าเล่ห์คนนี้แอบได้ยินมาเมื่อคืนก่อน...

    ' ศึกสุดท้ายแล้วนะเว้ย ต้องเลี้ยงส่งพวกหัวหน้ากองหน่อย เอาให้งงไปเลย ' เกลม อัศวินเกราะหนักร่างยักษ์เป็นคนเปรยขึ้นมาตั้งแต่แรก

    ' เออ ให้ดูฝีมือพวกเราซะมั่ง ว่าพัฒนาแล้ว ' ฮินท์ จอมคาถาเพลิงเสริม

    ' เอาแบบให้สองคนนั้นไม่ต้องโชว์จำอวดเลย ' เลฮาลขวานคลั่งเห็นดีด้วย พลางปาดบุหรี่ในมือลงกับถาดเขี่ย

    ' แสดงสปิริตกันหน่อย ขี้เกียจฟังไอ้คุณพี่ชาร์เขาบ่นอย่างนู้นอย่างนี้ ว่าหน่วยรบนี่ไม่มีพวกเขาสองคนก็ไปไม่รอด เบื่อว่ะ ' กีซัคจอมเวทย์พยาบาลออกความเห็น

    ความในใจทั้งหมดที่บังเอิญเข้าหูมาโดยการดอดไปนั่งฟังจากโต๊ะข้างๆทำให้ชาร์นิคนึกสนุก เขารู้อยู่แล้วว่าพวกลูกทีมหมั่นไส้เขาที่อายุน้อยกว่าแต่กลับได้ครองตำแหน่งหัวหน้า อย่างไรก็ดี พวกนี้ยังคงเคารพเขาอยู่ ธรรมเนียมของเรเซฟินยึดเอาผู้มีฝีมือเป็นแกนนำและนับผู้นั้นให้อาวุโสกว่าในหน้าที่การงาน แต่เพราะงั้นแหละศึกครั้งนี้จึงอดไม่ได้ ชาร์นิคติดนิสัยชอบแกล้งคนที่อายุมากกว่าตน ทีนี้ก็คงได้รู้ว่าใครกันแน่ที่จะตกเป็นฝ่ายงง

    แถวหน้ากระดานดูเรียบร้อยดี ทุกคนมีสีหน้ามาดมั่น หัวหน้ากองจอมคาถาเผยยิ้ม พลางแอบรวบรวมก้อนพลังเวทย์มนตร์ดิบจากอากาศธาตุไว้เบื้องหลัง

    " มีอยู่สองเรื่องจะมาบอกให้รู้ไว้ก่อน " เขาเกริ่นนำ สีหน้าแสดงความสนใจจากอีกสิบสี่ชีวิตส่งมาให้อย่างพร้อมเพรียง " เรื่องแรก หัวหน้ากองอัศวินล่วงหน้าไปที่เทือกเขาคีลล์ก่อนแล้ว ป่านนี้คงกำลังฟัดกันนัวเนียอยู่ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย "

    เหล่าจอมมนตราและนักรบกล้าอึ้งไปพร้อมๆกันอยู่พักหนึ่ง เสียงโวยวายเริ่มตามมา พวกเขาทุกคนเป็นห่วงผู้อยู่เหนือบังคับบัญชา ถึงแม้จะหมั่นไส้ขี้หน้าเล็กน้อยก็ตามที

    " แล้วทำไมไม่ให้พวกเราตามไปด้วยล่ะ " เกลมเปล่งเสียงดังแทรกขึ้นกลางความวุ่นวาย ตามติดมาด้วยความเห็นเออออตามกันจากคนอื่นๆ

    ชาร์นิคเมินเฉยต่อคำถามจากอัศวินร่างใหญ่ เขากวาดสายตาเจ้าเล่ห์ไปรอบ ก่อนจะกระทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด

    ก้อนมาน่าที่รวบรวมไว้ถูกสังเคราะห์ขึ้นเป็นคาถาด้วยความเร็วสูง ลำแสงทำลายล้างหลากสีสันจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดออกมาทั่ว ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าแล้วเบนทิศทางสู่เป้าหมาย เสียงลูกไฟแหวกอากาศลั่นสะเทือนแก้วหู ละอองมนตราสีรุ้งปลิวว่อนตามแรงลม เหล่าเม็ดทรายพุ่งสะเปะสะปะ พริบตาเดียวยอดเขาศิลาอันเป็นแหล่งซ่องสุมโจรทะเลทรายก็พังลงมา แผ่นหินร่วงหล่นกระทบกันแตกเป็นเสี่ยง ฝุ่นกระจายฟุ้งบดบังทัศนวิสัย

    ใบหน้าสำราญใจของเด็กหนุ่มผมบลอนด์โผล่ขึ้นมาให้เห็น ท่ามกลางความเงียบงันของกองรบอิสระที่บังเกิดขึ้นจากพลังทำลายชั่วพริบตาเมื่อครู่

    " เรื่องที่สอง "

    ดวงตาสีฟ้ากราดมองไปทั่ว เพ่งพิจารณาสีหน้าตกตะลึงจนแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ของเกลม ฮินท์ เลฮาล และกีซัคเป็นพิเศษ

    " ภารกิจนี้เสร็จสิ้นแล้ว พวกนายไปเก็บหลักฐานได้ แล้วอย่าเม้มเงินกับสมบัติล่ะ "

    ชาร์ก้มลงเปิดสวิตช์บูสเตอร์ที่เท้าทันทีที่พูดจบ แล้วระเบิดความเร็วหายวับไป ทิ้งให้ฝุ่นทรายชโลมร่างทั้งสิบสี่ที่ยังอึ้งกิมกี่อยู่ด้วยความสะใจ

    ----------------------------------------------------------

    กีซัคพยายามงัดร่างไร้ชีวิตของโจรกระจอกที่ถูกฝังอยู่ใต้หินออกมาเพื่อนับจำนวนศพ จอมเวทย์พยาบาลปาดเหงื่อบนหน้าผาก พวกเขาเสียเวลากับการเช็คหลักฐานและสมบัติที่พวกนรกนี่ดักปล้นจากพ่อค้าทะเลทรายมาร่วมชั่วโมงแล้ว นานกว่าเวลาที่หัวหน้ากองทั้งสองใช้ทำลายมันลงตั้งไม่รู้กี่เท่า

    แผนการโชว์ฝีมือที่พวกเขาเก็บไปคิดกันมาทั้งคืน รอด้วยความกระตือรือร้นที่จะได้หักหน้าใสๆของชาร์นิคกับมาดเข้มกวนเท้าของริควิด พังทลายลงหมดตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม ป่านนี้พี่แกทั้งสองคนคงนั่งคุยพลางดูตะวันตกดินกันสบายใจเฉิบ ส่วนพวกเขาต้องมาเก็บซากความเสียหาย ทั้งร้อนทั้งอับทั้งเหม็นคาวเลือด

    ยังไงชั่วชีวิตนี้พวกเขาก็ตามคนแบบนั้นไม่ทัน

    เวทย์ทำลายล้างอานุภาพชวนสยองระดับนั้นกลับใช้เวลารวบรวมพลังมาน่าจากอากาศธาตุเข้ามาเพียงชั่วครู่ เรียกได้ว่าเร็วกว่าระดับทั่วไปราวสิบเท่า ยังไม่นับทักษะในการสังเคราะห์พลังดิบออกเป็นคาถาภายในพริบตา และสมาธิอันมั่นคงที่ควบคุมทิศทางการระเบิดได้แม่นราวจับวาง ความสามารถทางมนตราของชาร์นิคนับได้เป็นที่หนึ่งในเซลเนแทร์แล้ว... เขามั่นใจว่าแม้จะเป็นในหมู่ราชสีห์ทองคำด้วยกันก็ไม่น่าจะมีคนที่ฝีมือฉกาจกว่านี้ไปได้

    แล้วยังความน่ากลัวของริควิดอีก...

    ทันทีที่ลูกกองทั้งสิบสี่เคลื่อนพลมาถึงตีนเขาศิลา ภาพตรงหน้าก็ปรากฏเป็นร่างในชุดเกราะเบาสีเงินยืนสง่าอยู่ท่ามกลางซากศพนับสิบนอนระเกะระกะ โจรทะเลทรายที่กรูกันออกมาต่อกรกับปีศาจร้ายผู้ใช้หอกตนนี้ก่อนที่ลำแสงทำลายล้างของชาร์นิคจะมาถึงล้วนถูกดับชีวิตลงภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียวทั้งสิ้น ไม่มีเครื่องในหรืออวัยวะอย่างแขนขาหล่นกระจัดกระจาย ที่เห็นอยู่บนผืนทรายจะมีก็แต่ศรีษะและร่างไร้ชีวิตที่ถูกแทงเข้าตรงหัวใจหรือถูกฟันขาดสะพายแล่งเท่านั้น

    เพียงนึกถึงก็ทำให้ขนบนผิวหนังพากันลุกเกรียว ในวัยเด็กกีซัคเกเรมาเยอะ ดีแล้วที่ไม่หันเหออกนอกลู่นอกทางจนกลายเป็นกลุ่มโจรทะเลทราย ไม่เช่นนั้นวาระสุดท้ายของเขาคงไม่พ้นความตายชั่วพริบตาดังที่ยมฑูตจำแลงสองตนนี้หยิบยื่นให้เป็นแน่แท้

    " โอ๊ย! "

    เสียงอุทานแสดงความเจ็บปวดลั่นออกจากปากกีซัคพร้อมๆกับอาการแสบผิวหนังที่ฉีกขาด ท่อนแขนซ้ายของเขาเพิ่งจะครูดไปกับหินผลึกสีแดงวาวคมกริบซึ่งถูกฝังอยู่ภายใต้ซากหิน จอมคาถาพยาบาลสบถอย่างเสียอารมณ์พลันเหวี่ยงเท้าเตะยอดหินประหลาดนั้นจนหัก เลือดสีข้นเริ่มจะทะลักออกมาจากบริเวณปากแผล

    " เฮ้ย เป็นไรมั้ยวะ " จอมมนตราเพลิงฮินท์แสดงความเป็นห่วง

    " นรกเอ๊ย... " กีซัคยังคงสบถไม่หยุดกับอาการบาดเจ็บที่ไม่ได้เกิดขึ้นในสมรภูมิรบเสียด้วยซ้ำ " เออ ช่างเหอะ คาถาสมานแผลซักหน่อยก็หาย ไอ้ผลึกนี่ทำไมมาอยู่ตรงนี้วะ ไม่ใช่เพชรพลอยมีค่าอะไรด้วย "

    เกลม อัศวินเกราะหนักหันมองตามเสียงโวยวาย " ไหนวะ? เฮ้ย… พอก่อนเหอะ ไปทำแผลไป ทางนี้เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว "

    " เออ "

    คนเจ็บรับคำ เขาพยายามบีบปากแผลไว้แน่นเพื่อห้ามเลือดที่ดูเหมือนจะอักเสบจากการติดเชื้อ กีซัคไม่แปลกใจนัก ก้อนหินโสโครกไม่น่าไว้ใจพวกนี้คงจะสกปรกพอดู ถ้ำลึกใต้เทือกเขาเช่นนี้คงคาดหวังความอนามัยไม่ได้

    เฮ่อ... เวร...

    ----------------------------------------------------------

    สายลมราตรีบนทะเลทรายที่เคยร้อนระอุเมื่อกลางวันกลับหนาวยะเยือก เต้นท์พักแรมชั่วคราวกว่าครึ่งโหลถูกกางออกพร้อมสรรพ หน่วยรบรับจ้างอิสระตัดสินใจค้างคืนกันที่โอเอซิสใกล้ๆก่อนเดินทางกลับเรเซฟิน

    ดวงตาสีฟ้าจับจ้องจันทราเต็มดวง จิตใจสงบอย่างประหลาด

    เด็กหนุ่มผมบลอนด์ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์บางอย่าง จันทร์สะท้อนแสงจ้าดูคุ้นเคย ความทรงจำในอดีตไกลโพ้นฉายภาพขึ้นมารางๆ ภาพนั้นไม่ชัดเจน แม้จะรวบรวมพลังจินตนาการสักเท่าไรก็ไม่อาจทำให้มันปรากฏออกมาต่อหน้าได้เลย กี่ครั้งแล้วก็ไม่ทราบที่เขาพยายามใช้กุญแจที่ยังตามหาไม่เจอไขประตูที่ไม่มีวันเปิดได้ออก

    เขายันตัวลุกขึ้นยืน ริควิดยังง่วนอยู่กับสัมภาระสำหรับเดินทางกลับ หัวหน้าจอมคาถาก้มลงเปิดสวิตช์บูสเตอร์ เร่งเครื่องด้วยเกียร์ว่างส่งเสียงดังเรียกร้องความสนใจ ว่าที่ราชสีห์ทองคำแห่งเขี้ยวหันมองพร้อมแววตาใฝ่รู้

    ชารนิคยิ้มให้ฝ่ายตรงข้ามพลันสับเกียร์ขึ้น กดปลายเท้าเต็มแรง ฝุ่นทรายตลบขึ้นคลุ้ง ร่างของเขาทะยานออกไปไกลด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่เสียงตะโกนไล่หลังของคู่สนทนาจะแว่วมาเข้าหูได้ทัน ทิ้งให้ริคนั่งงงด้วยความไม่เข้าใจพร้อมกับคิ้วที่ขมวดลง

    ทะเลทรายกลางคืนอันตราย... คิดอะไรของมัน...

    หัวหน้ากองอัศวินปัดความคิดในหัวออกไป คว้าเกราะเบาขึ้นสวม ฉวยเอาหอกคู่ใจกระชับในมือ กระโจนออกนอกเต้นท์ เปิดบูสเตอร์แล้วมุ่งหน้าตามเพื่อนเขาไปด้วยความเร็วสูงสุด

    ความมืดที่โรยตัวลงมาจำกัดทัศนียภาพให้แคบลงกว่าที่ควรจะเป็น ริควิดอาศัยการจับตำแหน่งของชาร์เอาจากเสียงเครื่องยนตร์ ตะกวดทะเลทรายยักษ์ทางซ้ายมือถูกปลุกจากการหลับไหล เขาเร่งผ่านบริเวณนี้ไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

    ร่างเล็กของเด็กหนุ่มผมบลอนด์นั่งห้อยขาอยู่เหนือผาหินเบื้องหน้า ริควิดดับเครื่องบูสเตอร์ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ช้าๆ

    " ออกมาทำอะไรของแก "

    " ล่อแกออกมาไง " น้ำเสียงกวนอารมณ์กล่าวตอบ

    หัวหน้ากองอัศวินถอนหายใจเอาหน้าที่การงานที่ยังคั่งค้างออกไปจากหัว มองแผ่นหลังเพื่อนสนิท ย่ำเท้าลงไปบนเงาที่ทอดจากแสงจันทรา เดินมาทิ้งลงตัวลงนั่งกอดเข่าข้างเด็กหนุ่มผมบลอนด์

    " ฉันคงไม่ถามอะไรแกอีก ริค เรื่องนี้น่ะ " จอมคาถาเกริ่นนำ " ฉันรู้อะไรต่อมิอะไรมากมาย มากจนจะทำให้แกตะลึง มากจนไม่ต้องถามอะไรแกที่ไม่ยอมเปิดใจอีก "

    ความนิ่งของคู่สนทนาทำให้ชาร์นิครับรู้ได้ว่าการเกทับของเขาส่งผลมากเพียงใด เด็กหนุ่มยิ้ม ตาจับจ้องดวงจันทร์ แล้วเอ่ยต่อ

    " ราซารัส เรมินัส "

    นามนั้นกระตุ้นสายตาริควิดให้ชะงักงัน เสียงหัวใจเต้นดังและถี่ขึ้นจนสัมผัสได้ ดวงตาสีฟ้าสบมองผู้ที่เลี่ยงหลบความจริงที่เขารู้มาตลอด

    " อดีตขุนนางเบื้องบนที่โดนปลดจากตำแหน่ง ต้องโทษขังลืมโทษฐานทำร้ายร่างกายองค์ชายของอาเมเลียจนบาดเจ็บสาหัส หลังจากถูกขังอยู่ในคุกได้ไม่นานก็ถูกคนคุกรุมประชาทัณฑ์เสียชีวิต ภรรยาตรอมใจตาย ลูกชายคนเดียวหาย นานจนได้รับการบันทึกว่าเสียชีวิตแล้ว " ชาร์นิคไล่สายตามองฝ่ายตรงข้ามหัวจรดเท้า " พ่อแกใช่มั้ย ริควิด เรมินัส "

    เจ้าของชื่อกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ดวงตาจับจ้องใบหน้าคู่สนทนาอย่างหวาดระแวง ทิ้งให้ความเงียบโรยตัวขึ้นนาน ก่อนจะเอ่ยทำลายมันทิ้ง

    " แกรู้มาจากไหน "

    " เมืองหลวง ตอนไปรายงานตัวตำแหน่งราชสีห์ทองคำครั้งแรก แกปฏิเสธไม่ไปเพราะบอกว่าไม่สบาย ฉันก็นึกอยู่แล้วว่ามันแปลก ที่แท้แกคงไม่อยากเข้าไปเหยียบเมืองหลวงอย่างน้อยก็จนกว่าจะได้ตำแหน่ง ใช่มั้ย? "

    ความนิ่งงันของริคเพียงพอแล้วที่จอมคาถาจะนำมาสรุปเป็นคำตอบ

    เขากล่าวต่อ " แกคงจะไม่รู้ว่าพอรายงานตัวแล้วก็จะได้รับอำนาจมาครึ่งหนึ่งแล้ว ฉันใช้อำนาจนั้นขอดูระเบียนประวัติย้อนหลังไปเจ็ดปีก่อน ช่วงเวลาที่แกมาเหยียบประตูทิศใต้ จากทางนั้นมีโอเอซิสมากมายโยงไปถึงเมืองหลวงได้ด้วยการเดินเท้า ไปเมืองอื่นไม่ได้ เพราะงั้นสรุปได้ว่าแกมาจากสตรองคอร์  แต่งชุดดำทั้งตัวทั้งๆที่ร้อนตับจะแตกก็เพราะแกกำลังไว้ทุกข์  แล้วใครตาย? ทำไมเด็กอายุสิบสองเดินทางคนเดียว? ฉันหาไปหมดนั่นแหละริค หาว่ามีใครบ้างที่ตายทั้งสามีภรรยา แล้วเป็นเรื่องที่ลูกเขาจำเป็นต้องร่อนเร่ออกมาลับๆเพราะไม่อยากตกเป็นข่าว แล้วแม่แกนะ... หน้าเหมือนแกอย่างกับแกะ สีผมกับสีตาอีก ดูแว่บเดียวก็รู้แล้ว "

    ชาร์นิคค่อยๆกระเทาะเปลือกที่หุ้มจิตใจเจ้าของอดีตเลวร้ายออกทีละนิด ด้วยทุกถ้อยคำแห่งความเท็จจริงที่เขาทุ่มเทค้นหามันมานาน

    " แกไม่ได้หลงไหลวิชาหอกอะไรมากมาย แต่เพราะมันเป็นหนทางที่จะนำพาแกเข้าไปสู่จุดสูงสุดแห่งเกียรติยศได้ เพื่อลบล้างชื่อเสียของตระกูล แกถึงได้จับมัน "

    จอมคาถายังคงไม่หยุดยั้งการร่ายมนตรา

    คำสาปจางหายไปทีละน้อย

    ตื้นตัน

    " ชาร์... แกทำแบบนี้มีแต่จะพาเรื่องอันตรายมาเข้าตัว เรื่องบางเรื่องแกก็ไม่ควรจะรู้ "

    " ฉันจะเสือก แกจะทำไม แกมีปัญญาอะไรมาห้าม "

    ความอึ้งเข้าครอบงำ

    " ริค รู้มั้ย คนอย่างแก ชาตินี้ก็ไม่มีวันมีความสุข แต่ในเมื่อทางที่แกเลือกทางนี้มันไม่มีทางหันหลังกลับได้อีกแล้ว ฉันก็จะสนับสนุนแกต่อไป อย่างน้อยก็จนกว่าแกจะเบื่อแล้วหาอะไรน่าสนใจใส่ตัวแทนบ้าง นอกเหนือจากเรื่องศักดิ์ศรี... "

    " ขอบใจ... "

    ริควิดโพล่งออกมาขัดบทสนทนา ฝ่ายตรงข้ามทำท่าทางเหมือนกับจะพูดอะไรต่อ แต่ก็หรุบปากลงแล้วเงียบ จ้องหน้าเด็กหนุ่มผมน้ำตาล แล้วยิ้ม

    " สัญญาได้มั้ยว่าแกจะไม่ปิดบังอะไรฉันอีก " ราชสีห์ทองคำแห่งใจพยายามผูกมัด

    " ปิดบังได้ที่ไหนกันล่ะ "

    " เออ งั้นก็อย่าพยายามจะทำ สัญญามาซะด้วย "

    " ฉันสัญญา " ราชสีห์ทองคำแห่งเขี้ยวเอ่ยรับ

    คำสาปถูกทำลายลงแล้ว

    และตามมาด้วยเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์

    " ริค อะไรน่ะ " เด็กหนุ่มผมบลอนด์อุทาน

    แว่วเสียงแห่งความตื่นตระหนกลั่นมาจากเบื้องหลัง เรียกว่าที่ราชสีห์ทั้งสองให้มองตามต้นตอ ทิศทางที่เขาทั้งสองจากมา ควันไฟลอยฟุ้งสู่เบื้องบน ฟากฟ้าถูกย้อมเป็นสีแดงระเรื่อลานตา เพลิงกำลังลุกไหม้ที่พักกองรบของพวกเขา

    ดวงตาสองคู่หันมาสบกัน เด็กหนุ่มทั้งสองพยักหน้า บูสเตอร์ที่ข้อเท้าถูกเอื้อมลงเปิด เสียงเครื่องยนตร์ดังกระหึ่ม ฝุ่นทรายปลิวว่อนสู่เบื่องหลัง

    แล้วร่างของคนทั้งสองก็พุ่งทะยานออกไปไกลลิบตา

    -------------------------------------------------------

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×